เรื่องราวอันแสนประหลาดของ “แคโรไลน์” เด็กสาวนัยน์ตาเรียวยาวสีน้ำตาล อายุสิบสี่ปี เริ่มต้นขึ้นในเช้าวันหยุดวันเสาร์ของสัปดาห์หนึ่ง เมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า เหนือเมืองเล็ก ๆ ส่องแสงสีทองไปทั่วเมืองที่หลับใหล กลิ่นหอมของเบคอน ไข่ และกาแฟอบอวลอยู่ในอากาศ ภายในร้านอาหารเก่าแก่ย่านใจกลางเมือง
เด็กสาวชื่อแคโรไลน์กำลังยุ่งอยู่กับการช่วยพ่อแม่กับงานตอนเช้าที่สุดแสนจะวุ่นวาย ซึ่งเธอคุ้นชินและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันยุ่งๆ อีกวันหนึ่ง แคโรไลน์หลงใหลในการทำอาหารมาโดยตลอดและใฝ่ฝันที่จะเป็นเชฟตั้งแต่เธอยังเด็ก แม้ว่าเธอจะอายุยังน้อย แต่เธอก็ได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะการทำอาหารจนเรียกได้ว่าเธอสามารถทำทุกอย่างแทนพ่อกับแม่ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการซึบซับวิธีการทำอาหาร จากการใช้เวลาทำงานร่วมกับพ่อแม่ของเธอในร้านอาหารในทุกวัน
“โอ้ว ฝุ่นจับอีกแล้ว เห็นทีต้องปัดฝุ่นเสียหน่อย”
ขณะที่เธอเช็ดเคาน์เตอร์และขัดเครื่องเงิน แคโรไลน์อดไม่ได้ที่จะฝันกลางวันว่า สักวันหนึ่งการได้เปิดร้านอาหารของตัวเองจะเป็นอย่างไร เธอจินตนาการถึงการสร้างสรรค์อาหารที่รสเลิศ และสวยงาม ที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจและนำรอยยิ้มมาสู่ใบหน้าของพวกเขา แต่สำหรับตอนนี้ เธอก็ยังพอใจที่จะช่วยพ่อแม่ดูแลร้านอาหารเก่า ๆ ให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น
“แคโรไลน์ !!! มารับออเดอร์คุณนิโคลหน่อย สวัสดีค่ะ คุณนิโคล วันนี้คุณดูสดใสเป็นพิเศษเลยนะคะ เชิญค่ะ ทางนี้เลยค่ะ เราเก็บมุมโปรดของคุณไว้ให้ด้วยนะคะ”
แคทรีน่าผู้เป็นแม่ของแคโรไลน์กุลีกุจอมาต้อนรับมิสซิสนิโคลพร้อมตะโกนเรียกลูกสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการทำความสะอาดให้มาต้อนรับลูกค้าขาประจำ เธอจึงรีบผละจากงานนั้น ตรงปรี่มายังหญิงชรา ผู้ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นลูกค้าชั้นดีของร้านนับแต่เปิดร้านนี้มา
“สวัสดีค่ะ คุณนิโคล เช้านี้รับอะไรดีคะ วันนี้เรามีไข่สดจากฟาร์มด้วยนะคะ และก็มีผักสลัดสด ๆ มะเขือเทศฉ่ำ ๆ ที่เก็บมาจากสวนของเราเองอีกด้วยค่ะ”
“เยี่ยมเลย ! แม่หนู งั้นขอเป็นไข่คน แฮม แพนเค้ก สลัดผักสด ๆ และก็กาแฟดำนะจ๊ะ”
“ได้เลยค่ะคุณนิโคล รอสักครู่นะคะ”
แคโรไลน์รับออเดอร์แล้วรีบกลับเข้าครัวรีบทำอาหารตามออร์เดอร์ของลูกค้า
