ด้านหลังประตูลับนั้น ภาพตรงหน้าที่ฉายเข้ามาในม่านตาเป็นสระยาขนาดใหญ่ด้านในสระเต็มไปด้วยสิ่งมีพิษมากมาย รวมไปถึงร่างกายพิกลพิการที่กำลังส่งกลิ่นเน่าเหม็นออกมาเมื่อเห็นสภาพตรงหน้านั้น ต่างก็สามารถจินตนาการได้ในทันทีว่าคนพวกนี้ก่อนตายจักต้องพบเจอกับการทรมานเช่นไรบ้างกำแพงโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยภาพฝาผนังมากมาย ทั้งยังมีความรายละเอียดที่เห็นเรื่องราวได้ชัดมากเสียยิ่งกว่าด้านนอกเมื่อครู่เสียอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนพบเบาะแสสำคัญจากภาพวาดในทันทีด้านบนพลันมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เรียกว่า “หนอนผีเสื้อ”หนอนผีเสื้อนั้น นับว่าเป็นโอสถวิเศษชนิดหนึ่งที่ใช้สำหรับร่างของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว หากแต่วิญญาณยังคงสถิตอยู่ในร่างอยู่โดยส่วนมากนั้น ผู้คนเหล่านี้มักจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไป หากแต่ยังมีลมหายใจอยู่ จึงจำเป็นต้องใช้หนอนผีเสื้อเพื่อชุบชีวิตพวกเขาขึ้นมาการจะฝึกฝนเพื่อให้ได้โอสถชนิดนี้นั้น จำเป็นต้องใช้มนุษย์ที่มีชีวิตอยู่เป็นตัวทดลอง ใช้เลือดคนจริง ๆ มาผสมกับคนตายที่หมดสติไป เพื่อเป็นการถ่ายเลือดทุกเดือนสิ่งที่โหดร้ายมากที่สุดก็คือ ผู้ที่เป็นตัวทดลองยานั้น บนร่างกายจักต้องถูกกรีดออกเป็นช
ภายในรถม้านั้น ประมุขพรรคเทียนหลงหาได้มีท่าทีตื่นกลัวใด ๆ ไม่ กลับกันเขากับหันมามองเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยใบหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความใจดี“คุณชายซู ไม่เจอกันนานเลย สบายดีหรือไม่เล่า?”ยามที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น มือสังหารสองคนพลันมาปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหลังของเฟิ่งจิ่วเหยียนในทันทีพวกเขาเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน อีกคนฝ่ายรับอีกคนฝ่ายรุก ผลัดกันโจมตีเข้ามาด้วยความดุเดือดไม่นานนัก พวกเขาก็สามารถทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนล่าถอยออกไปได้ ทั้งยังกลับมาปกป้องรถม้าได้อีกครั้งประมุขพรรคที่นั่งอยู่ในรถม้านั้น หาได้เห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่ในสายตาไม่ เขากลับเป็นกังวลเรื่องการโจมตีประตูเมืองหลวงเสียมากกว่าถึงแม้ว่าการที่กองทัพหวงปั้วจักหันมาเปลี่ยนข้างไปนั้น จะไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาก็ตามทว่า พวกเขาหาได้มิมีการเตรียมตัวรับมือในเรื่องนี้ไม่ท่านประมุขพรรคจึงยกมือขึ้นมา ผู้ที่อยู่ข้างกายจึงเข้าใจได้ในทันทีพร้อมทั้งมีเสียงนกหวีดดังตามมา ก่อนจะพบว่าบนฟากฟ้ามีนกตัวใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้น ก่อนจะโบยบินพุ่งมาที่กำแพงเมืองกรงเล็บที่แหลมคมของพวกมันดุร้ายยิ่งนัก ปีกของพวกมันก็มีพละกำลังมากเช่นกันบนกำแพ
