“พี่ไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนี้เลยนี่จ๊ะ”
“ไม่จำเป็นไม่ได้หมายความว่าห้ามทำไม่ใช่เหรอ”
“แต่ซื้อของเยอะขนาดนี้มัน....”
ตั้งแต่เขาตัดสินใจคิดจะพาตัวเองกับลูกมาเริ่มต้นใหม่ ผ่านมาหลายต่อหลายเดือนที่เขาพยายามเก็บหอมรอมริบในฐานะคนใช้ของบ้านเพื่อเอาไปต่อยอด อย่างน้อยจะได้มีเงินมาใช้กันเองโดยไม่ต้องพึ่งคนอื่นบ้าง
ระหว่างนั้นพี่ธรรศก็จัดแจงทุกอย่างเริ่มด้วยการแอบไปขออนุญาตจากเด็ก ๆ แล้วมาขอพาเขาออกไปดูที่ซึ่งกำลังจะเปิดเป็นตลาดเร็ว ๆ นี้เพราะเขาเคยบอกว่าอยากกลับมาเปิดร้านอาหารอีกครั้ง ทว่าได้ดูอยู่ไม่เท่าไรก็เข้าอีหรอบเดิม คุณชายเหมบำรุงขับรถพาเขามาเข้าห้างอีกแล้ว
ไหนพี่ธรรศยังเอาหลักฐานภาพวาดสีเทียนซึ่งเป็นรูประหว่างเขากับพี่ธรรศเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้าพร้อมถุงของกินเต็มมือ และเขาก็เถียงว่าเป็นของปลอมไม่ได้ด้วยเพราะลายมือสองแฝดเขียนชื่อพร้อมสรรพ เปลวในครั้งนี้รู้สึกโกรธเด็ก ๆ ที่เห็นดีเห็นงามด้วย เป็นลูกแม่แท้ ๆ ทำไมถึงไปเข้าข้างลุงธรรศเล่า
เปลวมองเหล่าพนักงานในร้านเสื้อร้านที่สี่จับจ้องมาทางเขาตาเป็นมัน พร้อมด้วยมือเป็นระวิงซึ่งจั
กระนั้นเมื่อกลับมาน้องเปลวก็คล้ายจะงอนเนื่องจากเขาเรียกให้พนักงานจับกล้องถ่ายรูปพร้อมชูแหวนแต่งงาน สงสัยคงเขินจนโมโหกลบเกลื่อนกระมัง นึกย้อนกลับไปไม่ว่าจะมุมมองไหนน้องเปลวก็น่ารักจริง ๆตอนนี้ภูวธรรศกำลังนุ่งผ้าเตรียมตัวนอน มื้อเย็นก็เป็นอาหารที่ซื้อมาจากร้านเมื่อเที่ยง เห็นได้ยินเด็ก ๆ คุยกันว่าชอบหมูห่อผักกับผักชุบแป้งทอด ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นเลยจริง ๆ สงสัยเขาคงต้องพาตัวเองเข้าวงการกินผักอย่างเป็นจริงเป็นจังแล้วเพราะความทรงจำตอนโดนหนูปิ่นทักกลางโต๊ะอาหารยังฝังใจไม่หาย ก็มันเหม็นจะให้ลุงทำอย่างไรล่ะครับภูวธรรศตรวจสอบความเรียบร้อยภายในห้องก่อนเดินไปปิดไฟเหนือหัว เขาว่าจะตรวจสอบบัญชีอีกสักหน่อยก่อนนอนจึงคิดเดินไปเปิดโคมไฟหัวเตียง ทว่าเสียงเคาะประตูกลับดังขึ้นมาก่อน*ก๊อก ก๊อก* เจ้าของห้องเดินไปเปิดก่อนจะปรากฏเป็นน้องเปลว ป่านนี้ย่างสามทุ่มเจ้าตัวน่าจะเข้านอนไปแล้วไม่ใช่หรือ?“เข้ามาในห้องก่อนไหม?”“จ้ะ”ถามว่าภูวธรรศอยู่ในสภาพปกติไหมต้องตอบเลยว่าไม่ เขายังจำเรื่องเมื่อเที่ยงที่ไปเที่ยวด้วยกันสองต่อสองได้แม่น ดังนั้นแค่เ
