วัดกวงหวาจ้าวหรู่หลานนำกองทัพหลวงเข้าไปประจันหน้ากับกองทัพของหูย่วนเอ๋อร์“หูย่วนเอ๋อร์ เจ้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการ คิดแผนร้ายต้องการสังหารท่านประมุขแคว้น ข้าในฐานะที่มีอำนาจของผู้สำเร็จราชการนั้น จักประหารชีวิตเจ้าในทันที!”หูย่วนเอ๋อร์หัวเราะออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว“ข้าทำตามรับสั่งท่านประมุขให้เฝ้าระวังวัดกวงหวา ข้าทำสิ่งใดผิดกัน? จ้าวหรู่หลาน เจ้าต่างหากที่คิดวางแผนก่อกบฏ! แล้วก็พวกเจ้าแต่ละคนนั้น กลับสมรู้ร่วมคบคิดกับจ้าวหรู่หลานเพื่อก่อกบฏเช่นกัน! พวกเจ้าทำกับท่านประมุขเช่นนี้ได้อย่างไร!”แม่ทัพนายหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายจ้าวหรู่หลานนั้น หาได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมาไม่“หูย่วนเอ๋อร์ เจ้าที่คิดร้ายแล้วกลับมากล่าวหาผู้อื่นก่อน! หากเจ้ามิได้มีใจคิดคดจริง รีบให้พวกข้าเข้าไปด้านใน พวกข้าต้องการเห็นว่าฝ่าบาทปลอดภัยดีหรือไม่!”หูย่วนเอ๋อร์ที่ยืนเฝ้าปกป้องประตูใหญ่ของวัดกวงหวาอยู่นั้น พลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“ปล่อยให้พวกเจ้าเข้ามาหรือ? ฝันไปเถอะ!”ดวงตาของจ้าวหรู่หลานพลันแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชา ก่อนจะโบกมือสั่งการว่า“ยิงธนู!”กองทัพที่นางนำมานั้น มีจำนวนมากกว่าทหารของหู
ทหารฝ่ายจ้าวหรู่หลานที่ดึงลูกธนูออกมาเตรียมจะยิงนั้นจู่ ๆ พลันมีคนตะโกนขึ้นมาว่า“หยุดมือเดี๋ยวนี้!”จ้าวหรู่หลานมองไปทางต้นเสียงด้วยความสับสนทว่า นางกลับเห็นผู้คนมากมายถูกผลักออกมาจากประตูวัดกวงหวา เพื่อไล่พวกเขาให้ไปรวมตัวกับกลุ่มกบฏเหล่านั้นพวกเขาล้วนเป็นข้าราชบริพารของแคว้นซีหนี่ว์ทั้งนั้น!ข้าราชบริพารจำพวกบุ๊นบู๊ทั้งหลายนั้น ล้วนแต่ถูกจับมัดเอาไว้ดูเหมือนว่านี่จะเป็นฝีมือของซู่เฉียนเสวี่ยสตรีสารเลวผู้นั้น!สายตาของจ้าวหรู่หลานพลันเจือไปด้วยความเย็นชา“ซู่เฉียนเสวี่ย ท่านคิดว่าจับพวกเขามาเป็นตัวประกันเช่นนี้ ก็จักสามารถข่มขู่ข้าได้งั้นหรือ? ข้าจะบอกอะไรให้ ข้าจักสังหารพวกมันให้หมดเลย ! !”เมื่อเหล่าขุนนางเห็นท่าทางบ้าคลั่งของจ้าวหรู่หลานนั้น ทั้งหวาดกลัว ทั้งโมโหขึ้นมา“อ๋องผู้สำเร็จราชการ! ข้ามิคิดเลยว่าท่านจะเป็นคนแบบนี้!”“จ้าวหรู่หลาน เจ้าบังอาจกล้าวางแผนก่อกบฏ!”“หากท่านสังหารพวกข้าทั้งหมดนั้น ท่านจักเอาอันใดไปอธิบายให้กับผู้คนใต้หล้า! หากในราชสำนักไร้ผู้คนแล้วไซร้ ท่านจักได้ขึ้นเป็นท่านประมุขงั้นหรือ เหลวไหสิ้นดี!”จ้าวหรู่หลานบ้าไปแล้ว“พวกไร้ประโยชน์เช่น
