ซูหนิงเซียวได้แต่เสียใจแทนฟ่านเหลียนที่ถูกอาจารย์คาดโทษ แต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อฟ่านเหลียนทำตัวเองทั้งนั้น เมื่อเห็นว่าอาจารย์ตัดสินโทษไปแล้ว เธอจึงได้ขอตัวกลับพร้อมเพื่อน ๆ และบอดี้การ์ดที่เดินตามหลังอยู่ห่าง ๆ
อาจารย์ประจำชมรมและรุ่นพี่ปีสอง ปีสามที่เห็นซูหนิงเซียวมีบอดี้การ์ดเป็นครั้งแรกต่างมั่นใจแล้วว่าเธอไม่น่าจะเป็นแค่รุ่นน้องปีหนึ่งธรรมดา ๆ เพราะปกติแล้วขนาดรุ่นพี่ที่เป็นดารามาเรียน พวกเขายังไม่เคยมีบอดี้การ์ดมาคอยคุ้มกันเลย ที่นี่ไม่เคยอนุญาตให้คนนอกเข้ามาง่าย ๆ อีกด้วย แสดงว่าบอดี้การ์ดพวกนี้ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษแน่
“เรื่องซูหนิงเซียว ทุกคนก็อย่าไปก่อกวนเธอเข้าล่ะ จะได้ไม่มีปัญหา เท่าที่อาจารย์ดูมา กลุ่มของเธอไม่เคยทำตัวไม่ดีเหมือนกลุ่มของฟ่านเหลียน ดังนั้นก็ดูแลพวกเธอให้เหมือนรุ่นน้องที่ดี ๆ คนอื่น ๆ ก็แล้วกันนะ”
“ได้ค่ะอาจารย์ พวกเราเข้าใจดีค่ะ อีกอย่างพวกน้อง ๆ ให้ความร่วมมือกับชมรมมาตลอด เวลาพูดคุยก็ให้ความเคารพรุ่นพี่อย่างพวกเราด้วยค่ะ”
<กว่าซูหนิงเซียวจะตื่นก็เกือบ 11 โมงแล้ว เธอรีบอาบน้ำแล้วไปหาข้าวทานในครัวอย่างรู้หน้าที่ โดยทักทายแม่กับป้ากู่ที่นั่งคุยกันและอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาก่อนจะไปทานอาหารเช้ารวมมื้อเที่ยงด้วยเลย เธออยากเอาทำนองเข้าใส่ในเนื้อเพลงมากจริง ๆ และอยากรู้ว่าเธอจะสามารถร้องเพลงได้ดีหรือไม่ด้วยซูหนิงจิงกับกู่ซิงต่างนั่งอ่านหนังสือรอให้ซูหนิงเซียวทานอาหารเสร็จก่อนจะได้สอบถามว่าเมื่อคืนนี้ทำงานเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งคู่รอไม่นานนักซูหนิงเซียวก็ออกจากห้องครัวมานั่งเล่นกับแม่และป้ากู่ของเธอก่อนจะเข้าไปทำงานในห้องอัด“เมื่อคืนทำงานเป็นยังไงบ้างหนิงเซียว”“หนูแต่งเนื้อเพลงเสร็จแล้วค่ะป้ากู่ วันนี้ว่าจะลองใส่ทำนองและร้องลองดูค่ะ”“ดึกมั้ยลูกเมื่อคืน”“ประมาณตีหนึ่งค่ะแม่ แต่วันนี้หนูได้นอนเต็มที่แล้วนะคะ เที่ยงนี้หนูยังอิ่มอยู่ แม่กับป้ากู่กินข้าวกันสองคนไปก่อนนะคะ มื้อเย็นเดี๋ยวหนูช่วยทำกับข้าว”
