ในความฝันของเหลียนซวง มีเสียงกรีดร้องเต็มโสต และภาพที่เห็นตรงหน้า ล้วนเป็นเหตุการณ์โหดร้ายทารุณ คนมากมายเสียชีวิตต่อหน้าของนาง นางหวาดกลัวยิ่งนัก... ฉับพลันนั้น ดูเหมือนนางจะไขว่คว้าความหวังสุดท้ายไว้ได้อย่างแน่นหนา นางพลันสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างเจ็บปวดด้วยเสียงเรียก “เหลียงซวง” ที่เด็ดขาดอย่างต่อเนื่อง เสมือนคนจมน้ำที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอด นางโผเข้าไปหลบในอ้อมแขนที่ปลอดภัยโดยสัญชาตญาณ “เลือด! เลือดเยอะมาก...” เฟิ่งจิ่วเหยียนยืนอยู่ตรงนั้น ยอมให้เหลียนซวงกอดเอวของตนเอง พลางวางมือไว้บนแผ่นหลังของเหลียนซวง และตบเบา ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่เป็นไรแล้ว” เหลียนซวงตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อครู่นี้ราวกับว่านางตกไปอยู่ในเหตุการณ์ฆาตกรรมนั้น ทำให้หัวใจนางตื่นตระหนก หมอชราที่อยู่ด้านข้างเห็นดังนั้น ก็ได้แต่ส่ายหัวเบา ๆ “แม่นางคนนี้ถูกกระทบกระเทือนจิตใจมากเกินไป อาจจะเป็นเรื่องยากหน่อย ในการทำให้จดจำทุกอย่างได้ในคราวเดียว” เฟิ่งจิ่วเหยียนคุกเข่าลง และมองเหลียนซวงในระดับสายตาเดียวกัน “ฟังข้า หากเจ้ากลัว พวกเราก็กลับไปก่อน เจ้าไม่จำเป็น
เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “บันทึกคดีของตระกูลเฉินนั้นระบุไว้ว่า ราชครูเฉินกินยาพิษฆ่าตัวตาย เพื่อหนีความผิด “ทว่าตามความทรงจำของเหลียนซวง ราชครูเฉินถูกคนสังหารเพคะ” หว่างคิ้วของเซียวอวี้สะท้อนความมืดครึ้ม “เป็นเรื่องจริงหรือ?” เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างจริงจัง “ไม่น่าจะเป็นเรื่องเท็จเพคะ หม่อมฉันไม่กล้าพูดว่า ตระกูลเฉินนั้นบริสุทธิ์หรือไม่ ทว่าจะต้องมีมือลึกลับคอยบงการอยู่เป็นแน่เพคะ” ดวงตาของเซียวอวี้พลันมืดครึ้ม “เจ้าเอ่ยได้มีเหตุผล ทว่าคดีนี้พัวพันในวงกว้าง และยังผ่านไปหลายปีมากแล้ว หากต้องการสืบหาคนร้ายตัวจริงนั้น ก็ยากพอ ๆ กับการปีนขึ้นสวรรค์” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “การสอบสวนเป็นเรื่องของทางการ สิ่งที่หม่อมฉันต้องการจะทำ คือตามหาเจ้าของแหวนน้าววงนี้เพคะ” หากนางต้องทำเองทุกอย่าง แล้วคนอื่นจะมีอันใดต้องทำ เซียวอวี้ตระหนักได้ดี “เราเข้าใจแล้ว” หากสามารถทำได้ ขั้นแรกต้องสืบหาฆาตกรตัวจริงที่สังหารเฉินเป่าซาน หลังจากนั้นจึงจะสามารถชี้แจงความจริง คืนความเป็นธรรม และตัดสินลงโทษผู้กระทำความผิดได้
