อู๋ไป๋สงสัยยิ่งนัก จุดไฟในตอนนี้เพื่ออะไร? จะยิ่งไม่ง่ายต่อการถูกเปิดเผยหรอกหรือ?ทว่าเขาติดตามเฟิ่งจิ่วเหยียนมานานหลายปี สักครู่เดียวก็เข้าใจในทันที“นายท่าน ท่านจะลองโยนหินถามทาง?”การจุดไฟตามที่ต่าง ๆ สถานที่ที่สำคัญที่สุด จักต้องได้รับการช่วยเหลือมากที่สุดทำเช่นนี้พวกเขาก็พอจะมีทิศทางคร่าว ๆ รู้ว่าควรจะไปค้นหาที่ใดในขณะเดียวกัน ที่สนามประลองยุทธ์“สำนักกระบี่เทพชนะ!”“สำนักกระบี่เทพชนะเป็นครั้งที่สอง!”สำนักกระบี่เทพในฐานะสำนักดาวรุ่ง ได้ชนะติดต่อกันสองรอบเซียวอวี้นั่งอยู่นิ่ง ๆ ในตำแหน่งที่นั่ง ไม่ขยับเขยื้อนราวกับขุนเขาถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ไม่สามารถลงสนามได้ มิเช่นนั้นการประลองยุทธ์ก็จะสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว นั่นจะไม่สามารถช่วยให้จิ่วเหยียนกับพวกเขามีเวลามากขึ้นหลังจากสำนักกระบี่เทพชนะไปแล้วสามรอบ หลายสำนักเริ่มนั่งไม่ติดที่แล้วสำนักเฟยเสวี่ยซานจึงส่งคนออกมาท้าประลองต่อ และคว้าชัยชนะมาได้หนึ่งรอบอย่างยากลำบากคู่ต่อสู้คนต่อไปของเขา ก็คือศิษย์สำนักอวิ๋นซานเจ้าสำนักชิวเฮ่อไม่ได้กังวลว่าจะแพ้แม้แต่น้อย เขากลับสนใจ โจรที่พยายามบุกเข้าไปในห้องของเขาป้องกันทุกวิถี
เฟิ่งจิ่วเหยียนพิจารณากระดูกมนุษย์นั้นอย่างละเอียด ในแววตาฉายแววความเยือกเย็นถึงแม้ไฟจะลุกไหม้อย่างแรง ทว่าคนมาช่วยดับไฟก็มีมากเพียงเวลาไม่นาน ไฟก็ดับลงอย่างช้า ๆทว่าก็มีเพียงไฟตรงเรือนด้านตะวันออกที่ดับลงอย่างรวดเร็วส่วนที่อื่น ๆ บางแห่งความแรงของไฟไม่อาจควบคุมได้ จนเผาวอดทั้งเรือนลูกศิษย์วิ่งไปที่งานชุมนุมประลองยุทธ์ และรายงานสถานการณ์ไฟไหม้ให้เจ้าสำนักทราบเจ้าสำนักชิวเฮ่อเข้าใจภาพรวมทั้งหมด แววตาที่คมกริบ เผยให้เห็นความเฉียบคม“เรือนด้านตะวันออกเป็นอย่างไร”“เรียนเจ้าสำนัก ไฟที่เรือนด้านตะวันออกดับแล้วขอรับ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชิวเฮ่อจึงถอนหายใจเบา ๆ“เฝ้าระวังที่เรือนด้านตะวันออกอย่างเข้มงวดต่อไป ของที่อยู่ภายใน อย่าให้สูญหายแม้แต่ชิ้นเดียว”“ทราบแล้วขอรับ เจ้าสำนัก!”ในเวลาเดียวกัน ที่สนามประลองยุทธ์ ผลแพ้ชนะก็ตัดสินแล้วการประลองยุทธ์มาถึงตอนนี้ สำนักอวิ๋นซานก็ชนะไปอีกหนึ่งรอบ มีชัยชนะรวมทั้งหมดแปดครั้ง เรียกได้ว่าไม่อาจต้านทานได้ชิวเฮ่อพยักหน้าอย่างพึงพอใจศิษย์ในสำนักพวกเขา ยอดฝีมือนับไม่ถ้วน สำนักเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้นจะชนะได้อย่างไร?สำนักอสนีบาตกลับแ