ความรู้สึกที่ถูกบีบคออยู่นั้น น่าอึดอัดยิ่งนักความรู้สึกที่หายใจไม่ออก จนทำให้ผู้คนต้องดิ้นรนตามสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดของตัวเองทว่า เฟิงจิ่วเหยียนหาได้เป็นเช่นนั้นไม่นางชักลูกธนูออกมาจากแขนเสื้อของตนเองหากว่ากันตามจริงแล้ว ระยะห่างเพียงเท่านี้ ประมุขพรรคย่อมต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยจู่ ๆ ……ปั้ง!กำลังภายในของบุรุษตรงหน้าที่สะท้อนออกมา ทำเอาร่างของเฟิ่งจิ่วเหยียนและลูกธนูที่อยู่ในมือนั้นกระเด็นออกจากรถม้าไปในทันทีผลัก!หลังของเฟิ่งจิ่วเหยียนล้มกระแทกลงบนพื้นเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองนั้น ก็พบว่าผนังรถม้ากลายเป็นรูขนาดใหญ่ พร้อมทั้งด้านในที่มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาให้ทุกคนได้เห็นคนผู้นั้นก็คือประมุขพรรคเทียนหลง ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการทำความผิดในครานี้เขาจ้องมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยความเย็นชา“ผู้ที่คิดต่อต้านข้า จักต้องตาย!”พูดจบ เขาพลันยื่นมือออกมา ก่อนที่กำลังภายในมากมายจะพุ่งเข้าหาเฟิ่งจิ่วเหยียนในทันทีเฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนจะใช้ลูกเตะปรายมารเตะศพร่างหนึ่งออกไปเพื่อขวางกั้นแรงลมของกำลังภายในที่กำลังดูดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะก้มลงไปหยิบดา
หลังจากที่เกิดช่องว่างที่ประตูเมืองแล้วนั้น กองทัพมนุษย์โอสถที่ได้ยินเช่นนั้น ก็ทำการเคลื่อนไหวในทันทีพวกเขาพยายามทะลวงเข้ามาเรื่อย ๆ กองทหารรักษาการณ์ที่อยู่ด้านหลังประตุเมืองนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็เข้าประจันหน้ากันเมื่อเห็นว่าฝ่าบาทกำลังตกอยุ่ในอันตรายนั้น รุ่ยอ๋องที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองจึงร้องตะโกนออกมาว่า“คุ้มกันฝ่าบาท!”เซียวอวี้จึงกระโดดหลบหนีเหล่ากองทัพมนุษย์โอสถในทันทีก่อนจะได้มาเผชิญหน้ากับประมุขพรรคเทียนหลงแบบตัวต่อตัวและยังมีเฟิ่งจิ่วเหยียนเขานึกแปลกใจเล็กน้อยที่นางกลับมาเป็นไปได้หรือไม่ว่า หลังจากที่นางช่วยเหลือต้วนไหวซวี่ได้แล้วนั้น ตนเองเกิดวางภาระหน้าที่ในฐานะท่านแม่ทัพน้อยเมิ่งไม่ลง จึงได้กลับมาช่วยกอบกู้เมืองหลวงเช่นนี้?ถึงอย่างไร ย่อมมิใช่เพราะกลับมาช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอนนอกจากมนุษย์โอสถของพรรคเทียนหลงแล้วนั้น ยังมีลูกศิษย์ของพรรคเทียนหลงอีกไม่น้อยเลยพวกเขายืนอยู่ข้างหลังของประมุขพรรค ก่อนจะเผชิญหน้ากับกองกำลังของเซียวอวี้อย่างไม่เกรงกลัวประมุขพรรคพุ่งตัวเข้าใส่เซียวอวี้พลางกล่าวว่า“ในเมื่อฮ่องเต้ทรราชไร้เมตตา เช่นนั้นพวกเราจักสถาปนาฮ่องเต้องค์
