ด้านหลังประตูลับนั้น ภาพตรงหน้าที่ฉายเข้ามาในม่านตาเป็นสระยาขนาดใหญ่ด้านในสระเต็มไปด้วยสิ่งมีพิษมากมาย รวมไปถึงร่างกายพิกลพิการที่กำลังส่งกลิ่นเน่าเหม็นออกมาเมื่อเห็นสภาพตรงหน้านั้น ต่างก็สามารถจินตนาการได้ในทันทีว่าคนพวกนี้ก่อนตายจักต้องพบเจอกับการทรมานเช่นไรบ้างกำแพงโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยภาพฝาผนังมากมาย ทั้งยังมีความรายละเอียดที่เห็นเรื่องราวได้ชัดมากเสียยิ่งกว่าด้านนอกเมื่อครู่เสียอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนพบเบาะแสสำคัญจากภาพวาดในทันทีด้านบนพลันมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เรียกว่า “หนอนผีเสื้อ”หนอนผีเสื้อนั้น นับว่าเป็นโอสถวิเศษชนิดหนึ่งที่ใช้สำหรับร่างของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว หากแต่วิญญาณยังคงสถิตอยู่ในร่างอยู่โดยส่วนมากนั้น ผู้คนเหล่านี้มักจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไป หากแต่ยังมีลมหายใจอยู่ จึงจำเป็นต้องใช้หนอนผีเสื้อเพื่อชุบชีวิตพวกเขาขึ้นมาการจะฝึกฝนเพื่อให้ได้โอสถชนิดนี้นั้น จำเป็นต้องใช้มนุษย์ที่มีชีวิตอยู่เป็นตัวทดลอง ใช้เลือดคนจริง ๆ มาผสมกับคนตายที่หมดสติไป เพื่อเป็นการถ่ายเลือดทุกเดือนสิ่งที่โหดร้ายมากที่สุดก็คือ ผู้ที่เป็นตัวทดลองยานั้น บนร่างกายจักต้องถูกกรีดออกเป็นช
ภายในรถม้านั้น ประมุขพรรคเทียนหลงหาได้มีท่าทีตื่นกลัวใด ๆ ไม่ กลับกันเขากับหันมามองเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยใบหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความใจดี“คุณชายซู ไม่เจอกันนานเลย สบายดีหรือไม่เล่า?”ยามที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น มือสังหารสองคนพลันมาปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหลังของเฟิ่งจิ่วเหยียนในทันทีพวกเขาเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน อีกคนฝ่ายรับอีกคนฝ่ายรุก ผลัดกันโจมตีเข้ามาด้วยความดุเดือดไม่นานนัก พวกเขาก็สามารถทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนล่าถอยออกไปได้ ทั้งยังกลับมาปกป้องรถม้าได้อีกครั้งประมุขพรรคที่นั่งอยู่ในรถม้านั้น หาได้เห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่ในสายตาไม่ เขากลับเป็นกังวลเรื่องการโจมตีประตูเมืองหลวงเสียมากกว่าถึงแม้ว่าการที่กองทัพหวงปั้วจักหันมาเปลี่ยนข้างไปนั้น จะไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาก็ตามทว่า พวกเขาหาได้มิมีการเตรียมตัวรับมือในเรื่องนี้ไม่ท่านประมุขพรรคจึงยกมือขึ้นมา ผู้ที่อยู่ข้างกายจึงเข้าใจได้ในทันทีพร้อมทั้งมีเสียงนกหวีดดังตามมา ก่อนจะพบว่าบนฟากฟ้ามีนกตัวใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้น ก่อนจะโบยบินพุ่งมาที่กำแพงเมืองกรงเล็บที่แหลมคมของพวกมันดุร้ายยิ่งนัก ปีกของพวกมันก็มีพละกำลังมากเช่นกันบนกำแพ