เฟิ่งจิ่วเหยียนจ้องมองดูจ้าวหรู่หลานด้วยสายตาที่เย็นชา พร้อมด้วยนัยน์ตาที่ฉายแววความเป็นนักสู้ออกมาเคล็ดวิชาภูษาเหล็กหนึ่งในเคล็ดวิชาของใต้หล้านางอยากจะเห็นมันด้วยตาของตนเองยิ่งนักในทันใดนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนเพียงแค่ขยับฝ่าเท้าของตนเองเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งกายออกไปในทันทีจ้าวหรู่หลานยังคงยืนแน่นิ่งอยู่กับที่ราวกับอาชา พลางกลั้นหายใจก่อนจะตั้งสมาธิขึ้น เพื่อรวบรวมกำลังภายในของตนเองไว้เกร็งกล้ามเนื้อทั้งหมดขึ้นมา พลางแปรเปลี่ยนร่างกายของนางให้กลายเป็นกำแพงเหล็กเฟิ่งจิ่วเหยียนโจมตีออกไปด้วยเพลงหมัด ทว่า หาได้ทำอันใดต่อคู่ต่อสู้ของนางได้ไม่“รับหอกไป!” ประมุขแคว้นซีหนี่ว์รู้ว่านางเก่งกาจในการใช้เพลงหอก ดังนั้นพระนางจึงโยนอาวุธของตนเองส่งไปให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเฟิ่งจิ่วเหยียนรับหอกเอาไว้ด้วยมือหลัง ก่อนจะเอ่ย “ขอบคุณ” ออกมาโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไปมองใบหน้าของจ้าวหรู่หลานเริ่มมืดครึ้มลงเรื่อย ๆ นางพลางเหยียดแขนไปข้างหน้าก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งหอกแทงเข้าที่ไหล่ของจ้าวหรู่หลาน ทว่า ก็ยังมิสามารถทำอันตรายอันใดกับนางได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มร่ายกระบวนท่าของตนเองขึ้นมา ก่
เฟิ่งจิ่วเหยียนลอยขึ้นไปบนอากาศ ก่อนจะใช้เท้าของตนเองที่ดูวุ่นวายมิเป็นระบบ แท้จริงแล้วนั่นคือเร็วไวของเท้าที่เตะลงมาที่คู่ต่อสู้อย่างบ้าคลั่งหากว่าวิชาตัวเบาเก่งกาจนั้น ฝีเท้าย่อมมิมีทางย่ำแย่ยิ่งไปกว่านั้น วิชาตัวเบาของเฟิ่งจิ่วเหยียนยังยอดเยี่ยมมากอีกด้วยด้วยความว่องไวของเฟิ่งจิ่วเหยียนนั้น จ้าวหรู่หลานมิอาจป้องกันได้แม้แต่น้อย สองมือของนางมิอาจป้องกันการโจมตีเหล่านั้นได้ ทั้งยังต้องคิดถึงการทรงตัวให้มั่น เวลาเดียวกันก็ต้องคิดหาทางถอยให้กับตนเองยามที่กำลังพัวพันกับการต่อสู้นั้น ใบหน้าของจ้าวหรู่หลานถูกเตะเข้าที่ใบหน้าหลายครั้ง ทำให้ใบหน้าของนางฟกช้ำบวมเป่งขึ้นมาในทันทีเฟิ่งจิ่วเหยียนลงมาบนพื้น พร้อมสะบัดอาภรณ์ของตนเองไปอีกฝั่งหนึ่ง มืออีกข้างไพล่หลังเอาไว้ ก่อนจะยื่นมืออีกข้างมาด้านหน้า พลางชี้นิ้วก่อนจะกระตุกยั่วยุให้จ้าวหรู่หลานเข้ามาโจมตีตนเองเลือดสองสายไหลออกมาจากจมูกของจ้าวหรู่หลานในทันทีนางยกแขนขึ้นมา ก่อนจะใช้แขนเสื้อของตนเองเช็ดไปยังเลือดกำเดาที่ไหลออกมา แววตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตนั้นจ้องเขม็งไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียน ลำคอพลันร้อนผ่าวออกมา“เจ้าเป็นใครกัน?”องครั
ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มองดูเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างสงบ ท่าทีหาได้แตกต่างกันไม่ ทว่าน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าปกติ “อีกสักครู่ตามเรากลับวัง เราจะให้หมอหลวงตรวจดูให้ดี” เฟิ่งจิ่วเหยียนไปปฏิบัติภารกิจลับที่แคว้นซีหนี่ว์ นอกจากประมุขแคว้นกับมั่วซินหมัวมัวคนสนิทแล้ว หาได้มีผู้ใดในแคว้นซีหนี่ว์รู้ตัวตนของนางไม่ ต่างก็คิดเพียงว่านางเป็นองครักษ์ข้างกายของประมุขแคว้น ได้รับน้ำใจจากประมุขแคว้นเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงคิดจะปฏิเสธอย่างสุภาพ ทว่า นางกำลังจะเปิดปากเอ่ย มั่วซินหมัวมัวกลับขอคำชี้แนะก่อนแล้ว “ท่านประมุขแคว้นเพคะ ขุนนางเหล่านั้น...” ประมุขแคว้นทอดสายตามองไปที่เหล่าขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นที่ถูกจับกุมไว้ เมื่อครู่ที่จ้าวหรู่หลานกำลังจะสั่งยิงธนูเพื่อสังหารทุกคนทิ้ง นางก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนก่นด่าจากคนกลุ่มหนึ่ง ที่ดังมาจากพวกเขาทั้งหมด“จับกุมจ้าวหรู่หลานและพรรคพวกทั้งหมดไว้ คนอื่นที่เหลือ ให้คุ้มกันกลับบ้านอย่างปลอดภัย” “น้อมรับพระบัญชา!” ทันใดนั้น กลุ่มกบฏที่รู้ว่าตนเองกำลังตกอยู่ในหายนะก็พลันคุกเข่าร้องขอความเมตตา “ท่านประมุขแคว้นโปรดไว้ชีวิตด้วย!” “
พระราชวังแห่งแคว้นซีหนี่ว์ ณ ห้องโถงด้านข้างของตำหนักเทียนเจ๋อ มีองครักษ์เงาหลายคนเฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนัก โดยมีหมอหลวงกำลังวินิจฉัยอาการของเฟิ่งจิ่วเหยียน อยู่ด้านในตำหนัก นางได้รับบาดเจ็บภายในเพียงเล็กน้อย โชคดีที่มิได้บาดเจ็บสาหัส ครั้นหมอหลวงออกไปแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนอยากจะลุกขึ้นบ้าง กลับถูกประมุขแคว้นซีหนี่ว์กดไหล่ไว้ “อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวนัก ประเดี๋ยวเราจะสั่งให้คนมาทายาสลายเลือดคั่งและช่วยให้เลือดหมุนเวียนแก่เจ้า” เฟิ่งจิ่วเหยียนผงกศีรษะเบา ๆ “ขอบพระทัยท่านประมุขแคว้นเพคะ” ประมุขแคว้นซีหนี่ว์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เราต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า หากมิได้เจ้าช่วยชี้แนะ เกรงว่าด้วยแผนการของเรา จักทำให้เหล่าทหารผู้บริสุทธิ์จำนวนมากจักต้องพลีชีพ “เวลานี้จำนวนผู้เสียชีวิตลดน้อยลง และยังสามารถกำจัดจ้าวหรู่หลานกับซู่ยวนตัวปลอมได้อย่างชอบธรรม การยิงธนูดอกเดียวได้นกสามตัว ช่างดีนัก” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยเตือนนาง “จ้าวหรู่หลานยืนกรานที่จะผนึกกำลังกับแคว้นตงซานเพื่อทำลายหนานฉี เกรงว่าได้รับผลประโยชน์จากแคว้นตงซานไม่น้อย “เพื่อมิให้ผิดพลา
เฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองชายหนุ่มรูปงามที่เต็มไปด้วยความคาดหวังเหล่านั้น “ก่อนที่จะสังหารพวกเขาทิ้ง ให้ทิ้งยาไว้เสีย” หนุ่มรูปงามทั้งหลาย : ! ผู้มีพระคุณอำมหิตเกินไปแล้ว! พวกเขาต่างก็กำลังจะตาย นางกลับสนใจแต่เรื่องยา! มั่วซินหมัวมัวขมวดคิ้วเบา ๆ ดูเหมือนว่า แม่ทัพน้อยเมิ่งผู้นี้จักมิใช่ลุ่มหลงในรูปงาม…… เหล่าองครักษ์เงาที่คอยอารักขากลางแจ้งฉายแววตาที่เฉียบคม ขณะที่จ้องมองบุรุษรูปงามที่ถูกไล่ออกมาเหล่านั้น แววตามีแต่กลิ่นอายสังหาร เพียงทำเช่นนี้ หมายจะยั่วยุฮองเฮาของพวกเขาอย่างนั้นหรือ? สมควรตาย! เหล่าองครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่ก็เห็นฉากนี้เช่นกัน ต่างก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “พี่รอง ประมุขแคว้นซีหนี่ว์คิดจะทำอันใดกันแน่?” หยิ่นเอ้อร์คาบหญ้าหางสุนัขไว้ในปาก พลางเอ่ยเหน็บแนม “ยังจะทำอันใดได้อีกเล่า นางคิดจะรั้งตัวฮองเฮาไว้!” “ว่าอันใดนะ?!” ทันใดนั้นเหล่าองครักษ์เงาต่างก็รู้สึกว่าหายนะกำลังจะบังเกิด หากประมุขแคว้นซีหนี่ว์ทำสำเร็จแล้วไซร้ ฝ่าบาทของพวกเขาจักทำเช่นไร? โชคดีที่ฮองเฮาต้านทานสิ่งเย้ายวนใจได้ หาได้ยอมรับบุรุษเหล่า
ถึงแม้เฟิ่งจิ่วเหยียนจะสั่งให้เหล่าองครักษ์เงาถอยออกไป พวกเขาก็หาได้เคลื่อนไหวไม่ ประมุขแคว้นซีหนี่ว์รับสั่งกับองครักษ์เงาของตนเอง “ถอยออกไป” เมื่อนางออกคำสั่ง องครักษ์เงาทั้งหมดก็หายตัวไปทันที เหลือเพียงมั่วซินหมัวมัวอยู่ข้างกาย ประมุขแคว้นก็หาได้หวาดหวั่นไม่ นางมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียน พลางเอ่ยยั่วยุอย่างแนบเนียน “ดูเหมือนว่า พวกเขาเชื่อฟังเจ้าอย่างผิวเผิน แท้จริงยังเชื่อฟังคำสั่งของฮ่องเต้ฉีสุดหัวใจ และดูแลเจ้าในนามของเขา ถึงแม้เจ้าจะเต็มใจอยู่ในแคว้นซีหนี่ว์ต่อไป ก็จักถูกพวกเขาลักพาตัวกลับไปที่หนานฉีอยู่วันยังค่ำ” หยิ่นซานกังวลเล็กน้อย “ฮองเฮา คือพวกกระหม่อม...” เฟิ่งจิ่วเหยียนเมินเฉยต่อคำแก้ตัวของหยิ่นซาน นางก้าวไปข้างหน้า และเอ่ยกับประมุขแคว้นซีหนี่ว์อย่างสงบเยือกเย็น “ท่านมิต้องพยายามเอ่ยยุแยงหรอกเพคะ “ศัตรูต่างแคว้นคืบคลานเข้ามาทุกที เราควรจะสามัคคีกันไว้ แทนที่จะทำเรื่องไร้ประโยชน์เช่นนี้” ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ส่ายศีรษะอย่างเสียดาย “ในที่สุดก็มีอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน เรายังคิดว่า แม่ทัพน้อยเป็นสตรีที่มีความทะเยอทะยาน ไม่
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้
