เมื่อได้รับรู้ว่าไม่สามารถใช้ยาระงับปวด ในใจกุ้ยเฟยพลิกผันไปด้วยความเกลียดชังเฟิ่งเวยเฉียงนังสารเลวคนนั้น! ตั้งใจเอายาระงับปวดหัวที่มีปัญหาให้กับนาง ทำให้นาง...เดิมก็เจ็บปวดทรมานอยู่แล้ว บวกกับอารมณ์กระตุ้นที่รุนแรงนี้ ทำให้กุ้ยเฟยหน้ามืด หมดสติไปอีกครั้ง“พระนาง!” ชุนเหอร้องเรียกขึ้นมาอย่างตกใจพวกหมอหลวงแต่ละคนล้วนตกอยู่ในอาการหวาดระแวงยาวิเศษรักษาอาการปวดหัวในตอนนั้น พวกเขาเคยตรวจสอบแล้ว ซึ่งไม่มีปัญหาอะไร จึงให้กุ้ยเฟยใช้สุดท้ายจนถึงวันนี้กุ้ยเฟยได้รับบาดเจ็บ ยามที่ต้องการใช้ยาหมาฝู่ส่าน ทันใดนั้นกลับพบว่า เมื่อใช้ยาหมาฝู่ส่าน ชีพจรของกุ้ยเฟยมีอาการถูกพิษทันทีจากนั้นจึงได้สืบรู้ว่า ยาระงับปวดหัวที่กุ้ยเฟยทานปกตินั้นมีปัญหาเมื่อจัดการบาดแผลให้กุ้ยเฟยแล้วเสร็จ พวกหมอหลวงจึงไปขอประทานโทษจากฝ่าบาทด้วยกัน“ฝ่าบาท พวกกระหม่อมบกพร่องในการตรวจสอบ จึงละอายใจที่จะอยู่ในสำนักหมอหลวงต่อไป!”สายตาเซียวอวี้เยือกเย็นไม่สามารถตรวจพบว่าในยาระงับปวดหัวนั้นมียาจู้หุนส่าน ถือเป็นความผิดของหมอหลวงพวกนี้จริงนี่ยังเป็นเพียงยาจู้หุนส่าน หากเป็นยาพิษร้ายแรงถึงชีวิต จะยิ่งไม่สามารถรักษาไ
การแข่งขันขี่ม้าโปโลจบลงอย่างรีบร้อน พวกนางสนมต่างกลับตำหนักของตนเองกุ้ยเฟยบาดเจ็บสาหัส พวกองครักษ์ใช้ไม้ไผ่ผูกเป็นเปลหาม พร้อมหามนางกลับตำหนักหลิงเซียวอย่างระมัดระวังระหว่างการเดินทาง กุ้ยเฟยเจ็บปวดทรมาน ร้องโอดอวยไม่หยุดหนิงเฟยมองดูอยู่ไกลๆ พร้อมเยาะเย้ยอย่างสะใจ“นางอยากโดดเด่นมากไม่ใช่หรือ วันนี้ให้นางได้สมใจแล้ว”สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นมาอย่างยินดีว่า“วันนี้ช่างอันตรายจริงๆ โชคดีที่พระนางไม่ได้ร่วมการแข่งขันขี่ม้าโปโล”หนิงเฟยหันหน้าไปอย่างหยิ่งผยอง“การแข่งขันขี่ม้าโปโลอะไรกัน เป็นเพียงเวทีแย่งชิงความโปรดปรานของพวกนางสนม ดูสิ นั่นไม่ใช่นางสนมเจียงหรือ?”นางสนมเจียงเดินมาใกล้ พร้อมถวายความเคารพหนิงเฟย“หม่อมฉันถวายความเคารพหนิงเฟย”หนิงเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมพูดขึ้นมาว่า “สีหน้านางสนมเจียงย่ำแย่ขนาดนี้ คงตกใจไม่น้อย ปกติเจ้าสนิทสนมกับกุ้ยเฟย ตอนนี้นางบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ไม่ได้ไปดูหรือ?”หลังจากที่กุ้ยเฟยตกม้า นางก็รีบไปดูทันทีแล้ว บาดแผลนั่นน่าหวาดกลัวอย่างมาก! ตอนนี้นางสนมเจียงหวนคิดขึ้นมา ก็ยังสีหน้าขาวซีด ในใจหวาดผวานางถวายความเคารพอีกครั้ง พร้อมพูดตอบอ