“อึก! อืออ...”ฝ่ามือสีน้ำผึ้งกำแน่นอยู่บนลาดไหล่กว้าง ส่งเสียงร้องครางอยู่ข้างใบหูพ่อเสือเมื่อสะโพกอวบกำลังถูกกดลงต่ำสวนทางกับแก่นกายยักษ์เต้นตุบที่เข้าปากทางย้อนขึ้นมากระทุ้งผนังอ่อนชวนให้รู้สึกจุกเสียว“เอ็ง...อึก...รัดแน่นเกินไปแล้ว”“อ๊ะ! พี่ อื้อ!”ภูวธรรศกัดฟันชะลอแรงเกรงว่าจะทำน้องเปลวเจ็บ กระนั้นภาพที่ฉายบนดวงตากลับเร่งเร้าเขาเสียอย่างนั้น แม่วัวหรี่ตามองน้ำตาคลอเบ้าขมวดคิ้วมุ่นพร้อมหน้าแก้มขึ้นริ้วแดงชวนมอง ด้วยความไม่รู้เนื้อรู้ตัวคมเขี้ยวที่คันมาแต่ไหนแต่ไรจึงไม่วายเข้าไปขบเม้มหน้าแก้มกลมกลึงเปลวด้วยความตกใจจึงตัวกระตุกกดสะโพกลงไปจนสุดโคน ปลายป้านกระแทกเข้าผนังอ่อนชนต่อมน้ำคาวอย่างจังจนส่วนหน้าเผลอเสร็จสมอย่างเป็นไปเอง แม่วัวหอบหายใจหนักก่อนจะขอเปลี่ยนแขนไปคล้องลำคอหนาบดเบียดอกอวบอ้อนขอรสจูบปลอบประโลมอีกครั้ง“อือ...”กลิ่นไม้กฤษณาตลบอบอวลอยู่ในโพรงจมูก มันไม่ได้ชวนอึดอัดจนหายใจไม่ออกหรืออยากจะถอนเรียวลิ้นออกเลยแม้แต่น้อย กลับหอมอย่างเข้มขลังดึงดูดให้เขาไม่สามารถหนีไปไหนได้อย่างแยบยล“เอ็งยังเจ็บอยู่ร
กลิ่นหอมสดชื่นของพานพุ่มใบตองโชยมาจากท้ายขบวน เสียงพูดคุยของเหล่าเครือญาติและมิตรสหายแว่วมาพร้อมรอยยิ้มแห่งความยินดีปรีดา เหล่าพานมงคลไล่เรียงขึ้นมามีผลไม้ ขนม สินสอด และแหวนฝังเพชรเม็ดงามสองวงตั้งเด่นบนพานดอกไม้ใบน้อย เป็นสองแฝดน้องชายผู้ถือพานต้นกล้วยลอบมองเจ้าบ่าวในชุดผ้าไทยซึ่งระริกระรี้เป็นพิเศษภูวธรรศยิ้มแก้มแทบปริ กำพานธูปเทียนแพรแน่นขนัด ตระเตรียมขบวนในการเดินไปหาน้องเปลวบนเรือนกรรณิการ์ ทั้งที่คิดว่าใกล้วันงานจะได้นอนพูดคุยกับน้องเปลวเสียอีกแต่ไม่เลย เพราะแม่ดันบอกว่าพวกเขาต้องนอนแยกห้องกันไม่แค่ ๑ วัน ๓ วันแต่นานถึง ๗ วัน! น้องเปลวขั้นต่ำก่อนแต่งมานอนกับเขาสัปดาห์ละสองหนเชียวนะแม่นอกจากห้ามนอนด้วยกันในขั้นตอนลองชุด หรือลองเครื่องประดับก็ห้ามมอง ยิ่งทำกงการอะไรสองต่อสองยิ่งไม่ได้เลยเชียว เขาคิดถึงใจจะขาดอยู่แล้วขณะภูวธรรศกำลังใคร่ครวญถึงแม่วัวอยู่นั้นเองเสียงกู่ร้องก็ดังขึ้นเป็นจุดเริ่มต้นตามด้วยเสียงกลองฉิ่งฉาบกรับฆ้องเป็นสัญญาณการเริ่มเดินขบวน พวกลูกน้องของเขาที่ได้วันหยุดมาหนึ่งวันก็คล้ายเป็นวันปล่อยผี เต้นกันไม่เกรงใจเจ้าบ่าวหน้าขบว
ผ่านมาหนึ่งปีถ้วนนับตั้งแต่คืนวันแต่งงาน ในช่วงเวลาที่ผ่านมาพี่ธรรศพาเขาไปพบสูติแพทย์อยู่เป็นประจำตามกำหนด หาหยูกยาบำรุงตามคำหมอมาต้มให้เขาดื่มทุกคืนก่อนนอน ไหนจะอาหารการกินอุดมสมบูรณ์เต็มตาเต็มโต๊ะยิ่งกว่าเก่า เขาที่ท้องสามแล้วจึงพอมีความคุ้นชินอยู่บ้าง และทราบว่าคนท้องพอทำอะไรเองได้ กระนั้นประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขากลับใช้ไม่ได้กับพี่ธรรศเจ้าตัวหวงเขาหนักหนา จากที่เขาตั้งใจว่าจะลงเรือนไปกินข้าวในครัว ไม่ต้องให้ใครเดินขึ้นเดินลงเพื่อเก็บจานของคนเพียงคนเดียวแต่พี่ธรรศขอปฏิเสธ เป็นคนอาสาเดินหยิบมื้อเช้ากลางวันเย็นกระทั่งขนมมื้อดึกขึ้นมาให้ทุกวี่ทุกวันและการที่ทำเช่นนั้นได้แปลว่าพี่ธรรศต้องแบกงานกระทั่งพาลูกค้ามาคุยที่เรือน เขาเคยพูดคุยขำ ๆ กับเรื่องนี้กับคุณเลขานุการอย่างพี่ม่วง อีกคนก็ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ เพราะต้องวางตารางใหม่ทั้งหมดข้ามวันข้ามคืนแทบไม่ได้นอน เขาจึงดุพี่ธรรศไปหนึ่งรอบจนต่อรองกันว่าจะไม่ฝืนธรรมชาติ ออกไปทำงานอย่างเป็นกิจจะลักษณะเป็นครั้งคราวคิดถึงอดีตที่ผ่านมาร่วมหลายเดือนก็กลั้วหัวเราะ อย่างไรเขาก็ไม่ได้มองนิสัยนี้ของพี่ธรรศไปในทาง
ในขณะที่พี่ธรรศช่วงนี้ต้องออกไปทำงานต่างจังหวัดเป็นเวลาสามวัน เขาในฐานะที่ไม่ได้ออกไปไหนก็ต้องทำงานบ้านงานเรือน ทั้งเดี๋ยวนี้พี่ธรรศก็มักจะไหว้วานเขาให้ตรวจสอบบัญชีไปก่อนระหว่างรอรับสมัครพนักงานคนใหม่เข้ามา เป็นงานที่หนักเอาการเพราะระหว่างวันเขาต้องคอยดูแลเด็ก ๆ โดยเฉพาะเจ้าเปรมที่ร้องไห้งอแงอยู่แทบจะตลอด บางครั้งก็ร้อนเกิน หนาวเกิน ขับถ่าย หิวข้าว หิวนม แม้จะพยายามทำอาหารรสอ่อนให้ทานแต่ลูกชายคนนี้จนอายุได้สองขวบปีก็ยังต้องเอามาเข้าเต้าบ้างเปลวคิดจะให้ลูกเสือตัวน้อยหัดกินผักตั้งแต่เด็กจะได้ทานอะไรได้หลากหลายเหมือนพี่ ๆ คิดสะระตะไปมาตอนนี้ก็นอนหลับปุ๋ยกันไปหมดสามคน ในที่สุดความวุ่นวายในวันหยุดก็เพลาลงเสียทีคนเป็นแม่อย่างเปลวจึงได้เวลาหาอะไรกินเป็นมื้อเที่ยง แล้วจึงรีบมาเปลี่ยนผ้าปูเตียงประจำเดือนยังห้องพ่อแม่ เขาในตอนนี้ไว้ผมยาวลงมาจนสามารถถักเป็นเปียได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทีแรกด้วยความไม่ชินจึงมีความคิดที่จะตัดสั้นดังเดิม ทว่าก็ทำได้แค่คิดเพราะงานอะไรล้วนยุ่งไปหมด อยู่ไปอยู่มาก็ชินเสียแล้ว*แกร๊ก* เสียงกลอนประตูเปิดออก เปลวที่กำลังวุ่นอย
“ใต้ท้องทะเลอุดมไปด้วยชาวเมืองปลา...”ย้อนกลับไปในระยะเวลาก่อนที่เขาจะแต่งงาน มันเป็นช่วงที่กุมภีร์กำลังสอนเด็ก ๆ อ่านหนังสือโดยเริ่มจากการเรียนตัวอักษร สระ วรรณยุกต์ตามมาด้วยการคัดลายมือ และการฝึกอ่านต่าง ๆ โดยนอกจากแบบเรียนแล้ว ก็มีหนังสือภาพหนังสือนิทานที่ชักจูงความสนใจของสองแฝดได้เพราะมีภาพประกอบสวยงามคนเป็นแม่อย่างเปลวเมื่อลูก ๆ หยิบหนังสือมาให้อ่านก่อนนอนมีหรือจะปฏิเสธ ทั้งพี่ธรรศก็ให้การสนับสนุนการเรียนการสอน ออกไปตระเวนหาซื้อหนังสือนิทานมาตั้งไว้สูงชะลูด ไม่รู้ว่าจะอ่านพวกมันจบก่อนเด็กน้อยโตเลยวัยหรือเปล่าในทุกคืนสองแฝดจะทำข้อตกลงเลือกหนังสือนิทานเล่มใหม่หรือเล่มเดิมที่สนใจวิ่งดุ๊ก ๆ เอามาให้แม่วัวอ่าน ยอมรับเลยว่าช่วงเวลาที่ได้ใช้ไปกับลูกในทุกคืนแม้เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของวันแต่มันช่างมอบความสุขให้เขามากมายเหลือเกิน และวันนี้เด็ก ๆ ก็เลือกหนังสือนิทานเรื่อง ‘พระราชาใต้มหาสมุทร’ มาให้เขาอ่าน คงเพราะมีหน้าปกวาดแต่งแต้มสีฟ้าสดใสพร้อมเหล่าสัตว์ทะเลหน้าตาแปลก ๆ เต็มไปหมด อ่านไปเรื่อย ๆ เรื่องราวจะกล่าวถึงพระราชาที่เคยสั่งงานทุกค
