ไม่เพียงแต่เซียวอวี้เท่านั้นที่อยากรู้ว่าท่านแม่ทัพน้อยเมิ่งที่อยู่บนหลังคาเป็นผู้ใด องค์หญิงใหญ่ก็อยากรู้เช่นกันองค์หญิงใหญ่พลางมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียน ทว่า กลับเห็นการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของฝ่าบาทแทน ทำเอานางถึงกับถลึงตามองด้วยดวงตาที่ลุกเป็นไฟไปในทันทีมือนี่เอาวางไว้ที่ใดกัน!ช่างไม่มีสง่าราศีของฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย!ขณะเดียวกัน เซียวอวี้ก็ยังคงรอคำตอบจากเฟิ่งจิ่วเหยียนทว่า ประโยคหลังกลับยิ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเซียวอวี้มากขึ้นไปอีก“ท่านลองเดาดู”บนหลังคานั้น ท่านแม่ทัพน้อยพลันเคลื่อนกายอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักเขาก็หายไปจากสายตาของผู้คนในทันทีพร้อมด้วยสายตาของเหล่ากองทัพอินทรีเหินที่มองส่งเขาไปจนลับตาภายในใจของเซียวอวี้ได้แต่หัวเราะเยาะเย้ยออกมา“พวกเขาถูกเจ้าหลอกจนหัวปั่นไปหมดแล้ว ในยามนี้ยังมิมีผู้ใดรู้เลยว่า ความจริงแล้วท่านแม่ทัพน้อยเมิ่งตัวจริงเป็นผู้ใดกันแน่”เฟิ่งจิ่วเหยียนจับมือของเซียวอวี้ออกจากเอวของนาง“พูดถึงคนอื่น คำพูดนั้นเข้าตัวเองเช่นกัน”เซียวอวี้:......เซียวอวี้ราวกับถูกปิดบังอยู่นานเช่นกันละครฉากนี้ ทำให้ผู้คนรับรู้ความจริงที่ถูกเก็บซ่
เฟิ่งจิ่วเหยียนถูกเซียวอวี้ลากไปที่แม่น้ำข้างเมืองในที่สุดทั้งสองต้องสวมหน้ากากเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกผู้คนจดจำเอาได้นับว่าโชคดีที่คืนนี้มีผู้คนสวมใส่หน้ากากออกมาท่องเที่ยวมากมายเช่นกัน นั่นจึงทำให้พวกเขามิได้ดูเตะตาผู้อื่นมากเท่าใดกันเฉินจี๋เดินติดตามทั้งสองคนอยู่ด้านหลัง พร้อมทั้งในมือที่ถือโคมไฟจำนวนมากมายเอาไว้ริมแม่น้ำมีผู้คนอยู่มากมายนัก ทว่า ส่วนมากมักจะเป็นคู่รักชายหญิงเสียมากกว่า เซียวอวี้จึงตามหาสถานที่ที่มิมีผู้คนพลุกพล่านมาก ก่อนจะใช้มือ “โยน” โคมไฟลงไปในแม่น้ำด้วยท่าทีมั่นใจเฟิ่งจิ่วเหยียน: ?เฉินจี๋: ?โคมไฟทั้งหมดจึงจมลงไปในแม่น้ำด้วยความรวดเร็วเซียวอวี้ขมวดคิ้วเป็นปมไปในทันที พลางหันไปกล่าวโทษเฉินจี๋ว่า“เจ้าซื้ออะไรมากัน?”หาได้มีอันใดลอยขึ้นมาได้ไม่ เฉินจี๋:กระหม่อมเป็นผู้บริสุทธิ์! ทว่า กระหม่อมมิอาจพูดออกมาได้เมื่อเซียวอวี้กำลังจะโยนโคมไฟอันสุดท้ายลงแม่น้ำไปนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเข้าไปห้ามเขาเอาไว้นางมองเขาราวกับกำลังมองคนต่างเผ่าอยู่ก็ไม่ปาน“ท่านมิเคยปล่อยโคมลอยหรือ?”“อื้ม”เซียวอวี้มิคิดว่าการปล่อยสิ่งของเล็ก ๆ เช่นนี้จักต้องใช้มีประสบก
เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้คาดคิดว่า ชายแดนใต้จะประสบภัยเช่นกัน ก่อนหน้านี้นางได้เอ่ยกับหร่วนฝูอวี้ แคว้นหนานฉีจะแก้ไขข้อพิพาทระหว่างสองแคว้น มิให้เลยเถิดถึงขั้นเริ่มก่อสงครามกัน เกรงว่าหนานเจียงจะเกิดปัญหาภายใน และมิใช่เรื่องที่หร่วนฝูอวี้สามารถไกล่เกลี่ยได้ด้วย เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ฝ่าบาท เป่ยเยี่ยนไม่อยากเห็นใต้หล้าสงบสุขเกินไป และหนานเจียงคงถูกพวกเขายุแยง โปรดเสด็จกลับพระราชวังโดยเร็ว และเรียกประชุมหารือกับเหล่าขุนนางเถิดเพคะ” เซียวอวี้รู้สึกอาลัยอาวรณ์โคมไฟเต็มท้องนภานั้น เขาจัดเตรียมโคมไฟทั้งหมดสามพันดวงนี้ เพื่อนางโดยเฉพาะ และ คำพูดที่เขาปรารถนาจะเอ่ยกับนาง ยังไม่ทันจะเอ่ยให้เสร็จเลย ทว่า เมื่อเผชิญกับรายงานสงครามชายแดนใต้ จำเป็นต้องละทิ้งเรื่องส่วนตัวไปก่อน เขามองท้องฟ้าราตรีนั้นอีกครั้ง และเอ่ยอย่างเด็ดขาด “กลับวัง!” ราตรีนี้ แสงไฟในห้องทรงพระอักษรสว่างไสวตลอดคืน รุ่ยอ๋องทูลชี้แนะ “ฝ่าบาท เป่ยเยี่ยนมีความตั้งใจที่ไม่บริสุทธิ์ และหนานเจียงก็ตกเป็นเครื่องมือของเป่ยเยี่ยน ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ย่อมมองไม
เฟิ่งจิ่วเหยียนที่อยู่ตรงหน้าแผนที่นั้นเอ่ยวาจาฉะฉาน เซียวอวี้ที่อยู่ด้านข้างก็ตั้งใจฟังเป็นพิเศษ พลางพยักหน้าบ่อยครั้ง ท้ายสุด เขากล่าวสรุป “เราเสียเวลาหารือกับขุนนางเหล่านั้นโดยเปล่าประโยชน์อยู่นาน คราวหน้าจะหารือกับเจ้าโดยตรงดีกว่า” เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่กล้ายึดเอาความดีความชอบ จึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “การได้ร่วมพลังก็ได้ร่วมความคิดเพคะ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา หม่อมฉันก็คิดเรื่องนี้ไม่ออกเช่นกัน” สายตาของเซียวอวี้พลันจริงจัง และถามนางอีกครั้ง “เดินทางไปกับเราไม่ได้จริงหรือ” สัญญาระบุเวลาเพียงหนึ่งปี การเดินทางไปชายแดนใต้ของเขาครานี้ ต้องใช้เวลาเจรจาอย่างน้อยสองหรือสามเดือน เฟิ่งจิ่วเหยียนดึงมือออกมา “หม่อมฉันต้องอยู่ เพื่อทำหน้าที่ของฮองเฮาเพคะ” “จนถึงยามนี้ เจ้ายังแสร้งทำเป็นไม่รู้อีกหรือ ความตั้งใจเดิมที่เราเขียนสัญญาฉบับนั้น คือการใช้เวลาอยู่กับเจ้าตั้งแต่เช้าจรดค่ำ” เซียวอวี้เริ่มกดดัน เฟิ่งจิ่วเหยียน : ก็เป็นเพราะว่ารู้ จึงไม่อยากเดินทางไปสนามรบกับท่าน สีหน้าของนางยังอ่อนน้อม “ฝ่าบาทเพคะ เรื่องสำคัญต้องมาก่อน หม่อมฉันยั