เคล็ดวิชาพลังจิตภายในและกระบวนท่าของแต่ละสำนัก ล้วนแตกต่างกัน บางท่าถึงขั้นมองออกได้ทันทีถึงอย่างไรก็ตาม เซียวอวี้ไม่เคยเรียนวิชากระบี่ของสำนักเฉวียนเจิน การที่คนอื่นมองเห็นความแตกต่าง ย่อมเป็นเรื่องที่แน่นอนเหลิ่งเซียนเอ๋อร์นั่งอยู่ประจำที่ แววตาเยือกเย็นราวกับน้ำค้างแข็ง“หลังจากการสู้รบครั้งใหญ่ แต่ละสำนักต่างก็รับศิษย์ใหม่เข้ามา เพื่อซึมซับจุดเด่นของแต่ละสำนัก จะได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับสำนักตนเอง“ในเมื่อหย่ากูเข้ามาในสำนักเฉวียนเจิน ก็เท่ากับเป็นคนของสำนักเฉวียนเจิน“เจ้าสำนักชิว สำนักอวิ๋นซานไม่ยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”คำพูดของนางฟังดูสมเหตุสมผลชิวเฮ่อมีสีหน้าเคร่งขรึม พลางตักเตือนศิษย์ผู้นั้น“แพ้ก็คือแพ้ ยังไม่ถอยออกไปอีก!”เซียวอวี้ยังคงยืนอยู่บนเวทีประลอง รอคู่ต่อสู้คนที่สองของเขาเหลิ่งเซียนเอ๋อร์สีหน้าดูเรียบเฉย ในสายตามีแต่เงาของเซียวอวี้นางรู้สึกคลับคล้ายว่า คนผู้นี้เหมือนไม่ใช่สตรี......เซียวอวี้เป็นศิษย์ของหวูหยาซาน--- เสวียนหลิงเฟิงเขาหาใช่วางท่าดูดีแต่ภายนอกไม่หลังจากเข้าสู่สนาม เขาก็ชนะคู่ต่อสู้ติดต่อกันถึงห้าคนมิหนำซ้ำยังช
เมื่อเห็นว่าเซียวอวี้ตกอยู่ในอันตราย เหลิ่งเซียนเอ๋อร์ไม่สนใจว่าบนเวทียังคงประลองอยู่ รีบขว้างอาวุธลับในแขนเสื้อออกไปทันที เพื่อโจมตีไปที่ข้อมือของอินซื่อเฉิงทว่า อินซื่อเฉิงตอบสนองเร็ว ขณะที่ปล่อยมือจากเซียวอวี้ ก็หลบได้ทันควันการแทรกแซงของเหลิ่งเซียนเอ๋อร์ ทำให้สำนักอื่น ๆ ที่อยู่รอบสนามไม่พอใจพวกเขาราวกับเห็นสุนัขขโมยซาลาเปา พร้อมใจกันเอะอะโวยวาย“สำนักเฉวียนเจินทำลายกฎ!”“สองคนประลองยุทธ์กัน บุคคลที่สามยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวได้อย่างไร? สำนักเฉวียนเจินแพ้แล้ว!”“ถูกต้อง! ข้าเห็นชัดเจน! สำนักเฉวียนเจินทำผิดข้อห้ามสำคัญ!”เจ้าสำนักอวิ๋นซานสีหน้าดูเอาจริงเอาจัง หันไปทางเหลิ่งเซียนเอ๋อร์เหลิ่งเซียนเอ๋อร์กล้าทำกล้ารับนางลุกขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว“รอบนี้ สำนักเฉวียนเจินยอมแพ้”สายตาที่มองเซียวอวี้ แฝงด้วยความรู้สึกเสียดายเมื่อครู่เห็นสภาพของเขาที่อยู่บนเวที เห็นชัดว่าถูกพิษ จนทำให้ร่างกายอ่อนแรงต่อให้นางไม่ลงมือ ต่อให้การประลองดำเนินต่อไป แต่เขาก็ยากที่จะเอาชนะอินซื่อเฉิงเจ้าเล่ห์ผู้นั้นได้คนผู้นี้ฝีมือล้ำเลิศ แต่น่าเสียดาย เขาไม่รู้ถึงอันตรายในยุทธภพทว่าจะตำหนิเขาก็
เจ้าสำนักของสำนักอวิ๋นซานสงสารศิษย์ที่รัก เมื่อเห็นอินซื่อเฉิงถูกทำให้แขนหักหนึ่งข้าง กำลังจะตะโกนว่า “หยุด”ทว่า ด้วยพลังรวดเร็วดุจฟ้าผ่าของเฟิ่งจิ่วเหยียนที่อยู่บนเวที จึงคว้าแขนอีกข้างหนึ่งของอินซื่อเฉิงเอาไว้จากนั้นก็ทำด้วยวิธีการเดียวกัน...แกรก!“อ๊าอ๊าอ๊า! ไอ้คนชั่ว! ข้าจะฆ่าเจ้า---” อินซื่อเฉิงถูกหักแขนทั้งสองข้างติดต่อกัน ต่อให้มีทักษะการวางยาพิษล้ำเลิศเพียงใด ก็ยากจะแสดงทักษะนี้ได้คนของสำนักอื่น ทุกคนต่างตะลึงงันเพราะความโหดร้ายและเฉียบขาดของเฟิ่งจิ่วเหยียน“การเผชิญหน้ากับอินซื่อเฉิง ทุกคนต่างรู้กันดี ว่าเขาชำนาญการใช้พิษ จึงไม่เข้าไปต่อสู้กับเขาในระยะประชิด กลัวว่าจะตกหลุมพรางเขา ทว่าสตรีผู้นี้แตกต่าง นางไม่ป้องกันแต่โต้กลับ หักมือของอินซื่อเฉิงในทันที...ช่างโหดร้ายยิ่งนัก!”“กล่าวกันว่าหากไร้พิษสงก็ไม่ใช่ชายชาตรี ข้าว่า จิตใจสตรีมีพิษสงร้ายกว่า!”“นางก็โหดร้ายกับตนเองเช่นกัน ไม่กลัวจะถูกพิษ หากเปลี่ยนเป็นข้า คงไม่กล้าเข้าใกล้ตัวเจ้าอินซื่อเฉิงผู้นั้น”โครม!เฟิ่งจิ่วเหยียนเตะอินซื่อเฉิงลงจากเวทีประลองด้วยขาเดียวไม่มีแขนช่วยค้ำยัน อินซื่อเฉิงจึงล้มลุกคลุกคลานอ
สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนราวกับคมดาบ ทิ่มแทงไปยังเจ้าสำนักของสำนักอวิ๋นซาน“เจ้าสำนักชิวทำร้ายอาจารย์ทำลายบรรพชน สังหารอาจารย์ของตนเอง มิน่าเล่าศิษย์ของสำนักแต่ละคนยิ่งเลวทรามต่ำช้า!”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ชิวเฮ่อถึงกับชะงักงันศิษย์สำนักอื่นสีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ“เมื่อครู่นางพูดว่าอย่างไร? เจ้าสำนักชิวสังหารอาจารย์หรือ? นี่ นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร!”บรรดาศิษย์สำนักอวิ๋นซานอารมณ์เดือดพล่าน“เจ้ากล้าดูหมิ่นเจ้าสำนักพวกเรา!”“สังหารศิษย์พี่ข้า ทั้งดูหมิ่นอาจารย์ข้า เจ้าสมควรตาย!”“เจ้าสำนัก โปรดอนุญาตให้ศิษย์ออกไปประลอง จะได้สังหารนาง!”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่หวาดกลัวการประลองนางหันไปมองชิวเฮ่อด้วยสายตาอันเยือกเย็น“เจ้าสำนักชิว ข้าใส่ร้ายท่านจริงหรือ!”ชิวเฮ่อลุกขึ้นโดยไม่ลังเล หันหน้าไปทางฝูงชน พร้อมเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง“คนผู้นี้พูดจาเหลวไหล ข้าขอสาบานต่อสวรรค์ แม้ข้าจะไม่ใช่ผู้มีคุณธรรมสูงส่ง ทว่าก็ไม่ใช่คนที่ทำร้ายอาจารย์ทำลายบรรพชน หากกระทำการดังกล่าว ขอให้ไม่ตายดี!”เขาสาบานอย่างหนักแน่น ดูเหมือนทำสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสมในบรรดาสำนักต่าง ๆ ก็มีที่ภักดีและคล้อยตามสำ
ทุกคนหันไปตามทิศทางที่เฟิ่งจิ่วเหยียนชี้ไปก็เห็นคนผู้หนึ่งอุ้มโครงกระดูก และวิ่งมาทางนี้อย่างรวดเร็ว“มาแล้วมาแล้ว!” อู๋ไป๋พลางวิ่งพลางตะโกน กลัวว่าจะมาไม่ทันหลังจากเห็นโครงกระดูกนั้น ม่านตาของชิวเฮ่อพลันสั่นไหวทันทีนั่นมันคือ...ชิวเฮ่ออารมณ์พลุ่งพล่าน ทว่าเขาควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี และกลับมาเป็นปกติโดยทันทีคนอื่นต่างมีสีหน้ามึนงงนี่มันของอะไรกัน?เมื่ออยู่ต่อหน้าฝูงชน เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยออกมาตรง ๆ โดยไม่อ้อมค้อม“โครงกระดูกนี้ ก็คือเจ้าสำนักคนก่อนของสำนักอวิ๋นซาน---เหยียนชิงซง”“อะไรนะ!” ฝูงชนต่างตะลึงงันเหยียนชิงซง นั่นคือผู้เฒ่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพตอนมีชีวิตอยู่เขาเคยทำความดีไว้มากมาย ในพื้นที่ยังมีชาวบ้านไม่น้อยที่ระลึกถึงเขาคนผู้นี้ไม่ใช่ว่าควรจะพักอยู่ใต้ผืนดินอย่างสงบหรอกหรือ?เหล่าศิษย์ของสำนักอวิ๋นซานต่างตะคอกด้วยความโมโห“พวกเจ้าถึงกับขุดหลุมศพของท่านอาจารย์ใหญ่ขึ้นมา!”“น่าสงสารชายชราอย่างท่านอาจารย์ใหญ่ แม้ตายแล้วก็ยังไม่สงบ!”“วางท่านอาจารย์ใหญ่ลงเดี๋ยวนี้!”อู๋ไป๋อุ้มโครงกระดูก พลันถอยหลังหนึ่งก้าว“อย่าปรักปรำคนอื่นสิ! กระดูกนี้ไม