เนื่องจากเขาสนิทกับพี่ม่วงเป็นทุนเดิมเพราะคุยกันถูกคอถึงเรื่องเด็ก ๆ ที่ได้โอกาสและเงินสนับสนุนจากพี่ธรรศให้ไปเรียนไกลถึงพระนครซึ่งใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าที่นั่นการศึกษายอดเยี่ยมแค่ไหน จนตอนนี้เด็ก ๆ เหล่านั้นก็กลับมาช่วยงานของสามีภายใต้การดูแลของพี่ม่วงพี่หนูตัวเล็กเคยเล่าว่าเด็ก ๆ ตัวสูงกันมาก ซึ่งพอได้มาทำงานร่วมกันเขาจึงเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ทั้งเด็กพวกนั้นก็เป็นที่น่าเอ็นดู รับฟังคำแนะนำ ไหนจะขยันขันแข็งหนักเอาเบาสู้จนมีหลายครั้งที่หากกำไรงาม เขามักจะปันส่วนให้เด็ก ๆ เอาไปกินเลี้ยงหรือไม่ก็เก็บหยอดกระปุกเผื่ออยากจะเอาไปต่อยอดสานฝันเขาอยากหาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองจึงเก็บหอมรอมริบเงินเดือนในสมัยที่ยังทำงานประหนึ่งคนใช้ในช่วงเป็นหนี้มาซื้ออุปกรณ์ทำอาหาร และเอาเงินไปจ่ายค่าแผงของพี่ธรรศที่แม้ในเริ่มแรกเจ้าตัวจะอิดออดขอไม่รับแต่เขาก็บอกจุดประสงค์ชัดเจน จนในที่สุดเจ้าพี่ก็ยอมให้กันในช่วงแรกนั้นดำเนินไปได้ด้วยดี แม้มีชะงักไปบ้างเพราะมันคาบเกี่ยวตอนตั้งท้องน้องเปรมแต่สุดท้ายเขาก็พาตัวเองมาขายได้บ้างเป็นบางครั้งบางคราว เพราะพี่ธรรศเอาบทบาทสามีภรรยา
เนื่องจากปิ่นเปี่ยมก็โตขึ้นแล้ว สามีจึงเห็นว่าควรหาพื้นที่ส่วนตัวให้อย่างน้อยก็เป็นห้องนอนเล็ก ๆ ให้ฝึกใช้ชีวิตด้วยตัวเองส่วนเปรมด้วยว่าพึ่งคลอดได้ไม่กี่เดือนยังคงต้องนอนห้องเดียวกันกับพวกเขาอยู่ แต่ก็มีอยู่หลายวันเหมือนกันที่พวกเราห้าคนมานอนด้วยกัน จะนับเป็นส่วนใหญ่เลยก็ว่าได้ในตอนนี้ปิ่นเปี่ยมขึ้นป.๒ และก็มีบางวันที่เลิกเรียนกลับมาเย็นเนื่องจากมีกิจกรรมของทางโรงเรียนเขา ในขณะเดียวกันนี่ก็เป็นอีกครั้งที่มีกินเลี้ยงคนงาน ครัวจึงถูกใช้งานอย่างเต็มอัตราโดยมีพี่ม่วงพี่เฉลิมมาช่วยอย่างที่เคยเป็น กว่าจะวางมือจากตะหลิวเช็ดล้างทำความสะอาดพื้นครัวก็ปาไปเกือบหกโมง ลูก ๆ จึงอาบน้ำอาบท่าขึ้นไปทำการบ้านกันก่อนแล้ว ไหนจะได้ยินว่าง่วงเพราะเล่นกีฬามา สงสัยคงต้องขึ้นไปดูน้ำในเหยือกด้านบนเสียหน่อยว่าพอหรือเปล่า“ขอบคุณที่มาช่วยนะจ๊ะพี่ม่วง”“ผมต้องมาช่วยอยู่แล้วครับ”พี่ม่วงมอบยิ้มให้หลังพี่เฉลิมเดินมายกหม้อไปขึ้นท้ายรถ ส่วนพี่ธรรศตอนนี้พึ่งกลับมาจากการออกไปสะสางเรื่องหนี้กับผัวเมียสองคนนั้นนิดหน่อย จะว่าไปหลังจากวันนั้นเขาก็ไม่ได้เห็นหน้าพี่กอบกับคุณ