เซียวอวี้กรีธาทัพเป็นเวลายี่สิบวัน ก็ไปถึงชายแดนใต้ เหล่าทหารประจำชายแดนใต้จัดขบวนแถว เพื่อรับเสด็จ เซียวอวี้ไม่ได้หยุดพักสักอึดใจเดียว ยังคงนำทัพมุ่งหน้าไปยังชายแดนระหว่างสองแคว้น เพื่อประเมินสภาพการรบ จนกระทั่งอาทิตย์ลับฟ้า เขาเพิ่งกลับมาถึงกระโจม ยามนี้เขาเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ยิ่งได้เห็นถุงหอมที่ห้อยเอวของเฉินจี๋ จิตใจพลันหม่นหมองยิ่งขึ้น ทว่าเมื่อไตร่ตรองแล้ว เขาก็ไม่มีสิทธิ์จะไม่พอใจ ฮองเฮาไม่มีเขาอยู่ในใจ ย่อมมิได้คำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยของเขา และยิ่งไม่มีทางลงมือเย็บปักถุงหอมให้เขาด้วยตนเอง “ฝ่าบาท มีคนมาขอเข้าเฝ้าอยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ!” เซียวอวี้ขมวดคิ้ว มืดค่ำเช่นนี้แล้ว จะเป็นใครได้อีก? ชั่ววูบหนึ่งนั้น เขาคิดแม้กระทั่งว่า ฮองเฮาได้ลอบติดตามมาด้วย ทันใดนั้นเขาทำสีหน้าบอกบุญไม่รับ และยังนึกดูแคลนตนเองอีกด้วย ยามสงครามอย่าได้คิดฟุ้งซ่าน และเสียสมาธิ ย้อนกลับไปในปีนั้นเขาได้นำทัพด้วยตนเอง เขาไม่เคยคิดฟุ้งซ่าน จนสั่นคลอนจิตวิญญาณนักรบดังเช่นตอนนี้ จำเป็นต้องรีบระงับความคิดที่ทำให้ว้าวุ่นใจเหล่านั้นเสีย
หลังจากวันนั้น ตำหนักหย่งเหอมักจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน บรรดานางสนมมารวมตัวกันที่นี่ เพื่อเย็บปักพื้นหลังของรองเท้า และเริ่มทำเสื้อนวมสำหรับฤดูหนาวให้เหล่าทหารชายแดน “ฮองเฮาเพคะ พวกเราทำเช่นนี้ จักถือเป็นการสร้างผลงานด้วยหรือไม่เพคะ?” นางสนมเจียเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม เฟิ่งจิ่วเหยียนกดคางลงเล็กน้อย “แน่นอน” บางคนถูกเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เล็ก การให้พวกนางเย็บพื้นหลังของรองเท้าที่ใช้งานได้จริงเหล่านี้ ย่อมเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก ทว่าพวกนางเต็มใจเรียนรู้ และไม่เกี่ยงงานเลย มู่หรงฉานก็อยู่ในหมู่ผู้คนเช่นกัน และนี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า รอยยิ้มบนใบหน้าของทุกคนเป็นความจริง ที่ออกมาจากใจจริง ทันใดนั้นนางพลันตระหนักได้ ในอดีต นางคิดว่าสามารถดึงเหล่าสนมมาเป็นพวกได้ด้วยผลประโยชน์ทุกชนิด ความจริงแล้ว รอยยิ้มที่พวกนางมอบให้ตนเองในยามนั้น มิได้จริงใจเฉกเช่นในวันนี้เลย นางไม่มีความจริงใจต่อผู้อื่นฉันใด อีกฝ่ายก็ไม่จริงใจด้วยฉันนั้น เช่นเดียวกับไทฮองไทเฮา นางเคยคิดว่า ไทฮองไทเฮารักหลานสาวเช่นนางด้วยใจจริง เสมือนกับที่รักญาติผู้พี่หญิงเมื่อในอดีต ทว่