ผู้อาวุโสเหยียนสายตาดูเยือกเย็นไร้ความกลัว มองไปทางชิวเฮ่อบนที่สูง“เจ้าสำนัก ข้าแอบเข้าไปในเรือนด้านตะวันออก เป็นความผิดของข้า“ข้ายินดีทำตามกฎของสำนักอวิ๋นซาน ยอมรับโทษหลังจากนี้“ทว่า! ก่อนหน้าจะรับโทษ ขอให้ท่านช่วยอธิบายก่อนว่า เหตุใดกระดูกของบิดาข้า ถึงอยู่ที่เรือนด้านตะวันออกได้!”อู๋ไป๋อุ้มโครงกระดูก พร้อมกับเชิดคางขึ้น“ใช่แล้ว! อธิบายมาให้ชัดเจน เหตุใดถึงทำกับบิดาของผู้อื่นเช่นนี้!”ชิวเฮ่อแสดงสีหน้าโกรธเคืองแต่ไม่อาจโต้เถียงได้“ศิษย์น้องหนอศิษย์น้อง คนพวกนี้เจตนาจะใส่ร้ายข้า เจ้ามองไม่ออกหรือ?“เจ้าจะให้ข้าอธิบายอะไร? ข้าไม่รู้เรื่องเหล่านี้ด้วยซ้ำ!“ก่อนหน้านี้ที่เกิดไฟไหม้ตามจุดต่าง ๆ จักต้องเป็นฝีมือของพวกเขาเป็นแน่ เพื่อจะอาศัยโอกาสนำศพไปไว้ที่เรือนด้านตะวันออก! เจ้าถูกพวกเขาหลอกใช้แล้ว!“เจ้ากับข้าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันมาหลายสิบปี เจ้ายังไม่รู้จักนิสัยของข้าอีกหรือ? ข้าจะทำร้ายอาจารย์ได้อย่างไร!”ผู้อาวุโสเหยียนไม่ยอมรับฟัง“วันนี้ ข้าแค่ต้องการความจริง”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างเรียบเฉย“ความจริงก็คือ เพื่อตำแหน่งเจ้าสำนัก ชิวเฮ่อจึงทำร้ายอาจารย์ บางทีอา
หนานฉีทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาดสงครามที่แคว้นต่าง ๆ ล้อมโจมตีหนานฉี ต้องสูญเสียกำลังทหารจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายต่างจำเป็นต้องพักฟื้นและฟื้นฟูเป่ยเยี่ยนกล้าเคลื่อนทัพไปทางใต้ เป็นเพราะไม่มีอุปสรรค สามารถยึดครองแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้โดยไม่สูญเสียกำลังทหารแม้แต่นายเดียวแม้ว่าหนานฉีจะไม่พอใจเป่ยเยี่ยนมากเพียงใด ก็ไม่อาจประกาศสงครามโดยไม่ไตร่ตรองถึงแม้คืนที่ผ่านมารุ่ยอ๋องจะหลับไม่เต็มที่ สมองก็ยังคงตื่นอยู่เขาคัดค้านการส่งกองทัพออกไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนอย่างเด็ดขาดแม่ทัพอาวุโสหลี่ไม่พอใจ“ท่านอ๋อง ขอบังอาจถามว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ที่ใด?”รุ่ยอ๋องมีท่าทีลังเล เรื่องเช่นนี้ คงต้องมอบให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยในที่ประชุม รุ่ยอ๋องเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน“ท่านแม่ทัพอาวุโสหลี่ ข้ารู้ว่าท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต่อต้านเป่ยเยี่ยน ทว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วมิใช่หนานฉีควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว“การส่งกองทัพไปช่วยแคว้นซีหนี่ว์เพื่อขัดขวางแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง เป็นเพราะเรากับแคว้นซีหนี่ว์เป็นพันธมิตรกัน หากส่งกองทัพไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน พวกเราจะใช้เหตุผลใ