ความรู้สึกที่ถูกบีบคออยู่นั้น น่าอึดอัดยิ่งนักความรู้สึกที่หายใจไม่ออก จนทำให้ผู้คนต้องดิ้นรนตามสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดของตัวเองทว่า เฟิงจิ่วเหยียนหาได้เป็นเช่นนั้นไม่นางชักลูกธนูออกมาจากแขนเสื้อของตนเองหากว่ากันตามจริงแล้ว ระยะห่างเพียงเท่านี้ ประมุขพรรคย่อมต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยจู่ ๆ ……ปั้ง!กำลังภายในของบุรุษตรงหน้าที่สะท้อนออกมา ทำเอาร่างของเฟิ่งจิ่วเหยียนและลูกธนูที่อยู่ในมือนั้นกระเด็นออกจากรถม้าไปในทันทีผลัก!หลังของเฟิ่งจิ่วเหยียนล้มกระแทกลงบนพื้นเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองนั้น ก็พบว่าผนังรถม้ากลายเป็นรูขนาดใหญ่ พร้อมทั้งด้านในที่มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาให้ทุกคนได้เห็นคนผู้นั้นก็คือประมุขพรรคเทียนหลง ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการทำความผิดในครานี้เขาจ้องมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยความเย็นชา“ผู้ที่คิดต่อต้านข้า จักต้องตาย!”พูดจบ เขาพลันยื่นมือออกมา ก่อนที่กำลังภายในมากมายจะพุ่งเข้าหาเฟิ่งจิ่วเหยียนในทันทีเฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนจะใช้ลูกเตะปรายมารเตะศพร่างหนึ่งออกไปเพื่อขวางกั้นแรงลมของกำลังภายในที่กำลังดูดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะก้มลงไปหยิบดา
หลังจากที่เกิดช่องว่างที่ประตูเมืองแล้วนั้น กองทัพมนุษย์โอสถที่ได้ยินเช่นนั้น ก็ทำการเคลื่อนไหวในทันทีพวกเขาพยายามทะลวงเข้ามาเรื่อย ๆ กองทหารรักษาการณ์ที่อยู่ด้านหลังประตุเมืองนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็เข้าประจันหน้ากันเมื่อเห็นว่าฝ่าบาทกำลังตกอยุ่ในอันตรายนั้น รุ่ยอ๋องที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองจึงร้องตะโกนออกมาว่า“คุ้มกันฝ่าบาท!”เซียวอวี้จึงกระโดดหลบหนีเหล่ากองทัพมนุษย์โอสถในทันทีก่อนจะได้มาเผชิญหน้ากับประมุขพรรคเทียนหลงแบบตัวต่อตัวและยังมีเฟิ่งจิ่วเหยียนเขานึกแปลกใจเล็กน้อยที่นางกลับมาเป็นไปได้หรือไม่ว่า หลังจากที่นางช่วยเหลือต้วนไหวซวี่ได้แล้วนั้น ตนเองเกิดวางภาระหน้าที่ในฐานะท่านแม่ทัพน้อยเมิ่งไม่ลง จึงได้กลับมาช่วยกอบกู้เมืองหลวงเช่นนี้?ถึงอย่างไร ย่อมมิใช่เพราะกลับมาช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอนนอกจากมนุษย์โอสถของพรรคเทียนหลงแล้วนั้น ยังมีลูกศิษย์ของพรรคเทียนหลงอีกไม่น้อยเลยพวกเขายืนอยู่ข้างหลังของประมุขพรรค ก่อนจะเผชิญหน้ากับกองกำลังของเซียวอวี้อย่างไม่เกรงกลัวประมุขพรรคพุ่งตัวเข้าใส่เซียวอวี้พลางกล่าวว่า“ในเมื่อฮ่องเต้ทรราชไร้เมตตา เช่นนั้นพวกเราจักสถาปนาฮ่องเต้องค์