ขณะที่องค์หญิงเซี่ยนอี๋กำลังถือพู่หยกอย่างพึงพอใจ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็บีบคอของนาง จนโซ่ที่ล่ามไว้ส่งเสียง“อึก!” นางพลันเบิกตากว้างไหนเสด็จพี่สี่บอกว่า ฮ่องเต้ฉีสูญเสียพลังภายในไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?เดิมทีเซียวอวี้คิดจะให้ความร่วมมือนาง เพื่อให้นางช่วยตัวเองหนีออกไปจากที่แห่งนี้ทว่า เขาประเมินความอดทนของตัวเองไว้สูงเกินไปเขาทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ!นางกล้าเอาพู่หยกนั้นไป!หลังจากเซียวอวี้บีบคอนาง นางก็พยายามชูพู่หยกไปด้านหลัง ไม่ยอมคืนให้เขาแต่ด้วยแรงมือของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ นางใกล้หมดลม แขนจึงหลุบลงเช่นนี้ เซียวอวี้จึงแย่งพู่หยกกลับมาได้ จากนั้นก็สะบัดนางออก ราวกับเพิ่งจับสิ่งของสกปรกมา ทั้งยังพูดอย่างไม่รักษาน้ำใจ“ไสหัวไป!”องค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้รับความรักมาตั้งแต่เด็ก ไฉนเลยจะเคยถูกดูแคลนขนาดนี้นางไม่ยอม จึงจ้องเซียวอวี้ตาเขม็ง“ท่านจะต้องเสียใจ! นอกจากข้า ก็ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าออกไปจากที่นี่ได้!”เซียวอวี้ไม่สนใจนางอีกหากเพื่อหนีออกไป แล้วต้องร่วมเออออห่อหมกไปกับผู้หญิงคนนี้ เขากลัวสกปรกองค์หญิงเซี่ยนอี๋ถูกทำลายศักดิ์ศรี ลุกขึ้น แล้วยิ้มเยาะ“ท่านลำพองใจอะไรนัก? เป็
องค์ชายสี่อ่านความคิดขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ออก จึงมีสีหน้าเคร่งขรึม“คนที่ขังอยู่ในนั้นคือใคร เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ต่อให้เสด็จพ่อจะตามใจเจ้าแค่ไหน ก็ไม่มีทางมอบเขาให้เจ้าแน่ เซี่ยนอี๋ เจ้าเลิกคิดเถิด”“หากท่านไม่บอก พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก!” องค์หญิงเซี่ยนอี๋กอดอก พูดข่มขู่องค์ชายสี่กลัวเหลือเกินว่านางจะมาสร้างเรื่องวุ่นวายยัยเด็กนี่ดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ถึงเป้าหมายก็จะไม่ยอมหยุดครุ่นคิดอยู่นาน องค์ชายสี่ก็ตัดสินใจบอกนาง“นั่นคือฮ่องเต้ฉี คนที่เสด็จพ่อใช้ความพยายามอย่างมากในการจับตัวมา”ให้นางรู้ถึงตัวตนของคนผู้นั้น นางจะได้หวาดกลัวองค์หญิงเซี่ยนอี๋เบิกตาอ้าปากค้างในทันที จากนั้นใบหน้าก็ก่อเกิดริ้วแดง“เขาคือ…”นางไม่อยากจะเชื่อชื่อเสียงของฮ่องเต้หนุ่มจากหนานฉี นางเคยได้ยินมาเป็นเวลานานแล้วครั้งนี้ได้มาเจอ ช่างหล่อเหลาโดดเด่นอย่างที่ร่ำลือกันไม่มีผิดดูดีกว่าบรรดาราชบุตรเขยที่เสด็จพ่อให้นางเลือกเสียอีกและยังเป็นคนน่าเกรงขามถึงเพียงนั้น…องค์หญิงเซี่ยนอี๋จับชายเสื้อขององค์ชายสี่อย่างตื่นเต้น “เสด็จพี่ เสด็จพี่คนดีของข้า ข้ารับรองว่าจะไม่ทำเรื่องสำคัญของท่านกับเสด็จพ่อเ