หร่วนฝูอวี้สวมอาภรณ์ผ้าโปร่งบางเบา เดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นทันทีรุ่ยอ๋องจ้องมองนางตาไม่กะพริบ เหงื่อในฝ่ามือก็ยิ่งออกมาก“ข้า ข้ายังมีเอกสารทางการ...”เขาไม่มีประสบการณ์เลย จำต้องดูจากสมุดภาพทว่าคำพูดนี้ เขาไม่อาจเอ่ยออกมาได้ดวงตาของหร่วนฝูอวี้หรี่ลงทันที สายตาราวกับสัตว์ป่าที่ออกล่าเหยื่อ“เอกสารทางการ? ข้าว่า เจ้าคงคิดจะหนีกระมัง!”นางก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า พร้อมกับข่มขู่: “มาถึงสถานที่ของข้าแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะออกไปได้!”พูดจบ นางก็ตรงไปแบกคนขึ้นมาทันทีรุ่ยอ๋องไม่คาดคิดเลยว่า จะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้!ศีรษะของเขาคว่ำลง เมื่อเลือดสูบเข้า ก็มีแต่ความว่างเปล่าไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้?อย่างน้อยเขาก็เป็นบุรุษ!ตึง!หร่วนฝูอวี้โยนเขาลงบนเตียง ไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อยจากนั้นด้วยความรวดเร็วและง่ายดาย นางก็ถอดเข็มขัดบนตัวของรุ่ยอ๋องออกมาในที่สุดรุ่ยอ๋องก็ได้สติกลับมา รีบคว้าปกคอเสื้อของตนเองไว้“เจ้าช้าก่อน...”นางร้อนใจจนไม่อาจทนไหว!หร่วนฝูอวี้นั่งอยู่บนเอวของเขา กดมือทั้งสองข้างของเขาวางไว้ข้างศีรษะทั้งสองด้านมองเห็นบุรุษที่ยามปกติมีระเบียบแบบแผน เยือกเ
“เจ้าคิดจะ...มีลูกกับข้า?” คิ้วของรุ่ยอ๋องขมวดปมแน่น จ้องมองหร่วนฝูอวี้ที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกเหตุใดจู่ ๆ นางถึงมีความคิดเช่นนี้ได้?เพียงเพื่อจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับฮองเฮาหรือ? หร่วนฝูอวี้ยังคงจับปกเสื้อของเขาอยู่ พร้อมกับมองสำรวจเขาด้วยท่าทางของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า“พวกเราเป็นสามีภรรยากัน มีลูกแล้วจะอย่างไร?“เจ้ายังจะเรื่องมากอีกรึ?”รุ่ยอ๋องส่ายศีรษะอย่างแข็งเกร็ง“ข้าเพียงรู้สึกว่า...”นี่ไม่ปกติเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนขัดขวางการกระทำที่ขาดสติของหร่วนฝูอวี้ได้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การจะมีลูกนั้น มีความหมายอย่างไร“ข้าไม่ใช่คนใจง่ายเช่นนั้น” รุ่ยอ๋องผลักนางออกไปโดยแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น พร้อมกับหันหลังให้นาง สายตามองไปยังที่ไกล ๆ“ใจง่ายรึ?” หร่วนฝูอวี้หัวเราะด้วยความโมโห เช่นนั้นก็เท่ากับว่านางเป็นคนใจง่ายรึ?บุรุษสุนัขผู้นี้ ปากช่างร้ายกาจนัก!“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปหาคนอื่น!”หร่วนฝูอวี้พูดได้ทำได้ รุ่ยอ๋องจึงรีบคว้าแขนของนางไว้“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?!”นางเป็นพระชายาของเขา จะมีสัมพันธ์กับชายอื่นได้อย่างไร?หร่วนฝูอวี้เกลียดท่าทางลั
