เซียวอวี้นิ่งเงียบ บอกกล่าวเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างจริงจัง“เราอยากให้เจ้ารู้ เรื่องมอบหมายให้จิ้งเฟยดูแลหกตำหนัก เป็นเจตนารมณ์ของเสด็จย่า หาใช่ความต้องการของเรา!”เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้ามองเขา กล่าวด้วยท่าทางจริงจัง“หมายความว่า…ท่านไม่พึงพอใจจิ้งเฟยงั้นหรือ?”ลมหายใจของเซียวอวี้หนักอึ้งเล็กน้อยนางอย่าชื่อว่าเฟิ่งเวยเฉียงเลย เปลี่ยนชื่อเป็นเฟิ่งก้อนหินดีกว่า!เขาแค่ไม่อยากให้นางเชื่อคำพูดไม่มีมูลในวังเหล่านั้น ที่บอกว่าเขาลำเอียงโปรดปรานแต่จิ้งเฟยแต่คิดอีกแง่มุม นางอยากเข้าใจผิดก็ปล่อยให้เข้าใจผิดไป เหตุใดตัวเขาต้องไปอธิบายกับนางด้วยเซียวอวี้กล่าวอย่างเย็นชา“เจ้าถือซะว่าเราไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน” ……ในคืนนั้น ขบวนเสด็จมาเยือนตำหนักซินฮุ่ยฮ่องเต้แผ่ซ่านกลิ่นอายเย็นชา ทำให้บ่าวรับใช้รอบด้านไม่กล้าปริปากพูดแม้แต่จิ้งเฟยก็ยังเงียบหลังจากผ่านอาหารมื้อเย็น เห็นว่าฝ่าบาทจะเสด็จกลับ จิ้งเฟยก็ฮึดสู้ รวบรวมความกล้าดึงรั้งชายอาภรณ์ของเขาเอาไว้ใบหน้าของเซียวอวี้พลันมีแววไม่พอใจพาดผ่านเมื่อหันกลับไป ก็เห็นจิ้งเฟยก้มหน้าลงอย่างเขินอาย เผยอริมฝีปากจะพูด“ฝ่าบาท ได้ยินว่าคืนน
สุนัขสวรรค์กินดวงจันทร์ เป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติในวังมีคำสั่งห้ามออกนอกบริเวณ เหล่าองครักษ์ลาดตระเวนจึงผ่อนปรนความเข้มงวดลงเฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นพลุส่งสัญญาณจากร้านรับจำนำผิงอัน คิดว่าพวกเขามีเรื่องสำคัญ จึงรีบออกไปอย่างรวดเร็วครั้นเปิดประตูเข้าไปไม่ทันไร นางก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแปลก ๆท่ามกลางความมืดมืด พลันมีกลิ่นหอมโชยเข้ามาในจมูกของนางต่อมาไอสังหารก็รุกคืบเข้ามาใกล้เฟิ่งจิ่วเหยียนคว้าจับข้อมือของคนผู้นั้นได้อย่างแม่นยำ แล้วใช้ฝ่ามือสกัดเอาไว้ทว่าหลังจากนั้น คนผู้นั้นก็พลอยล้มลงในอ้อมกอดของนางร่างกายนุ่มนวลอวบอิ่ม ทับบนตัวของนางโดยพลัน จะดันก็ดันไม่ออก“น้องชายสุดที่รัก พี่สาวคิดถึงเจ้าจะตายแล้ว”เฟิ่งจิ่วเหยียนพ่นลมหายใจออกมาเงียบ ๆปัญหามาหาแล้ว…ชุยไป๋เปิดไฟ ภายในห้องพลันสว่างวาบใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองเฟิ่งจิ่วเหยียนเพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนทรยศ หักหลังรองผู้นำพันธมิตรเฟิ่งจิ่วเหยียนผลักหญิงสาวในอ้อมกอดออกไปอย่างไร้ความปราณีหร่วนฝูอวี้ใช้มือค้ำคาง ริมฝีปากสีแดงระเรื่อภายใต้ผ้าคลุมขยับเผยอเล็กน้อย“ไม่ได้เจอกันสา