บนแผ่นกระดาษเขียนว่า...[คืนนี้มีธุระ ไม่ต้องรอ]เสี่ยวลู่จื้อทำงานอยู่ในวังมานานหลายปี มองก็ดูออกว่า ลายมือบนกระดาษนั้น เป็นของฝ่าบาทเพียงแต่ฝ่าบาททิ้งข้อความไว้ให้ใคร?เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากขบวนเสด็จออกมาจากตำหนักหลิงเซียว เสี่ยวลู่จื้อนำเรื่องนี้ไปทูลกุ้ยเฟยสีหน้ากุ้ยเฟยแข็งทื่อ“หรือว่า ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาทไปทุกคืน ก็คือตำหนักฉางสิ้น? ใครรอฝ่าบาทอยู่ที่นั่น ผู้ชายหรือว่าผู้หญิง พวกเขา...พวกเขาทำอะไรกันในทุกคืน”ชุนเหอรีบพูดเกลี้ยกล่อมนางว่า“พระนาง ท่านอย่าร้อนใจ”“อาจจะมีเรื่องสำคัญ”“ฝ่าบาทกำลังแอบสืบสวนขุนนางบางคนอยู่ จึงมีคนมากราบทูลรายงานทุกคืน...”คำพูดเช่นนี้ ชุนเหอเองก็ค่ยังไม่อยากเชื่อเลยกุ้ยเฟยจะไม่ร้อนใจได้อย่างไรสีหน้าของนางขาวซีด“หัว...ข้าปวดหัวมาก เอายามา!”อาการปวดหัวของกุ้ยเฟยกำเริบชุนเหอกำลังคิดจะไปเอายา ทันใดนั้นก็คิดขึ้นมาได้ เมื่อวานหมอหลวงพูดว่า ยานั้นใช้ไม่ได้อีกต่อไป จึงนำไปทำลายหมดแล้วแต่ตอนนี้พระนางปวดหัวอย่างมาก ควรจะทำอย่างไรดี?“รีบไปตามหมอหลวงมา”กุ้ยเฟยไม่เพียงปวดหัว นางรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัวหลังจากตกม้า เหมือนอวัยวะภายในของ
รุ่ยอ๋องเป็นคนสุภาพอ่อนโยน มีความเมตตากับคนทั่วไป สองวันมานี้เขาก็ได้สืบสวนอุบัติเหตุในสนามแข่งโปโล พวกบ่าวรับใช้ในสนามม้าหลวง ส่วนใหญ่ล้วนบอกเล่าให้เขาฟังทุกอย่าง“กระหม่อมสืบได้ความว่า งานจัดเตรียมสถานที่นั้น เดิมเป็นอีกคนหนึ่ง แต่เพราะคนนั้นป่วยอย่างกะทันหัน จึงมอบหมายให้กับคนอื่น”“รับผิดชอบจัดเตรียมสถานที่ในวันนั้น คือขันทีหวังเทียนไห่”“หลังจากเกิดเรื่อง เขายืนยันว่าหินกรวดพวกนั้นมาจากไหนไม่รู้ ยังพูดว่าเคยได้ยินเสียงขนของกลางดึก พยายามสร้างความสับสน”“ความจริงแล้ว มีคนเห็นกับตา ก่อนการแข่งขันขี่ม้าโปโลหลายวัน หวังเทียนไห่กลับค่ำทุกคืน และไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปใกล้สนามแข่งโปโล”“ซึ่งแสดงให้เห็นว่า บุคคลผู้นี้มีความน่าสงสัย”รุ่ยอ๋องไม่มีอำนาจจัดการเรื่องต่างๆ ภายในวังได้ ดังนั้นจึงต่อให้รู้เบาะแสพวกนี้ ก็ทำได้เพียงมากราบทูลฮ่องเต้ก่อนหลังจากเซียวอวี้รับรู้แล้ว ก็รีบรับสั่งเฉินจี๋“ไปจับกุมตัวหวังเทียนไห่มา แล้วสอบสวนอย่างเข้มงวด”“น้อมรับพระบัญชา!”แต่เมื่อเฉินจี๋ได้มาถึงสนามม้าหลวงแล้ว ก็เห็นหวังเทียนไห่ถูกองครักษ์จับกุมตัวไว้แล้วองครักษ์พวกนั้นเป็นคนของตำหนักหย่งเหอ
ข้างนอกห้องที่หวังเทียนไห่อยู่ มีองครักษ์สองคนเฝ้าอยู่เมื่อถึงตอนค่ำ มีนางกำนัลคนหนึ่งเอาอาหารมาส่งพวกองครักษ์เห็นว่ามีสุราเพิ่มมาหนึ่งชุด ก็แปลกประหลาดใจนางกำนัลพูดอธิบายว่า “ฮองเฮาตรัสว่า พวกเจ้าเฝ้าเวรยามมีความดี สิ่งนี้ประทานให้กับพวกเจ้า”พวกองครักษ์รีบรับเอาสุรามา พร้อมพูดขึ้นว่า “ขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงประทานให้!”