หานลู่หรง โจวเสี่ยวเซียน ซูหนิงเซียวและอาจารย์ต่างนั่งฟังเพลงบรรเลงที่กำลังเปิดอยู่อย่างตั้งใจ ซึ่งเพลงที่พวกเธอได้ฟังนั้นเป็นเพลงแจ๊สในแนวสนุกสนาน ฟังสบายจนทำให้ทุกคนต่างยิ้มตามจังหวะดนตรีไปด้วย เพลงของหานลู่หรงใช้เวลาเล่นอยู่นานเกือบ 5 นาที กว่าจะถึงตอนจบของเพลงบรรเลงคนอื่น ๆ ในห้องต่างปรบมือให้หานลู่หรงที่สามารถแต่งเพลงสนุก ๆ แบบนี้ได้ในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ อีกทั้งเพลงของเธอยังไม่มีจุดไหนสะดุดหรือติดขัดแต่กลับลื่นไหลไปตามโน้ตที่เธอเล่นออกมาตามอารมณ์ในขณะอัดเสียง หลังเสียงปรบมือหยุดลง อาจารย์ก็ให้คำแนะนำหานลู่หรงตามประสบการณ์ที่เธอมี“การบรรเลงทำได้อย่างดีเยี่ยม สมแล้วที่เธอเรียนเปียโนมาตั้งแต่เด็กนะหานลู่หรง เพียงแต่บางท่อนยังคล้ายกับเพลงของนักเปียโนอื่นอยู่บ้าง ทำให้ความเป็นตัวเองของเธอไม่ได้แสดงออกมาอย่างเต็มที่ในเพลงบรรเลงบทนี้ ต่อไปลองไม่ฟังเสียงเปียโนคนอื่นดูแล้วแต่งไปตามอารมณ์และเป็นตัวของตัวเองให้เต็มที่ ไม่ว่าเพลงจะออกมาแบบไหน ก็ใช้อารมณ์ตอนนั้นเป็นพื้นฐานเพื่อพัฒนาบทเพลงบรรเลงให้เป็นตัวเอ
ซูหนิงเซียวกลับถึงบ้านเกือบหกโมงเย็น เธอรีบทักทายแม่กับป้ากู่ที่นั่งรออยู่ที่โซฟารับแขกพร้อมรอยยิ้ม“วันนี้ทำไมกลับเย็นนักล่ะลูก”“นั่นสิ ปกติวันนี้หนิงเซียวเลิกเร็วไม่ใช่เหรอ”“หนูกับเพื่อนส่งเพลงให้อาจารย์ช่วยฟังและขอคำแนะนำอยู่น่ะค่ะ เลยกลับช้าไปหน่อย แม่กับป้ากู่ไปกินข้าวกันเถอะนะคะ เดี๋ยวหนูเก็บของแล้วจะรีบตามไป”ซูหนิงจิงกับกู่ซิงพยักหน้ารับคำซูหนิงเซียว ก่อนที่ทั้งสองจะเดินตามกันเข้าไปที่ห้องครัวเพื่อรอทานข้าวเย็นพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่นานนักซูหนิงเซียวก็ตามไปที่โต๊ะอาหารเพื่อทานข้าวร่วมกับแม่และป้ากู่ระหว่างทานอาหาร ซูหนิงเซียวเล่าให้ทั้งสองคนฟังว่าอาจารย์ให้คำแนะนำกับเธอเรื่องเพลงที่ทำออกมาอย่างไรบ้าง และเธอจะแก้ไขงานเพลงที่ทำไปทีหลัง ตอนนี้ใกล้ช่วงสอบกลางภาคแล้ว เธอจึงจะต้องทบทวนตำราเรียนเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ“ลูกทำตารางอ่านหนังสือเอาไว้หรือยังเทอมนี
สิบโมงเช้า คนของเจิ้งจุนก็มาถึงคอนโดของซูหนิงจิง เธอทักทายก่อนจะชวนให้เขานำใบเสนอราคามาอธิบายเบื้องต้นให้เธอกับกู่ซิงฟังก่อนจะรับเอกสารเอาไว้และฝากบอกเขาให้แจ้งเจิ้งจุนว่าจะโทรให้คนกลับมารับเอกสารหลังจากที่เธอตรวจสอบราคาเสร็จเลขาของเจิ้งจุนเป็นคนมาส่งเอกสารเองรับปากกับซูหนิงจิงว่าจะนำข้อความของเธอไปแจ้งให้เจิ้งจุนทราบ ก่อนจะขอตัวกลับไป ซูหนิงจิงจึงลุกขึ้นไปส่งเขาที่หน้าประตูแล้วกลับมานั่งตรวจสอบใบเสนอราคาในแฟ้มเอกสารที่ได้รับมากู่ซิงเห็นว่าซูหนิงจิงกำลังตรวจสอบครั้งแรกตามปกติ เธอจึงนั่งอ่านหนังสือรอจนกว่าซูหนิงจิงจะส่งเอกสารบางส่วนมาให้เธอตรวจสอบซ้ำอีกครั้งกวานจื้อจิวกับทีมงานในบริษัทประชุมวางแผนการก่อสร้างเสร็จในช่วงบ่ายของวันนี้ เขาสั่งให้ใช้ทรัพยากรในการทำโครงการนี้ให้เต็มที่เพื่อความรวดเร็วในการก่อสร้าง โดยทีมงานเผื่อระยะเวลาการก่อสร้างเอาไว้ถึงสามเดือนเนื่องจากเป็นอาคารหลังใหญ่และมีถึง 30 ชั้น แต่ละชั้นยังมีรายละเอียดแตกต่างกัน รวมระยะเวลาการก่อสร้างที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้
ซูหนิงเซียวเดินออกจากห้องครัวแล้วมานั่งเล่นที่โซฟากับแม่และป้ากู่ของเธอก่อนที่จะเข้าไปอาบน้ำอ่านหนังสือก่อนนอน“เหนื่อยมากมั้ยลูกวันนี้”“ไม่เหนื่อยเลยค่ะแม่ ตอนนี้ใกล้สอบกลางภาคแล้ว พวกหนูเลยจะเริ่มอ่านหนังสือกันแล้วนะคะ อาจารย์ไม่ได้ให้การบ้านอะไรมากมาย เพียงแต่สอนในห้องเพิ่มเท่านั้นเองค่ะ”“อ้าว นี่หนิงเซียวใกล้สอบกลางภาคเรียนแล้วเหรอ เร็วจังเลยนะจ๊ะ”“ก็ไม่เร็วเท่าไหร่ค่ะป้ากู่ ยังดีที่หนูกับเพื่อนเตรียมพร้อมกันก่อนล่วงหน้า ช่วงสอบจะได้ไม่เหนื่อยอ่านหนังสือกันมากนักค่ะ”“วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแบบนี้ก็ดีแล้วนะลูก อีกไม่กี่เดือนลูกก็จะต้องสอบปลายเทอมก่อนขึ้นปีสองแล้วนี่นา”“ใช่ค่ะแม่ สอบปลายภาคน่าจะยากกว่ากลางภาคเยอะเลยค่ะ พวกหนูเลยอยากสะสมคะแนนช่วงกลางภาคให้มากสักหน่อยค่ะ เกรดจะได้ออกมาดี ๆ เหมือนเทอมที่แล้ว”
เค่อหานสั่งผู้ช่วยเลขาให้ไปส่งซูหนิงจิงกับกู่ซิงที่รถ ก่อนที่เขาจะเชิญคนที่เหลือไปยังห้องอาหารที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้า ช่วงบ่ายนี้แพทริกยังคงต้องพูดคุยเรื่องงานต่อก่อนที่จะเริ่มการก่อสร้างในอีกหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้ซูหนิงจิงพากู่ซิงขับรถไปยังห้างที่อยู่ไม่ไกลจากบริษัทของจ้านเกาเพื่อทานอาหารเที่ยงก่อนที่จะเดินเล่นซื้อของเข้าบ้านเหมือนปกติ วันนี้เธอทำสัญญาโครงการเรียบร้อยแล้วจึงทำให้อารมณ์ดีไม่น้อย ทั้งสองเข้าไปนั่งในร้านอาหารที่คนไม่ค่อยมากนักร้านหนึ่ง หลังจากสั่งอาหารแล้ว กู่ซิงจึงชวนซูหนิงจิงคุยเรื่องงานต่อ“น้องซูคิดยังไงกับสัญญาในวันนี้คะ”“น้องคิดว่าพวกเขาวางแผนการก่อสร้างได้ตรงใจน้องมากค่ะ ระยะเวลาการก่อสร้างหนึ่งปีของทั้งสองบริษัทจะทำให้เราสามารถโปรโมทโครงการได้พร้อมๆ กันทั้งสามอาคารหลังจากสร้างเสร็จ เรื่องนี้จะทำให้สะดวกในการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินของเจิ้งจุนด้วยนะคะ”“อ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง หลังจากนี้น้องซูจะเข้า