เฉลิม × ม่วงอีกไม่นานเด็ก ๆ ในการดูแลของเขาก็จะจบการศึกษาจากโรงเรียนประจำที่ส่งไปพระนคร โดยแต่เดิมตัวเขาเป็นเด็กที่มาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และเด็กพวกนั้นก็นับเป็นประหนึ่งน้องชายน้องสาวต่างสายเลือดที่อายุห่างจากเขาไปเยอะโข แต่อย่างไรเขาในฐานะพี่ใหญ่ก็อยากจะหาโอกาสมามอบให้เด็กเหล่านั้น ไม่ต้องให้มาตกระกำลำบากเช่นตัวเองเขาจับพลัดจับผลูจนได้มาทำงานในเครือเหมบำรุงและได้รับความช่วยเหลือจากคุณธรรศโดยการหยิบยืมเงินเพื่อส่งเด็ก ๆ ทั้งหมดเข้าโรงเรียนรวมถึงการบำรุงรักษาสถานรับเลี้ยงที่เขาเติบโตมา ส่วนคนไหนเป็นสุคนธ์ถึงเขาจะไม่สามารถจ้างครูสอนรายบุคคลได้แต่อย่างน้อยก็มีอาจารย์ช่วยกันสอนสั่งดูแลถึงสองคนต่อเด็กห้าสิบกว่าคนมันไม่เชิงว่าเขาเป็นหนี้เจ้านายอย่างคุณภูวธรรศ แต่เป็นเขาเองที่อยากให้เจ้านายหักเงินรายเดือนคืนกลับไป แม้มันจะเล็กน้อยเท่าหยิบมือแต่เขาในตอนนี้ก็คืนมันไปจนหมดแล้ว กระนั้นด้วยบุญคุณที่เจ้านายมอบให้ในตอนที่เขายังไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง ตอนที่ยังคงแต่งตัวซอมซ่อเหมือนหนูข้างถนน เขาจึงตั้งมั่นตั
วันนี้เนื่องจากเป็นวันเรียนจบของลูกเปรมซึ่งเข้าสู่วัยรุ่นอย่างเต็มตัว พ่อเสือจึงลางานละหน้าที่หนึ่งวันสำหรับพาครอบครัวมาทานมื้อค่ำในตัวเมืองซึ่งเป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ นับเป็นเรื่องปกติของที่บ้านที่จะพาเด็ก ๆ มาฉลองในแต่ละช่วงเวลาสำคัญของชีวิตแม้เปรมจะเป็นสุคนธ์ไม่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนทั่วไปได้อย่างพี่เปี่ยมพี่ปิ่นแต่ก็ถือว่าเรียนจบหลักสูตรตามที่อาจารย์ซึ่งจ้างมาครบหมดแล้วตอนนี้ลูก ๆ ของเขาโตขึ้นกันเร็วเสียน่าใจหายเผลอแป๊บเดียวปิ่นเปี่ยมก็อายุสิบหกเริ่มทำงานช่วยพ่อธรรศกันแล้ว กระนั้นผลลัพธ์กลับออกมาตรงกันข้ามเสียอย่างนั้น กลายเป็นว่าปิ่นที่เคยพูดจาเจื้อยแจ้วนั้นสุขุมขึ้น แต่อย่างไรความมั่นใจในตัวเองที่พ่อธรรศมอบให้ผ่านการใช้เวลาร่วมกันก็ยังคงฝังลึก มีหลายครั้งที่ลูกสาวคนนี้แสดงมุมตลก ๆ ออกมา ในขณะเดียวกันเปี่ยมซึ่งเคยเป็นเด็กขี้อายเมื่อโตเป็นหนุ่มกลับเป็นคนแสดงออกชัดเจนพูดจาเถรตรง และมั่นใจในการพูดมากขึ้นบนโต๊ะอาหาร“เปรมกินอันนี้ไหม เดี๋ยวพี่ตักให้”“กินจ้ะ”ภาพพี่น้องรักใคร่กลมเกลียวแบบนี้ช่าง