เมื่อเศษละอองฝุ่นจางหายออกไปแล้วนั้น ก็พลันพบกับสตรีที่สวมใส่ผ้าคลุมหน้านางหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังของท่านประมุข ก่อนจะใช้มีดด้ามเดียวปลิดชีพประมุขพรรคเทียนหลงเพียงแค่มองครั้งเดียว เฟิ่งจิ่วเหยียนก็จำได้ในทันทีว่าสตรีผู้นี้คือคนที่ยืมมือมาช่วยเหลือนางภายในอารามเต๋าคืนนั้น ทั้งยังเรียกขานตัวเองว่า “จางเสวี่ย”“แม่นางหร่าน! เจ้ากำลังทำอะไร!” เหล่าลูกศิษย์พรรคเทียนหลงที่จดจำนางได้จากไกล ๆ นั้น พลางเอ่ยถามด้วยความโกรธแค้นประมุขพรรคที่ถูกแทงนั้น พลันหันมาคว้าคอของหร่านชิวเอาไว้เขามิเคยคิดเลยว่า ลูกศิษย์ที่รักของตนเอง จักกล้ากระทำตัวหักหลังต่อตนเองเช่นนี้ได้ประมุขพรรคที่กำลังรวบรวมกำลังภายในเมื่อครู่นั้น เขาย่อมมิมีทางรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นได้ทัน ผู้ที่ลงมือกับเขาในยามนี้ ถือว่าเป็นการมุ่งร้ายจะเอาชีวิตเลยทีเดียว!เขาต้องการฆ่านังคนทรยศผู้นี้!หากแต่เซียวอวี้ก้าวไวกว่าเขาไปหนึ่งก้าว พลางประทับฝ่ามือไปที่ด้านหลังประมุขพรรคในทันทีฉึก—เลือดสด ๆ สาดกระเซ็นบนผ้าคลุมหน้าของหร่านชิว แววตาของนางเจือไปด้วยความอำมหิต พร้อมทั้งแทงมีดลงไปที่ทรวงอกของประมุขพรรคเทียนหลงในทันท
เซียวอวี้มิอยากพบหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนในตอนนี้เขารู้ดีว่า การที่นางมาขอเข้าพบตนเองเช่นนี้ จักต้องเป็นเพราะต้วนไหวซวี่อย่างแน่นอนเนื่องจากเบาะแสที่มีอยู่ในมือของนางไม่เหลือแล้ว จึงต้องการความช่วยเหลือจากเขาดวงตาของเซียวอวี้พลันเจือไปด้วยความมืดมนหัวใจของมนุษย์นั้นสร้างมาจากเลือดเนื้อตัวเอง หากว่าเลือดเนื้อนี้ถูกทำลายจนได้รับบาดเจ็บ ก็ย่อมตกตายไปเมื่อคืนนี้ หลังจากที่เขารู้ว่านางทิ้งความปลอดภัยของเมืองหลวงและเลือกที่จะไปช่วยต้วนไหวซวี่นั้น เขาก็หมดความหวังในตัวนางแล้วการปล่อยนางไป ถือเป็นสิ่งที่เขาสมควรทำในตอนนี้ หากนางต้องการให้เขาช่วยเหลือนางอีกละก็ เขาคงไม่อาจทำเพื่อนางได้อีก“บอกไปว่าเราไม่ว่าง”เซียวอวี้มิต้องการเจอนาง ทั้งยังพยายามบีบให้นางต้องล่าถอยไปเองส่วนความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างนางกับต้วนไหวซวี่จักเป็นเช่นไรนั้น หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับเขาไม่ในยามนี้ เรื่องราวที่เขาจักต้องจัดการอยู่ภายในมือมีอยู่มากมายนักทั้งพรรคเทียนหลงและเซียวจั๋วเรื่องราวเหล่านี้มีสิ่งใดมิสำคัญไปมากกว่าการช่วยนางตามหาต้วนไหวซวี่กัน?ตกกลางคืน เซียวจั๋วถูกเรียกตัวเข้าวังในทันทีเขาเองก็