จดหมายของเวยเฉียงเรียบง่ายอย่างมาก ใช้ภาษาไม่ต่างจากเด็ก เขียนบรรยายเรื่องราวในชีวิตประจำวันแต่เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับอ่านอยู่นานนางรู้ อาการป่วยของเวยเฉียงยังไม่หายดี แต่หากมีความสุขเรียบง่ายเช่นนี้ต่อไปได้ ก็นับว่าดีแล้ว……ชายแดนเหนือณ เซียวเหยาจวีเฟิ่งเวยเฉียงมีผ้าคลุมสีเงินผืนใหญ่คลุมบนไหล่ นั่งอยู่บนชิงช้าบริเวณชานเรือนอย่างเหม่อลอย เมื่อใดที่ได้นั่งก็มักจะนั่งเป็นเวลานานไฉ่เยว่ผู้เป็นสาวใช้คอยเฝ้าไม่ห่างกาย ส่วนซ่งหลีวุ่นอยู่กับยาสมุนไพรต่าง ๆ ข้างในเรือนที่นี่ไม่มีคนนอกเข้ามายุ่งวุ่นวาย ชีวิตจึงสงบสุขทุกวันเมื่อไฉ่เยว่ป้อนยาเฟิ่งเวยเฉียง นางก็ยอมอ้าปากอย่างเชื่อฟังแต่นางจะมองไปยังเบื้องหน้าตลอดเวลา ไม่สบสายตากับผู้ใดทั้งนั้นราวกับเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในภวังค์ฝันตลอดกาล ไม่มีใครสามารถปลุกนางขึ้นมาได้ทุกครั้งที่ไฉ่เยว่เห็นคุณหนูยอมทำตามทุกอย่าง มักจะรู้สึกปวดร้าวที่หัวใจเสมอหากคุณหนูไม่ประสบพบเจอเรื่องสกปรกพรรค์นั้น ป่านนี้ก็คงมีความสุขอย่างมาก“คุณหนู วันนี้ท่านจะเขียนจดหมายให้คุณหนูใหญ่หรือไม่?”เฟิ่งเวยเฉียงมีอาการตอบสนองโดยพลัน“เขียนจดหมาย ต้องเขียนจด
การแต่งกายของราชทูตหนานเจียงแตกต่างจากแคว้นอื่น บุรุษจะมีรอยสักเป็นรูปสัญลักษณ์ทางความเชื่ออยู่บนใบหน้า สตรีจะมีผ้าคลุมหน้า และสวมเสื้อตัวสั้นเผยให้เห็นบั้นเอวเล็กพวกเขาเป็นชนเผ่าต่างถิ่น ชำนาญการเลี้ยงแมลงมีพิษ และมีธรรมเนียมปฏิบัติแปลกประหลาด ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับในหลายแคว้นดูจากที่พวกเขาเข้ามาในท้องพระโรง ผู้คนพากันหลบหลีกแทบไม่ทัน บรรยากาศสรวลเสเฮฮาแต่เดิมพลันหยุดชะงัก สายตาที่ทอดมองไปแฝงด้วยการดูหมิ่นและการรังเกียจโดยเฉพาะสตรีที่เผยบั้นเอวผู้นั้น ช่างขัดต่อจารีตประเพณีเสียจริง!“กระหม่อมถวายบังคมฮ่องเต้ฉี!”เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้าขึ้นมอง ในดวงตาของนางพลันฉายแววความประหลาดใจแวบหนึ่งในบรรดาราชทูตหนานเจียงมีสตรีเพียงคนเดียวสตรีผู้นี้ก็คือหร่วนฝูอวี้ที่นางเพิ่งส่งกลับไปเมื่อสองวันก่อน!หร่วนฝูอวี้อยู่ในชุดสีแดง ผ้าคลุมบนใบหน้าพลิ้วไหวไปตามสายลม ใบหน้าพิลาศล้ำดวงนั้นมองเห็นไม่ชัดเจนดวงตาของนางมีเสน่ห์ชวนหลงใหล ทำให้คนที่มองรู้สึกอ่อนระทวย งุนงง และคลั่งไคล้ขึ้นมาทันทีเหล่าบุรุษด้านหนึ่งก็ตำหนิว่านางไม่รู้จักกาละเทศะ แต่อีกด้านหนึ่งก็อดจ้องมองนางไม่ได้สีหน้าของเฟิ่ง
หร่วนฝูอวี้มองฮองเฮาหนานฉีที่อยู่ในตำแหน่งสูงอย่างพินิจพิเคราะห์ฮองเฮาผู้นี้ทำให้นางรู้สึกเหมือนเคยพบกันมาก่อนเฟิ่งจิ่วเหยียนหันหน้าไปมองเซียวอวี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยท่าทางของเขาดูเฉยเมย ราวกับว่านั่งเฉย ๆ รอดูเสือต่อสู้กันจากบนภูเขา ราชทูตหนานเจียงกลับทอดสายตามายังฮองเฮา“ฮองเฮา ท่านคิดว่าสตรีผู้นี้เป็นเช่นไร?”