ทว่าเมื่อดื่มสุราลงคอหลายคำ ก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาตูม!ตูม!ตามด้วยเสียงล้มดังขึ้นมาสองที พวกองครักษ์ก็ล้มกองลงบนพื้นจากนั้น นางกำนัลที่นำอาหารมาส่งก็ปรากฏตัว พร้อมเข้าไปในห้องหวังเทียนไห่ที่นอนหลับแล้ว ตกใจตื่นเพราะเสียงนี้“เจ้าเป็นใคร!”จากนั้นก็เห็นคนที่มา เอากริชเล่มหนึ่งออกมานางกำนัลคนนั้นกำลังจะลงมือ ข้างนอกก็มีไฟสว่างขึ้นมาทันทีหวังเทียนไห่กัดฟัน“รีบไป! เจ้าหลงกลแล้ว!”เพิ่งพูดเสร็จ องครักษ์หลายคนพุ่งเข้ามา ล้อมรอบทั้งสองคนไว้หวังเทียนไห่เห็นท่าไม่ดี แย่งเอากริชในมือนางกำนัลมาอย่างรวดเร็ว แล้วก็แทงอกนางเข้าอย่างจังนางกำนัลคนนั้นเบิกตาโต ไม่นานก็ขาดใจตายหวังเทียนไห่ตะโกนพูดขึ้นมาว่า“มีนักฆ่า! ข้าฆ่าตายแล้ว!”เวลานี้ เฟิ่งจิ่วเหยีย
จักรพรรดิพูดขึ้นมาด้วยเสียงต่ำ ราวกับจะแช่แข็งอยู่กลางอากาศ แฝงไปด้วยความมืดมนและความโกรธเกรี้ยว“เจ้าอยากพูดว่า กุ้ยเฟยคอยวางแผนอยู่เบื้องหลัง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนถูกกระชากจนเซ แต่ไม่ช้าก็ยืนได้อย่างมั่นคงเขาช่างให้ความสำคัญกุ้ยเฟยจริงๆ ไม่ยอมให้มีใคร “ใส่ร้าย”“หม่อมฉันเพียงแค่สงสัย เชื่อหรือไม่เชื่อ สืบหรือว่าไม่สืบ ล้วนแล้วแต่ฝ่าบาท”ริมฝีปากบางเยือกเย็นของเซียวอวี้กระตุกโค้ง แฝงไปด้วยความเหยียดหยามนางมักจะแสดงออกถึงความนอบน้อมเมื่อต่อหน้า แต่ความจริงนั้นคิดอย่างไร?นึกว่าเขาฟังไม่รู้ถึงความหมายแฝง ในคำพูดของนางหรือ!“อาการบาดเจ็บของกุ้ยเฟยเป็นอย่างไร เจ้าเคยไปดูไหม?“เพราะยาของเจ้า นางทำได้เพียงอดกลั้นต่อความเจ็บปวด เจ้ากลับพูดว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือของนาง?“นางเป็นคนโง่เขลาหรือ คิดอยากทำร้ายคนอื่น กลับกลายเป็นทำร้ายตนเอง?“เรากลับคิดว่า เจ้าต่างหากที่เป็นบงการ!”เฟิ่งจิ่วเหยียนหรี่ตาลงนางไม่ได้พูดแก้ต่างในทันทีสายตาเซียวอวี้จับจ้องมองดูนาง“หลังจากเกิดเรื่องของจ้าวเฉียน เราก็เคยเตือนเจ้าแล้ว ทุกอย่างจบลงแค่นี้ กุ้ยเฟยไม่มีความผิด เจ้าจะทำร้ายนางอีกไม่ได้“กุ้
คนถูกลากมาถึงหน้าฮ่องเต้เขาเห็นก็รู้ทันที นี่เป็นคนในตำหนักของกุ้ยเฟย!“เอาน้ำสาดให้เขาตื่น”ซัว...น้ำเย็นหนึ่งกะละมังสาดที่หัว เสี่ยวลู่จื้อถูกบีบให้ตื่นขึ้นมาสิ่งที่มองเห็นก็คือจักรพรรดิผู้สูงศักดิ์น่าเกรงขาม เขาตกตะลึงจนเหงื่อเย็นวาบขึ้นมาทันที“บ่าวถวายบังคม ฝ่าบาท!”เนื้อตัวของเขาสั่นเทาหากฝ่าบาทรู้ว่า เขาถูกกุ้ยเฟยส่งมาคอยจับตาดูตำหนักฉางสิ้น ก็จะแย่แน่!แต่ในเมื่อเขาถูกตีสลบ แน่นอนว่าฝ่าบาทจะต้องรู้แล้ว เสี่ยวลู่จื้อสั่นเทาไปทั้งตัวกรามล่างของเซียวอวี้เฉียบคมเหมือนมีด ริมฝีปากบางขยับพูดขึ้นมาว่า“ตัดแขนของเขาข้างหนึ่ง”“พ่ะย่ะค่ะ!” เฉินจี๋ลงมืออย่างรวดเร็วรุนแรงได้ยินเพียงเสียงร้องอย่างเศร้ารันทด บนพื้นก็มีแขนขาดเพิ่มมาข้างหนึ่งตำหนักหลิงเซียวกุ้ยเฟยกำลังจะพักผ่อน ชุนเหอวิ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก“พระนาง ฝ่าบาทเสด็จ!”ฝ่าบาทมาดึกขนาดนี้ จะต้องวางใจพระนางไม่ได้แน่นอนเลยสีหน้ากุ้ยเฟยเต็มไปด้วยความดีใจนางเพิ่งเตรียมตัวลงจากเตียง ขบวนเสด็จก็มาถึงข้างในตำหนักแล้วชุนเหอถอยออกไปอย่างรู้ตัว มอบราตรีในวสันตฤดูให้กับฝ่าบาทและพ
เฟิ่งจิ่วเหยียนเผาจดหมายลับทิ้ง แสงไฟส่องสะท้อนดวงตาของนาง เสมือนเปลวไฟที่ลุกโชน ดุจดั่งเพลิงโลกันตร์ที่จะแผดเผาบาปทั้งปวงเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม “กุ้ยเฟยเป็นคนรอบคอบ ทั้งยังมีวิชาควบคุมคน ทั้งจ้าวเฉียนและหวังเทียนไห่ ต่อให้เรื่องราวจะถูกเปิดโปง คนพวกนี้ก็ยอมตายแต่จะไม่ยอมทรยศนางเด็ดขาด “ดังนั้น พวกเราทำได้มากสุดแค่มองว่านางเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีโจรภูเขา แต่ไม่มีหลักฐานอะไรช่วยยืนยัน หากฝ่าบาทเลือกจะทรงเชื่อกุ้ยเฟยก็พอจะเข้าใจได้“สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือค่อย ๆ รวบรวมหลักฐานความผิดของนางให้ครบ“เก็บน้อยกลายเป็นมาก ครานี้เป็นนางกำนัลคนนั้น คราหน้าก็จะมีคนอื่นอีก“สักวันหนึ่ง เมื่อมีหลักฐานพยานพร้อม ต่อให้กุ้ยเฟยจะมีปากเป็นร้อยปากก็แก้ตัวไม่ได้“ถึงเวลานั้น แม้แต่ฝ่าบาทก็ปกป้องนางไม่ได้อีก”เรื่องนี้ต้องใช้เวลามากกว่าการสังหารนางโดยตรงทว่า หากปล่อยให้กุ้ยเฟยตายง่าย ๆ ก็คงบรรเทาความแค้นในใจไม่ได้ นอกจากนี้ หากไม่ไขความจริงให้กระจ่าง เวยเฉียงก็จะไม่ได้รับความเป็นธรรม!นางต้องการทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่กุ้ยเฟยมีและเห็นคุณค่า ต้องการให้คนทั่วหล้ารู้ถึงความผิดของกุ้ยเฟย!หากเป็นสนมร
หินเซวียนอิง เคยย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ตอนนี้กลับได้มาเฟิ่งจิ่วเหยียนรีบถามทันที“นี่คือหินเซวียนอิง เจ้ามีได้อย่างไร?”จางฉีหยางกลับแปลกประหลาดใจ“อาจารย์ ทำไมท่านก็รู้จักหินเซวียนอิง?“เมื่อสามปีก่อน ครั้งแรกที่ข้าได้เจอแม่ทัพน้อยเมิ่ง ได้ยินเขากับท่านพ่อคุยกันเรื่องหินเซวียนอิง ดูเหมือนนางจะชอบหินนี้มาก ดูในตำราก็มีบันทึกไว้“ความจำของข้าดี จึงจดจำไว้“ตำบลหลินผิงที่บ้านเกิดของข้า มีหุบเขามากมาย ยามมีเวลาว่าง ข้าก็จะออกค้นหาไปทั่ว เมื่อหนึ่งปีก่อน ข้าได้เจอหินเซวียนอิง ดังนั้นข้าจึงนำมันมาเป็นของขวัญคารวะอาจารย์...”เมื่อสามปีก่อน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็คิดอยากปรับเปลี่ยนปืนหอกไฟรูปแบบใหม่ตอนนั้นนางก็มั่นใจแล้วว่า สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือฉนวนกันความร้อน และสิ่งที่เหมาะสมในการทำเป็นฉนวนกันความร้อนที่สุด ก็คือเหล็กเซวียนอิงที่หล่อหลอมมาจากหินเซวียนอิงคิดไม่ถึงว่า ถูกเด็กคนนี้ได้ยินอย่างไม่ตั้งใจ และช่วยนางตามหาจนเจอแล้ว!ปกติเฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นคนสงบควบคุมตนเองได้ดีต่อให้ดีใจแค่ไหน ก็ไม่มีทางแสดงออกมานางรีบถามจางฉีหยาง“ข้าก็ชอบหินเซวียนอิงอย่างมาก บอกข้าได้ไหมว่า เจ้าเ