เซียวอวี้วางถ้วยชาลง ดูเหมือนมีจิตใจสบายดังก้อนเมฆที่ล่องลอยอยู่ แต่ก็แฝงไปด้วยความคิดอันล้ำลึก มีความมั่นใจเต็มอก “มิใช่เรา แต่เป็นท่าน “อ๋องแห่งหนานเจียงมีความคิดล้ำเลิศ ถึงแม้จะเป็นชนเผ่าเล็ก ๆ ทว่ามีความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับเป่ยเยี่ยน ด้วยวิธีที่ท่านหลอกให้กองทัพใหญ่เป่ยเยี่ยนช่วยท่านโจมตีหนานฉีก่อน แท้จริงแล้วกำลังแอบแสดงไมตรีต่อหนานฉีของเรา ดังนั้นหนานฉีจะมอบปืนหอกไฟหนึ่งร้อยกระบอก เพื่อช่วยเหลือหนานเจียงของท่าน ในการทำลายล้างกองทัพเยี่ยนทั้งห้าหมื่นนาย “จากนี้ไป หนานเจียงจะมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วหล้า ถึงอย่างไร ยังไม่มีผู้ใดกล้าเล่นงานเป่ยเยี่ยนอยู่หมัดได้ อ๋องแห่งหนานเจียง ท่านเป็นผู้กล้าคนแรกของใต้หล้านี้” ถ้อยคำของเขาพูดอยู่นั้น ผิดแผกกับสถานการณ์จริงโดยสิ้นเชิง ทว่า อ๋องแห่งหนานเจียงฟังออก นี่คือการแสดงที่อีกฝ่ายจัดเตรียมให้เขา การแสดงนี้อาจทำให้หนานเจียงเอาชนะเป่ยเยี่ยนได้อย่างงดงาม และทำให้ทั่วหล้ามองมาอย่างประทับใจ! ในอนาคต แว่นแคว้นใดคิดโจมตีพวกเขา คงจะต้องชั่งน้ำหนักถึงผลได้ผลเสียให้ดีก่อน... ทว่า แผนการนี้ก็มีผลลัพธ์ที่อาจจะประเมิน
อู๋ไป๋กล่าวรายงานเบาะแสที่สืบพบ อย่างฉะฉาน “เมื่อแรกเริ่มก่อตั้งพรรคเทียนหลง ก็ได้รับหยกล้ำค่ามาหนึ่งชุด ขุนพลอาวุโสทั้งหลายของพรรคจึงใช้หยกนั้นทำเป็นแหวนน้าว และฝังด้วยอัญมณีหลากสีสัน “คนเหล่านั้นเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของพรรคเทียนหลง มิเคยเปิดเผยโฉมหน้าแท้จริงให้ผู้อื่นเห็น และไม่ค่อยปรากฏตัว ดังนั้น มีเพียงข่าวลือในยุทธภพ กลับไม่เคยมีผู้ใดได้เห็นพวกเขาจริง ๆ “แหวนน้าวนี้ จึงใช้เวลาสืบสอบนานมาก กว่าจะได้พบเบาะแสพ่ะย่ะค่ะ” แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเยือกเย็นเป็นพิเศษ ที่แท้ก็เป็นคนของพรรคเทียนหลง พวกเขาไม่ได้ถูกสังหารทั้งหมด ในการศึกครั้งใหญ่เมื่อหลายปีก่อนหรือ นางสงสัยว่า ที่ชายแดนเหนือปีนั้น คนที่พวกเขาต้องการสังหารคือแม่ทัพน้อยเมิ่ง หรือซูฮ่วน? ซูฮ่วนและพรรคเทียนหลงมีความบาดหมางต่อกัน ส่วนแม่ทัพน้อยเมิ่งไม่มี... เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงสั่งให้อู๋ไป๋ส่งข้อความ แจ้งทุกคนในพันธมิตรอู่หลินคอยระแวดระวัง บางที พรรคเทียนหลงอาจกำลังลอบวางแผนฟื้นคืนความรุ่งโรจน์ หลังกลับถึงพระราชวังแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนเขียนอธิบายเรื่องนี
รุ่ยอ๋องยืนอยู่ต่อหน้าขุนนางทั้งหมด และเผชิญหน้ากับพวกเขา ด้วยคำถามเดิม “มีผู้ใดอยากเป็นเจ้าหน้าที่กำกับการขนส่งเสบียงหรือไม่” โดยปกติเขามักจะอ่อนโยนสง่างามดุจหยกล้ำค่า พูดคุยเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน ทว่าหลายวันนี้ เขาค่อนข้างกระวนกระวายใจ เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทเผชิญปัญหาอยู่ที่ชายแดนใต้ กลับไม่มีผู้ใดใช้งานได้เลย หากเขาไม่ต้องคอยบริหารบ้านเมืองอยู่ที่เมืองหลวง ก็จะออกสู่สนามรบด้วยตนเองแล้ว! “ท่านอ๋อง เจ้าหน้าที่กำกับการขนส่งเสบียงเสียชีวิตหลายราย ดังนั้นภารกิจเร่งด่วนที่สุด คือกำจัดพวกโจรที่ปล้นเสบียงอาหาร มิฉะนั้นพวกเราส่งไปอีกชุด ก็ถูกปล้นอีกชุด ไม่มีความหมายพ่ะย่ะค่ะ!” รุ่ยอ๋องย่อมทราบหลักการนี้โดยธรรมชาติ เขาได้ส่งกองกำลังออกไปปราบปรามแล้ว ทว่าจนถึงยามนี้ก็ยังไม่ได้รับข่าวที่เชื่อถือได้เลย อย่างไรก็ตามไม่สามารถรอได้อีกต่อไปแล้ว ในสงครามนั้นกองทัพต้องเดินด้วยท้อง ตอนนี้เสบียงที่ส่งไปยังชายแดนใต้เกิดความล่าช้า และยิ่งล่าช้ามากเท่าไร ฝ่าบาทกับทหาร ก็จะเผชิญกับอันตรายมากขึ้นเท่านั้น “แม่ทัพซ่ง...” รุ่ยอ๋องเรียกชื่อด้วยตนเอง แม่ทัพซ่งก้
เฉินอ๋องเดินยืดอกเชิดหน้าเข้ามาในท้องพระโรง โดยมีองครักษ์สองคนติดตามมาทางด้านหลัง เมื่อเหล่าขุนนางได้เห็นเขาแล้ว พลันมีปฏิกิริยาแตกต่างกันออกไป มีทั้งมองอย่างประจบสอพลอหมายจะพึ่งพิง และมีทั้งแปลกใจระคนสับสน นัยน์ตาของรุ่ยอ๋องเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เฉินอ๋อง ท่านควรอยู่ในเมืองซวีโจว ไม่ถูกเรียกตัวไม่อนุญาตให้เข้าเมืองหลวง” เฉินอ๋องมีอายุสามสิบกว่าปี และเป็นโอรสองค์โตของฮ่องเต้พระองค์ก่อน หลังฝ่าบาทเสด็จขึ้นครองราชย์ ได้ใช้นโยบายเลือดเหล็กกับพี่น้อง โดยหากไม่ได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ เหล่าอ๋องสามารถอยู่ได้เฉพาะในเมืองศักดินาเท่านั้น เวลานี้ฮ่องเต้มีภัยอยู่ที่ชายแดนใต้ เฉินอ๋องจึงกระตือรือร้นอย่างออกนอกหน้า รุ่ยอ๋องระแวดระวังบุคคลนี้ยิ่งนัก เฉินอ๋องยกมือลูบตอหนวดใต้คาง เต็มไปด้วยความมั่นใจที่ถูกต้อง “เป็นคำสั่งของไทฮองไทเฮา!” หัวใจของรุ่ยอ๋องจมลงเล็กน้อย เฉินอ๋องก้าวเดินขึ้นไปหารุ่ยอ๋อง เสมือนสัตว์ป่า ที่พร้อมตะครุบเหยื่อเหล่านั้น เขามองดูรุ่ยอ๋องตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างมุ่งร้าย และเย้ยหยัน “ฝ่าบาทตกอยู่ในอันตราย ไทฮองไทเ
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้
ขณะที่องค์หญิงเซี่ยนอี๋กำลังถือพู่หยกอย่างพึงพอใจ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็บีบคอของนาง จนโซ่ที่ล่ามไว้ส่งเสียง“อึก!” นางพลันเบิกตากว้างไหนเสด็จพี่สี่บอกว่า ฮ่องเต้ฉีสูญเสียพลังภายในไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?เดิมทีเซียวอวี้คิดจะให้ความร่วมมือนาง เพื่อให้นางช่วยตัวเองหนีออกไปจากที่แห่งนี้ทว่า เขาประเมินความอดทนของตัวเองไว้สูงเกินไปเขาทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ!นางกล้าเอาพู่หยกนั้นไป!หลังจากเซียวอวี้บีบคอนาง นางก็พยายามชูพู่หยกไปด้านหลัง ไม่ยอมคืนให้เขาแต่ด้วยแรงมือของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ นางใกล้หมดลม แขนจึงหลุบลงเช่นนี้ เซียวอวี้จึงแย่งพู่หยกกลับมาได้ จากนั้นก็สะบัดนางออก ราวกับเพิ่งจับสิ่งของสกปรกมา ทั้งยังพูดอย่างไม่รักษาน้ำใจ“ไสหัวไป!”องค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้รับความรักมาตั้งแต่เด็ก ไฉนเลยจะเคยถูกดูแคลนขนาดนี้นางไม่ยอม จึงจ้องเซียวอวี้ตาเขม็ง“ท่านจะต้องเสียใจ! นอกจากข้า ก็ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าออกไปจากที่นี่ได้!”เซียวอวี้ไม่สนใจนางอีกหากเพื่อหนีออกไป แล้วต้องร่วมเออออห่อหมกไปกับผู้หญิงคนนี้ เขากลัวสกปรกองค์หญิงเซี่ยนอี๋ถูกทำลายศักดิ์ศรี ลุกขึ้น แล้วยิ้มเยาะ“ท่านลำพองใจอะไรนัก? เป็
องค์ชายสี่อ่านความคิดขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ออก จึงมีสีหน้าเคร่งขรึม“คนที่ขังอยู่ในนั้นคือใคร เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ต่อให้เสด็จพ่อจะตามใจเจ้าแค่ไหน ก็ไม่มีทางมอบเขาให้เจ้าแน่ เซี่ยนอี๋ เจ้าเลิกคิดเถิด”“หากท่านไม่บอก พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก!” องค์หญิงเซี่ยนอี๋กอดอก พูดข่มขู่องค์ชายสี่กลัวเหลือเกินว่านางจะมาสร้างเรื่องวุ่นวายยัยเด็กนี่ดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ถึงเป้าหมายก็จะไม่ยอมหยุดครุ่นคิดอยู่นาน องค์ชายสี่ก็ตัดสินใจบอกนาง“นั่นคือฮ่องเต้ฉี คนที่เสด็จพ่อใช้ความพยายามอย่างมากในการจับตัวมา”ให้นางรู้ถึงตัวตนของคนผู้นั้น นางจะได้หวาดกลัวองค์หญิงเซี่ยนอี๋เบิกตาอ้าปากค้างในทันที จากนั้นใบหน้าก็ก่อเกิดริ้วแดง“เขาคือ…”นางไม่อยากจะเชื่อชื่อเสียงของฮ่องเต้หนุ่มจากหนานฉี นางเคยได้ยินมาเป็นเวลานานแล้วครั้งนี้ได้มาเจอ ช่างหล่อเหลาโดดเด่นอย่างที่ร่ำลือกันไม่มีผิดดูดีกว่าบรรดาราชบุตรเขยที่เสด็จพ่อให้นางเลือกเสียอีกและยังเป็นคนน่าเกรงขามถึงเพียงนั้น…องค์หญิงเซี่ยนอี๋จับชายเสื้อขององค์ชายสี่อย่างตื่นเต้น “เสด็จพี่ เสด็จพี่คนดีของข้า ข้ารับรองว่าจะไม่ทำเรื่องสำคัญของท่านกับเสด็จพ่อเ
วังหลังเหล่าสนมต่างเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับราชสำนักส่วนหน้ามาบ้าง“ฮองเฮาจะให้เด็กเล็กขนาดนั้นขึ้นครองราชย์จริงหรือ? ช่างเละเทะเสียจริง!”“เห็นได้ชัดว่าหวังเพื่อควบคุมโอรสสวรรค์!”