เหล่าพระสนมพากันมองมาทางเฟิ่งจิ่วเหยียน ในความเห็นส่วนตัว พวกนางหวังว่าฮองเฮาจะปฏิเสธราชทูตหนานเจียงผู้นี้สตรีในวังหลวงนั้นมีมากพอแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนย้อนถามราชทูตด้วยท่าทีเคร่งขรึม“ข้าเห็นแล้วรู้สึกชอบใจ แต่ให้นางมาเป็นบ่าวรับใช้ข้า จะไม่ทำให้นางลำบากใจหรือ?”แววตาของราชทูตหนานเจียงพลันเปลี่ยนไปบ่าวรับใช้?พวกเขาไม่ได้หมายความเช่นนั้น!เมื่อหร่วนฝูอวี้ได้ยิน นางก็ยกยิ้มมุมปากหากเทียบกับฮ่องเต้ฉีผู้นั้น นางชอบฮองเฮาผู้นี้มากกว่าจะพูดอย่างไรดี รู้สึกตรงใจอย่างมาก ราชทูตหนานเจียงยังคงตรึกตรองการมอบหร่วนฝูอวี้ให้กับฮ่องเต้ฉีก็เพื่อให้นางทำลายชะตากรรมของหนานฉี และลอบสังหารจักรพรรดิอย่างเงียบ ๆหากนางเป็นบ่าวรับใช้ของฮองเฮา นางจะทำเรื่องนี้สำเร็จได้อย่างไร
เมื่อเห็นว่าแคว้นตนเสียประโยชน์ เหล่าขุนนางของหนานฉีก็คัดค้านทันที“ฝ่าบาท ไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ! อย่าว่าแต่เหมืองหินเซวียนอิงที่ยังขุดไม่สำเร็จ หินเซวียนอิงที่ได้ก็ยังไม่รู้จำนวนเป็นที่แน่นอนด้วย ถึงแม้จะได้ปริมาณมากพอ แต่นั่นก็ต้องแจกจ่าย นี่ก็ต้องแจกจ่าย เกรงว่าจะเหลือเพียงน้อยนิด!”“กระหม่อมเห็นด้วยกับข้อเสนอ! นี่ไม่เท่ากับทำงานหนักโดยเสียเปล่าให้กับแคว้นอื่นหรอกหรือ?”เหล่าราชทูตสีหน้าดูไม่พอใจ และโต้แย้งกลับทันที“เหตุใดต้องทำงานหนักโดยเสียเปล่า แคว้นจ้าวของเรายินดีจ่ายห้าแสนตำลึงเป็นค่าแรงช่าง!”“ฮ่องเต้ฉี เป่ยเยว่ก็ยินดีจ่ายเงินห้าแสนตำลึงเช่นกัน!”ขุนนางอาวุโสผมขาวโพนผู้หนึ่งของหนานฉีโมโหโกรธเกรี้ยว “นี่เป็นปัญหาเรื่องเงินทองรึ! สิ่งล้ำค่าอย่างหินเซวียนอิงมีมูลค่าเท่าใด? เชื่อว่าพวกเจ้าต้องรู้ดีอยู่แก่ใจ!”แน่นอนว่าพวกเขารู้หินเซวียนอิงเป็นของหายากมีจำนวนน้อยหลายร้อยปีมานี้มีเฉพาะที่แคว้นเป่ยเยี่ยนเพียงแห่งเดียวเท่านั้นเนื่องจากแคว้นเป่ยเยี่ยนอุดมด้วยหินเซวียนอิง จึงได้หลอม “มังกรไฟ” ที่ทรงพลังขึ้นมา ในสมรภูมิรบไม่มีสงครามครั้งใดพ่ายแพ้ จนกลายเป็นแคว้นมหาอำนาจอ
เหล่าราชทูตถูกเชือกมัดรอบเอวและดิ้นไม่หลุดเมื่อเห็นม้าเริ่มวิ่งเร็วขึ้น พวกเขาจำต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อเอาชีวิตรอด สองขาจะวิ่งแซงสี่ขาได้อย่างไร ผ่านไปสักพักพวกเขาก็ล้มลงกับพื้น และถูกกระชากลากถูทั้งเป็น ถึงแม้จะเป็นพื้นทราย พวกเขาก็ไม่อาจทนรับความทรมานได้เช่นกันหลังจากวิ่งไปสองสามรอบก็มีเสียงกรีดร้องของผู้คนที่รายล้อมอยู่ด้านบนสนามอาภรณ์ของพวกเขาถูกขูดจนฉีกขาด ส่วนเนื้อหนังก็ถูกครูดจนถลอก บนพื้นยังมีร่องรอยของคราบเลือด... พวกเขายังคงร้องขอความเมตตา“ฮ่องเต้ฉี! ฮ่องเต้โปรดไว้ชีวิตด้วย!” “ฮ่องเต้ฉี...กระหม่อมมิกล้า...