ทั่วร่างของเซียวอวี้ราวกับถูกฟ้าผ่าไปในทันทีนางกำลังทำอันใดกัน!ทั่วร่างของเซียวอวี้พลันแข็งทื่อ คิ้วที่ขมวดเป็นปมเมื่อครู่นั้น พลันผ่อนคลายลงราวกับภูเขาหิมะที่ถูกความอบอุ่นของแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาในทันทีเสมือนกับแผ่นดินที่แห้งแล้งได้มาพบเจอกับความชุ่มฉ่ำของน้ำฝน ราวกับขอนไม้ที่แห้งตายได้ฟื้นคืนชีพกลับมายามวสันตฤดูจิตใจของเขาที่แห้งเหือดมาเนิ่นนาน ราวกับมีบุปผาผลิดอกออกบานขึ้นมาในชั่วพริบตา ยามที่ดอกไม้สั่นไหวเบา ๆ นั้น ความรู้สึกหอมหวานปมซาบซ่านพลันแผ่ซ่านไปทั่วหน้าอก จนหลอมรวมมาเป็นเปลวเพลิงอันร้อนแรงในครานี้ เป็นนางที่ยอมถอดหน้ากากของตนเองออกมานางยอมออกมาเพื่อเผชิญหน้ากับเขาแล้วงั้นหรือ!เซียวอวี้คว้าด้านหลังคอของนางเอาไว้ ก่อนจะพรมจูบตอบกลับไปเฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ผลักเขาออกไป ยิ่งทำให้เซียวอวี้ได้ใจมากกว่าเดิมหัวใจที่ราวกับมีเพลิงไฟร้อนรุ่มอยู่ในนั้น เซียวอวี้พลันใช้แขนข้างหนึ่งโอบเอวของนางเอาไว้ ก่อนจะยกตัวนางขึ้นวางบนโต๊ะทรงงานของตัวเอง อ้อมแขนอันแข็งแกร่งกักขังเฟิ่งจิ่วเหยียนเอาไว้ ก่อนจะพรมจูบต่อไปมิยอมปล่อยให้นางได้หนีหายจากไปอีก สิ่งที่เซียวอวี้นึกไม่ถึงก็คือ
เซียวอวี้นั่งอยู่บนหัวเตียง ทั่วร่างเพียงสวมเสื้อคลุมเอาไว้หลวม ๆ เท่านั้น พลางเผยให้เห็นหมัดกล้ามเนื้อที่อันล่ำสัน ที่มีเหงื่อไหลออกมาเล็กน้อยใบหน้าที่รูปงามพลางแสดงสีหน้าความเกียจคร้านออกมาเล็กน้อย หางตายังคงเจือไปด้วยรอยเปื้อนสีแดง ผมเผ้าที่เคยเกล้าเอาไว้ ในยามนี้กับยุ่งเหยิงในยามนี้ เขาจ้องมองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียนที่นั่งอยู่ข้างเตียงนางค่อย ๆ สวมใส่อาภรณ์ของตนเองลงไปทีละชิ้น ผมที่เกล้ามัดขึ้นไปใหม่ ทุกอริยาบถของนาง ในสายตาของเซียวอวี้แล้วนั้น มันเต็มไปด้วยความสบายตาสบายใจ ทั้งยังทำให้ภายในใจของเขาเกิดอาการร้อนรุ่มขึ้นมาไม่น้อยเซียวอวี้มิคิดเลยว่า ตนเองจักมีโอกาสได้โอบกอดนางอีกครั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ราวกับเพียงแค่ความฝันฉากหนึ่งยามที่เฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังจะลุกออกไปนั้น เซียวอวี้ก็สวมกอดนางจากด้านหลังในทันที“อย่าไปเลย เราจักช่วยคนให้เจ้า…”เขามิอยากเห็นนางตกตายไปได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเอ่ยตัดบทเขาออกมาด้วยความใจเย็น“นี่คือเรื่องของหม่อมฉันเพคะ”เซียวอวี้มิยอมปล่อยมือ ก่อนจะกดคางของตนเองลงบนไหล่ของนาง “จิ่วหยาน เจ้ายังมีเราอยู่ในใจ อีกทั้งร่างกายของเจ้าเป็นค
คนสนิทของแคว้นประมุขซีหนี่ว์แบ่งออกเป็นสองพรรค พรรคแรกคือแม่ทัพป้องกันเมืองหูย่วนเอ๋อร์เป็นผู้นำ คอยปกป้องประมุขแคว้น ให้การสนับสนุนทุกการตัดสินใจของประมุขแคว้นรวมถึงครั้งนี้ที่ต่อหน้าโจมตีแคว้นหนานฉี ความจริงนั้นเป็นพันธมิตรกับแคว้นหนานฉีขุนพลอื่นหลายคนกลับมีความคิดอื่นพวกนางคิดว่า แคว้นซีหนี่ว์ไม่ควรให้การสนับสนุนแคว้นหนานฉี“ประมุขแคว้น ทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกันถือเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ท่านควรปรึกษาพวกกระหม่อมตั้งแต่แรก! ค่อยทำการตัดสินใจ! เห็นได้ชัดว่าแคว้นหนานฉียากที่จะเอาตัวรอด แคว้นซีหนี่ว์ไม่มีความจำเป็นที่จะถูกลากลงน้ำไปด้วย!”