ด้านนอกห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ยืนอยู่ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งได้ยินว่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองเหล่านี้ต้องการทำตามโอวหยางเหลียน ใช้ความตายมาข่มขู่จิ่วเหยียนวิธีนี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนักจนกระทั่งตอนที่เห็นพวกนางเดินออกมา และไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย เซียวอวี้ถึงค่อยโล่งใจเหล่าเสนาบดีทำเป็นมองไม่เห็นเขา มีเพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่มองเขาด้วยแววตาที่แฝงความรู้สึกซับซ้อนฮ่องเต้ฉีเสด็จมาที่แคว้นซีหนี่ว์ด้วยพระองค์เอง คิดดูแล้วก็คงกังวลพระทัยว่าประมุขแคว้นจะทรงหวั่นไหว ไม่เสด็จกลับไปหนานฉีอีกเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเป็นเช่นเดียวกัน ไม่อาจคาดเดาจิตใจของประมุขแคว้นได้ช่างน่าเศร้าจริง ๆเมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ หูย่วนเอ๋อร์ก็รู้สึกสบายใจโดยไม่รู้ตัวยิ่งไปกว่านั้นคำพูดแต่ละคำของประมุขแคว้นนั้นมีความหมายอันลึกซึ้ง สิ่งที่พวกนางพยายามจะรักษาไว้ อย่างมากเพียงชั่วชีวิตเดียวนี่เหมือนกับการที่หมอรักษาโรค รักษาที่ปลายเหตุมิได้รักษาที่ต้นเหตุเมื่อครู่ประมุขแคว้นเอ่ยกับพวกนางมากมาย ทำให้พวกนางเข้าใจว่า ต้นเหตุที่แคว้นซีหนี่ว์ไม่อาจสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ก็คือ “บาดแผลภายใน”การกดขี่บุรุษภายในแคว้นมากเกินไป
เสนาบดีที่ช่วยปกครองต่างก็เป็นคนสนิทของอดีตประมุข แต่ละคนล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของราชสำนักพวกนางยืนอยู่นอกห้องทรงพระอักษร ถึงอายุจะต่างกัน ทว่าล้วนมีความจงรักภักดีและกล้าหาญ“พวกหม่อมฉันขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้น!”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในห้องทรงพระอักษร ด้วยสายตาที่แน่วแน่นางจ้องมองเงาร่างของแต่ละคนที่อยู่ด้านนอกตำหนัก ความแน่วแน่ในดวงตาเจือความหม่นหมอง“ให้พวกนางเข้ามา”ไม่นาน เหล่าเสนาบดีก็ทยอยกันเข้ามาด้านใน หูย่วนเอ๋อร์ที่บาดเจ็บหนักนอนอยู่บนแคร่หามนั้นเห็นเด่นชัดที่สุดเฟิ่งจิ่วเหยียนวางฎีกาที่อยู่ในมือลง กวาดตามองพวกนางแวบหนึ่ง“ต้องการจะพูดสิ่งใด?”“ท่านประมุขแคว้น พวกหม่อมฉันทราบแล้ว เหตุใดใต้เท้าโอวหยางถึงสิ้นใจ” ลมหายใจของหูย่วนเอ๋อร์สงบนิ่ง ทว่ามองเห็นบาดแผลภายในไม่รุนแรงเสนาบดีคนอื่น ๆ จึงเอ่ยต่อ“ใต้เท้าโอวหยางทำเพื่อความมั่นคงของแผ่นดินแคว้นซีหนี่ว์ นางอาศัยความตาย ขอร้องให้ประมุขแคว้นทรงอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ต่อไป!”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูสงบนิ่ง มิได้เอ่ยขัดจังหวะคำพูดของพวกนางหูย่วนเอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก หันไปโน้มศีรษะให้เฟิ่งจิ่วเห