ร้านอาหารเก่าแก่แห่งนี้ชื่อว่า "The Classic Spoon" เธอเคลื่อนตัวจากโต๊ะหนึ่งไปยังอีกโต๊ะหนึ่งอย่างกระตือรือร้น รับออเดอร์และเสิร์ฟอาหารด้วยรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของเธอ อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเบคอนทอดและไข่ร้อนๆ และเสียงจานกระทบกันดังไปทั่วห้อง
และวันนี้เป็นอีกเช้าที่แสนจะเร่งรีบ เป็นวิถีชีวิตที่เวียนวนมานับแต่แคโรไลน์จำความได้ พ่อแม่ของแคโรไลน์ รับออเดอร์และทำอาหารเพื่อเสิร์ฟให้ลูกค้าขาประจำ แคโรไลน์ก็ทำหน้าที่ของเธอเช่นกัน ช่วยเหลือในทุกอย่างเธอทำได้ เธอตอกไข่ใส่กระทะร้อนๆ พลิกแพนเค้กอย่างง่ายดาย และเทกาแฟที่กำลังเดือดปุดๆ พ่อแม่ของเธอยิ้มอย่างภาคภูมิใจเมื่อพวกเขาดูลูกสาวทำงาน โดยรู้ว่าเธอได้รับทักษะและความรักในการทำอาหารสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ
เมื่อเวลาอันแสนเร่งรีบหมดลง พ่อแม่ของแคโรไลน์จึงหยุดพักบ้าง จิบน้ำชาและคุยกันเบาๆ ในขณะที่แคโรไลน์อยู่ข้างหลังเพื่อทำความสะอาด ขณะที่เธอเช็ดโต๊ะสุดท้าย ขณะที่เธอทำงาน เด็กสาวได้ยินบทสนทนาบางส่วนจากลูกค้าที่ยังนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ พวกเขาคุยกันทุกเรื่องตั้งแต่สภาพอากาศไปจนถึงข่าวล่าสุดในเมือง และเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนิทสนมกับพวกเขา รู้สึกสบายใจที่รู้ว่าพวกเขาทั้งหมดมาที่ร้านอาหารเล็กๆ แห่งเดียวกันนี้ วันแล้ววันเล่า เพื่อหาอาหารดีๆ และเพื่อนที่ดีร่วมวงสนทนา และ "The Classic Spoon" คือส่วนหนึ่งของชีวิตเธอ
สมาชิกครอบครัว “แคโรไลน์" ประกอบด้วยพ่อผู้อารมณ์ดีตลอดเวลา “วอลเลอร์” ผู้เป็นเชฟที่มีชื่อเสียงโด่งดังจนออกรายการโทรทัศน์มาแล้ว แม่ของเธอแคทรีน่า ผู้เป็นบรรณาธิการเจ้าของบทเกี่ยวกับอาหารและสุขภาพ รวมแคโรไลน์ซึ่งเป็นนักเรียนมัธยมในวัย 14 เป็นสามชีวิตในบ้านสไตล์ยุโรปกลางเก่ากลางใหม่ ที่รีโนเวทมาจากบ้านทรงดั้มเดิมของบรรพบุรุษ
นอกจากนี้ วอลเลอร์และแคทรีน่า ทั้งสองคนยังเป็นเจ้าของบ้านเช่าสำหรับนักท่องเที่ยวไว้พักตากอากาศทางตอนเหนือของเกาะอังกฤษอีกด้วยซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาหลายศตวรรษแล้ว แคโรไลน์เอง ก็ฝันอยากจะเป็นเชฟชื่อดังและนักเขียนบทความด้านอาหารอย่างผู้เป็นพ่อและแม่ รวมถึงสืบทอดร้านอาหารของครอบครัวต่อไปเช่นกัน
เมื่อลูกค้าเริ่มบางตา แคทรีน่าและ วอลเลอร์ พ่อแม่ของเด็กสาวพากันเข้าไปในห้องพักและปิดประตูเพื่อพูดคุยกัน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวล พวกเขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เด็กสาวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจ ที่เห็นภาพเหตุการณ์ที่ไม่ปกตินั้น เธอรู้ว่าพวกเขากำลังประสบปัญหาขาลงและทำทุกวิถีทางเพื่อให้ร้านอาหาร "The Classic Spoon" แห่งนี้อยู่รอดได้
ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงสนทนาลอดออกมาจากประตูห้องรับแขก วอลเลอร์ผู้เป็นพ่อกำลังพูดเรื่องที่ทำให้เธอต้องหูผึ่ง
“รายได้ตลอดสามสี่เดือนที่ผ่านมามันแย่มาก นี่ถ้าเรายังไม่มีไอเดียอะไรใหม่ๆ ล่ะก็ เราอาจจะต้องปิดกิจการร้านอาหารของเราเลยนะ"
แคโรไลน์ตัวแข็งทื่อ คิดอะไรไม่ออก ในหัวขาวโพลนไปหมด หัวใจเธอดิ่งลงอย่างช่วยไม่ได้
“ไอเดียใหม่ ๆ งั้นเหรอ แล้วเมื่อไหร่เราจะคิดออกกันล่ะ ไม่ใช่วันนี้แน่ ๆ ฉันคิดอะไรไม่ออกเลย แล้วงานเขียนบทความเมนูพิเศษแปลกใหม่ที่ฉันบอกกับบรรณาธิการไว้ ก็ยังไม่ได้แตะแม้แต่น้อย อีกไม่กี่วันแล้วด้วย” แคทรีน่าพูดเสียงดัง
แคโรไลน์เขยิบเข้าไปใกล้ประตูอีกสองสามก้าวเพื่อให้ได้ยินเสียงของพ่อแม่ให้ชัดขึ้น เด็กสาวระวังไม่ให้เกิดเสียงดัง
“เอ ! พูดอะไรกันอยู่น่ะ จะปิดร้านงั้นเหรอ!? ไม่นะ !!”
“เพื่อนนักข่าวของพ่อก็บอกมาว่า พวกเขาจะไม่นำเสนอและโปรโมตร้านของเราตลอดทั้งปี ถ้าพวกเขาไม่ได้เห็นอะไรที่พิเศษๆ และแปลกใหม่จากเรา” พ่อของแคโรไลน์แทรกขึ้นอย่างฉุนเฉียว
"โอ๊ย ! นี่พวกเราหมดหวังกันแล้วเหรอ ทั้งหมดเป็นเพราะธุรกิจร้านอาหารกำลังแย่แน่นอน” แม่บ่นพึมพำต่อ
"คุณ ! มันไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียวหรอกน่า ทุกวันนี้อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปหมด แค่หวังว่า....”
“หวังว่า...ว่าอะไรเหรอพ่อ” แม่ของแคโรไลน์โพล่งถามสามี ตอนนี้แคโรไลน์ยืนแนบหูจนตัวจะติดกับประตูอยู่แล้ว เธอรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
"หวังว่าแคโรไลน์ ลูกสาวคนเดียวของเราจะเปลี่ยนใจอยากเป็นทนายความแทนน่ะสิ!” พ่อถอนหายใจ
“ลูกจะได้ไม่ต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ แบบพวกเราในตอนนี้”
แคโรไลน์ยืนอึ้ง ถึงกับต้องยกมือปิดปาก วันนี้มันเลวร้ายมากกว่าที่เธอคิดซะอีก
อย่างเธอเนี่ยนะจะเป็นทนายความ ไม่มีทางซะหรอก! เธออยากจะเป็น สุดยอดเชฟและนักเขียนมือทองเหมือนพ่อกับแม่ต่างหากเล่า เด็กสาวผละประตูอย่างแผ่วเบาแล้วรีบวิ่งขึ้นบันไดพร้อมๆ กับเสียงที่ยังก้องวนอยู่ในหัว
ร้านอาหารปิดตัวลง... ความฝันดับลง... ธุรกิจย่ำแย่... เป็นทนายความ
แคโรไลน์ตกใจเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เด็กสาวกระโจนขึ้นบันไดทีละสองขั้น วิ่งผ่านห้องนอนของทุกคน และขึ้นไปยังชั้นบนสุดของบ้าน เธอปลดโซ่เส้นเล็กที่คล้องประตูเล็กๆนั้นออก ก่อนผลักเข้าไปสู่ห้องใต้บันไดของบ้าน พักหลังมานี้ไม่ค่อยมีใครขึ้นมาที่นี่ มันเป็นสถานที่ส่วนตัวและสงบเงียบสุดยอดที่เธอชอบมาก