“ท่านประมุขแคว้น ขอท่านทรงเปลี่ยนกลยุทธ์แสร้งโจมตี กลับมาร่วมมือกับแต่ละแคว้นโจมตีแคว้นหนานฉีเถอะ!”“ท่านประมุขแคว้น สถานการณ์ตอนนี้เห็นได้อย่างชัดเจน โอกาสที่แคว้นหนานฉีจะชนะนั้นมีน้อยมาก อาศัยเพียงกำลังแคว้นเดียว ไม่มีทางเอาชนะกองกำลังทหารสิบกว่าแคว้นได้ เป็นพันธมิตรกับเป่ยเยี่ยนจะดีกว่า!”ไม่ว่าพวกนางจะโน้มน้าวยังไง ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ยังคงยืนหยัดความคิดตนเองนางนั่งบนเก้าอี้สูงศักดิ์ สีหน้าเยือกเย็น น้ำเสียงไม่ให้ได้ขัดขืน“เราจะคอยดู แ
แต่ละแคว้นโจมตีแคว้นหนานฉี ภัยพิบัติครั้งนี้ รุนแรงยิ่งกว่าตอนที่เซียวอวี้เพิ่งครองราชย์ หลายแคว้นร่วมมือกันโจมตีแคว้นหนานฉีเหล่าขุนนางต่างมองหน้ากันต่อให้มีการเตรียมการปกป้องแล้ว ทว่า วันนี้ก็มาถึงเร็วเกินไปเซียวอวี้สมกับที่เป็นจักรพรรดิแห่งแผ่นดิน ศัตรูมาขวางหน้า ไม่มีความกระสับกระส่ายแม้เพียงนิดเขามีรับสั่งอย่างสุขุมใจเย็น“เฝ้าปกป้องสี่ชายแดนอย่างเข้มงวด เตรียมเสบียงอาหาร เตรียมปืนหอกไฟ!”“พ่ะย่ะค่ะ!”ยามนี้ ชายแดนแคว้นหนานฉี กองทัพแต่ละแคว้นรวมตัวกันชายแดนเหนือมีเป่ยเยี่ยน ตลอดจนสามแคว้นเล็กที่อยู่ภายใต้เป่ยเยี่ยนชายแดนตะวันออกมีแคว้นต้าเซี่ยเป็นผู้นำรวบรวมกองกำลังพันธมิตรสี่แคว้นชายแดนใต้ ทหารพันธมิตรที่เมื่อไม่นานถูกโจมตีล่าถอยหวนกลับมา ยังมีแคว้นหนานชางที่พักฟื้นมาหลายปี มีทหารม้าเป็นจำนวนมากรวมอยู่ด้วยชายแดนตะวันตกก็มีสองแคว้นเล็ก รวบรวมกำลังทหาร ทั้งหมดสามหมื่น ยังมีกองทัพหกหมื่นนายของแคว้นซีหนี่ว์ติดตามอยู่ข้างหลังพวกเขาเคลื่อนทัพมายังสี่ชายแดนแคว้นหนานฉี ทำการโอบล้อม มากันอย่างดุเดือดเหล่าทหารที่เฝ้าปกป้องชายแดน ไม่เคยเห็นเช่นนี้แคว้นใหญ่เล็กนับรวมก
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามอาภรณ์อัปลักษณ์ในตำหนักจื้อเฉิน ถูกเฟิ่งจิ่วเหยียนโยนทิ้งไปทั้งหมดต่อให้เป็นเช่นนี้ อารมณ์ของนางก็ยากที่จะสงบสตรีปกติคนไหนสามารถรับได้ ผู้ชายของตนเองแต่งตัวราวกับหนุ่มน้อยยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นถึงจักรพรรดิตอนที่นางโยนเสื้อผ้า จักรพรรดิหนุ่มก็ตามอยู่ข้างหลังนาง ราวกับเด็กน้อยที่ทำอะไรผิด จนทำอะไรไม่ถูก“จิ่วเหยียน ชุดนี้ดีอยู่นะ...”“ฮองเฮา มิต้องโยนแล้ว ตัวนี้เราชอบมาก”“ตัวนี้โยนไม่ได้ เจ้าเคยพูดว่า ชอบดูเราสวมใส่...”แต่แล้ว ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร ที่ควรทิ้งก็ยังคงทิ้งเฟิ่งจิ่วเหยียนโกรธมาก ถอดที่เขาสวมใส่อยู่ออกมาด้วยตนเองต่อให้เป็นเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ยังคงไม่สามารถระงับความโกรธได้นางเดินมาถึงด้านนอกตำหนัก กวาดสายตามอง แส้สีแดงในมือหลิวซื่อเหลียงหลิวซื่อเหลียง: แววตาของฮองเฮา น่ากลัวมาก...