“นี่ก็เป็นส่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มิใช่หรือ ในเมื่อเหล่าขุนนางต่างพากันกดดันอย่างหนัก และยังมีทายาทในราชวงศ์ที่ไม่อยู่นิ่งอีกด้วย…”“ใช่สิ หากฮองเฮาไม่ทำเช่นนี้ พวกเราก็จะเดือดร้อนด้วย หากมีฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งแรกที่จะทำต้องเป็นการจัดวังหลังใหม่เป็นแน่”พวกนางกังวลเกี่ยวกับผลสรุปของราชสำนักส่วนหน้าหลังจากรอคอยอยู่หนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มีขันทีมารายงาน——องค์ชายน้อยได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกรสำเร็จแล้ว แต่ยังมีคนยึดติดเรื่องฝาแฝดไม่ยอมปล่อยวาง บังคับให้ฮองเฮาต้องสังหารองค์ชายอีกองค์ทิ้งเมื่อเหล่านางสนมได้ยิน ก็เริ่มเป็นห่วงฮองเฮาขึ้นมาในฐานะเป็นแม่ จะทำใจทิ้งลูกแท้ ๆ ได้อย่างไร?ขุนนางใหญ่เหล่านั้นทำมากเกินไปแล้ว!ทว่า ฝาแฝดก็เป็นปัญหาจริง ๆ ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะรับมืออย่างไรไม่นาน ก็มีขันทีมารายงานอีก“พระนางทุกท่าน เหล่าขุนนางได้สลายตัวแล้ว!”นางสนมทั้งหลายแปลกใจอย่างมากทำไมสลายต
เฟิ่งจิ่วเหยียนอุ้มลูก ยืนอยู่บนที่สูง แววตาสุขุมแน่วแน่“หากข้าอยากว่าราชการหลังม่าน แล้วเหตุใดจะไม่ได้?”เมื่อคำนี้พูดออกมา ทุกคนต่างส่งเสียงเกรียวกราว“ฮองเฮา ท่านก็ไม่ต่างอะไรกับให้แม่ไก่มาขันในตอนเช้า นั่นฝ่าฝืนกฎเกณฑ์!”“ขออภัยกระหม่อมขอคัดค้าน!”ไทฮองไทเฮามีสีหน้าโรยรา มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียน แล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอาฮองเฮาทำเช่นนี้ มันเสี่ยงมากเกินไปพูดตรงขนาดนี้ ขุนนางคนไหนจะยอมรับได้?เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น จึงวางองค์ชายลงบนบัลลังก์“ไม่ต้องกล่าวถึงว่าฝ่าบาทยังไม่เสด็จสวรรคต ถึงแม้ว่าท่านเป็นอะไรไปจริง ๆ ก็ยังมีองค์ชายสืบราชบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงเวลาสำหรับทุกท่านหรอก“วันนี้พวกเจ้าต่างพูดกันเซ็นแซ่ ราวกับอยากวางแผนชิงบัลลังก์เลยนะ!”ทหารคนหนึ่งโต้กลับไปอย่างฮึกเหิม“ฮองเฮา พวกกระหม่อมบริสุทธิ์ใจ กลับถูกท่านหยามเกียรติเช่นนี้! พวกกระหม่อมไม่ยอม!”ท่านอ๋องผู้หนึ่งมองไปทางไทฮองไทเฮา“เสด็จย่า ท่านพูดอะไรบ้างสิ!”เด็กทารกจะไปทำอะไรได้? คุ้มครองแผ่นดินไหวหรือ?จู่ ๆ ไทฮองไทเฮาก็บอกว่าปวดหัว แล้วให้สาวใช้ประคองตัวเองออกไปเหล่าท่านอ๋องต่