เมื่อเศษละอองฝุ่นจางหายออกไปแล้วนั้น ก็พลันพบกับสตรีที่สวมใส่ผ้าคลุมหน้านางหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังของท่านประมุข ก่อนจะใช้มีดด้ามเดียวปลิดชีพประมุขพรรคเทียนหลงเพียงแค่มองครั้งเดียว เฟิ่งจิ่วเหยียนก็จำได้ในทันทีว่าสตรีผู้นี้คือคนที่ยืมมือมาช่วยเหลือนางภายในอารามเต๋าคืนนั้น ทั้งยังเรียกขานตัวเองว่า “จางเสวี่ย”“แม่นางหร่าน! เจ้ากำลังทำอะไร!” เหล่าลูกศิษย์พรรคเทียนหลงที่จดจำนางได้จากไกล ๆ นั้น พลางเอ่ยถามด้วยความโกรธแค้นประมุขพรรคที่ถูกแทงนั้น พลันหันมาคว้าคอของหร่านชิวเอาไว้เขามิเคยคิดเลยว่า ลูกศิษย์ที่รักของตนเอง จักกล้ากระทำตัวหักหลังต่อตนเองเช่นนี้ได้ประมุขพรรคที่กำลังรวบรวมกำลังภายในเมื่อครู่นั้น เขาย่อมมิมีทางรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นได้ทัน ผู้ที่ลงมือกับเขาในยามนี้ ถือว่าเป็นการมุ่งร้ายจะเอาชีวิตเลยทีเดียว!เขาต้องการฆ่านังคนทรยศผู้นี้!หากแต่เซียวอวี้ก้าวไวกว่าเขาไปหนึ่งก้าว พลางประทับฝ่ามือไปที่ด้านหลังประมุขพรรคในทันทีฉึก—เลือดสด ๆ สาดกระเซ็นบนผ้าคลุมหน้าของหร่านชิว แววตาของนางเจือไปด้วยความอำมหิต พร้อมทั้งแทงมีดลงไปที่ทรวงอกของประมุขพรรคเทียนหลงในทันท
เซียวอวี้มิอยากพบหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนในตอนนี้เขารู้ดีว่า การที่นางมาขอเข้าพบตนเองเช่นนี้ จักต้องเป็นเพราะต้วนไหวซวี่อย่างแน่นอนเนื่องจากเบาะแสที่มีอยู่ในมือของนางไม่เหลือแล้ว จึงต้องการความช่วยเหลือจากเขาดวงตาของเซียวอวี้พลันเจือไปด้วยความมืดมนหัวใจของมนุษย์นั้นสร้างมาจากเลือดเนื้อตัวเอง หากว่าเลือดเนื้อนี้ถูกทำลายจนได้รับบาดเจ็บ ก็ย่อมตกตายไปเมื่อคืนนี้ หลังจากที่เขารู้ว่านางทิ้งความปลอดภัยของเมืองหลวงและเลือกที่จะไปช่วยต้วนไหวซวี่นั้น เขาก็หมดความหวังในตัวนางแล้วการปล่อยนางไป ถือเป็นสิ่งที่เขาสมควรทำในตอนนี้ หากนางต้องการให้เขาช่วยเหลือนางอีกละก็ เขาคงไม่อาจทำเพื่อนางได้อีก“บอกไปว่าเราไม่ว่าง”เซียวอวี้มิต้องการเจอนาง ทั้งยังพยายามบีบให้นางต้องล่าถอยไปเองส่วนความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างนางกับต้วนไหวซวี่จักเป็นเช่นไรนั้น หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับเขาไม่ในยามนี้ เรื่องราวที่เขาจักต้องจัดการอยู่ภายในมือมีอยู่มากมายนักทั้งพรรคเทียนหลงและเซียวจั๋วเรื่องราวเหล่านี้มีสิ่งใดมิสำคัญไปมากกว่าการช่วยนางตามหาต้วนไหวซวี่กัน?ตกกลางคืน เซียวจั๋วถูกเรียกตัวเข้าวังในทันทีเขาเองก็