กระหม่อมมิกล้าแล้ว!” ราชทูตที่เหลือเมื่อเห็นเช่นนี้ พวกเขารู้สึกว่าโชคดีที่เมื่อครู่ไม่ได้พูดมาก เซียวอวี้แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินการร้องขอความเมตตาของคนเหล่านั้นเขาดื่มสุราและกินอาหารตามเดิม เขาไม่กลัวแม้แต่น้อยว่าจะร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิตทว่าบรรยากาศของงานเลี้ยงเริ่มคุกรุ่น ผู้คนแทบไม่กล้าหายใจ ยกเว้นแต่หร่วนฝูอวี้ ถึงแม้ราชทูตหนานเจียงของนางจะอยู่ในสนามม้าด้วย นางยังคงกินดื่มตามเดิมโดยไม่รู้สึกหนักใจแม้แต่น้อย ทั้งยังให้นางกำนัลเติมสุราให้อีก
เหลียนซวงกลับเข้ามาในตำหนัก นางรีบทูลให้ฮองเฮาทรงทราบเรื่องที่ต้องเข้าร่วมบรรทมเฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังจัดเรียงอาวุธลับ เมื่อนางได้ยินเช่นนี้พลันขมวดคิ้ว“หลิวซื่อเหลียงพูดรึ?”เหลียนซวงส่ายหัว“เขาไม่ได้พูดเช่นนั้น แต่เขาหมายความเช่นนั้นเพคะ“เขายังบอกอีกว่า นอกจากหรงเฟยผู้ล่วงลับ ฝ่าบาททรงไม่เคยเรียกพระสนมคนใดจากวังหลังมาที่ตำหนักจื้อเฉินเลย...บ่าวได้ยินคำพูดนี้แล้วรู้สึกหวาดกลัวเพคะ“ฮองเฮา คืนนี้ท่านต้องร่วมบรรทมจริงหรือเพคะ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยด้วยท่าทีเรียบเฉย“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ทว่าตอนนี้ยังมีเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องรีบไปทำ”เหลียนซวงตั้งใจฟังคำสั่งเดิมทีคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญอันใด ผลสุดท้ายคือฮองเฮาแค่ให้นางนำยาเม็ดมาบดเป็นผง โดยบอกว่าเป็นยาเพื่อป้องกันมดแมลงทว่าช่วงเวลานี้ในวังก็ไม่มีแมลงมีพิษ งู หรือมด ยามค่ำคืนเฟิ่งจิ่วเหยียนมาถึงตำหนักจื้อเฉิน ขันทีผิวขาวเกลี้ยงเกลาผู้หนึ่งก็พานางเข้าไปด้านในห้องบรรทมของฮ่องเต้ดูงดงามโอ่โถงกว่าห้องทั่ว ๆ ไปจากประตูหลักเข้ามาถึงห้องโถงหลักจะปูพื้นด้วยอิฐหยกขาวรวมเก้าสิบเก้าก้อนตัวอักษรเคลือบทองคำว่า “ตำหนักจื้อเฉิน”
ราชทูตจากเป่ยเยี่ยนที่รักตัวกลัวตายนั้น เขาย่อมรู้ดีว่านิสัยของอดีตฮ่องเต้เป็นคนเช่นไร จึงมิคิดหาเรื่องเดือดร้อนให้กับตนเองเขารีบพาทหารทั้งหลายที่ถูกถอดชุดเกราะปลดอาวุธกลับเป่ยเยี่ยนไปในทันที มิคิดรั้งอยู่หนานฉีเลยแม้แต่วินาทีเดียวเมื่ออดีตฮ่องเต้เห็นทุกคนออกไปกันหมดแล้วนั้น เขาถึงรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่า เขาถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่แล้วจริง ๆ วินาทีนั้น เขาโกรธโมโหยิ่งนัก พร้อมทั้งไอสังหารที่แผ่ไปทั่วทุกที่“อ๊าก! ตาเฒ่า! ข้าเป็นบุตรแท้ ๆ ของท่าน ท่านกล้าทำเช่นนี้กับข้าเลยหรือ!”เขาทั้งสองข้างพลันคุกลงบนพื้น ก่อนจะร้องคำรามไปมามิต่างอันใดกับสุนัขที่บ้าคลั่ง……แคว้นตงซานที่อยู่ห่างออกไปพันลี้นั้นหลังจากที่ราชทูตทั้งสองกลับมาแล้วนั้น พลางนำข่าวที่ตนเองถูกพวกหนานฉีบังคับให้ทำการค้าขายด้วยมารายงานในทันทีฮ่องเต้แคว้นตงซานที่ได้ยินเช่นนั้น พลันหัวเราะออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว“เรารู้ดีว่า หนานฉีจักไม่ยอมหยุดเพียงเท่านี้แน่!”ราชทูตหลี่หลิงที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นนั้น“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิอาจช่วยราชครูกลับมาได้ ทว่า พวกกระหม่อมได้ทิ้งสายลับเพื่อติดตามหาเบาะแสของตงฟางซื่อเอาไว้แ