แคว้นหนานฉีณ เมืองหลวงเรื่องที่ฮองเฮากลับวัง และให้กำเนิดฝาแฝด ใต้หล้าต่างรู้กันถ้วนหน้าอย่างรวดเร็วในวังหลวง ไทเฮาทั้งดีใจที่องค์ชายถือกำเนิดขึ้นมา ทั้งกังวลเรื่องฝาแฝดนางเรียกฮองเฮามาที่ตำหนักฉือหนิง ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดกับอีกฝ่าย“หากราชวงศ์มีฝาแฝด โดยเฉพาะองค์ชาย เช่นนั้นก็ต้องส่งคนหนึ่งออกไปนอกวัง“ฮองเฮา ข้ารู้ ไม่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือล้วนคือเลือดเนื้อ แต่เพื่อราชวงศ์ เจ้าต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”ขนาดตอนนั้นตระกูลเฟิ่งมีลูกแฝดยังทอดทิ้งหนึ่งคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชวงศ์ใบหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ กล่าวเหมือนไม่ได้ยิน“เด็กทั้งสองคน จะไม่มีใครถูกส่งออกไปทั้งนั้น”เซียวอวี้เองก็เคยพูด เขาจะปกป้องลูกของตัวเองไทเฮารู้เป็นอย่างดีว่าการเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่กฎก็เป็นเช่นนี้“ฮองเฮา อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย แม้นข้าจะยินยอม ขุนนางใหญ่เหล่านั้นก็คงไม่ยอมอยู่ดี“วันนี้อยากให้เจ้าเตรียมพร้อม“สุดท้ายเจ้าก็ต้องตัดสินใจ”วังหลังเหล่านางสนมรวมตัวกัน ต่างคนต่างมีความคิดแตกต่างกัน“มีคนบอกว่าฝ่าบาทเกิดเรื่อง จริงหรือไม่?”“มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่อ
เซียวอวี้ที่ยังคงคอพับไร้เรี่ยวแรง ยกยิ้มเย็นที่มุมปากอย่างถากถางเขาไม่พูดอะไร ท่าทางทะนงองอาจคนที่อยู่ตรงหน้าแนะนำตัว “ข้าคือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเป่ยเยี่ยน ครั้งนี้มาเป็นตัวแทนของเสด็จพ่อ เพื่อแสดงไมตรีในฐานะเจ้าบ้านต่อฮ่องเต้หนานฉี”เมื่อองค์ชายสี่มองส่งสัญญาณ ข้ารับใช้ก็นำอาหารเข้ามาเซียวอวี้ไม่แม้แต่จะมององค์ชายสี่มีความอดทน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม“ฮ่องเต้หนานฉี พวกเราแคว้นเป่ยเยี่ยนเชิญท่านมาเป็นแขกด้วยความจริงใจ“เพียงแต่ข้างนอกอันตรายเกินไป จึงได้แต่จัดให้ท่านอยู่ที่นี่“ท่านวางใจเถิด รอให้แคว้นเป่ยเยี่ยนขับไล่กองทัพแคว้นหนานฉีออกไปจนได้ดินแดนที่สูญเสียไปคืนมา ย่อมปล่อยตัวท่านกลับไป”ริมฝีปากบางของเซียวอวี้ยิ้มเยาะเบา ๆพูดเสียดูดี ที่จริงก็แค่เอาเขาเป็นตัวประกัน ทำให้กองทัพแคว้นหนานฉีต่อต้านไม่ได้ก็เท่านั้นองค์ชายสี่เห็นเขาเยือกเย็นเพียงนี้ จึงขอตัวไปก่อนทว่าเมื่อออกมาด้านนอก องค์ชายสี่ก็พูดอย่างเย้ยหยัน“ตกเป็นเชลยแล้วยังจะโอหังเพียงนี้!”ที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายเขาพูด“องค์ชาย ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่าน ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ได้ยินว่าฮ่องเต้หนานฉีผ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองภาพรวมเป็นสำคัญ จึงต้องกลับแคว้นหนานฉีก่อนอู๋ไป๋วิตกกังวล“ท่านประมุข กระหม่อมกลัวว่านักฆ่าพวกนั้นจะลงมือกับท่านด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าท่านประมุขเพิ่งจะคลอดลูก จะทนรับแรงสั่นสะเทือนจากการเดินทางได้เช่นไร?สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา“กลับแคว้นหนานฉี”ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ต้องกลับไปกลัวก็กลัวแต่ เป้าหมายของนักฆ่าพวกนั้นคือก่อกวนแคว้นหนานฉี นางจะปล่อยให้พวกเขาสมหวังไม่ได้เด็ดขาดก่อนที่จะตามหาเซียวอวี้เจอ นางจะต้องช่วยเขาปกป้องแคว้นหนานฉีเอาไว้ให้ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจัดการเรื่องในแคว้นซีนี่ว์ไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงว่าจะจัดการขับไล่กองทัพแคว้นเป่ยเยี่ยนอย่างไร ไปจนถึงผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นคนใหม่ด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ประมุขคนใหม่ใช้อำนาจอย่างเผด็จการ นางจึงจัดตั้งนโยบายสามประมุขขึ้นในบรรดาสามคนนี้ มีคนหนึ่งเป็นบุรุษทำเช่นนี้จะได้ปลอบโยนเหล่าบุรุษในแคว้นซีนี่ว์ ป้องกันไม่ให้พวกเขาสร้างเรื่องวุ่นวายอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนออกเดินทางกลับแคว้นหนานฉีอย่างรวดเร็วแม้ว่าหูย่วนเอ๋อร์จะตัดใจไม่ลง ทว่านางก็รู้ดีถึงความเร่งด่วนในเรื่องนี้
ประตูตำหนักเปิดออก นางกำนัลเดินออกมาจากด้านในแล้วพูดกับหูย่วนเอ๋อร์: “ท่านแม่ทัพ ท่านประมุขคลอดองค์ชายพระองค์หนึ่งออกมาอย่างปลอดภัยเพคะ”ที่แคว้นซีหนี่ว์ มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขได้ ดังนั้นองค์ชายผู้นี้จึงไม่เป็นที่ต้องการทว่าหูย่วนเอ๋อร์ยังคงรู้สึกขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง“องค์ชายก็ดี ปลอดภัยก็ดีแล้ว”ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์เพิ่งจะพูดจบ หมอตำแยข้างในก็ร้องตะโกนอย่างตกใจ“ยังมีอีกพระองค์หนึ่ง!”ที่แท้ท่านประมุขก็ทรงตั้งครรภ์ฝาแฝดนี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนแววตาหูย่วนเอ๋อร์มีความยินดีและการเฝ้ารอพาดผ่านหวังว่าจะเป็นแฝดชายหญิงหากเป็นองค์หญิง อนาคตย่อมสามารถสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นได้ภายในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกไม่ถึงว่าคลอดออกมาแล้วคนหนึ่ง แล้วยังมีอีกคนโชคดีที่นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังใช้แรงไปไม่หมดก่อนหน้านี้เป็นเพราะตำแหน่งครรภ์ไม่ตรงจึงคลอดยากคนที่สองนี้กลับคลอดง่ายกว่ามาก ทว่าตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้สึกอะไรแล้ว นางเจ็บปวดจนชาไปหมดแล้ว ร่างกายส่วนล่างบวมเสียจนเหมือนว่าเนื้อส่วนนั้นไม่ใช่ของนางอีกต่อไปจนกร