เธอค่อย ๆ เดินเข้าไปในห้องมืด ๆ ที่มีเพียงแสงจากหน้าต่างบานเกล็ด ลอดผ่านเข้ามาเท่านั้น เธอทรุดตัวลงบนฟูกเก่า ๆ นอนลงเอามือหนุนหัว และเริ่มสูดหายใจ เข้าไปเต็มปอด ในหัวของเธอคิดเรื่องราวสารพัน เธอค่อยๆหลับตาลง และเผลอหลับไปในที่สุด
ขณะที่เธอหลับตา เด็กสาวพบว่าตัวเองถูกพาไปยังโลกลึกลับของแม่มดและเวทมนตร์ เธอยืนอยู่ที่ทางเข้าเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง ล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่และหมอกหนาบดบังการมองเห็นของเธอ แม้ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวจะดูน่าขนลุก แต่เธอก็รู้สึกถึงความตื่นเต้นและการผจญภัยเมื่อเธอก้าวไปข้างหน้า
ขณะที่เธอเดินผ่านเมือง เด็กสาวสังเกตเห็นว่าอาคารทุกหลังดูแตกต่างจากหลังที่แล้ว บางหลังสูงและคดเคี้ยว มีหลังคาแหลมจนเกือบแตะท้องฟ้า ขณะที่บางหลังมีขนาดเล็กและอบอุ่น มีแสงไฟอบอุ่นที่หน้าต่าง ถนนปูด้วยหินและคดเคี้ยว ไม่มีรูปแบบหรือทิศทางที่ชัดเจน
เด็กสาวอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับภาพแปลกๆ ที่ทักทายเธอทุกย่างก้าว เธอเห็นแม่มดกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันรอบหม้อต้ม ร่ายคาถาภายใต้แสงจันทร์เต็มดวง เธอเห็นร้านค้าที่เต็มไปด้วยด้ามไม้กวาดทุกรูปทรงและขนาด บางอันประดับด้วยเพชรพลอยระยิบระยับ และบางอันมีการแกะสลักอย่างประณีต เธอเห็นร้านเบเกอรี่ที่ขายเค้กหม้อน้ำและพายฟักทอง และร้านยาที่เต็มไปด้วยส่วนผสมแปลกๆ และเครื่องปรุงที่มีฟองฟอด
ขณะที่เธอสำรวจเมือง เด็กสาวรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอสังเกตเห็นว่าแม่มดที่เธอพบล้วนจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาที่เย็นชาและไม่เป็นมิตร เธอไม่สามารถสะกดความรู้สึกกดดัน ขณะที่เธอถูกจับตามองได้ หมอกดูเหมือนจะหนาขึ้น ดูวังเวง น่ากลัว เธอรู้สึกว่าเธอกำลังหลงทาง
ทันใดนั้น เด็กสาวก็ได้ยินเสียงเรียกเธอจากเงามืด เธอหันไปเห็นร่างหนึ่งยืนอยู่ในระยะไกล สวมเสื้อคลุมสีเข้มและถือไม้เท้าตะปุ่มตะป่ำ ร่างนั้นกวักมือเรียกเธอ และเด็กสาวรู้สึกถูกบังคับให้ทำตาม
“มานี่สิ แม่หนู มาหาฉันตรงนี้”
เมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้ เด็กสาวเห็นว่าร่างนั้นเป็นแม่มด มีผมยาวสีขาวและดวงตาสีฟ้าใส แม่มดพูดกับเธอด้วยเสียงต่ำแหบพร่า บอกเธอถึงอันตรายที่แฝงตัวอยู่ในเมืองและความลับที่ซ่อนอยู่ เด็กสาวฟังอย่างตั้งใจ หัวใจเต้นแรงด้วยความกลัวและตื่นเต้น