การที่พวกเขาขอเข้าพบยามมืดค่ำเช่นนี้ เกรงว่าราชทูตเป่ยเยี่ยนเองคงมีเรื่องร้อนใจมากกระมังจางฉี่หยางนำกองทัพที่แข็งแกร่งบุกเข้าโจมตีเป่ยเยี่ยนสงครามในครานี้จึงต้องรีบระงับโดยไว แว่นแคว้นภายในถึงจักสามารถฟื้นตัวได้เสียที……เมืองเซวียนภายในเรือนจำฮ่องเต้เยี่ยนและเหล่าทหารมากมายถูกคุมขังเอาไว้ที่นี่เขามิคิดเลยว่า ตนเองจักถูกพวกหนานฉีจับได้ ทั้งยังถูกคนของตนเองทรยศหักหลังอีก!เขาโกรธเกลียดยิ่งนักเมื่อฮ่องเต้ถูกจับตัวเอาไว้ได้เช่นนี้ กองทัพเยี่ยนที่เหลืออยู่บนภูเขาจิ่วเหลียนย่อมไร้ความสามารถเป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิงทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนหาได้แสดงออกท่าทีว่าตนเองพ่ายแพ้ไม่ หากแต่ยังคงทำตัวหยิ่งจองหอง ยโสโอหังไม่เลิก“เราจักไม่ตาย! พวกเจ้ามิกล้าสังหารเราหรอก!“กองทัพเยี่ยนที่มีทหารนับหมื่นนายนั้น พวกเขาจักยังคงทยอยโจมตีหนานฉีต่อไป จนกระทั่งหนานฉีพ่ายแพ้ราบคาบเป็นหน้ากอง!”นี่คือพระราชโองการที่เขาออกสั่งด้วยตนเอง ก่อนที่เขาจะทยานเข้าสู่ศึกสงครามไม่ว่าอย่างไร เป่ยเยี่ยนกับหนานฉีก็จักรบกันจนตัวตายไปข้างหนึ่ง!ทหารที่เฝ้าห้องขังนั้น ต่างพากันหัวเราะออกมาเสียฉากใหญ่“ทยอยโจ
ในวังหลวงหลังจากรับสำรับมื้อค่ำแล้วนั้น เซียวอวี้ก็มอบของขวัญให้กับตระกูลเฟิ่งมากมาย ทุกคนต่างก็ได้รับกันถ้วนหน้า รวมไปถึงเด็กน้อยวัยสองขวบด้วยเฟิ่งเหยียนเฉินพลันลุกขึ้นยืน“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมนึกละอายใจยิ่งนัก!”โจวซื่ออุ้มบุตรสาวของตนเองขึ้นมา ก่อนจะโค้งกายคำนับตามสามีของตนเองเซียวอวี้ที่มีงานราชกิจมากมายรออยู่นั้น หลังจากรับสำรับมื้อค่ำเสร็จเขาก็ต้องกลับไปที่ห้องทรงพระอักษร ก่อนจะสั่งการให้หลิวซื่อเหลียงส่งตระกูลเฟิ่งออกจากวังไปหลิวซื่อเหลียงที่เป็นข้ารับใช้คนสนิทของฮ่องเต้ การที่ได้เขาช่วยนำออกจากวังหลวงนั้น ถือเป็นการแสดงให้เห็นว่า ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับตระกูลเฟิ่งมากเพียงใดเฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองหลานสาวตัวน้อยของนาง ก่อนจะหันกลับไปมองแผ่นหลังของฮ่องเต้ที่เดินจากไปทันใดนั้น แววตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากมายจึงฉายชัดขึ้นมาในทันทีตลอดการรับสำรับมื้อค่ำในครานี้ เซียวอวี้ลอบมองดูเด็กน้อยอยู่หลายครั้ง พร้อมรอยยิ้มที่ฉายขึ้นในดวงตาของเขาเสมอสายตานั้น มิต่างอันใดกับเฟิ่งเหยียนเฉินที่มอบให้กับบุตรสาวของตนเองเลยแม้แต่น้อยหากจะกล่าวว่าเฟิ่งจิ่วเหยียน