ทั่วร่างของเซียวอวี้ราวกับถูกฟ้าผ่าไปในทันทีนางกำลังทำอันใดกัน!ทั่วร่างของเซียวอวี้พลันแข็งทื่อ คิ้วที่ขมวดเป็นปมเมื่อครู่นั้น พลันผ่อนคลายลงราวกับภูเขาหิมะที่ถูกความอบอุ่นของแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาในทันทีเสมือนกับแผ่นดินที่แห้งแล้งได้มาพบเจอกับความชุ่มฉ่ำของน้ำฝน ราวกับขอนไม้ที่แห้งตายได้ฟื้นคืนชีพกลับมายามวสันตฤดูจิตใจของเขาที่แห้งเหือดมาเนิ่นนาน ราวกับมีบุปผาผลิดอกออกบานขึ้นมาในชั่วพริบตา ยามที่ดอกไม้สั่นไหวเบา ๆ นั้น ความรู้สึกหอมหวานปมซาบซ่านพลันแผ่ซ่านไปทั่วหน้าอก จนหลอมรวมมาเป็นเปลวเพลิงอันร้อนแรงในครานี้ เป็นนางที่ยอมถอดหน้ากากของตนเองออกมานางยอมออกมาเพื่อเผชิญหน้ากับเขาแล้วงั้นหรือ!เซียวอวี้คว้าด้านหลังคอของนางเอาไว้ ก่อนจะพรมจูบตอบกลับไปเฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ผลักเขาออกไป ยิ่งทำให้เซียวอวี้ได้ใจมากกว่าเดิมหัวใจที่ราวกับมีเพลิงไฟร้อนรุ่มอยู่ในนั้น เซียวอวี้พลันใช้แขนข้างหนึ่งโอบเอวของนางเอาไว้ ก่อนจะยกตัวนางขึ้นวางบนโต๊ะทรงงานของตัวเอง อ้อมแขนอันแข็งแกร่งกักขังเฟิ่งจิ่วเหยียนเอาไว้ ก่อนจะพรมจูบต่อไปมิยอมปล่อยให้นางได้หนีหายจากไปอีก สิ่งที่เซียวอวี้นึกไม่ถึงก็คือ
เซียวอวี้นั่งอยู่บนหัวเตียง ทั่วร่างเพียงสวมเสื้อคลุมเอาไว้หลวม ๆ เท่านั้น พลางเผยให้เห็นหมัดกล้ามเนื้อที่อันล่ำสัน ที่มีเหงื่อไหลออกมาเล็กน้อยใบหน้าที่รูปงามพลางแสดงสีหน้าความเกียจคร้านออกมาเล็กน้อย หางตายังคงเจือไปด้วยรอยเปื้อนสีแดง ผมเผ้าที่เคยเกล้าเอาไว้ ในยามนี้กับยุ่งเหยิงในยามนี้ เขาจ้องมองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียนที่นั่งอยู่ข้างเตียงนางค่อย ๆ สวมใส่อาภรณ์ของตนเองลงไปทีละชิ้น ผมที่เกล้ามัดขึ้นไปใหม่ ทุกอริยาบถของนาง ในสายตาของเซียวอวี้แล้วนั้น มันเต็มไปด้วยความสบายตาสบายใจ ทั้งยังทำให้ภายในใจของเขาเกิดอาการร้อนรุ่มขึ้นมาไม่น้อยเซียวอวี้มิคิดเลยว่า ตนเองจักมีโอกาสได้โอบกอดนางอีกครั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ราวกับเพียงแค่ความฝันฉากหนึ่งยามที่เฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังจะลุกออกไปนั้น เซียวอวี้ก็สวมกอดนางจากด้านหลังในทันที“อย่าไปเลย เราจักช่วยคนให้เจ้า…”เขามิอยากเห็นนางตกตายไปได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเอ่ยตัดบทเขาออกมาด้วยความใจเย็น“นี่คือเรื่องของหม่อมฉันเพคะ”เซียวอวี้มิยอมปล่อยมือ ก่อนจะกดคางของตนเองลงบนไหล่ของนาง “จิ่วหยาน เจ้ายังมีเราอยู่ในใจ อีกทั้งร่างกายของเจ้าเป็นค
เฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นยืน โค้งคำนับท่านอ๋องทั้งสองคนสองคนนั้นกลับหันไปคารวะเซียวอวี้ใบหน้าของอ๋องผู้เฒ่าออบโอ้มอารี เอ่ยอย่างหยอกล้อ“แม่นางเฟิ่ง โลหิตหงส์ขาดแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ หากเจ้าอภิเษกกับฝ่าบาทอีกครั้งได้…”หัวคิ้วของเฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดเล็กน้อยเซียวอวี้รู้ดี ในตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความคิดพิจารณาเรื่องเหล่านี้อยู่ดี ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ก็มีแต่จะทำให้นางหงุดหงิดเขาเป็นฝ่ายตัดบทของอ๋องผู้เฒ่า“พูดเรื่องสำคัญได้แล้ว”เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ตัวว่าสถานะของตัวเองไม่เหมาะสม จึงจะขอตัวออกมาเซียวอวี้กลับคว้าแขนของนางไว้ “เจ้าไม่ต้องไป”“เพคะ”หนานซานอ๋องกล่าวอย่างนอบน้อม“ฝ่าบาท ที่กระหม่อมกับท่านพ่อมา เพราะอยากขอคำชี้แนะเรื่องขุมทรัพย์กับศิลาหยก เจดีย์เก้าชั้นถูกทำลายแล้ว ต่างถูกฝังไว้ใต้ดินทั้งหมด จำเป็นต้องขุดมาหรือไม่”เซียวอวี้ถามอย่างเรียบนิ่ง“เรื่องศิลาหยก พวกเจ้ารู้มากแค่ไหน?”หนานซานอ๋องหันไปมองอ๋องผู้เฒ่าเขาสงสัยมาตลอด ของศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ เหตุใดปฐมจักรพรรดิต้องครอบงำมันไว้ในเจดีย์เก้าชั้น?คำบอกเล่าของตงฟางซื่อก่อนหน้านี้ ทำให้เขาพะว้า
ณ ห้องด้านข้างต้วนไหวซวี่กระอักเลือดดำออกมาเป็นจำนวนมากเขานอนเอนกายอย่างอ่อนแรง ร่างกายส่วนบนพิงอยู่ที่ไหล่ของต้วนเจิ้ง จนดูคล้ายกับหญิงงามเอนอิงกิ่งหลิว ใบหน้าซีดเผือด ดวงตาคู่งามราวกับหยกกลายเป็นสีขุ่นมัวเมื่อเห็นเขาแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนก็นึกถึงเรื่องราวมากมายในอดีตครั้งแรกที่เจอเขา นางรู้สึกว่าคนผู้นี้อบอุ่นอ่อนโยนไปถึงกระดูกเมื่อเผชิญหน้ากับการหยอกล้อยั่วเย้าของเหล่าทหาร เขาไม่หน้าแดงเลยแม้แต่น้อย และมักจะตอบสนองอย่างอ่อนโยนอยู่เสมอด้วยฐานะหมอทหาร เขาจึงมีความอดทนเป็นอย่างยิ่งยามนั้นนางชอบกลิ่นอายที่สุขสงบบนตัวเขา เมื่ออยู่กับเขา นางก็จะรู้สึกสบายใจอยู่เสมอดังนั้นต่อให้นางรู้ว่าเขาเป็นคนของพรรคเทียนหลง นางก็ไม่เคยสงสัยในความเมตตากรุณาของเขาเลยบางสิ่งบางอย่าง ไม่อาจปลอมแปลงออกมาได้สถานะกับอดีต เขาไม่อาจเลือกเองได้แต่ไหนแต่ไรมาเมื่อนางชอบใคร ก็มักจะมองแต่ปัจจุบันเท่านั้นเรื่องที่นางเคยชอบเขามาก่อน นางไม่เคยเสียใจและไม่เคยแค้นเคืองเลยเฟิ่งจิ่วเหยียนยกเก้าอี้กลมมาตัวหนึ่งแล้วนั่งอยู่ข้างเตียงก่อนหน้านี้มักจะคิดว่าอยากจะพบกันอีกครั้ง ยามนี้เมื่อได้พบกัน ถ้อยคำ
เพียงไม่นาน ในนอกร่วมมือกัน ในที่สุดก็ช่วยต้วนไหวซวี่ออกมาได้สำเร็จชั่วพริบตาที่เห็นเขา เฟิ่งจิ่วเหยียนก็รู้สึกใจสั่นเขาผอมลงมาก แขนข้างหนึ่งขาด ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าที่หล่อเหลางดงามไร้ชีวิตชีวา ราวกับเป็นศพ ริมฝีปากซีดเผือดแห้งผาก“ท่านพี่!” ต้วนเจิ้งตื่นตระหนกจนน้ำตาไหล “ในที่สุด ในที่สุดก็หาท่านจนพบ!”ลูกตาของต้วนไหวซวี่ขยับมองไปทางเฟิ่งจิ่วเหยียนที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลนักฝ่ายหลังรีบเข้ามาหา แทบจะลงไปคุกเข่าด้านหน้าเขาทันที “ไหวซวี่”ต้วนไหวซวี่เผยรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยน ราวกับพระอาทิตย์ที่อบอุ่นสาดส่องลงมา“อาเหยียน...”