ริมฝีปากจางฉีหยางแห้งแตก เสียงที่พูดออกมาค่อนข้างเสียงแหบแห้งอย่างยิ่งเฟิ่งจิ่วเหยียนสบสายตากับเขา มองเห็นถึงรัศมีสังหารในแววตาของเขา“ไหว้ผู้ล่วงลับ เดินผ่านทางนี้” นางพูดอธิบายเพราะจางฉีหยางหิวโซเป็นเวลานาน มือจึงสั่นเทา เอาสิ่งของเซ่นไหว้พวกนั้นคืนให้กับนาง“เอาคืนไป! แม่ของข้าไม่ต้องการสิ่งพวกนี้!”เฟิ่งจิ่วเหยียนทำเป็นเหมือนมองไม่เห็นการปฏิเสธของเขานางชักกระบี่ออกมาจากฟักตรงเอวตามด้วยเสียงรอยแตกร้าวดังในอากาศ ต้นไม้ด้านข้างต้นหนึ่งถูกนางโค่นลง ตัดเป็นกระดานขนาดเท่าศิลาหลุมศพจางฉีหยางมองดูภาพนี้ แววตาไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆจนเฟิ่งจิ่วเหยียนเอาแผ่นไม้นั่นวางบนพื้น แล้วถามเขา“ผู้ล่วงลับสกุลอะไร”จางฉีหยางมีปฏิกิริยาขึ้นมาเล็กน้อย มองดูนางอย่างแปลกประหลาดใจเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่มีความสงสารอย่างสูงส่ง“มีป้ายหลุมศพ ก็จะไม่กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน”จางฉีหยางหัวเราะเย้ย“ข้าไม่เชื่อ”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาเหมือนล้อเล่นว่า“เป็นผีก็สามารถหลงทางได้ มีป้ายหลุมศพ ต่อไปแม่ของเจ้าก็จะรู้ว่า ที่นี่เป็นบ้านของนาง เป็นบ้านที่ลูกชายของนางสร้างให้นางด้วยต
จางฉีหยางตอบโต้รวดเร็วมาก หลบเลี่ยงฝ่ามือแรกของเฉียวม่อได้จากนั้นเฉียวม่อโจมตีเขาอีกอย่างต่อเนื่องจางฉีหยางเดินทางไกลมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ทั้งหิวทั้งหนาวเวลานี้จึงไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าไรนักแต่ต่อให้อยู่ภายใต้สภาพเช่นนี้ ยังสามารถหลบเลี่ยงเฉียวม่อได้ ซ้ำยังสามารถหาโอกาสตอบโต้ได้สีหน้าเฉียวม่อมืดมิดอย่างรวดเร็วเด็กคนนี้ เก่งกาจกว่าที่นางคิดไว้นางแกล้งทำเป็นจู่โจมส่วนล่างของเขา ฉวยโอกาสตอนที่เขาตอบโต้ เคลื่อนตัวไปทางด้านหลังเขาอย่างรวดเร็ว เตะหลังเข่าของเขาอย่างรุนแรงจางฉีหยางงอเข่าลง ขาข้างหนึ่งคุกเข่าลงจากนั้น เฉียวม่อใช้แขนรัดคอเขาไว้จากทางด้านหลังจางฉีหยางถูกบีบให้เงยศีรษะขึ้นมา อ้าปากกว้างเพื่อหายใจเฉียวม่อไม่ผ่อนมือ เพิ่มแรงมากขึ้น เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...จนสีหน้าจางฉีหยางเขียวม่วง สกุลฉินเห็นว่าไม่ดีแน่ จึงรีบร้องเรียกขึ้นมาว่า“แม่ทัพน้อย!”เฉียวม่อค่อยผ่อนคลายมือ อยากที่จะกำจัดให้สิ้นซากเสียเดี๋ยวนี้สกุลฉินรีบประคองลูกชายลุกขึ้นมา ปัดฝุ่นบนตัวให้กับเขาจางฉีหยางหายใจหอบ ดวงตาสีดำเข้มจ้องมองที่เฉียวม่อหลังจากดีขึ้นบ้างแล้ว เขายกมือประสานหันไปทำความเคารพนา