เฟิ่งจิ่วเหยียนแย่งเอาแส้นั้นมา“หัวมงกุฎท้ายมังกร! ข้าไม่เคยเห็นแส้สีแดง! อันนี้ก็เผาไปเสีย! !”หลิวซื่อเหลียงคุกเข่าลง “ตุบ” ปากตะโกนว่า“ฮองเฮา เผามิได้พ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าบาทตรัสว่า นี่เป็นสิริมงคล...”ในใจกลับคิดว่า: เผาได้ดี! ฮองเฮาต่างหากที่เ
ภายใต้สายตาเร่าร้อนของเซียวอวี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนเปิดกล่องผ้าแพรข้างในมีมีดทองเล่มหนึ่ง ยังมีจดหมายลายพระหัตถ์ของประมุขแคว้นซีหนี่ว์หนึ่งฉบับเซียวอวี้ยังไม่ดูจดหมาย เมื่อเห็นมีดทองเล่มนั้น สีหน้าพลันเปลี่ยนไปมีดทองเป็นสิ่งของมีเฉพาะราชวงศ์แคว้นซีหนี่ว์ ใช้สำหรับมอบให้ผู้มีพระคุณ คนรู้ใจ และใช้เป็นสินสอดสู่ขอนี่ประมุขแคว้นซีหนี่ว์หมายความว่าอย่างไร!เซียวอวี้แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ ความจริงลูกตาเอียงไปด้านข้าง จ้องมองทางด้านเฟิ่งจิ่วเหยียนเฟิ่งจิ่วเหยียนเปิดจดหมาย เมื่ออ่านจบแล้ว ก็เก็บพับไว้ครั้นเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นสายตาไม่พอใจของเซียวอวี้“ท่านอยากดู?”เซียวอวี้นั่งตัวตรง: “ก็ไม่ได้อยากดูขนาดนั้น”เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ความคิดในใจเขาเป็นอย่างดี จึงอธิบาย“ประมุขแคว้นมอบมีดทอง เพื่อขอบคุณที่หม่อมฉันช่วยสงบศึกวุ่นวายภายใน”สีหน้าเซียวอวี้ทำเป็นไม่ใส่ใจ“เรารู้“เจ้าเป็นฮองเฮาของเรา ยังเป็นสตรี ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มอบมีดทอง คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นสินสอด เรามีอันใดต้องคิดมาก”เฉินจี๋ที่อยู่ด้านข้างพูดเสริมขึ้นมา“ฝ่าบาท ท่าทีกระหม่อมทราบ ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ท่านนั้นชอบทั้งชายและ
เทียนยาวลุกไหม้ตลอดคืน ในตำหนักหย่งเหอเต็มไปด้วยความรักไร้การหลับไหลทั้งคืนวันรุ่งขึ้น ครั้นเซียวอวี้ตื่นขึ้นมา มองไปที่คนยังนอนหนุนแขนตนเอง ด้วยสีหน้าอิ่มเอม ก้มศีรษะจูบแก้มนาง แล้วก็ปัดไรผมบนหน้าผากนางที่ยุ่งเหยิง จับจ้องนางอย่างรักใคร่เมื่อคืนเหน็ดเหนื่อยครึ่งค่อนคืน ดึกมากแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนค่อยนอนหลับไม่ง่ายที่จะได้ผ่อนคลาย วันนี้นางนอนจนตะวันโด่งฟ้าหว่านชิวเดินเข้ามาในตำหนัก ยกน้ำร้อนมาคอยปรนนิบัติฮองเฮาล้างหน้าแต่งตัว“ฮองเฮา หมอหลวงเจิ้งขอเข้าเฝ้าเพคะ รออยู่ด้านนอกเป็นเวลานานแล้วเพคะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้า นวดเอวที่ปวดเมื่อยเวลาผ่านไปสองเค่อ หมอหลวงเจิ้งถูกพาเข้ามาเขาถวายความเคารพ “กระหม่อมถวายบังคมฮองเฮา”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งบนตำแหน่งประมุข น้ำเสียงอ่อนโยน“หมอหลวงเจิ้งมาหาข้าอย่างรีบเร่ง มีเรื่องสำคัญอันใด?”“กระหม่อมมีเรื่องหนึ่งจริง วันนี้ได้กราบทูลรายงานฝ่าบาทแล้ว ฝ่าบาทยุ่งกับงานราชกิจ จึงให้กระหม่อมมายังตำหนักหย่งเหอ กราบทูลรายงานฮองเฮาโดยตรงอีกครั้ง” หมอหลวงเจิ้งอายุมากแล้ว เส้นผมเป็นสีขาวหมดแล้วทว่าทั่วทั้งสำนักหมอหลวง ด้านทักษะทางการแพทย์ ไม่มีผู้ใ