กว่าที่ซูหนิงจิงจะอนุมัติใบเสนอราคาเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดก็ใช้เวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ในการตรวจสอบ เธอรีบโทรบอกเจิ้งจุนให้ส่งคนมารับเอกสารเพื่อให้เขามีเวลาเตรียมเฟอร์นิเจอร์ให้เพียงพอสำหรับอาคารทั้งสามหลัง ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่รู้ว่าลูกค้าต้องการตกแต่งภายในแบบไหน แต่คนที่มีประสบการณ์อย่างเจิ้งจุนน่าจะคิดเอาไว้แล้วว่าเขาต้องเตรียมเฟอร์นิเจอร์เอาไว้จำนวนเท่าไหร่ส่วนเรื่องหน้างานโครงการก่อสร้าง แพทริกจะถ่ายรูปและส่งเข้าโปรแกรมแชทให้กับซูหนิงจิงทุกวันเพื่อแจ้งความคืบหน้าของโครงการ ทำให้เธอไม่จำเป็นที่จะต้องเดินทางไปตรวจดูงานช่วงแรกด้วยตัวเองซูหนิงเซียวที่ใกล้ถึงสัปดาห์ของการสอบกลางภาคยังคงขยันอ่านทบทวนและทำการบ้านของเธอตลอดทั้งสัปดาห์ กู่ซิงที่คอยติดตามงานช่วยซูหนิงจิงจะได้รับข้อมูลที่แพทริกส่งให้ซูหนิงจิงด้วยเช่นเดียวกัน เธอทำหน้าที่ปริ้นและรวบรวมออกมาเป็นแฟ้มเอกสารเพื่อให้ซูหนิงจิงตรวจสอบได้ง่ายขึ้นสัปดาห์ต่อมา เจิ้งจุนก็โทรเชิญซูหนิงจิงเข้าไปเซ็นสัญญาที่บริษัทเรื่องการติดตั้งและจัดส่งเ
สุดสัปดาห์หลังจากสอบกลางภาคเสร็จ ซูหนิงเซียวนอนยาวเกือบถึงเที่ยงกว่าที่เธอจะมีแรงลุกขึ้นมาทานอาหารมื้อแรกของวัน ซูหนิงจิงกับกู่ซิงที่นั่งทำงานกันอยู่ต่างมองซูหนิงเซียวที่หน้าตาสดใสเหมือนเดิมแล้วหลังจากเคร่งเครียดกับการสอบมาทั้งสัปดาห์“กับข้าววันนี้แม่ทำแต่ของชอบของลูกเอาไว้ให้ รีบไปกินแล้วค่อยมานั่งพักนะลูก”“ขอบคุณมากค่ะแม่ ขอโทษที่ตื่นสายนะคะ”“ไม่เป็นไรจ๊ะ แม่เข้าใจ รีบไปกินข้าวก่อนเถอะ”“ค่ะแม่”ซูหนิงเซียวยิ้มหวานส่งให้แม่กับป้ากู่ก่อนจะเดินเข้าไปทานข้าวในห้องครัว เธอรู้สึกโล่งมากหลังจากการสอบผ่านพ้นไปด้วยดี ซูหนิงเซียวคิดว่าคะแนนของเธอครั้งนี้น่าจะดีเหมือนเทอมก่อน เพราะเธอทำข้อสอบได้ไม่น้อยเลยซูหนิงจิงกับกู่ซิงที่ยังไม่หิวต่างนั่งทำงานกันต่อเพื่อรอคุยกับซูหนิงเซียวเรื่องการเรียนและปิดเทอมย่อยว่าเธอต้องการรับงานถ่ายแบบบ้างหรือไม่ในช่วงนี้
สายวันต่อมา จ้านหย่งเหอและจ้านเซียงชิงมาพร้อมพ่อบ้านที่จัดเตรียมอาหารสำหรับคนป่วยเพื่อเยี่ยมหลานชาย ซูหนิงจิงยังจัดกระเป๋าเสื้อผ้าฝากพ่อบ้านนำมาให้ลูกสาวของเธอที่เฝ้าดูแลจ้านเกาเช่นเดียวกัน กู่ซิงวันนี้เธอต้องจัดการเรื่องรับสมัครพนักงานทางออนไลน์จึงไม่ออกมาด้วย มีเพียงซูหนิงจิงที่เดินทางไปทำงานพร้อมบอดี้การ์ดตามปกติ ระหว่างทางซูหนิงจิงให้เพื่อนของเธอสืบหาตัวการที่ทำร้ายจ้านเกาและบอกเขาให้เอาคืนคนที่กล้าทำร้ายว่าที่ลูกเขยของเธอด้วย