“มีทั้งหมด...สามคน ข้าไม่ค่อยได้เห็นอีกสองคนนั้น”“แม่นางเมิ่งมีคำสั่ง...พวกเรา เราก็ทำตาม”ชายขายผักพูดไปด้วย เลือดไหลไปด้วยไม่ค่อยได้เห็น ซึ่งก็คือเคยเห็นบ้างแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนถามอีก“อีกสองคนนั้นมีลักษณะเป็นยังไง”“คนหนึ่งบนใบหน้ามีไฝ ส่วนอีกคนหนึ่ง...คนนั้นชอบไปบ่อนเล่นการพนัน เป็นคนที่มีนิสัยลักขโมย หน้าตาปากแหลมแก้มเหมือนลิง...ท่านผู้กล้า ปล่อยข้าไปเถอะ ที่ข้ารู้ก็ล้วนบอกหมดแล้ว!”เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้กริชเชยคางของเขาขึ้นมา“ทำไมพวกเจ้าต้องฟังคำสั่งเฉียวม่อ”ชายขายผักเสียเลือดมาก จนอ่อนแรงอย่างยิ่ง“พวกเรา... พวกเราล้วนถูกราชสำนักออกหมายนำจับ...เป็นโจรเจียงหยาง หากไม่เชื่อฟังนาง ก็จะส่งตัวพวกเราไปให้ทางการ”“เชื่อฟังนาง นางให้เงินพวกเราได้ใช้จ่าย...”“อีกอย่าง...นางวางยาพิษพวกเรา...ให้ยาถอนพิษพวกเราตามเวลาที่กำหนด ไม่อย่างนั้น...ก็จะตาย”“ท่านผู้กล้า ตอนนี้ข้าหักหลังนาง ไม่มีทางรอดแล้ว“ขอร้องท่าน...ให้ข้าได้ตายอย่างรวดเร็วด้วยเถอะ!”แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนเยือกเย็นชา พร้อมพูดขึ้นมาว่า “ได้”จากนั้นนางยกมีดขึ้นมาแล้วปาดลง ปาดคอชายขายผักตายเดิมก็เป็นอาชญากรรายใหญ่ ต
อู๋ไป๋บาดเจ็บสาหัสอย่างมาก หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้วเห็นแม่ทัพน้อย ก็รู้ว่าตนเองมีชีวิตรอดแล้วร่างกายท่อนบนของเขา พันเต็มไปด้วยผ้าพันแผล สีหน้าซีดอ่อนแรง“แม่...”ทันใดนั้นก็เห็นว่าภายในห้องยังมีคนอื่น จึงรีบเปลี่ยนเป็นร้องเรียกขึ้นมาว่า “นายท่าน”เฟิ่งจิ่วเหยียนที่สวมหน้ากากเงินครึ่งชิ้น หันมามองดูเขาหมอกำลังบอกนางเกี่ยวกับข้อควรระวังของผู้บาดเจ็บหลังจากนางฟังแล้วก็จดจำไว้ จากนั้นก็จ่ายค่ารักษา ออกมาส่งหมอด้วยตนเองผ่านไปครู่หนึ่ง นางกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง แล้วเห็นอู๋ไป๋พยายามจะลุกขึ้นมานั่งนางรีบพูดสั่งทันทีว่า“อย่าเคลื่อนไหว”เขาบาดเจ็บสาหัสอย่างมาก ไม่รู้สึกเลยสักนิดหรือ?อู๋ไป๋รีบนอนลงอย่างเชื่อฟัง ฉีกยิ้มอย่างขมขื่น พร้อมพูดขึ้นมาว่า“นายท่าน กระหม่อมผิวหยาบเนื้อหนา ไม่เป็นไร”พูดว่าไม่เป็นไรนั้นเป็นความเท็จเขายังจำได้ มีดที่แทงลงมาหลายทีนั้น เจ็บปวดอย่างมาก“นายท่าน ชายขายผักคนนั้น...”“จับตัวมาได้แล้ว” เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดแทรกคำพูดของเขาอู๋ไป๋ยังอยากพูดอะไรอีก ก็มีชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งวิ่งเข้ามา“รองผู้นำพันธมิตร! เมื่อครู่ชายขายผักคนนั้นยังคิดอยากวิ่งหนี