รู้ว่าอู๋ไป๋ตกอยู่ในมือของแคว้นตงซาน ท่าทีเฟิ่งจิ่วเหยียนกลายเป็นเยือกเย็นขึ้นมาทันที เซียวอวี้จับมือของนางอย่างแผ่วเบา“เราไม่ได้บอกเจ้าตั้งแต่แรก เพราะกลัวเจ้า...”“เขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่” เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขัดจังหวะขึ้นมา พร้อมถามตามตรง เซียวอวี้พูดปลอบโยน “จากข่าวที่ได้มาในตอนนี้ เขาเพียงถูกล้อมไว้ คนน่าจะยังมีชีวิตอยู่ เจ้าวางใจ เราได้ส่งคนไปช่วยเหลือแล้ว เชื่อว่าไม่ช้าก็จะช่วยคนออกมาได้”“อู๋ไป๋รอไม่ไหว” สีหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนตึงเครียดนางลุกขึ้นมา หันไปพูดกับเซียวอวี้ “วิธีที่รวดเร็วที่สุด คือไปหาถานไถเหยี่ยน”ในวันเดียวกันฮ่องเต้รับสั่งให้ถานไถเหยี่ยนเข้าวังด่วนเขาเข้ามาในห้องทรงพระอักษร เห็นฮองเฮาก็อยู่ด้วยเพราะกำลังตั้งครรภ์ ท้องน้อยนูนเล็กน้อยเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่เคยเป็นคนท้อง แต่ก็เคยเห็นมาไม่น้อยยามนี้นางเลียนแบบรูปร่างของคนท้องได้อย่างแม่นยำ ท่าทีผ่อนคลาย หากคอยห่วงใยลูกในครรภ์อยู่ตลอดเวลา ถานไถเหยี่ยนถวายความเคารพฮ่องเต้กับฝ่าบาทหลายวันก่อน เขาตามหา “ใยแมงมุม” ที่เหลือมาตลอด ร่วมมือกับตงฟางซื่อได้เป็นอย่างดีสองวันนี้กลับมาเมืองหลวง มาเอายาถอนพิษยาส
หลังจากเฉินจี๋ไปแล้ว จางฉวนอดกลั้นน้ำตาแห่งความตื่นเต้นไว้ พร้อมวิ่งเข้าไปในบ้านสตรีที่นอนอยู่บนเตียง ราวกับศพร่างหนึ่ง หลับตานอนราบ ไม่ขยับเขยื้อน แม้แต่ตาก็ปิดอยู่หากไม่ใช่เพราะนางยังหายใจอยู่ ก็ไม่แตกต่างอะไรกับคนตายเสี่ยวจางฉวนคุกเข่าอยู่ข้างเตียง จับมือของแม่ อดกลั้นน้ำตาเอาไว้“ท่านแม่ ข้าจะได้เข้าสถาบันทางการทหารแล้ว” “ต่อไปราชสำนักจะจ่ายเบี้ยหวัดให้ข้าทุกเดือน ข้าก็จะมีเงินซื้อยาให้ท่านแล้ว!”แม่ป่วยมานานหลายปี ลำบากที่ไม่มีเงินรักษามาตลอดเขาอยากเข้าร่วมการจัดสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ อยากเป็นขุนนาง ก็เพื่อเก็บเงินรักษาอาการป่วยของแม่เพราะการเรียนหนังสือสอบบรรจุ เป็นทางออกทางเดียวของเขาทั้งที่เข้าร่วมการจัดสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ในปีนี้มีความหวัง ฮ่องเต้กลับเลื่อนเวลาสอบมาล่วงหน้า! เขาจึงเกลียดชังฮ่องเต้อย่างมาก จึงเขียนบทกวีปริศนาก่นด่าฮ่องเต้ระบายอารมณ์เดิมโคมลอยล้วนถูกขายกระจัดกระจายออกไป ไม่มีคนพบบทกวีที่เชื่อมต่อกัน สุดท้าย...คืนวันเทศกาลชีซี เขาถูกมือปรามจับตัว ติดคุกหลายวัน เขาเสียใจอย่างมาก อย่างไร เขาถูกจับ ก็ไม่มีคนดูแลแม่แล้วหลังจากกลับบ้าน เขายังกลัว
หลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนตอบตกลง ดวงตาเซียวอวี้ละลายไปด้วยความอบอุ่นเขาทำใจปล่อยมือนางไม่ได้ คว้าจับไว้แน่น“พรุ่งนี้เราจะประกาศเรื่องนี้”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉย “ไม่ต้องร้อนใจขนาดนี้ สี่ชายแดนแคว้นหนานฉีตอนนี้ยังไม่สงบ รับมือกับศัตรูก่อน”เซียวอวี้พยักหน้า “เจ้าพูดถูก เช่นนั้นพวกเรา ทานข้าวกันก่อน?”นางเหนื่อยล้าจากการเดินทาง จะต้องไม่ได้ทานอิ่มสักมื้อแน่เฟิ่งจิ่วเหยียนหิวแล้วจริง ๆ นางก้มศีรษะมองมือขวาของตนเอง “ท่านจับมือของหม่อมฉันไว้ จะให้หม่อมฉันใช้ตะเกียบอย่างไร?”เซียวอวี้ยิ้มหัวเราะ “เราป้อนเจ้า”“อย่าเลย ให้หม่อมฉันทานเองเถอะเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบแกะนิ้วของเขาออก พร้อมพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง……ก่อนกลับวัง เฟิ่งจิ่วเหยียนยังมีเรื่องต้องจัดการชานเมือง ในบ้านไร่แห่งหนึ่งภายในลานวุ่นวาย สุนัขไล่ไก่ ไก่บิน ไข่ไก่แตกเด็กอายุประมาณสิบขวบดูเหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อย นั่งสานตะกร้าไม้ไผ่อยู่ตรงมุม มีหนังสือเล่มวางอยู่บนพื้นเขาทำสองอย่างพร้อมกัน ดูเหมือนเป็นคนขยันชอบเรียนหนังสือคนนี้คือจางโก่วตั้น ชื่อจริงจางฉวนเขาเห็นมีคนมา ก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที วางตะกร้า
“ฮองเฮา นี่เจ้าจะทำอันใด” เซียวอวี้รีบประคองเฟิ่งจิ่วเหยียนขึ้นมาทันที นางกลัวเขาจะลงโทษกองทัพอินทรีเหิน หรืออยากให้เขาลงโทษกันแน่? ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร ก็ไม่ควรนอบน้อมเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ยอมลุกขึ้น นางยังอยู่ในท่าแสดงความเคารพ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ฝ่าบาท ได้โปรดอนุญาตให้กองทัพอินทรีเหินกลับคืนสู่ค่ายเป่ยต้าด้วยเพคะ” เซียวอวี้ย่นคิ้วเบา ๆ เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่า นางจะทำเพื่อเหตุผลนี้ เซียวอวี้ประคองใต้ศอกของเฟิ่งจิ่วเหยียน เพื่อบอกให้นางอย่าได้มากพิธี เขากล่าวอย่างโล่งใจ “จิ่วเหยียน ระหว่างพวกเรา ไม่ต้องทำเช่นนี้เลย “หากเป็นเรื่องของกองทัพอินทรีเหิน ก็แค่เอ่ยมาตามตรง” เฟิ่งจิ่วเหยียนหยิบคำสั่งทหารออกมาอีกครั้ง นี่เป็นสิ่งที่เซียวอวี้มอบให้นางใช้ป้องกันตัว ก่อนจะออกเดินทางไปยังแคว้นซีหนี่ว์ นางเก็บรักษามันไว้อย่างดี ตอนนี้ได้กลับมาที่หนานฉีแล้ว ก็ควรจะคืนให้เขา ทว่า เซียวอวี้ไม่ยอมรับไว้ น้ำเสียงของเขาทุ้มลึก “สามีภรรยาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ทุกสิ่งของเรา ล้วนเป็นของเจ้า ไยจะต้องแบ่งแยกให้ชัดเจนเช่นนี