“ฝ่าบาท!” เฉินจี๋ร้องอย่างตื่นตระหนกเฟิ่งจิ่วเหยียนหันไปดูทันที ร่างกายวิ่งไปอย่างไม่อาจควบคุม“ฝ่าบาทเป็นอะไรไปรึ!” นางถามอย่างร้อนรน ทว่าเพื่อความปลอดภัยของเซียวอวี้แล้วจึงไม่อาจเข้าไปใกล้เกินไปได้เฉินจี๋กัดฟันกรอด “พื้นที่ปลอดภัยเกิดรูโหว่ขึ้น ฝ่าบาทถูกเศษหินกระแทกเข้าที่แขน!”ยามนี้เองด้านล่างก็มีเสียงแหบสายหนึ่งดังขึ้น“เราไม่เป็นไร...”หนานซานอ๋องตะโกนเสียงดังอย่างร้อนใจ “รีบช่วยคนเร็วเข้า หากเสียสมดุลเมื่อไหร่ พื้นที่ปลอดภัยก็จะทรุดลงไปได้เช่น
กองทหารนับหมื่นเคลื่อนพลขนย้ายดินระเบิดและอัสนีบาตฟ้าเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วภายในเจดีย์เก้าชั้นหยางเหลียนซั่วไล่ฆ่ามาตลอดทางจนถึงชั้นแปด พลังเจินชี่ทำให้เส้นผมของเขากระเจิดกระเจิงเขาฆ่าทุกคนที่อยู่ชั้นห้าขึ้นไปจนหมดสิ้น ก็ยังหาซูฮ่วนและฮ่องเต้ไม่เจอทันใดนั้นสายตาของเขาก็เคลื่อนไปมองด้านบน เท้าก็ก้าวขึ้นไปบนบันไดหินยอดเจดีย์...พวกมันจะต้องซ่อนอยู่ที่ยอดเจดีย์เป็นแน่!หลังจากหยางเหลียนซั่วขึ้นมาที่ชั้นเก้า สายตาคมกริบก็กวาดตามองทั้งชั้นทันใดนั้นเขาก็เห็นอะไรบางอย่างเป็นชายเสื้อผืนหนึ่งทว่าเมื่อเขาส่งพลังฝ่ามือไปทางนั้น กลับพบว่าเป็นเพียงชุดคลุมตัวหนึ่งเท่านั้น...กลยุทธ์ตบตารึ?แววตาของหยางเหลียนซั่วดำทะมึนและเย็นเยียบ“ออกมาซะ!!”เขาเงยหน้าตะโกนขึ้นฟ้าอย่างโมโหด้วยท่าทางคุ้มคลั่งแล้วใช้พลังเจินชี่ก่อให้เป็นพลังรูปกระสวยแล้วส่งพลังโจมตีออกไปทั่วทุกทิศทันใดนั้นด้านนอกก็เกิดเสียงดังกึกก้องขึ้น!ภายในพื้นที่ปลอดภัย เซียวอวี้เองก็ได้ยินเสียงนี้เช่นกันแสดงว่ากำลังระเบิดภูเขาหว่างคิ้วของเขาคลายออกเล็กน้อยอย่างผ่อนคลายในที่สุดก็จะจบลงซักที...ตู้ม!!!โครม!ภูเขา
ด้านนอกเจดีย์เก้าชั้น หนานซานอ๋องยังคงไม่ยอมตกลงเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่เคยพบคนที่ดื้อรั้นถึงเพียงนี้มาก่อนเลยตงฟางซื่อกล่าว“บรรพบุรุษของข้าใช้เจดีย์เก้าชั้นทับศิลาหยกเอาไว้ คิดดูแล้วปฐมจักรพรรดิคงไม่ต้องการให้ศิลาหยกได้ต้องแสงอีก”เฉินจี๋ลงไปคุกเข่าเบื้องหน้าหนานซานอ๋อง ดวงตาแดงก่ำ“ท่านอ๋อง! ท่านก็ได้ยินแล้วนี่พ่ะย่ะค่ะ! หากปฐมจักรพรรดิต้องการศิลาหยก เหตุใดพระองค์จึงฝังมันไว้ใต้ดินเล่า ควรจะนำมันมาเซ่นไหว้จึงจะถูก!”“ดังนั้นท่านอย่าได้ลังเลอีกเลย! รีบทำลายเจดีย์เก้าชั้นทิ้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ! !”แววตาของหนานซานอ๋องเปลี่ยนไปมา ทว่าสุดท้ายก็ยังหันหลังไปอย่างไร้น้ำใจ“โลหิตหงส์จะขาดไม่ได้”หน้าที่ของเขาและเหล่าทหารคือการคุ้มครองโลหิตหงส์เมื่อโลหิตหงส์ขาด พวกเขาก็ต้องตายแสงจันทร์ส่องสว่างลงบนใบหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียน ทำให้ดูเย็นชาและแฝงรังสีสังหารนางพูดกับหนานซานอ๋องด้วยท่าทางที่เอาจริงเอาจังเป็นอย่างมาก“ในเมื่อหยางเหลียนซั่วกล้าที่จะเข้าไปในเจดีย์เก้าชั้น เขาต้องมีวิธีออกมาแน่ หากตอนนี้ยังไม่ทำลายเจดีย์เก้าชั้นอีก จะช้าจะเร็วย่อมต้องถูกทำลายลงด้วยมือของหยางเหลียนซั่วอยู่ดี ไม่ต้