สีหน้าของนายท่านเฟิ่งเต็มไปด้วยการต่อต้านถึงแม้ว่าเขาจะแต่งงานใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังมีบุปผางามสาวสะพรั่งอีกมากมายให้เลือกสรร อย่างน้อย เขาก็สามารถแต่งกับสตรีที่รู้ความแตกฉานด้านอักษร หรือมีภูมิหลังที่สะอาดสะอ้านบริสุทธิ์ผุดผ่องได้หลิวอิ๋งผู้นี้ หาได้มีคุณสมบัติที่จักมาเป็นนายหญิงของตระกูลเฟิ่งไม่!หากแต่ สตรีที่อยู่ตรงหน้าเขาหาได้มีท่าทีล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ไปที่ใบหน้าของเขาราวกับเต็มไปด้วยความรักใคร่“นายท่าน สามีของข้าเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ข้ามิเคยลืมท่านเลยสักวันเดียว“ในเมื่อพี่สาวข้าหย่าขาดกับท่านเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเรากลับมาอยู่ด้วยกันดีหรือไม่ ในครานี้ มิมีผู้ใดขัดขวางพวกเราได้อีกแล้ว”ทั่วร่างของนายท่านเฟิ่งพลันเหงื่อแตกไปในทันที ก่อนจะผลักนางออกไป“ใครเคยอยู่กับเจ้ากัน! เจ้าออกไปให้ห่างจากข้าเดี๋ยวนี้!”หลิวอิ๋งในยามนี้ จัดการยากกว่าในปีนั้นยิ่งนัก!เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ที่มารดาของเขามิยินยอมให้นางแต่งเข้าจวนมา!ดวงตาของหลิวอิ๋งพลันหรี่ลงเล็กน้อย คล้ายกับท่าทีที่พร้อมจะทุบหม้อข้าวหม้อแกงทุกอย่างทิ้งไป“ท่านไม่อยากแต่งกับข้างั้นหรือ?“
ด้านนอกประตูวังนั้นหลิวอิ๋งและบุตรสาวของนางถูกไล่ออกไปทันทีไม่ว่าพวกนางจะเอ่ยย้ำว่าเป็นเครือญาติของฮองเฮามากเท่าไหร่เหล่าองครักษ์พลางกล่าวออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ว่า: “ฮองเฮามีรับสั่งว่า ไม่พบ!”สาวใช้ของพวกนางพลันก้าวเข้าไปข้างหน้า ก่อนจะซักถามพวกเขาว่า“มีตาหามีแววไม่! พวกเจ้ามิได้ไปแจ้งให้ฮองเฮาทราบอย่างแน่นอนเลย!”องครักษ์ที่ทำหน้ารักษาประตูวังจึงชักอาวุธออกมา“หากกล้าก่อเรื่องที่หน้าประตูวัง คงมิอยากจะมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่!”เมื่อหลิวอิ๋งและอีกสองคนเห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า พวกนางจึงค่อย ๆ ล่าถอยออกไปแต่โดยดีทว่า พวกนางหาได้คิดยอมแพ้ไม่!เจิ้งจีบุตรสาวของนางพลันเป็นเดือดเป็นร้อนไปในทันที ก่อนจะจับแขนมารดาของตน พลางเอ่ยถาม“ท่านแม่ ฮองเฮามิให้พวกเราเข้าพบเช่นนี้ พวกเราจักทำเช่นไรกันดีเจ้าคะ? แคว้นพันธมิตรต่างก็เปิดเส้นทางการค้าขายมากมาย โดยเฉพาะแคว้นตงซาน จำนวนพ่อค้าหลวงเองก็มีจำกัด พวกเรามิอาจปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นได้นะเจ้าคะ”สายตาอของหลิวอิ๋งพลันเจือไปด้วยความเย็นชาเล็กน้อย เผยให้เห็นท่าทีสงบและฉลาดหลักแหลม“ไม่ต้องรีบร้อนไป ในเมื่อคนเป็นลูกมิยอมใ
เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับการปรากฏตัวของท่านน้าหญิงของตนเองเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงสั่งให้คนไปตรวจสอบตัวตนของนางมาเสียก่อนการสืบหาในครานี้ กินเวลาไปเกือบทั้งวันด้านนอกประตูวัง ยังมีแม่ลูกคู่หนึ่งยืนอยู่ พร้อมด้วยสาวใช้ของนางเมื่อเหล่าองครักษ์เห็นว่านางเรียกตนเองว่าเป็นเครือญาติของฮองเฮานั้น พวกเขาก็หาได้กล้าทำอะไรไม่ พลางพาพวกนางไปพักที่ศาลาเพื่อรอฮองเฮาเรียกตัวเข้าพบใกล้พลบค่ำหว่านชิวพลันเดินเข้ามาภายในตำหนักในขณะเดียวกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนที่กำลังอ่านจดหมายจากท่านอาจารย์ของนาง เนื้อหาพลันระบุเอาไว้ ชายแดนเหนือได้ทำการวางแนวป้องกันแบบใหม่ลงไปแล้ว มิกลัวว่าฝั่งเป่ยเยี่ยนจะลอบเข้ามาโจมตีอีกต่อไปหว่านชิวพลางโค้งกายคำนับ“ฮองเฮาเพคะ สืบพบแล้วเพคะ สตรีผู้นี้มีนามว่า ‘หลิวอิ๋ง’ เป็นท่านน้าหญิงของพระองค์จริง ๆ เพคะ ทว่า...” หว่านชิวพลันเปลี่ยนหัวเรื่อง “องครักษ์ยังสืบพบอีกว่า มารดาของท่านได้ทำการตัดสายสัมพันธ์กับตระกูลเดิมไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ท่านน้าหญิงของฮองเฮาผู้นี้ มิทราบว่าสมควรจักให้พบหรือไม่ให้พบดีเพคะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนวางจดหมายในมือของนางลง ก่อนจะสั่งการว่า“เจ้าไปที่
เจียงหลินจึงเอ่ยอธิบายก่อน: “สำหรับเส้นทางการค้าลับนั้น ตระกูลเจียงเองก็เคยใช้งานเช่นเดียวกัน ทว่า เรื่องมนุษย์โอสถนั้น หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลเจียงไม่”เรียวนิ้วของเฟิ่งจิ่วเหยียนพลันเขี่ยไปที่รอบปากจอกสุรา สายตาของนางหาได้สนใจสิ่งใดไม่“เล่าต่อเถิด ว่าเรื่องเป็นมาเช่นไร”เจียงหลินพลันกัดฟันเอ่ยออกมา“ข้ากลัวว่าท่านจักเป็นกังวล จึงมิกล้าเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาให้ท่านฟัง”“เส้นทางการค้าลับนั้นมีมานานนับหลายสิบปีแล้ว การค้าของตระกูลเจียงนั้นมีบางครั้งก็จำเป็นต้องใช้งานพวกเขาบ้าง“สิ่งที่ข้าสืบพบก็คือ ไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้นการค้าของพวกมนุษย์โอสถรุ่งเรืองยิ่งนัก ทว่า มิรู้เพราะเหตุใดช่วงนี้ราวกับพวกเขาได้ยินข่าวลืออะไรบางอย่าง จึงไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ มานานแล้ว“ข้าเองก็ได้ส่งคนไปซุ่มรอตรวจสอบอยู่ หากพบว่ามีการค้าขายเกี่ยวกับมนุษย์โอสถเมื่อใดนั้น ย่อมต้องแจ้งให้ท่านทราบอย่างแน่นอน“ทว่า ในยามนี้หาได้พบสิ่งใดไม่”หลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนได้ฟังจนจบแล้วนั้น อย่างน้อยนางก็มั่นใจได้เรื่องหนึ่งว่า มนุษย์โอสถไปมาระหว่างแคว้นตงซานกับหนานฉีจริง ๆ ……ช่วงนี้ นับตั้งแต่ฮ่องเต้จนไปถึงขุนน