ในความฝันของเหลียนซวง มีเสียงกรีดร้องเต็มโสต และภาพที่เห็นตรงหน้า ล้วนเป็นเหตุการณ์โหดร้ายทารุณ คนมากมายเสียชีวิตต่อหน้าของนาง นางหวาดกลัวยิ่งนัก... ฉับพลันนั้น ดูเหมือนนางจะไขว่คว้าความหวังสุดท้ายไว้ได้อย่างแน่นหนา นางพลันสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างเจ็บปวดด้วยเสียงเรียก “เหลียงซวง” ที่เด็ดขาดอย่างต่อเนื่อง เสมือนคนจมน้ำที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอด นางโผเข้าไปหลบในอ้อมแขนที่ปลอดภัยโดยสัญชาตญาณ “เลือด! เลือดเยอะมาก...” เฟิ่งจิ่วเหยียนยืนอยู่ตรงนั้น ยอมให้เหลียนซวงกอดเอวของตนเอง พลางวางมือไว้บนแผ่นหลังของเหลียนซวง และตบเบา ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่เป็นไรแล้ว” เหลียนซวงตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อครู่นี้ราวกับว่านางตกไปอยู่ในเหตุการณ์ฆาตกรรมนั้น ทำให้หัวใจนางตื่นตระหนก หมอชราที่อยู่ด้านข้างเห็นดังนั้น ก็ได้แต่ส่ายหัวเบา ๆ “แม่นางคนนี้ถูกกระทบกระเทือนจิตใจมากเกินไป อาจจะเป็นเรื่องยากหน่อย ในการทำให้จดจำทุกอย่างได้ในคราวเดียว” เฟิ่งจิ่วเหยียนคุกเข่าลง และมองเหลียนซวงในระดับสายตาเดียวกัน “ฟังข้า หากเจ้ากลัว พวกเราก็กลับไปก่อน เจ้าไม่จำเป็น
เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “บันทึกคดีของตระกูลเฉินนั้นระบุไว้ว่า ราชครูเฉินกินยาพิษฆ่าตัวตาย เพื่อหนีความผิด “ทว่าตามความทรงจำของเหลียนซวง ราชครูเฉินถูกคนสังหารเพคะ” หว่างคิ้วของเซียวอวี้สะท้อนความมืดครึ้ม “เป็นเรื่องจริงหรือ?” เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างจริงจัง “ไม่น่าจะเป็นเรื่องเท็จเพคะ หม่อมฉันไม่กล้าพูดว่า ตระกูลเฉินนั้นบริสุทธิ์หรือไม่ ทว่าจะต้องมีมือลึกลับคอยบงการอยู่เป็นแน่เพคะ” ดวงตาของเซียวอวี้พลันมืดครึ้ม “เจ้าเอ่ยได้มีเหตุผล ทว่าคดีนี้พัวพันในวงกว้าง และยังผ่านไปหลายปีมากแล้ว หากต้องการสืบหาคนร้ายตัวจริงนั้น ก็ยากพอ ๆ กับการปีนขึ้นสวรรค์” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “การสอบสวนเป็นเรื่องของทางการ สิ่งที่หม่อมฉันต้องการจะทำ คือตามหาเจ้าของแหวนน้าววงนี้เพคะ” หากนางต้องทำเองทุกอย่าง แล้วคนอื่นจะมีอันใดต้องทำ เซียวอวี้ตระหนักได้ดี “เราเข้าใจแล้ว” หากสามารถทำได้ ขั้นแรกต้องสืบหาฆาตกรตัวจริงที่สังหารเฉินเป่าซาน หลังจากนั้นจึงจะสามารถชี้แจงความจริง คืนความเป็นธรรม และตัดสินลงโทษผู้กระทำความผิดได้
เซียวอวี้กรีธาทัพเป็นเวลายี่สิบวัน ก็ไปถึงชายแดนใต้ เหล่าทหารประจำชายแดนใต้จัดขบวนแถว เพื่อรับเสด็จ เซียวอวี้ไม่ได้หยุดพักสักอึดใจเดียว ยังคงนำทัพมุ่งหน้าไปยังชายแดนระหว่างสองแคว้น เพื่อประเมินสภาพการรบ จนกระทั่งอาทิตย์ลับฟ้า เขาเพิ่งกลับมาถึงกระโจม ยามนี้เขาเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ยิ่งได้เห็นถุงหอมที่ห้อยเอวของเฉินจี๋ จิตใจพลันหม่นหมองยิ่งขึ้น ทว่าเมื่อไตร่ตรองแล้ว เขาก็ไม่มีสิทธิ์จะไม่พอใจ ฮองเฮาไม่มีเขาอยู่ในใจ ย่อมมิได้คำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยของเขา และยิ่งไม่มีทางลงมือเย็บปักถุงหอมให้เขาด้วยตนเอง “ฝ่าบาท มีคนมาขอเข้าเฝ้าอยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ!” เซียวอวี้ขมวดคิ้ว มืดค่ำเช่นนี้แล้ว จะเป็นใครได้อีก? ชั่ววูบหนึ่งนั้น เขาคิดแม้กระทั่งว่า ฮองเฮาได้ลอบติดตามมาด้วย ทันใดนั้นเขาทำสีหน้าบอกบุญไม่รับ และยังนึกดูแคลนตนเองอีกด้วย ยามสงครามอย่าได้คิดฟุ้งซ่าน และเสียสมาธิ ย้อนกลับไปในปีนั้นเขาได้นำทัพด้วยตนเอง เขาไม่เคยคิดฟุ้งซ่าน จนสั่นคลอนจิตวิญญาณนักรบดังเช่นตอนนี้ จำเป็นต้องรีบระงับความคิดที่ทำให้ว้าวุ่นใจเหล่านั้นเสีย
หลังจากวันนั้น ตำหนักหย่งเหอมักจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน บรรดานางสนมมารวมตัวกันที่นี่ เพื่อเย็บปักพื้นหลังของรองเท้า และเริ่มทำเสื้อนวมสำหรับฤดูหนาวให้เหล่าทหารชายแดน “ฮองเฮาเพคะ พวกเราทำเช่นนี้ จักถือเป็นการสร้างผลงานด้วยหรือไม่เพคะ?” นางสนมเจียเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม เฟิ่งจิ่วเหยียนกดคางลงเล็กน้อย “แน่นอน” บางคนถูกเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เล็ก การให้พวกนางเย็บพื้นหลังของรองเท้าที่ใช้งานได้จริงเหล่านี้ ย่อมเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก ทว่าพวกนางเต็มใจเรียนรู้ และไม่เกี่ยงงานเลย มู่หรงฉานก็อยู่ในหมู่ผู้คนเช่นกัน และนี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า รอยยิ้มบนใบหน้าของทุกคนเป็นความจริง ที่ออกมาจากใจจริง ทันใดนั้นนางพลันตระหนักได้ ในอดีต นางคิดว่าสามารถดึงเหล่าสนมมาเป็นพวกได้ด้วยผลประโยชน์ทุกชนิด ความจริงแล้ว รอยยิ้มที่พวกนางมอบให้ตนเองในยามนั้น มิได้จริงใจเฉกเช่นในวันนี้เลย นางไม่มีความจริงใจต่อผู้อื่นฉันใด อีกฝ่ายก็ไม่จริงใจด้วยฉันนั้น เช่นเดียวกับไทฮองไทเฮา นางเคยคิดว่า ไทฮองไทเฮารักหลานสาวเช่นนางด้วยใจจริง เสมือนกับที่รักญาติผู้พี่หญิงเมื่อในอดีต ทว่
เฟิ่งจิ่วเหยียนกวาดตามองเหล่าทหารใหม่หลายร้อยนายนั้น แล้วหันไปสั่งการอู๋ไป๋“คะแนนสอบกลศึกของทหารเหล่านี้ ไม่ให้แต้มแม้แต่แต้มเดียว”อู๋ไป๋ยืดคอตั้งตรง เผยให้เห็นความหยิ่งยโสอยู่หลายส่วน“พ่ะย่ะค่ะ!”ทหารหลายร้อยนายเหล่านั้นเบิกตากว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมการสอบประเมินทหารใหม่ที่เพิ่งเข้าค่ายทหารนั้น ครอบคลุมไปถึงกลศึก การขี่ม้ายิงธนู และการวาดแผนที่เป็นต้นคะแนนสอบที่สูงหรือต่ำนั้น ใช้ตัดสินว่าพวกเขาจะได้เป็นทหารทัพไหนทัพกลางดีที่สุดทัพซ้ายและขวา สองทัพนี้รองลงมาที่แย่ที่สุดคือกองเสบียง กองดูแลอาวุธ ที่อนาคตไม่มีโอกาสได้เข้าสู่สนามรบยามนี้แค่คำพูดเดียวของฮองเฮา ก็ทำให้คะแนนกลศึกของพวกเขากลายเป็นศูนย์ ใช้อำนาจรังแกคนชัด ๆ!