“ซูฮ่วน? ! เจ้าออกมาได้อย่างไรกัน! ฝ่าบาทเล่า!” เฉินจี๋มองไปที่ด้านหลังของนางทันที กลับมองเห็นเพียงประตูที่ปิดอยู่ ไม่มีเงาร่างของฮ่องเต้หนานซานอ๋องถามอย่างรีบร้อน“คุณชายซู! ฝ่าบาทเล่า!”ยามนี้เขากลับไม่เรียกว่าฮ่องเต้ทรราชแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนพลันกล่าว “ขอท่านอ๋องโปรดรีบออกคำสั่งให้ระเบิดทำลายเจดีย์เก้าชั้นเดี๋ยวนี้!”สีหน้าของหนานซานอ๋องกลายเป็นสีเขียวทันที“เจ้าว่าอะไรนะ”ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตรงนี้คือตำแหน่งโลหิตหงส์ ฝ่าบาทเองก็ยังอยู่ข้างในนะ!ซูฮ่วนผู้นี้คิดจะยืมมือเขาปลงพระชนม์รึ!“ไม่ได้! ไม่ได้เด็ดขาด!”เฟิ่งจิ่วเหยียนอธิบายให้เขาฟัง “ฝ่าบาททรงอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ประมุขพรรคเทียนหลงบุกโจมตีขึ้นไปได้ทุกเมื่อ ดังนั้นจึงต้องรีบทำลายมันทิ้ง เร็วเข้า!”ถึงจะเป็นเช่นนี้ หนานซานอ๋องก็ยังคงส่ายหน้าท่าทางของเขาหนักแน่นมาก“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้! พอเจดีย์เก้าชั้นถูกทำลาย โลหิตหงส์ก็จะถูกตัดขาด ข้าไม่อาจทำลายโลหิตหงส์นี้ได้! นี่เกี่ยวพันถึงชะตาของแคว้นหนานฉี เรื่องนี้อย่าว่าแต่ข้ารับผิดชอบไม่ไหว ฝ่าบาทเองก็รับผิดชอบไม่ไหวเช่นกัน!”เฉินจี๋โมโหขึ้นบ้างแล้ว“หนานซานอ๋อง!
เซียวอวี้วิ่งขึ้นไปข้างบน วิ่งมาจนถึงชั้นบนสุดเขารู้ว่าไปข้างล่างนั้นมีโอกาสรอดมากกว่า ทว่าหากเขาเลือกลงไปข้างล่าง เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่มีทางรอดแล้วอย่างแรก เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ร่างกายของนางผอมเล็กกว่า วิชาตัวเบาก็ดีกว่า สามารถผ่านประตูข้างในไปได้ไวกว่า มีโอกาสออกไปจากเจดีย์ได้มากกว่าอย่างที่สอง เมื่อออกไปจากเจดีย์แล้ว ก็ต้องพูดกล่อมให้หนานซานอ๋องทำลายเจดีย์ หากคนที่ยังอยู่ในเจดีย์คือนาง หนานซานอ๋องไม่มีทางสนใจความเป็นความตายของนาง ทว่าหาก...คนที่ติดอยู่ข้างในคือเขาที่เป็นฮ่องเต้ หนานซานอ๋องอาจจะมีความกังวลบ้างจะว่าไปแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้คิดวางแผนเรื่องออกจากเจดีย์เลยนางคิดเพียงให้เขามีชีวิตอยู่ กระทั่ง นางเตรียมพร้อมที่จะตายไปพร้อมกับต้วนไหวซวี่เขาจะให้นาง “สมปรารถนา” ได้อย่างไร !……เฟิ่งจิ่วเหยียนวิ่งมาถึงชั้นหนึ่งแล้วสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เวลาคับขัน นางจะลังเลไม่ได้เจดีย์เก้าชั้นเข้าได้ออกไม่ได้ ทางเข้าก็คือทางออกนางอยากออกไป ก็ต้องรอประตูเปิดเซียวอวี้เข้ามาแล้ว ยังไงพวกเฉินจี๋ก็จะต้องหาทางเข้ามาคุ้มกันประตูนี้ ยังไงก็จะต้องเปิดนางพยายามอย่างที่สุด