วังหลังเหล่าสนมต่างเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับราชสำนักส่วนหน้ามาบ้าง“ฮองเฮาจะให้เด็กเล็กขนาดนั้นขึ้นครองราชย์จริงหรือ? ช่างเละเทะเสียจริง!”“เห็นได้ชัดว่าหวังเพื่อควบคุมโอรสสวรรค์!”“นี่ก็เป็นส่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มิใช่หรือ ในเมื่อเหล่าขุนนางต่างพากันกดดันอย่างหนัก และยังมีทายาทในราชวงศ์ที่ไม่อยู่นิ่งอีกด้วย…”“ใช่สิ หากฮองเฮาไม่ทำเช่นนี้ พวกเราก็จะเดือดร้อนด้วย หากมีฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งแรกที่จะทำต้องเป็นการจัดวังหลังใหม่เป็นแน่”พวกนางกังวลเกี่ยวกับผลสรุปของราชสำนักส่วนหน้าหลังจากรอคอยอยู่หนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มีขันทีมารายงาน——องค์ชายน้อยได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกรสำเร็จแล้ว แต่ยังมีคนยึดติดเรื่องฝาแฝดไม่ยอมปล่อยวาง บังคับให้ฮองเฮาต้องสังหารองค์ชายอีกองค์ทิ้งเมื่อเหล่านางสนมได้ยิน ก็เริ่มเป็นห่วงฮองเฮาขึ้นมาในฐานะเป็นแม่ จะทำใจทิ้งลูกแท้ ๆ ได้อย่างไร?ขุนนางใหญ่เหล่านั้นทำมากเกินไปแล้ว!ทว่า ฝาแฝดก็เป็นปัญหาจริง ๆ ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะรับมืออย่างไรไม่นาน ก็มีขันทีมารายงานอีก“พระนางทุกท่าน เหล่าขุนนางได้สลายตัวแล้ว!”นางสนมทั้งหลายแปลกใจอย่างมากทำไมสลายต
เฟิ่งจิ่วเหยียนอุ้มลูก ยืนอยู่บนที่สูง แววตาสุขุมแน่วแน่“หากข้าอยากว่าราชการหลังม่าน แล้วเหตุใดจะไม่ได้?”เมื่อคำนี้พูดออกมา ทุกคนต่างส่งเสียงเกรียวกราว“ฮองเฮา ท่านก็ไม่ต่างอะไรกับให้แม่ไก่มาขันในตอนเช้า นั่นฝ่าฝืนกฎเกณฑ์!”“ขออภัยกระหม่อมขอคัดค้าน!”ไทฮองไทเฮามีสีหน้าโรยรา มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียน แล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอาฮองเฮาทำเช่นนี้ มันเสี่ยงมากเกินไปพูดตรงขนาดนี้ ขุนนางคนไหนจะยอมรับได้?เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น จึงวางองค์ชายลงบนบัลลังก์“ไม่ต้องกล่าวถึงว่าฝ่าบาทยังไม่เสด็จสวรรคต ถึงแม้ว่าท่านเป็นอะไรไปจริง ๆ ก็ยังมีองค์ชายสืบราชบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงเวลาสำหรับทุกท่านหรอก“วันนี้พวกเจ้าต่างพูดกันเซ็นแซ่ ราวกับอยากวางแผนชิงบัลลังก์เลยนะ!”ทหารคนหนึ่งโต้กลับไปอย่างฮึกเหิม“ฮองเฮา พวกกระหม่อมบริสุทธิ์ใจ กลับถูกท่านหยามเกียรติเช่นนี้! พวกกระหม่อมไม่ยอม!”ท่านอ๋องผู้หนึ่งมองไปทางไทฮองไทเฮา“เสด็จย่า ท่านพูดอะไรบ้างสิ!”เด็กทารกจะไปทำอะไรได้? คุ้มครองแผ่นดินไหวหรือ?จู่ ๆ ไทฮองไทเฮาก็บอกว่าปวดหัว แล้วให้สาวใช้ประคองตัวเองออกไปเหล่าท่านอ๋องต่