“ฮองเฮา เพราะเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ!”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้อธิบายให้มากความ“ในเมื่อรู้ว่าสตรีเป็นทหารไม่ง่าย ก็ต้องเห็นคุณค่าของโอกาสในตอนนี้ของพวกเจ้าให้ดี“พอถูกสตรีนำหน้า ก็อับอายจนโมโห ทำไม อยากให้ข้าชมพวกเจ้าว่ามีอนาคตยาวไกล จะต้องเอาชนะกองทัพสตรีได้แน่อย่างนั้นรึ?“ทหารทุกนาย วิ่งรอบค่ายร้อยรอบ!”เหล่าทหารใหม่ที่ถูกกดขี่บีบบังคับได้แต่ทำ
ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว วันนี้เป็นวันหยุด เฟิ่งเหยียนเฉินจะพาโจวซื่อไปบ้านพ่อตาเพื่อส่งของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์ล่วงหน้าระหว่างที่โจวซื่อกำลังช่วยเฟิ่งเหยียนเฉินสวมเข็มขัด สาวใช้ก็เข้ามาในห้อง แล้วรายงานอยู่ข้างฉากบังลม“ใต้เท้า ฮูหยิน แม่หญิงหลิวผู้นั้นมาอีกแล้วเจ้าค่ะ!”สองสามีภรรยามองตากันด้วยสีหน้าจนปัญญาเฟิ่งเหยียนเฉินขมวดคิ้วถาม“นางมาทำอะไร”“มาอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”โจวซื่อกดแขนของเฟิ่งเหยียนเฉิน เงยหน้ามองเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ท่านพี่ อย่าบุ่มบ่าม ถึงอย่างไรก็เป็นแขกของท่านแม่ พวกเราเป็นคนรุ่นหลัง จะไล่คนไปก็คงไม่ดี คอยสังเกตการณ์เงียบ ๆ จะดีกว่า”เฟิ่งเหยียนเฉินกดอารมณ์ร้อนของตนลงเมื่อนึกได้ว่าอีกซักครู่ยังต้องไปบ้านท่านพ่อตา เช่นนั้นก็ช่างเรื่องท่านน้า เขาเพียงสั่งข้ารับใช้ว่า “ปกป้องท่านแม่ให้ดี”“ขอรับ ใต้เท้า!”นายหญิงเฟิ่งพักอยู่ที่เรือนรองนางพาหลิวอิ๋งเดินชมด้านในจวนพลทหารรอบหนึ่งหลังจากคนทั้งสองเดินกลับถึงเรือนรอง หลิวอิ๋งก็จับมือนาง แล้วกล่าวด้วยความกระดากใจอย่างยิ่งว่า“พี่หญิง เรื่องเมื่อวานเป็นข้าที่เลอะเลือนเอง
จวนพลทหารเฟิ่งเหยียนเฉินเห็นแก่ท่านแม่ จึงฝืนใจยอมนั่งโต๊ะเดียวกับคนที่เรียกว่าเป็นน้าหญิงสกุลโจวก็เห็นแก่หน้าแม่สามีเหมือนกัน ไม่ถือสาเรื่องที่ผ่านมา มีไมตรีจิตรกับน้าหญิงคนนี้สีหน้าหลิวอิ๋งแสดงออกถึงท่าทีรู้สึกผิด ยกจอกสุราลุกขึ้นมา“เรื่องในวันนี้ เป็นเรื่องเข้าใจผิด“พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ควรทะเลาะกันเช่นนี้“พี่สาว อภัยให้ข้าด้วย ข้าคิดถึงเรื่องของท่านพ่อท่านแม่กับน้องชาย จึงล่วงเกินเจ้า ล่วงเกินหลานสะใภ้”นางยกจอกสุราคารวะนายหญิงเฟิ่งนายหญิงเฟิ่งใจอ่อน “อาอิ๋ง เจ้าเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของข้า ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้”นางไม่ได้เลี้ยงดูส่งทั้งสองท่านเป็นครั้งสุดท้าย เป็นสิ่งที่นางเสียใจที่สุดในชีวิต