หลังจากราชามังกรม่วงกับราชามังกรแดงตาย เฟิ่งจิ่วเหยียนชี้ไปยังสองคนท่ามกลางฝูงคนชั่วร้าย “พวกเจ้า สวมเสื้อผ้า ปลอมตัวเป็นพวกเขา”คนพวกนั้นไม่ยอมจำนนต่อคำสั่งของเฟิ่งจิ่วเหยียน ทว่า เพื่อรักษาชีวิตตนเองให้รอด และเพื่อขุมทรัพย์อะไรนั่น จึงยอมฟังนางชั่วขณะพวกเขาเหล่านี้ หากไม่มีความสามารถบ้าง ก็คงจะไม่ถูกกักขังอยู่ในเจดีย์เก้าชั้น ดังนั้นการปลอมตัวเป็นอีกคนหนึ่ง เป็นเรื่องง่ายมากเมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมหน้ากาก ก็เหมือนขึ้นมาจริง ๆหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เฟิ่งจิ่วเหยียนพาพวกเขา กลับไปชั้นบนสูงสุดหยางเหลียนซั่วนั่งขัดสมาธิฝึกพลังลมปราณ ได้ยินพวกเขากลับมา ก็ลืมตาขึ้นราชามังกรม่วงเดินหน้ามาทำความเคารพ“ประมุขพรรค สำรวจดูแล้ว เป็นสถานที่พวกเราคาดคิดไม่ถึงจริง ๆ อยู่ใต้ดินเจดีย์ชั้นห้า ถึงว่ามันค่อนข้างหนากว่าชั้นอื่น”หยางเหลียนซั่วมองดูรอยเลือดบนตัวพวกเขาอย่างเย็นชาเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาตามตรง“พวกเขาคิดสังหารข้า ทว่าไม่สำเร็จ หากข้าเป็นเจ้า จะไม่รีบฆ่าปิดปาก ยังไง ใครจะไปรู้ว่าตำแหน่งที่ข้าบอกเป็นจริงหรือเท็จ”คำพูดของนางแฝงไปด้วยความข่มขู่หยางเหลียนซั่วมองดูนางอย่างเคร่ง
ให้นางฆ่าเซียวอวี้?ฝ่ามือเฟิ่งจิ่วเหยียนเยือกเย็นนางย้อนถามหยางเหลียนซั่ว ด้วยท่าทีเป็นปกติ“พวกเจ้ามีวิธีออกจากเจดีย์?”ความหมายในคำพูด แสดงว่าฮ่องเต้รู้ทว่า หยางเหลียนซั่วไม่หลงเชื่อ ดวงตาของเขาเฉียบคมเหมือนกริช“ฆ่าเขา”เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินมาข้างหน้า ปกป้องเซียวอวี้“ข้าเอาขุมทรัพย์ คน ข้าก็เอา”ราชามังกรม่วงลุกขึ้นมาใหม่ หันไปพูดกับหยางเหลียนซั่ว “ประมุขพรรค มีกลอุบาย ! ซูฮ่วนเชื่อถือไม่ได้ ! ”หยางเหลียนซั่วจ้องมองเฟิ่งจิ่วเหยียนเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาตามตรง“ซูฮ่วนชอบผู้ชาย คนนี้ ข้ายังไม่เบื่อ“ฆ่าเขา พวกเจ้าใครสามารถชดเชยให้ข้าที่ดีกว่านี้?”พูดเสร็จ นางกวาดสายตาหันไปมองห้าราชา เหมือนกำลังคัดเลือกของ แววตากำเริบเสิบสาน แฝงไปด้วยความหยอกล้อ พร้อมพูดเพิ่มเติมขึ้นมา “ใช่แล้ว ข้าชอบเล่นแบบตื่นเต้น หากพวกเจ้าทนได้ ต่อให้อายุมากหน่อย ข้าก็ไม่ถือสา...”เมื่อพูดออกมาเช่นนี้ ราชามังกรม่วงถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัวแววตาหยางเหลียนซั่วเยือกเย็น“นำทาง”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองห้าราชา อย่างค่อนข้างเสียดายทว่า มิมีใครสบตานางสักคนหยางเหลียนซั่วไม่ได้ไปจากชั้นเก้า สั