โดยครั้งนี้ซูหนิงจิงจะช่วยเพื่อนขยายกิจการไปยังเมืองต่าง ๆ เป็นการตอบแทน เติ้งโหย่วมีหรือจะไม่ชอบใจกับข้อตกลงของซูหนิงจิง เขาอยากขยายสาขามานานมากแล้ว ติดเพียงแค่เงินทุนและระบบการจัดการบริหารเท่านั้นที่เขาไม่ค่อยจะมีความรู้ ส่วนลูกน้องของเขาก็มีมากมายที่สามารถวางใจให้ไปดูแลสาขาต่าง ๆ ได้ในอนาคต เมื่อได้รับการตอบรับจากเติ้งโหย่วแล้ว ซูหนิงจิงก็วางสายอย่างสบายใจ เธอไม่กลัวว่าเขาจะทำงานไม่สำเร็จ ในเมื่อเขามีอิทธิพลมากในวงการใต้ดิน มีหัวโจกหลายกลุ่มต้องการล้มเขามานาน แต่ด้วยระบบการจัดการที่ซูหนิงจิ
วันนี้กว่าที่จ้านเกาจะเสร็จจากงานในบริษัท เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบจะสามทุ่มแล้ว เขาเก็บเอกสารส่งให้เค่อหานนำไปเก็บเพื่อส่งต่อให้บริษัทในเครือวันพรุ่งนี้ ก่อนที่จะออกจากห้องทำงานไปพร้อมบอดี้การ์ดส่วนตัวตามปกติ คนของเจียวจิ้งเหอเฝ้าดูกิจวัตรประจำวันของจ้านเกามาสองวันแล้ว วันนี้พวกเขาจึงคิดจะลงมือโดยดักซุ่มรอที่ทางผ่านกลับบ้านตระกูลจ้านซึ่งขณะนี้ไม่ค่อยมีรถผ่านไปมา พวกเขาจอดรถแอบเอาไว้ที่ซอยใกล้กับถนนใหญ่ ก่อนที่จะไปซุ่มรอที่หลังต้นไม้ริมทางทั้งสี่คน แต่ละคนเตรียมปืนออโตเมติกสมรรถนะสูงมาก่อนหน้านี้แล้ว พวกเขารับงานมาจากเจ้านายแล้วจึงต้องทุ่มสุดตัว ขบวนรถของจ้านเกามาถึงจุดที่คนของเจียวจิ้งเหอดักรออยู่ในอีก 30 นาทีต่อมา ขณะที่รถทั้งสองคันกำลังจะผ่านทางไป กลุ่มกระสุนแถวแรกก็สาดเข้าใส่รถทั้งสองคันอย่างไม่สนใจว่าใครจะบาดเจ็บล้มตาย คนขับเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเร่งเครื่องให้ผ่านทางอันตรายไปโดยเร็ว ถึงแม้รถทั้งสองคันจะกันกระสุนได้ก็จริง แต่ปืนที่คนร้ายใช้กลับสามารถส่งคมกระสุนเจาะทะลุผ่านกระจกรถได้อย่างไม่ลำบาก แต่ยิ่งขับไปด้านหน้ามากเท่า
ด้านหลงเอ้อหลางกับพวกที่ถูกคุมขังอยู่กลับไม่มีความสุขนัก พวกเขาถูกพ่อด่ากันอีกครั้ง แถมครั้งนี้ยังไม่ได้รับการประกันตัวเพราะเป็นคดีร้ายแรง ทำให้ทั้งหกคนถูกฝากขังที่ศาลก่อนจะถึงวันนัดสืบพยานครั้งแรกในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า บรรดาแม่ ๆ ของพวกเขาต่างร้อนรนที่ลูกต้องเข้าไปอยู่ในคุกแบบนี้ พวกเธออาละวาดจนสามีแทบจะทนไม่ไหว ยิ่งกับหลงฮ่าวที่ได้รับรายงานเรื่องทั้งหมดจากบอดี้การ์ดด้วยแล้ว เขายิ่งโมโหมากขึ้นไปอีกจนไม่คิดจะช่วยอะไรลูกชาย“คุณไม่คิดจะหาทางช่วยเอ้อหลางเลยหรือยังไง เขาเป็นลูกชายของคุณนะ!”