ตำหนักเย็น เฟิ่งจิ่วเหยียนได้รับลูกศรมาหนึ่งอันบนหัวลูกศร เสียบกระดาษไว้หนึ่งแผ่นเป็นลายมือของเฉียวม่อ...[ศิษย์พี่ ติดหนี้ชีวิตเจ้าอีกหนึ่งชีวิตแล้ว แต่ข้าจะให้เจ้าหาเจอทางหนีสุดท้ายได้ง่ายๆ ได้อย่างไร? คราวหน้าส่งคนที่ฉลาดกว่านี้หน่อยนะ]เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ว่า เกิดเรื่องกับอู๋ไป๋แล้วนางขมวดคิ้วแน่น ไม่กล้าชักช้าแม้ชั่วขณะเดียว ฟ้ายังไม่มืดก็ออกจากวังแล้วอู๋ไป๋ติดตามนางจากค่ายเป่ยต้า มาจนถึงเมืองหลวงเขาไม่เพียงเป็นลูกน้องคนสนิท ลูกน้องที่มีความสามารถของนาง ยังเป็นเพื่อนของนางเพื่อต่อสู้กับนาง เฉียวม่อทำร้ายคนตายไปอย่างมากมายแล้วอู๋ไป๋ นางจะต้องตามหาให้เจอ!……ท่ามกลางผู้คนมากมาย ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเบาะแสอะไรเลย ตามหาคนหนึ่ง เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรวันนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้ว่าวิ่งไปมากี่ที่ที่นางสามารถตามหา ก็มีเพียงชายขายผักจากคำบอกเล่าของชาวบ้านบริเวณรอบๆ นางวาดภาพชายขายผักคนนั้นขึ้นมาเวลาพลบค่ำโรงรับจำนำแห่งหนึ่งในเขตชานเมือง คนงานกำลังเตรียมปิดร้าน ชายสวมหน้ากากเงินคนหนึ่ง คว้าจับกรอบประตูไว้ ไม่สนใจความเจ็บปวดที่ถูกประตูหนีบ พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยือ
ไทฮองไทเฮาหันมองไปข้างนอก ดวงตาเบิกโตอย่างไม่รู้ตัว“ฮ่องเต้? เจ้ามาทำอะไร!”นางมาจัดการฮองเฮาเป็นการส่วนตัว ไม่ได้บอกเซียวอวี้รับรู้เซียวอวี้ก้าวเท้ายาวเข้ามาในตำหนัก ใช้เท้ากระทืบข้าหลวงที่คิดจะลงมือทำร้ายเฟิ่งจิ่วเหยียน พร้อมทั้งปกป้องนางไว้ข้างหลัง เผชิญหน้ากับไทฮองไทเฮาโดยตรง“เสด็จย่า ควรเป็นเราถามท่าน ท่านทำอะไรอยู่ที่นี่”เขาสวมอาภรณ์สีม่วง สีหน้าเยือกเย็นชา เป็นเหมือนดั่งหุบเขาหิมะ คนเห็นแล้วรู้สึกหวาดกลัวเฟิ่งจิ่วเหยียนแอบเก็บอาวุธลับไว้ ไทฮองไทเฮานั่งอยู่ตรงนั้น พูดขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดว่า“ข้าทำเช่นนี้ ล้วนเพื่อความมั่นคงของแผ่นดิน“สตรีตระกูลเฟิ่งไม่ควรเข้าวัง ยิ่งไม่ควรเป็นฮองเฮาของเจ้า”ฮ่องเต้กตัญญูต่อนางมาตลอด นางไม่เชื่อว่า ฮ่องเต้จะไม่เชื่อฟังนางเพราะเหตุนี้ดวงตาสีเข้มของเซียวอวี้หนักหน่วงมืดมน“เราได้ให้นางมาอยู่ในตำหนักเย็นแล้ว เสด็จย่าอย่าบีบคั้นกันจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น เราเคยพูดแล้วว่า เราไม่เคยเชื่อในคำทำนายของหนังสือแห่งโชคชะตาในปีนั้น”ปัง!ไทฮองไทเฮาฟาดตบโต๊ะอย่างโกรธโมโห“ฮ่องเต้ เจ้าจะเลอะเลือนไม่ได้!“ผู้หญิงคนนี้...นางจะเป