เนื่องจากปิ่นเปี่ยมก็โตขึ้นแล้ว สามีจึงเห็นว่าควรหาพื้นที่ส่วนตัวให้อย่างน้อยก็เป็นห้องนอนเล็ก ๆ ให้ฝึกใช้ชีวิตด้วยตัวเองส่วนเปรมด้วยว่าพึ่งคลอดได้ไม่กี่เดือนยังคงต้องนอนห้องเดียวกันกับพวกเขาอยู่ แต่ก็มีอยู่หลายวันเหมือนกันที่พวกเราห้าคนมานอนด้วยกัน จะนับเป็นส่วนใหญ่เลยก็ว่าได้ในตอนนี้ปิ่นเปี่ยมขึ้นป.๒ และก็มีบางวันที่เลิกเรียนกลับมาเย็นเนื่องจากมีกิจกรรมของทางโรงเรียนเขา ในขณะเดียวกันนี่ก็เป็นอีกครั้งที่มีกินเลี้ยงคนงาน ครัวจึงถูกใช้งานอย่างเต็มอัตราโดยมีพี่ม่วงพี่เฉลิมมาช่วยอย่างที่เคยเป็น กว่าจะวางมือจากตะหลิวเช็ดล้างทำความสะอาดพื้นครัวก็ปาไปเกือบหกโมง ลูก ๆ จึงอาบน้ำอาบท่าขึ้นไปทำการบ้านกันก่อนแล้ว ไหนจะได้ยินว่าง่วงเพราะเล่นกีฬามา สงสัยคงต้องขึ้นไปดูน้ำในเหยือกด้านบนเสียหน่อยว่าพอหรือเปล่า“ขอบคุณที่มาช่วยนะจ๊ะพี่ม่วง”“ผมต้องมาช่วยอยู่แล้วครับ”พี่ม่วงมอบยิ้มให้หลังพี่เฉลิมเดินมายกหม้อไปขึ้นท้ายรถ ส่วนพี่ธรรศตอนนี้พึ่งกลับมาจากการออกไปสะสางเรื่องหนี้กับผัวเมียสองคนนั้นนิดหน่อย จะว่าไปหลังจากวันนั้นเขาก็ไม่ได้เห็นหน้าพี่กอบกับคุณ
เนื่องจากเขาสนิทกับพี่ม่วงเป็นทุนเดิมเพราะคุยกันถูกคอถึงเรื่องเด็ก ๆ ที่ได้โอกาสและเงินสนับสนุนจากพี่ธรรศให้ไปเรียนไกลถึงพระนครซึ่งใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าที่นั่นการศึกษายอดเยี่ยมแค่ไหน จนตอนนี้เด็ก ๆ เหล่านั้นก็กลับมาช่วยงานของสามีภายใต้การดูแลของพี่ม่วงพี่หนูตัวเล็กเคยเล่าว่าเด็ก ๆ ตัวสูงกันมาก ซึ่งพอได้มาทำงานร่วมกันเขาจึงเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ทั้งเด็กพวกนั้นก็เป็นที่น่าเอ็นดู รับฟังคำแนะนำ ไหนจะขยันขันแข็งหนักเอาเบาสู้จนมีหลายครั้งที่หากกำไรงาม เขามักจะปันส่วนให้เด็ก ๆ เอาไปกินเลี้ยงหรือไม่ก็เก็บหยอดกระปุกเผื่ออยากจะเอาไปต่อยอดสานฝันเขาอยากหาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองจึงเก็บหอมรอมริบเงินเดือนในสมัยที่ยังทำงานประหนึ่งคนใช้ในช่วงเป็นหนี้มาซื้ออุปกรณ์ทำอาหาร และเอาเงินไปจ่ายค่าแผงของพี่ธรรศที่แม้ในเริ่มแรกเจ้าตัวจะอิดออดขอไม่รับแต่เขาก็บอกจุดประสงค์ชัดเจน จนในที่สุดเจ้าพี่ก็ยอมให้กันในช่วงแรกนั้นดำเนินไปได้ด้วยดี แม้มีชะงักไปบ้างเพราะมันคาบเกี่ยวตอนตั้งท้องน้องเปรมแต่สุดท้ายเขาก็พาตัวเองมาขายได้บ้างเป็นบางครั้งบางคราว เพราะพี่ธรรศเอาบทบาทสามีภรรยา
“ใต้ท้องทะเลอุดมไปด้วยชาวเมืองปลา...”ย้อนกลับไปในระยะเวลาก่อนที่เขาจะแต่งงาน มันเป็นช่วงที่กุมภีร์กำลังสอนเด็ก ๆ อ่านหนังสือโดยเริ่มจากการเรียนตัวอักษร สระ วรรณยุกต์ตามมาด้วยการคัดลายมือ และการฝึกอ่านต่าง ๆ โดยนอกจากแบบเรียนแล้ว ก็มีหนังสือภาพหนังสือนิทานที่ชักจูงความสนใจของสองแฝดได้เพราะมีภาพประกอบสวยงามคนเป็นแม่อย่างเปลวเมื่อลูก ๆ หยิบหนังสือมาให้อ่านก่อนนอนมีหรือจะปฏิเสธ ทั้งพี่ธรรศก็ให้การสนับสนุนการเรียนการสอน ออกไปตระเวนหาซื้อหนังสือนิทานมาตั้งไว้สูงชะลูด