“ฮึ แล้วใครใช้ให้มันไปลักพาตัวคู่หมั้นจ้านเกาล่ะ คุณคิดว่าผมจะช่วยอะไรได้ ในเมื่อนี่เป็นคดีร้ายแรง”“คุณก็ไปบอกไอ้จ้านเกานั่นไม่ให้มันเอาเรื่องลูกชายฉันสิ”“นี่คุณคิดว่าเขาจะยอมง่าย ๆ เหรอ? คุณก็รู้ว่าเขาเกลียดผมมากแค่ไหนน่ะ”“ฮึ คุณมันไม่ได้เรื่อง ฉันไปให้พ่อฉันช่วยลูกก็ได้ คอยดูนะ ฉันจะจัดการไอ้จ้านเกานั่นให้ดู!” เจียวจูเดินปึงปังออกจากบ้านไปอย่างไม่เหลียวหลังมามองว่าสามีของเธอมี
ซูหนิงจิงกับกู่ซิงเดินทางมาถึงบ้านตระกูลจ้านก่อนเวลาอาหารเที่ยงหนึ่งชั่วโมง จ้านหย่งเหอกับจ้านเซียงชิงยังคงนั่งรอพวกเธออยู่ที่ห้องรับแขก ส่วนหลานชายพวกเขาก็ไปอยู่เป็นเพื่อนซูหนิงเซียวที่ห้องด้านบนพร้อมกับแม่บ้านหลังจากทักทายกันเสร็จแล้ว ทั้งสี่คนก็เดินขึ้นไปห้องของซูหนิงเซียวโดยมีพ่อบ้าน แม่บ้านช่วยกันยกกระเป๋าของพวกเธอตามขึ้นไปด้วย ระหว่างทางซูหนิงจิงยังได้รับการปลอบโยนจากสองผู้อาวุโสจนเธอใจชื้นขึ้นบ้างหลังจากที่กังวลมาตลอดตั้งแต่ทราบเรื่องของลูกสาว เมื่อซูหนิงจิงเห็นลูกของเธอกำลังนั่งอยู่บนเตียงคุยกับจ้านเกาที่นั่งเก้าอี้ข้างเตียงเข้า น้ำตาของเธอก็รื้นขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะรีบเดินเข้าไปกอดซูหนิงเซียวเอาไว้อย่างแสนรักที่เตียงอีกด้านหนึ่ง คนอื่น ๆ เห็นซูหนิงจิงที่เข้มแข็งมาตลอดเป็นเช่นนี้ก็เข้าใจได้ว่าเธอคงเป็นห่วงลูกมาก จ้านหย่งเหอไม่อยากรบกวนสองแม่ลูก เขาจึงชวนทุกคนไปนั่งที่ห้องรับแขกบนชั้นสองรอให้ซูหนิงจิงพูดคุยกับลูกสาวสักพักก่อนเพื่อคลายความเป็นห่วง ซูหนิงเซียวที่ได้รับอ้อมกอดอุ่นจากแม่ของเธอก็สะอื้นขึ้นมาอีกคร
ก่อนที่หลงเอ้อหลางจะหายเจ็บและลงมือกับซูหนิงเซียวอีกครั้ง กำลังตำรวจและบอดี้การ์ดที่มาถึงก่อนรีบเข้าไปช่วยเหลือซูหนิงเซียวหลังจากจับกุมเพื่อนทั้งห้าคนของเขา หลงเอ้อหลางที่ถูกจับกุมด่าทอต่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างสาดเสียเทเสียเหมือนคนบ้า เขาไม่คิดว่าตำรวจจะมาเร็วถึงขนาดนี้ก็ยิ่งโกรธแค้นซูหนิงเซียวมากขึ้นไปอีก เขายังไม่ได้ล้างแค้นเธอเลยแต่กลับถูกจับเสียแล้ว ตอนนี้เขาไม่สนใจว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เขามั่นใจว่าคุณตาจะต้องช่วยเขาออกไปได้แน่ อีกอย่างเขายังไม่ได้ทำอะไรซูหนิงเซียว เขาจึงไม่สนใจว่าตำรวจพวกนี้จะตั้งข้อหาอะไรเขา ซูหนิงเซียวที่ถูกฉีกทึ้งเสื้อผ้ารีบม้วนตัวเข้าไปในผ้าห่ม โชคดีที่หลงเอ้อหลางไม่ได้มัดมือมัดเท้าเธอเอาไว้ ทำให้เธอยังพอที่จะต่อกรกับเขาได้จนกระทั่งความช่วยเหลือมาถึง แต่ด้วยความดีใจที่รอดพ้นจากเงื้อมมือคนเลว ซูหนิงเซียวก็ร้องไห้อย่างสุดจะกลั้น เธออับอายไม่น้อยที่ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ จ้านเกามาถึงก็ตรงเข้าไปต่อยหลงเอ้อหลางจนล้มลงไปกองกับพื้น แต่หลงเอ้อหลางที่บ้าไปแล้วกลับหัวเราะออกมาแล้วเยาะเย้ยจ้านเกาเร
ซูหนิงเซียวไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น เธอมัวแต่รีบเข้าห้องน้ำจนกระทั่งสบายท้องแล้วจึงออกมาด้านนอก แต่กลับพบกลุ่มของหลงเอ้อหลางรอเธออยู่ ซูหนิงเซียวขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจ เธอไม่คิดว่าจะมาเจอคนพวกนี้อีกในงานของมหาวิทยาลัยของเธอ“พวกคุณเข้ามาในนี้ได้ยังไง นี่มันห้องน้ำผู้หญิงนะ”“ฮึ ถ้าเราไม่เข้ามาแล้วจะได้แก้แค้นเธอเมื่อไหร่กัน”“นั่นสิ เธอทำพวกเราเสียเงินไม่น้อยเลยนะคราวก่อน วันนี้อย่าหวังว่าจะหนีรอดจากพวกเราไปได้เลย”“จับเธอ!!!” หลงเอ้อหลางไม่ยอมเสียเวลาพูดมากเหมือนเพื่อน เขากลัวว่าวิกาลยาวนานฝันยุ่งเหยิงที่สุด เพื่อนของหลงเอ้อหลางสามคนดาหน้าเข้าไปเตรียมล็อกแขนซูหนิงเซียวและปิดปากไม่ให้เธอร้องขอความช่วยเหลือได้ง่าย ๆ แต่ขณะที่พวกเขากำลังยื่นมือเข้าไป ซูหนิงเซียวก็เตะพวกเขาจนลงไปกองกับพื้น“โอ้ย! นังบ้า ฤทธิ์เยอะนักนะ พวกแกเข้าไปอีก คราวนี้ฉันจะช่วยด้วย” หลงเอ้อหลางเรียกเพื่อนอีกสองคน ซูหนิงเซียวพยายามต่อสู้กับหลงเอ้อหลางตามที่เธอ
จ้าวหลงเฉิงที่เริ่มเข้าวงการมาตั้งแต่สองเดือนก่อน ตอนนี้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังขึ้นจากละครที่แสดงเป็นน้องชายนางเอกเมื่อเดือนที่แล้ว เขาไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับคัดเลือกให้แสดงบทนี้แต่แรก นี่เป็นเพราะหลิวอ้ายโหรวยอมจ่ายเงินสนับสนุนละครเรื่องนี้มากถึงสองล้านหยวนจนลูกชายได้รับคัดเลือกให้ร่วมแสดง หลังจากนี้หลิวอ้ายโหรวที่ทำให้ลูกชายมีชื่อเสียงมากขึ้นก็ไม่ต้องเสียเงินอีก ถึงแม้เธอจะจ่ายค่าชดเชยไปถึงสิบล้านหยวนแล้วก็ตาม แต่เธอยังมีเงินที่เหลือจากการจำนองที่ดินอยู่หลายล้านหยวน เธอจึงสามารถนำเงินมาต่อยอดให้ลูกชายเข้าวงการบันเทิงได้อย่างเต็มตัว จ้าวลี่ลี่เห็นน้องชายเริ่มดังก็ชักจะอยากเข้าวงการบันเทิงเช่นเดียวกัน เพียงแต่จ้าวไห่ถังไม่อนุญาตให้เธอไปยุ่งเกี่ยวกับวงการบันเทิงเหมือนจ้าวหลงเฉิง เขารู้ดีว่าผู้หญิงที่เข้าวงการมักจะถูกเอาเปรียบ ต่างกับผู้ชายที่ไม่ว่าจะได้รับบทอะไรก็ไม่เสียหายเหมือนดาราหญิง และเขามั่นใจแล้วว่าหลิวอ้ายโหรวจะสามารถดูแลลูกชายของเขาได้เป็นอย่างดี จ้าวลี่ลี่จึงทำได้แค่ตั้งใจเรียนให้มากขึ้นเพื่อจะได้รีบจบการศึกษาแล้วหางานทำ &n