ไทฮองไทเฮาเสด็จมายังตำหนักเย็นด้วยพระองค์เอง แฝงไปด้วยความแปลกประหลาดและแล้ว ลางสังหรณ์เฟิ่งจิ่วเหยียนนั้นไม่มีผิดคนที่มาไม่ได้มีเพียงไทฮองไทเฮา ยังมีนางข้าหลวงหนึ่งคนนางข้าหลวงคนนั้นถือถาดไม้สีดำ สิ่งของที่วางอยู่บนถาด ทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวนมีผ้าขาว สุราหนึ่งจอก ยังมีกริชเล่มหนึ่งเหลียนซวงแสดงสีหน้าหวาดกลัว เบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อไทฮองไทเฮาต้องการที่จะ...ประหารฮองเฮา? ! !นางรีบหันไปมองพระนางของตนเองเฟิ่งจิ่วเหยียนยืนถวายความเคารพ สวมอาภรณ์ธรรมดา ยากที่จะบดบังความสง่างามของนางได้นางก็มองเห็นสิ่งของพวกนั้นแล้ว ท่าทีสงบนิ่ง สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แม้ภูเขาไท่พังทลายลงต่อหน้าก็ตาม“ถวายบังคมไทฮองไทเฮา”สายตาไทฮองไทเฮามองผ่านนาง มีคนประคองเดินไปนั่งบนที่นั่งหลักอย่างเชื่องช้า“ตอนนี้ข้าดูแลจัดการวังหลัง ควรแบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาท”“ฮองเฮา เจ้ารู้ไหม ระยะนี้ที่วังหน้า เกิดปัญหาวุ่นวายเพราะเรื่องของเจ้า?”แววตาน้ำเสียงไทฮองไทเฮา ล้วนเต็มไปด้วยความตำหนิติเตียนราวกับเฟิ่งจิ่วเหยียนก็คือคนร้ายคนนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนขยับริมฝีปากพูดขึ้นมาว่า “หม่อมฉันอยู่ในตำหนักเ
“มันลวกข้า!” “อ๊าก! ร้อน!” บรรดาพลทหารต่างพากันโยนปืนหอกไฟที่พาดอยู่บนหัวไหล่ทิ้งไป ลูกปืนสูญเสียการควบคุม พุ่งมายังแท่นเฝ้าชมตรงฝั่งนี้แทน “คุ้มครองฮ่องเต้!” เฉินจี๋ราชองครักษ์หูตาว่องไว พลิกโต๊ะอาหารขึ้นเป็นเกราะกำบัง เซียวอวี้นั่งนิ่งไม่สะทกสะท้าน หัวคิ้วขมวดแน่น ดูเหมือนว่าปืนหอกไฟแบบใหม่อันนี้ ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบทุกด้าน ขุนนางท่านอื่นล้วนพุ่งหาที่กำบังอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว พริบตาเดียว สถานการณ์พลันโกลาหล กระทั่งลูกปืนถูกยิงจนหมด สถานการณ์เลวร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว เหล่าขุนนางทั้งหลายค่อยยื่นศีรษะออกมาอีกครั้ง ชะเง้อคอมอง อยากสืบเสาะถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง เฉียวม่อยามนี้ก็สติหลุดลอยไปแล้วเช่นกัน เหตุใดถึงร้อนลวกขึ้นมา? พิมพ์เขียวนั่นก็มีแผ่นกันความร้อนเขียนไว้อยู่ไม่ใช่หรือ! หัวหน้าคนอื่นก็ตรวจสอบแล้ว ทุกคนล้วนคิดตรงกันว่าสมบูรณ์แบบ! เซียวอวี้หยัดกายขึ้น เงาร่างสูงใหญ่บดบังแสงอาทิตย์ เขาจ้องมองสถานที่เกิดเหตุอย่างดูแคลน ก่อนจะทิ้งสายตามองบนตัวเฉียวม่อในตอนสุดท้าย แม้ว่าไม่มีเสียงตำหนิใดถูกเอื้อนเอ่ยออกมา กระนั้นแล้วยังทำให้คนพรั่นพรึงจนสั่นสะท้านได้