การตายของโอวหยางเหลียน สำหรับหูย่วนเอ๋อแล้ว เป็นการสูญเสียที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง ในบรรดาขุนนางใหญ่ของราชสำนัก พวกนางทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันที่สุด ที่สำคัญกว่านั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป หูย่วนเอ๋อร์มิได้เตรียมใจไว้เลย สาวใช้ตอบอย่างระมัดระวัง “บ่าวรู้เพียงว่า ใต้เท้าโอวหยางกินยาพิษฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์ไม่เชื่อ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ไฉนใต้เท้าโอวหยางกลับมาฆ่าตัวตาย? “ต้องมีคนวางแผนสังหารนางเป็นแน่! เรื่องนี้ ท่านประมุขแคว้นทราบหรือไม่!” สาวใช้ผงกศีรษะ “ตอนที่ใต้เท้าโอวหยางเกิดเรื่อง ท่านประมุขแคว้นก็อยู่ที่จวนโอวหยางเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์มีน้ำตาคลอหน่วย รู้สึกเสียใจที่ตนเองบาดเจ็บ จึงไม่สามารถออกไปสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง การตายของโอวหยางเหลียน มิใช่เพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่ตกตะลึงสงสัย ยังสร้างความวุ่นวายในราชสำนักด้วย ในการประชุมราชสำนักวันรุ่งขึ้น หัวข้อที่เหล่าขุนนางเอ่ยถึง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของโอวหยางเหลียน เสนาบดีสามรัชสมัยผู้นี้ ไม่มีผลงานอะไรยิ่งใหญ่แต่ก็ทำงานอย่างหนักหน่วง ควรได้รับการเชิดชูหลังสิ้
เมื่อหมอหลวงมาถึง โอวหยางเหลียนก็เสียชีวิตจากพิษแล้ว เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างคุกเข่าลงกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้ดังระงมไม่ขาดสาย “ใต้เท้า——” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนจดจ้องไปบนเตียง ที่มีโอวหยางเหลียนนอนอยู่บนนั้น ที่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมตายเพื่อตักเตือน โอวหยางเหลียนทำเช่นนี้ ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องรับภาระที่หนักหน่วง “ฝังศพอย่างสมเกียรติ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยสั้น ๆ จบ พลันลุกขึ้นและเดินออกไป เสียงร้องไห้ทางด้านหลังนั้น ราวกับลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของนาง เซียวอวี้ยืนอยู่ที่ข้างประตู ยื่นมือให้นางจับไว้อย่างมั่นคง การตายของโอวหยางเหลียน เปรียบเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกโยนลงทะเลสาบ สร้างแรงกระเพื่อม แต่ก็สงบลงในที่สุด เขาหาได้สนใจความเป็นหรือตายของโอวหยางเหลียนไม่ สนใจเพียงสุขภาพของจิ่วเหยียนเท่านั้น สีหน้าของนางดูมิสู้ดีเลย “กลับวังก่อนเถิด” เขาตัดสินใจแทนนาง ในรถม้า เฟิ่งจิ่วเหยียนเงียบจนน่าใจหาย เซียวอวี้ไม่ได้รบกวนนาง เพียงอยู่เคียงข้างนาง และคอยเป็นที่พึ่งพิงให้นางเสมอ หลังจากกลับมาถึงวัง คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างเตียง