คืนนั้นหลังจากหลิวอ้ายโหรวคุยกับจ้าวไห่ถังเรื่องจะให้ลูกสาวไปทำงานในวงการบันเทิง จ้าวไห่ถังรู้ว่าลูกสาวเขาเรียนไม่ค่อยเก่งแต่แรก เขาจึงไม่คัดค้านอะไร เช้าวันต่อมาระหว่างทานอาหาร หลิวอ้ายโหรวบอกจ้าวลี่ลี่ว่าจะให้ทำงานในวงการบันเทิง ทำให้จ้าวลี่ลี่ที่เคยดูถูกพวกดาราที่เรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกับเธอไม่ก่อนไม่พอใจทันที“หนูไม่ทำหรอกนะคะแม่ ถ้าหนูไปทำงานในวงการบันเทิง ตระกูลหลงจะไม่ดูถูกหนูเหรอคะ หนูยังไม่อยากถูกถอนหมั้นจนเสียหน้าคนในวงสังคมนะ” จ้าวลี่ลี่พูดอย่างไม่พอใจ“เอ๊ะ แค่ทำงานงานวงการบันเทิงใครเขาจะดูถูกแกกัน เมื่อก่อนฉันก็ทำงานในวงการบันเทิงมาก่อน ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครในสังคมดูถูกฉันสักนิด ไม่รู้ล่ะ ถ้าแกไม่ทำงานก็ไม่ต้องขอเงินพ่อแกไปซื้อเสื้อผ้าอีก” หลิวอ้ายโหรวยื่นคำขาด“นี่คุณจะเสียงดังทำไมกัน ถ้าลูกไม่อยากทำก็ไม่เป็นไรนี่นา คุณก็หัดอยู่บ้านซะบ้างจะได้ไม่ต้องเสียเงิน ไม่ใช่หาแต่เรื่องออกไปซื้อของไม่จำเป็นพวกนั้นอยู่ตลอด ลูกก็ด้วยนะลี่ลี่ เลิกซื้อได้แล้วเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอางพวกนั้น พ่อเห็
จ้าวไห่ถังกลับถึงบ้านก่อนเที่ยงวันเกือบหนึ่งชั่วโมง หลิวอ้ายโหรวที่ไม่ได้ไปไหนแปลกใจไม่น้อยที่เห็นสามีขนของกลับมาบ้านเวลานี้ เธอรอให้เขาวางกล่องของลงก่อนจะถามเขาอย่างสงสัย“นี่คุณเอาอะไรมาเยอะแยะคะ แล้ววันนี้คุณไม่ทำงานเหรอ?”“เฮอะ ของพวกนี้ผมเอามาจากห้องทำงานผมนั่นแหละ ตอนนี้ซูหนิงจิงเข้ายึดตำแหน่งประธานบริษัทไปแล้ว ผมยังจะมีหน้าทำงานอยู่ที่นั่นต่อได้ยังไงกัน หลังจากนี้คุณก็อย่าใช้เงินเปลืองนักก็แล้วกัน เสื้อผ้า เครื่องสำอางก็ไม่ต้องขนซื้อมาเหมือนเมื่อก่อนอีก เงินเดือนที่ผมจะได้ลดลงมาจากเดิมเกินครึ่งแล้ว ผมยังไม่รู้เลยว่าเงินห้าหมื่นหยวนต่อเดือนจะพอจ่ายค่าคนใช้พวกนี้ไหม ไม่แน่ผมอาจจะต้องให้คนออกสักสองสามคน เหลือไว้แค่คนทำอาหารกับทำความสะอาดแค่สองคนพอ รอให้ลูกกลับมาผมจะบอกเรื่องนี้กับพวกเขาเอง” จ้าวไห่ถังพูดอย่างหนักใจ“อ้าว แล้วคุณปล่อยให้นังหนิงจิงไล่คุณออกได้ยังไงล่ะคะ ก็ไหนตอนที่หย่ากัน นังนั่นมันบอกจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับบริษัทของคุณอีกน่ะ ทำแบบนี้มันไม่ผิดสัญญาหย่าร้างกับคุณเหรอคะ แล้วคุณทำไมไม่หาทนายมาฟ้องเรียกค่าเสี