ไม่รู้ว่าจะอ่านพวกมันจบก่อนเด็กน้อยโตเลยวัยหรือเปล่าในทุกคืนสองแฝดจะทำข้อตกลงเลือกหนังสือนิทานเล่มใหม่หรือเล่มเดิมที่สนใจวิ่งดุ๊ก ๆ เอามาให้แม่วัวอ่าน ยอมรับเลยว่าช่วงเวลาที่ได้ใช้ไปกับลูกในทุกคืนแม้เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของวันแต่มันช่างมอบความสุขให้เขามากมายเหลือเกิน และวันนี้เด็ก ๆ ก็เลือกหนังสือนิทานเรื่อง ‘พระราชาใต้มหาสมุทร’ มาให้เขาอ่าน คงเพราะมีหน้าปกวาดแต่งแต้มสีฟ้าสดใสพร้อมเหล่าสัตว์ทะเลหน้าตาแปลก ๆ เต็มไปหมด อ่านไปเรื่อย ๆ เรื่องราวจะกล่าวถึงพระราชาที่เคยสั่งงานทุกค
ในขณะที่พี่ธรรศช่วงนี้ต้องออกไปทำงานต่างจังหวัดเป็นเวลาสามวัน เขาในฐานะที่ไม่ได้ออกไปไหนก็ต้องทำงานบ้านงานเรือน ทั้งเดี๋ยวนี้พี่ธรรศก็มักจะไหว้วานเขาให้ตรวจสอบบัญชีไปก่อนระหว่างรอรับสมัครพนักงานคนใหม่เข้ามา เป็นงานที่หนักเอาการเพราะระหว่างวันเขาต้องคอยดูแลเด็ก ๆ โดยเฉพาะเจ้าเปรมที่ร้องไห้งอแงอยู่แทบจะตลอด บางครั้งก็ร้อนเกิน หนาวเกิน ขับถ่าย หิวข้าว หิวนม แม้จะพยายามทำอาหารรสอ่อนให้ทานแต่ลูกชายคนนี้จนอายุได้สองขวบปีก็ยังต้องเอามาเข้าเต้าบ้างเปลวคิดจะให้ลูกเสือตัวน้อยหัดกินผักตั้งแต่เด็กจะได้ทานอะไรได้หลากหลายเหมือนพี่ ๆ คิดสะระตะไปมาตอนนี้ก็นอนหลับปุ๋ยกันไปหมดสามคน ในที่สุดความวุ่นวายในวันหยุดก็เพลาลงเสียทีคนเป็นแม่อย่างเปลวจึงได้เวลาหาอะไรกินเป็นมื้อเที่ยง แล้วจึงรีบมาเปลี่ยนผ้าปูเตียงประจำเดือนยังห้องพ่อแม่ เขาในตอนนี้ไว้ผมยาวลงมาจนสามารถถักเป็นเปียได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทีแรกด้วยความไม่ชินจึงมีความคิดที่จะตัดสั้นดังเดิม ทว่าก็ทำได้แค่คิดเพราะงานอะไรล้วนยุ่งไปหมด อยู่ไปอยู่มาก็ชินเสียแล้ว*แกร๊ก* เสียงกลอนประตูเปิดออก เปลวที่กำลังวุ่นอย
ผ่านมาหนึ่งปีถ้วนนับตั้งแต่คืนวันแต่งงาน ในช่วงเวลาที่ผ่านมาพี่ธรรศพาเขาไปพบสูติแพทย์อยู่เป็นประจำตามกำหนด หาหยูกยาบำรุงตามคำหมอมาต้มให้เขาดื่มทุกคืนก่อนนอน ไหนจะอาหารการกินอุดมสมบูรณ์เต็มตาเต็มโต๊ะยิ่งกว่าเก่า เขาที่ท้องสามแล้วจึงพอมีความคุ้นชินอยู่บ้าง และทราบว่าคนท้องพอทำอะไรเองได้ กระนั้นประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขากลับใช้ไม่ได้กับพี่ธรรศเจ้าตัวหวงเขาหนักหนา จากที่เขาตั้งใจว่าจะลงเรือนไปกินข้าวในครัว ไม่ต้องให้ใครเดินขึ้นเดินลงเพื่อเก็บจานของคนเพียงคนเดียวแต่พี่ธรรศขอปฏิเสธ เป็นคนอาสาเดินหยิบมื้อเช้ากลางวันเย็นกระทั่งขนมมื้อดึกขึ้นมาให้ทุกวี่ทุกวันและการที่ทำเช่นนั้นได้แปลว่าพี่ธรรศต้องแบกงานกระทั่งพาลูกค้ามาคุยที่เรือน เขาเคยพูดคุยขำ ๆ กับเรื่องนี้กับคุณเลขานุการอย่างพี่ม่วง อีกคนก็ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ เพราะต้องวางตารางใหม่ทั้งหมดข้ามวันข้ามคืนแทบไม่ได้นอน เขาจึงดุพี่ธรรศไปหนึ่งรอบจนต่อรองกันว่าจะไม่ฝืนธรรมชาติ ออกไปทำงานอย่างเป็นกิจจะลักษณะเป็นครั้งคราวคิดถึงอดีตที่ผ่านมาร่วมหลายเดือนก็กลั้วหัวเราะ อย่างไรเขาก็ไม่ได้มองนิสัยนี้ของพี่ธรรศไปในทาง