ไม่โทษที่หลิวอิ๋งต่อว่านาง ต่อหน้าทุกคน“พี่สาว เหยียนเฉิน ข้าดื่มหมดจอก!” หลิวอิ๋งดื่มสุราในจอกจนหมดเฟิ่งเหยียนเฉินไม่พูดอันใดตลอดมื้ออาหารครั้งนี้จนหลังทานอาหารค่ำแล้วเสร็จ หลังจากทุกคนส่งน้าหญิงกลับไปแล้ว เขาค่อยพูดกล่อมท่านแม่“ข้าคิดว่า น้าหญิงคนนี้ไม่ควรผูกมิตร ต่อไปท่านไปมาหาสู่นางน้อยหน่อย”นายหญิงเฟิ่งขมวดคิ้ว“เหยียนเฉิน อย่างไรนั่นก็เป็นน้องสาวของข้า เป็นญ
เฟิ่งหลินโกรธจนขำหัวเราะ“เก้ามิ่งก็คือเก้ามิ่ง ข้ายังจะโกหกเจ้าได้รึ?“หลิวอิ๋ง เจ้ายังไม่ได้แต่งงานเข้ามา ก็ก่อเรื่องวุ่นวายให้ข้าขนาดนี้ ต่อไปจะไม่ยิ่งกว่านี้รึ?“วันนี้ หากเจ้าไม่ไปขอโทษ งั้นการแต่งงานระหว่างเจ้ากับข้า ก็ยกเลิก!”หลิวอิ๋งมือสั่น หว่างหัวคิ้วมืดคล้ำ “ได้! ข้าไปขอโทษ! ทว่าไม่ใช่เพราะท่านข่มขู่ข้า เป็นเพราะข้าคำนึงถึงท่าน ไม่อยากให้จวนตระกูลเฟิ่งเสื่อมเสียชื่อเสียง”นายท่านเฟิ่งรู้จักนางดีตั้งแต่ต้นแล้วเขาส่งเสียงเมิน “หากเจ้าหวังดีกับข้าจริง ๆ ก็จะไม่บีบบังคับให้ข้าแต่งงานกับเจ้า !”คำพูดประโยคนี้ทิ่มแทงใจหลิวอิ๋งนางหัวเราะเย้ย“ซานหลาง ข้าบีบบังคับเจ้าจริง ๆ หรือ? เราแต่งงานกัน ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของกันและกันหรือ?”นางต้องการอำนาจกับทรัพย์สินเปิดเส้นทางการค้าระหว่างแต่ละแคว้น อาศัยเพียงสถานะป้าของฮองเฮา ยังไม่เพียงพอนางยังต้องส่งลูกสาวไปยังตำแหน่งสูงศักดิ์ส่วนเฟิ่งหลิน เขาต้องการลูกสาวที่เชื่อฟัง คลอดโอรสให้กับตระกูลเฟิ่งของพวกเขาทันใดนั้น เฟิ่งหลินพูดอะไรไม่ออก ไม่สนใจนาง สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไปข้างนอกห้องตรงระเบียงทางเดินสาวใช้พูดเ
หลิวอิ๋งมาถึงจวนตระกูลเฟิ่ง วางมาดเป็นเหมือนนายหญิงกลับจวน นำรังนกยื่นให้สาวใช้“นำรังนกไปตุ๋น เดี๋ยวข้าจะดื่ม”สาวใช้ยื่นมือทั้งคู่รับมา ไม่กล้าที่จะละเลยพ่อบ้านเหลือบมองรังนก แล้วก็แอบส่ายหัวฮูหยินในอนาคตคนนี้หาเงินเก่งก็จริง ทว่าใช้จ่ายเงินก็ไม่ธรรมดาหากให้นางดูแลจัดการจวนตระกูลเฟิ่ง จะมีชีวิตที่ดีได้หรือ?หลิวอิ๋งอายุสี่สิบกว่า ปกติใช้เงินจำนวนมากในการบำรุงดูแล ใช้ผงแป้งไข่มุกทุกวัน แลดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงอย่างน้อยเจ็ดแปดปีวันนี้นางแต่งตัวสวมชุดกระโปรงเบาสบายทันสมัย กล่าวกันว่าเป็นแบบที่ฝ่าบาทออกแบบให้กับฮองเฮาด้วยพระองค์เอง เมื่อสวมใส่แล้วมีความสง่ากล้าหาญ นางคิดว่า คู่ควรกับสถานะของนางที่เป็นหญิงแกร่งทางการค้าเวลานี้ มุมหนึ่งตรงระเบียงทางเดิน อี๋เหนียงหลินกับสาวใช้ยืนอยู่ตรงนั้น แอบมองดูอยู่สาวใช้แสดงสีหน้าสมน้ำหน้า“อี๋เหนียง นายท่านโกรธขนาดนี้ แม่หญิงหลิวคนนั้นโชคร้ายแน่”สายตาอี๋เหนียงหลินแฝงไปด้วยความเกลียดแค้น ชิงชัง มือออกแรง แทบอยากฉีกผ้าเช็ดหน้าให้ขาด“สารเลว! อย่าให้นางเข้ามาอยู่ที่นี่ดีที่สุด!”……หลิวอิ๋งเข้าไปในห้องโถงหน้า ก็เห็นเฟิ่งหลินจับจ้องต