แคว้นหนานฉีณ เมืองหลวงเรื่องที่ฮองเฮากลับวัง และให้กำเนิดฝาแฝด ใต้หล้าต่างรู้กันถ้วนหน้าอย่างรวดเร็วในวังหลวง ไทเฮาทั้งดีใจที่องค์ชายถือกำเนิดขึ้นมา ทั้งกังวลเรื่องฝาแฝดนางเรียกฮองเฮามาที่ตำหนักฉือหนิง ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดกับอีกฝ่าย“หากราชวงศ์มีฝาแฝด โดยเฉพาะองค์ชาย เช่นนั้นก็ต้องส่งคนหนึ่งออกไปนอกวัง“ฮองเฮา ข้ารู้ ไม่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือล้วนคือเลือดเนื้อ แต่เพื่อราชวงศ์ เจ้าต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”ขนาดตอนนั้นตระกูลเฟิ่งมีลูกแฝดยังทอดทิ้งหนึ่งคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชวงศ์ใบหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ กล่าวเหมือนไม่ได้ยิน“เด็กทั้งสองคน จะไม่มีใครถูกส่งออกไปทั้งนั้น”เซียวอวี้เองก็เคยพูด เขาจะปกป้องลูกของตัวเองไทเฮารู้เป็นอย่างดีว่าการเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่กฎก็เป็นเช่นนี้“ฮองเฮา อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย แม้นข้าจะยินยอม ขุนนางใหญ่เหล่านั้นก็คงไม่ยอมอยู่ดี“วันนี้อยากให้เจ้าเตรียมพร้อม“สุดท้ายเจ้าก็ต้องตัดสินใจ”วังหลังเหล่านางสนมรวมตัวกัน ต่างคนต่างมีความคิดแตกต่างกัน“มีคนบอกว่าฝ่าบาทเกิดเรื่อง จริงหรือไม่?”“มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่อ
เซียวอวี้ที่ยังคงคอพับไร้เรี่ยวแรง ยกยิ้มเย็นที่มุมปากอย่างถากถางเขาไม่พูดอะไร ท่าทางทะนงองอาจคนที่อยู่ตรงหน้าแนะนำตัว “ข้าคือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเป่ยเยี่ยน ครั้งนี้มาเป็นตัวแทนของเสด็จพ่อ เพื่อแสดงไมตรีในฐานะเจ้าบ้านต่อฮ่องเต้หนานฉี”เมื่อองค์ชายสี่มองส่งสัญญาณ ข้ารับใช้ก็นำอาหารเข้ามาเซียวอวี้ไม่แม้แต่จะมององค์ชายสี่มีความอดทน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม“ฮ่องเต้หนานฉี พวกเราแคว้นเป่ยเยี่ยนเชิญท่านมาเป็นแขกด้วยความจริงใจ“เพียงแต่ข้างนอกอันตรายเกินไป จึงได้แต่จัดให้ท่านอยู่ที่นี่“ท่านวางใจเถิด รอให้แคว้นเป่ยเยี่ยนขับไล่กองทัพแคว้นหนานฉีออกไปจนได้ดินแดนที่สูญเสียไปคืนมา ย่อมปล่อยตัวท่านกลับไป”ริมฝีปากบางของเซียวอวี้ยิ้มเยาะเบา ๆพูดเสียดูดี ที่จริงก็แค่เอาเขาเป็นตัวประกัน ทำให้กองทัพแคว้นหนานฉีต่อต้านไม่ได้ก็เท่านั้นองค์ชายสี่เห็นเขาเยือกเย็นเพียงนี้ จึงขอตัวไปก่อนทว่าเมื่อออกมาด้านนอก องค์ชายสี่ก็พูดอย่างเย้ยหยัน“ตกเป็นเชลยแล้วยังจะโอหังเพียงนี้!”ที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายเขาพูด“องค์ชาย ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่าน ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ได้ยินว่าฮ่องเต้หนานฉีผ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองภาพรวมเป็นสำคัญ จึงต้องกลับแคว้นหนานฉีก่อนอู๋ไป๋วิตกกังวล“ท่านประมุข กระหม่อมกลัวว่านักฆ่าพวกนั้นจะลงมือกับท่านด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าท่านประมุขเพิ่งจะคลอดลูก จะทนรับแรงสั่นสะเทือนจากการเดินทางได้เช่นไร?สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา“กลับแคว้นหนานฉี”ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ต้องกลับไปกลัวก็กลัวแต่ เป้าหมายของนักฆ่าพวกนั้นคือก่อกวนแคว้นหนานฉี นางจะปล่อยให้พวกเขาสมหวังไม่ได้เด็ดขาดก่อนที่จะตามหาเซียวอวี้เจอ นางจะต้องช่วยเขาปกป้องแคว้นหนานฉีเอาไว้ให้ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจัดการเรื่องในแคว้นซีนี่ว์ไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงว่าจะจัดการขับไล่กองทัพแคว้นเป่ยเยี่ยนอย่างไร ไปจนถึงผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นคนใหม่ด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ประมุขคนใหม่ใช้อำนาจอย่างเผด็จการ นางจึงจัดตั้งนโยบายสามประมุขขึ้นในบรรดาสามคนนี้ มีคนหนึ่งเป็นบุรุษทำเช่นนี้จะได้ปลอบโยนเหล่าบุรุษในแคว้นซีนี่ว์ ป้องกันไม่ให้พวกเขาสร้างเรื่องวุ่นวายอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนออกเดินทางกลับแคว้นหนานฉีอย่างรวดเร็วแม้ว่าหูย่วนเอ๋อร์จะตัดใจไม่ลง ทว่านางก็รู้ดีถึงความเร่งด่วนในเรื่องนี้
ประตูตำหนักเปิดออก นางกำนัลเดินออกมาจากด้านในแล้วพูดกับหูย่วนเอ๋อร์: “ท่านแม่ทัพ ท่านประมุขคลอดองค์ชายพระองค์หนึ่งออกมาอย่างปลอดภัยเพคะ”ที่แคว้นซีหนี่ว์ มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขได้ ดังนั้นองค์ชายผู้นี้จึงไม่เป็นที่ต้องการทว่าหูย่วนเอ๋อร์ยังคงรู้สึกขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง“องค์ชายก็ดี ปลอดภัยก็ดีแล้ว”ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์เพิ่งจะพูดจบ หมอตำแยข้างในก็ร้องตะโกนอย่างตกใจ“ยังมีอีกพระองค์หนึ่ง!”ที่แท้ท่านประมุขก็ทรงตั้งครรภ์ฝาแฝดนี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนแววตาหูย่วนเอ๋อร์มีความยินดีและการเฝ้ารอพาดผ่านหวังว่าจะเป็นแฝดชายหญิงหากเป็นองค์หญิง อนาคตย่อมสามารถสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นได้ภายในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกไม่ถึงว่าคลอดออกมาแล้วคนหนึ่ง แล้วยังมีอีกคนโชคดีที่นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังใช้แรงไปไม่หมดก่อนหน้านี้เป็นเพราะตำแหน่งครรภ์ไม่ตรงจึงคลอดยากคนที่สองนี้กลับคลอดง่ายกว่ามาก ทว่าตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้สึกอะไรแล้ว นางเจ็บปวดจนชาไปหมดแล้ว ร่างกายส่วนล่างบวมเสียจนเหมือนว่าเนื้อส่วนนั้นไม่ใช่ของนางอีกต่อไปจนกร