โอวหยางเหลียนมองเห็นความหวั่นไหวในใจของเฟิ่งจิ่วเหยียน นี่คือสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น “ตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปในหนานฉี “ท่านกำเนิดมาเพื่อแคว้นซีหนี่ว์เพคะ “ท่านก็คงจะคิดด้วยว่า หนานฉีกดขี่สตรีที่มีความสามารถเกินไป “แต่ท่านมิอาจเปลี่ยนแปลงมันได้ “ท่านประมุขแคว้น ท่านเคยคิดหรือไม่ หากท่านให้กำเนิดองค์หญิงรัชทายาท ในแคว้นซีหนี่ว์แห่งนี้ นางจะกลายเป็นประมุขแคว้น ทว่าในหนานฉี นางจะเป็นเพียงองค์หญิง แม้จะได้รับความโปรดปราน แต่ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมของการช่วยเหลือสามีและดูแลบุตรได้ “ในหนานฉี ผู้หญิงทุกคนไม่สามารถเป็นแม่ทัพหญิงเช่นท่านได้ ฮ่องเต้ฉีองค์ปัจจุบันหลักแหลมกว่าใครอย่างมิต้องสงสัย แต่ทายาทรุ่นหลังเล่า? ท่านประมุขแคว้น ท่านไม่คิดเพื่อตัวเอง ก็ต้องคิดถึงลูก ๆ ของท่านด้วยเพคะ!” เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้ตกอยู่ในกับดักชั่วร้ายที่โอวหยางเหลียนสร้างขึ้น ใบหน้าของนางแน่วแน่ “สิ่งที่เจ้าพูด ล้วนอ้างแต่มุมมองของผู้หญิง “ลองคิดอีกมุม หากเราให้กำเนิดองค์ชาย สถานการณ์ของเขาในแคว้นซีหนี่ว์ ก็ไม่ต่างกับสถานการณ์ขององค์หญิงในหนานฉี”
หูย่วนเอ๋อร์ถูกลอบสังหาร โอวหยางเหลียนจึงเสนอให้เซียวอวี้เป็นผู้นำทัพ นี่ยิ่งทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเกิดความสงสัยอย่างเลี่ยงมิได้ นางหันกลับไปมองที่โอวหยางเหลียน “เราคิดว่า เจ้าเหมาะที่จะปกป้องเมืองมากกว่าพระสวามี” มีความแปลกประหลาดในแววตาของโอวหยางเหลียน “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยินดีจะไปเพคะ!” นางรับคำสั่งอย่างง่ายดาย หาได้มีพิรุธไม่ เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ต้องการให้โอวหยางเหลียนเป็นผู้นำทัพจริง ๆ ดวงตาของนางมืดมน กล่าวอย่างสื่อความนัย “ท่านป้าอายุมากแล้ว จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร “เมื่อผ่านพ้นวันเกิดปีที่แปดสิบแล้ว มิลองเกษียณแล้วกลับบ้านเกิด มีชีวิตบั้นปลายที่ดีเล่า” ตามกฎระเบียบของแคว้นซีหนี่ว์ เมื่อขุนนางมีอายุครบเจ็ดสิบห้าปี ก็สมควรเกษียณและกลับบ้านเกิด ม่านตาของโอวหยางเหลียนเบิกกว้าง “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยังทำได้...” เฟิ่งจิ่วเหยียนลดเสียงลง “นี่คือเกียรติยศสุดท้ายที่เราจะมอบให้ท่าน” ทั้งเรื่องซูถงและการลอบสังหารหูย่วนเอ๋อร์คืนนี้ หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับโอวหยางเหลียน นางหาได้เชื่อไม่ นางได้จัดสาย