กลิ่นหอมสดชื่นของพานพุ่มใบตองโชยมาจากท้ายขบวน เสียงพูดคุยของเหล่าเครือญาติและมิตรสหายแว่วมาพร้อมรอยยิ้มแห่งความยินดีปรีดา เหล่าพานมงคลไล่เรียงขึ้นมามีผลไม้ ขนม สินสอด และแหวนฝังเพชรเม็ดงามสองวงตั้งเด่นบนพานดอกไม้ใบน้อย เป็นสองแฝดน้องชายผู้ถือพานต้นกล้วยลอบมองเจ้าบ่าวในชุดผ้าไทยซึ่งระริกระรี้เป็นพิเศษภูวธรรศยิ้มแก้มแทบปริ กำพานธูปเทียนแพรแน่นขนัด ตระเตรียมขบวนในการเดินไปหาน้องเปลวบนเรือนกรรณิการ์ ทั้งที่คิดว่าใกล้วันงานจะได้นอนพูดคุยกับน้องเปลวเสียอีกแต่ไม่เลย เพราะแม่ดันบอกว่าพวกเขาต้องนอนแยกห้องกันไม่แค่ ๑ วัน ๓ วันแต่นานถึง ๗ วัน! น้องเปลวขั้นต่ำก่อนแต่งมานอนกับเขาสัปดาห์ละสองหนเชียวนะแม่นอกจากห้ามนอนด้วยกันในขั้นตอนลองชุด หรือลองเครื่องประดับก็ห้ามมอง ยิ่งทำกงการอะไรสองต่อสองยิ่งไม่ได้เลยเชียว เขาคิดถึงใจจะขาดอยู่แล้วขณะภูวธรรศกำลังใคร่ครวญถึงแม่วัวอยู่นั้นเองเสียงกู่ร้องก็ดังขึ้นเป็นจุดเริ่มต้นตามด้วยเสียงกลองฉิ่งฉาบกรับฆ้องเป็นสัญญาณการเริ่มเดินขบวน พวกลูกน้องของเขาที่ได้วันหยุดมาหนึ่งวันก็คล้ายเป็นวันปล่อยผี เต้นกันไม่เกรงใจเจ้าบ่าวหน้าขบว
“อึก! อืออ...”ฝ่ามือสีน้ำผึ้งกำแน่นอยู่บนลาดไหล่กว้าง ส่งเสียงร้องครางอยู่ข้างใบหูพ่อเสือเมื่อสะโพกอวบกำลังถูกกดลงต่ำสวนทางกับแก่นกายยักษ์เต้นตุบที่เข้าปากทางย้อนขึ้นมากระทุ้งผนังอ่อนชวนให้รู้สึกจุกเสียว“เอ็ง...อึก...รัดแน่นเกินไปแล้ว”“อ๊ะ! พี่ อื้อ!”ภูวธรรศกัดฟันชะลอแรงเกรงว่าจะทำน้องเปลวเจ็บ กระนั้นภาพที่ฉายบนดวงตากลับเร่งเร้าเขาเสียอย่างนั้น แม่วัวหรี่ตามองน้ำตาคลอเบ้าขมวดคิ้วมุ่นพร้อมหน้าแก้มขึ้นริ้วแดงชวนมอง ด้วยความไม่รู้เนื้อรู้ตัวคมเขี้ยวที่คันมาแต่ไหนแต่ไรจึงไม่วายเข้าไปขบเม้มหน้าแก้มกลมกลึงเปลวด้วยความตกใจจึงตัวกระตุกกดสะโพกลงไปจนสุดโคน ปลายป้านกระแทกเข้าผนังอ่อนชนต่อมน้ำคาวอย่างจังจนส่วนหน้าเผลอเสร็จสมอย่างเป็นไปเอง แม่วัวหอบหายใจหนักก่อนจะขอเปลี่ยนแขนไปคล้องลำคอหนาบดเบียดอกอวบอ้อนขอรสจูบปลอบประโลมอีกครั้ง“อือ...”กลิ่นไม้กฤษณาตลบอบอวลอยู่ในโพรงจมูก มันไม่ได้ชวนอึดอัดจนหายใจไม่ออกหรืออยากจะถอนเรียวลิ้นออกเลยแม้แต่น้อย กลับหอมอย่างเข้มขลังดึงดูดให้เขาไม่สามารถหนีไปไหนได้อย่างแยบยล“เอ็งยังเจ็บอยู่ร