ในห้องโถงส่วนหน้า จวนตระกูลเฟิ่ง นายท่านเฟิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ความคับแค้นใจนั้นมิอาจจางหายได้ มันอัดแน่นอยู่ในทรวงอก รู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก พ่อบ้านรออยู่ด้านข้าง กลั้นเสียงมิกล้าหายใจแรง แผ่นหลังชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น ฮองเฮาพิโรธขนาดนั้นก็ไม่น่าแปลกใจ ว่าที่ฮูหยินทำเกินไปแล้วจริง ๆ กล้าไปสร้างปัญหาที่จวนพลทหาร ทั้งตบหน้าฮูหยินน้อยได้อย่างไร! บัดนี้นายท่านจึงตกที่นั่งลำบาก หันหน้าไปทางไหนก็ไม่ดี พ่อบ้านลอบถอนหายใจ หนึ่งเรื่องยังไม่ทันจบ เรื่องใหม่ก็เข้ามาอีก เด็กรับใช้รีบเร่งเดินเข้ามาข้างใน “นายท่าน! คุณชายใหญ่กลับมาแล้วขอรับ!” เพิ่งจะพูดจบ เฟิ่งเหยียนเฉินพลันเดินเข้ามาด้วยท่าทีน่าเกรงขาม เขาไม่รอให้คนไปรายงานก่อน เดินตรงมาหานายท่านเฟิ่งที่ห้องโถงส่วนหน้าโดยตรง ครั้นได้เห็นสีหน้าบึ้งตึงของบุตรชาย ก็คาดเดาได้ถึงเหตุผลที่เขามาเยือนทันที จู่ ๆ นายท่านเฟิ่งรู้สึกนั่งก็ไม่ใช่ ยืนก็ไม่ถูก เขานึกหงุดหงิดใจนัก วันนี้ช่าง “ครึกครื้น” เสียจริง! เฟิ่งเหยียนเฉินยังสวมเครื่องแบบราชการอยู่ ยืนนิ่ง พูดเข้าประเด็นทันที “ขอบังอาจถ
จวนตระกูลเฟิ่ง นายท่านเฟิ่งกำลังสั่งให้คนเขียนเทียบเชิญงานแต่ง พ่อบ้านพลันวิ่งเข้ามารายงาน “นายท่าน นายท่าน! ฮองเฮาเสด็จมาขอรับ!” สีหน้าของนายท่านเฟิ่งดูตกตะลึง เหตุใดฮองเฮาจึงมาเยือนอย่างกะทันหัน? หรือได้ยินข่าวว่าเขากำลังจะแต่งงานใหม่ จึงรีบมาขัดขวาง? อีกด้านหนึ่ง ในเรือนอี๋ชิง อี๋เหนียงหลินร้องไห้จนตาบวมไปหมดแล้ว “ไฉนนังแพศยานั่นมาทีหลังกลับได้สมหวัง! “ข้าปรนนิบัตินายท่านมานานหลายปีแล้ว นางเป็นแค่หญิงม่ายคนหนึ่ง คิดจะมาแข่งกับข้า...นายท่านจะชื่นชอบนางได้อย่างไร! “ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว! ให้ตายเถอะ! ข้ายอมตาย ดีกว่าทนอัดอั้นเช่นนี้!” ตั้งแต่รู้ว่าหลิวอิ๋งกำลังจะได้แต่งเข้าจวน อี๋เหนียงหลินก็ร้องไห้โวยวายอย่างหนัก ก่อนหน้านี้ได้วิ่งไปโวยวายต่อหน้านายท่านแล้ว กลับถูกตำหนิกลับมาเสียยกใหญ่ ยามนี้จึงได้แต่ระบายความอัดอั้นในเรือนของตนเอง เดิมเฟิ่งหมิงเซวียนยังมาปลอบโยนนางบ้าง ทว่านางร้องไห้บ่อยเกินไป จนเฟิ่งหมิงเซวียนรู้สึกรำคาญเช่นกัน จึงย้ายไปอยู่ที่โรงพักแรม ไม่ยอมกลับบ้านทั้งกลางวันกลางคืน อี๋เหนียงหลินยิ่งคิดก็
เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินเข้าไปในห้อง พลันเห็นมารดานั่งอยู่ข้างเตียง ใช้ผ้าเช็ดน้ำตาอยู่ แววตาของนางมืดลง ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปเร็วขึ้น ครั้นนายหญิงเฟิ่งได้ยินเสียงคนเข้ามา จึงเงยหน้ามอง เห็นว่าเป็นเฟิ่งจิ่วเหยียน ก็รีบปาดน้ำตาทิ้ง เปลี่ยนจากความเศร้าเป็นยินดี “ฮองเฮา...” ถึงแม้จะเป็นแม่ลูกกัน และอยู่ในสถานที่ส่วนตัว นายหญิงเฟิ่งยังเคร่งครัดในกฎระเบียบ นางไม่อยากให้บุตรสาวกังวล จึงหาข้ออ้างง่าย ๆ โดยไม่รอให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยถามก่อน “แม่แค่คิดถึงเวยเฉียง มิรู้ว่านางอยู่ที่จางโจวนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” การร้องไห้เมื่อคิดถึงบุตรสาว เป็นธรรมดาของมนุษย์ หากเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ก็คงจะเชื่อแล้วจริง ๆ นางเดินไปนั่งลงข้างกายของนายหญิงเฟิ่งอย่างเงียบ ๆ “พูดมาตามตรงเถิด เกิดอะไรขึ้น” นายหญิงเฟิ่งชะงักงันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกลับมาแย้มยิ้มทันที “ก็เป็นดั่งที่พูดเมื่อครู่นี้ ฮองเฮา ไฉนเจ้าถึงออกจากวัง? มีเรื่องอะไรนอกวังหรือไร?” นางยังต้องการจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา ทว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนยังวกกลับมา “ข้าเห็นคนพวกนั้นแล้ว พวกนาง
ราชทูตจากเป่ยเยี่ยนที่รักตัวกลัวตายนั้น เขาย่อมรู้ดีว่านิสัยของอดีตฮ่องเต้เป็นคนเช่นไร จึงมิคิดหาเรื่องเดือดร้อนให้กับตนเองเขารีบพาทหารทั้งหลายที่ถูกถอดชุดเกราะปลดอาวุธกลับเป่ยเยี่ยนไปในทันที มิคิดรั้งอยู่หนานฉีเลยแม้แต่วินาทีเดียวเมื่ออดีตฮ่องเต้เห็นทุกคนออกไปกันหมดแล้วนั้น เขาถึงรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่า เขาถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่แล้วจริง ๆ วินาทีนั้น เขาโกรธโมโหยิ่งนัก พร้อมทั้งไอสังหารที่แผ่ไปทั่วทุกที่“อ๊าก! ตาเฒ่า! ข้าเป็นบุตรแท้ ๆ ของท่าน ท่านกล้าทำเช่นนี้กับข้าเลยหรือ!”เขาทั้งสองข้างพลันคุกลงบนพื้น ก่อนจะร้องคำรามไปมามิต่างอันใดกับสุนัขที่บ้าคลั่ง……แคว้นตงซานที่อยู่ห่างออกไปพันลี้นั้นหลังจากที่ราชทูตทั้งสองกลับมาแล้วนั้น พลางนำข่าวที่ตนเองถูกพวกหนานฉีบังคับให้ทำการค้าขายด้วยมารายงานในทันทีฮ่องเต้แคว้นตงซานที่ได้ยินเช่นนั้น พลันหัวเราะออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว“เรารู้ดีว่า หนานฉีจักไม่ยอมหยุดเพียงเท่านี้แน่!”ราชทูตหลี่หลิงที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นนั้น“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิอาจช่วยราชครูกลับมาได้ ทว่า พวกกระหม่อมได้ทิ้งสายลับเพื่อติดตามหาเบาะแสของตงฟางซื่อเอาไว้แ