ปั้ง!ถานไถเหยี่ยนยกมือขึ้นข้างหนึ่ง หยวนจั้นที่ตกใจจนมิทันได้ป้องกันตนเองนั้น ก็ถูกกำลังภายในอันแข็งแกร่งกระแทกออกไปในทันทีหยวนจั้นที่ได้สติกลับมานั้น จึงปรับสมดุลกำลังภายในในร่างกายของตนเองให้มั่นคง ทว่า ก็ยังไม่อาจยืนหยัดได้อย่างมั่นคงนักร่างกายของหยวนจั้นซวนเซถอยหลังไปสองสามก้าว พร้อมทั้งแผ่นหลังที่ไปกระแทกเข้ากับประตูห้องขังที่อยู่ด้านหลังเขาเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองนั้น พลันเห็นว่าถานไถเหยี่ยนได้ทำลายกุญแจประตูห้องขัง ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเขา...หยวนจั้นเอามือกุมหน้าอกของตนเองเอาไว้ ดวงตาค่อย ๆ หรี่ลง พร้อมด้วยเปลือกตาของเขาที่สั่นไหวไปเล็กน้อยคนผู้นี้ มีความสามารถล้ำลึกถึงเพียงนี้เลยหรือ?เพียงไม่กี่อึดใจเดียว ถานไถเหยี่ยนก็เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของเขา พลางยกมือขึ้นมาวางบนไหล่ของหยวนจั้นหยวนจั้นที่คิดว่าถานไถเหยี่ยนจะลงมือกับตนเองนั้น กลับเห็นว่าเขาเพียงแค่ปัดฝุ่นออกจากหัวไหล่ให้ตนเองเท่านั้นเสมือนกับว่า เขายังคงเป็นอาจารย์ที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนในความทรงจำของเขาอยู่จากนั้น ถานไถเหยี่ยนพลันจัดแจงอาภรณ์ที่เต็มไปด้วยรอยยับให้เรียบร้อย พวกเขาราวกับศิษย์อาจารย์ที
หลังจากจับกุมพัศดีได้นั้น เขาหาได้มีท่าทีสำนึกผิดไม่“ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยทำสิ่งใดผิดไปงั้นหรือ…”เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้คิดมองเขาไม่ นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาพลางกล่าวออกมาว่า“ในฐานะพัศดีนั้น กลับกระทำการรับสินบน ติดต่อกับศัตรูต่างแคว้น ย่อมต้องถูกโทษประหาร!”พัศดีพลันมีสีหน้าซีดเผือดไปในทันทีเหตุใดถึง?ฮองเฮาทรงทราบว่าเขาลอบทำสิ่งใดเช่นนั้นหรือ?ผู้ใดเป็นคนทรยศเขากัน!พัศดีพลันรีบก้มลง พร้อมโขกหัวลงบนพื้นเพื่อ ร้องขอความเมตตา“ฮองเฮาได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยมิกล้าอีกแล้ว! ฮองเฮาได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด ได้โปรด...”เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้คิดฟังเรื่องไร้สาระจากเขาไม่ พลางหันไปสั่งการกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบคุกเทียนเหลาว่า“ข้าจักให้เวลาพวกเจ้าสามวัน ไปทำการสืบค้นเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าเสีย”“พ่ะย่ะค่ะ!” เจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้รับผิดชอบนั้นพลันก้มหน้าลงด้วยความละอายใจเฟิ่งจิ่วเหยียนจึงหันไปกล่าวกับพัศดีคนอื่น ๆ ที่ยืนเนื้อตัวสั่นเทาว่า“ภายในสามวันนี้ หากผู้ใดยอมสารภาพออกมาแต่โดยดี จักได้รับโทษสถานเบา หากว่าทำการสืบหาตัวมาได้เมื่อใดนั