หญิงชราคนนั้นกำลังหัวเราะเสียงดัง แคโรไลน์เดินเข้าไปใกล้หญิงชราคนนั้น เธอถามหญิงชราว่าหัวเราะอะไร
หญิงชราคนนั้นหยุดหัวเราะ เธอมองแคโรไลน์ด้วยสายตาแปลกๆ แล้วพูดว่า
"ฉันหัวเราะเพราะฉันเห็นเด็กหญิงที่น่ารักและร่าเริง ฉันอยากทำให้เธอเป็นอมตะ"
หญิงชราคนนั้นพูดจบ เธอก็หยิบไม้เท้าขึ้นมาแล้วชี้ไปที่แคโรไลน์
"ฉันจะให้พรแก่เธอ แต่พรนี้จะทำให้เธอกลายเป็นแม่มดที่น่าเกลียด"
แคโรไลน์ตกใจมาก เธอพยายามวิ่งหนี แต่หญิงชราคนนั้นจับมือเธอเอาไว้
"ฉันจะปล่อยเธอไปก็ต่อเมื่อเธอยอมรับพรนี้" หญิงชราคนนั้นพูด
แคโรไลน์ไม่มีทางเลือก เธอจึงยอมรับพรของหญิงชราคนนั้น ทันใดนั้น แคโรไลน์ก็รู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างไหลผ่านร่างกายของเธอ เธอรู้สึกเจ็บปวดทรมานราวกับร่างกายของเธอกำลังถูกฉีกขาด เมื่อความเจ็บปวดหายไป แคโรไลน์ก็พบว่าตัวเองกลายเป็นแม่มดที่น่าเกลียด เธอมีใบหน้าที่บิดเบี้ยว จมูกใหญ่ ปากกว้าง และฟันแหลมคม เธอกรีดร้องด้วยความตกใจ.
รุ่งเช้า แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาให้ห้องใต้หลังคาจนสว่างจ้า เด็กสาวนัยน์ตาเรียวยาวสีน้ำตาล ลืมตาขึ้นเพราะเสียงอึกทึกจากเสียงเครื่องดูดฝุ่นห้องข้างล่าง ซึ่งเป็นร้านอาหารของครอบครัวแคโรไลน์งัวเงียปรือตาลุกพรวดขึ้นมาทันที“เผลอหลับไปจนได้ นี่กี่โมงแล้วนะ”แคโรไลน์ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา เข็มนาฬิกาบอกเวลาเกือบจะแปดโมงแล้ว! ทำไมไม่มีใครปลุกเธอเลย แคโรไลน์ผุดลุกขึ้นนั่งและตระหนักว่าเมืองแม่มดที่เธอเดินทางท่องเที่ยวนั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ว่าตอนนี้เธอไม่ได้นอนอยู่ในห้องนอนของเธอ ใช่แล้ว เมื่อเย็นวานเธอเข้ามานอนในห้องใต้หลังคา และเผลอหลับไปพร้อมกับความฝันอันแสนประหลาดนั่นเอง “เฮ้ย ! วันนี้มีเรียนประวัติศาสตร์คาบเช้ากับครูคนใหม่นี่หว่า วิชาโปรดของเราซะด้วย ไม่ได้การละ” เธอกระโดดลงจากเตียงอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจเมื่อตระหนักว่าเธอมีเวลาเพียงไม่กี่นาทีในการเตรียมตัวไปโรงเรียนโดยไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว แคโรไลน์พุ่งไปที่ตู้เสื้อผ้าของเธอ ดึงชุดเครื่องแบบที่แขวนอย่างไม่เป็นระเบียบออกมา กระโดดไปรอบๆ สวมเสื้อผ้าของเธออย่างเงอะงะ พยายามติดกระดุมเสื้อของเธอในขณะที่กระโดดด้วยเท้าข้างหนึ
รุ่งเช้า แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาให้ห้องใต้หลังคาจนสว่างจ้า เด็กสาวนัยน์ตาเรียวยาวสีน้ำตาล ลืมตาขึ้นเพราะเสียงอึกทึกจากเสียงเครื่องดูดฝุ่นห้องข้างล่าง ซึ่งเป็นร้านอาหารของครอบครัวแคโรไลน์งัวเงียปรือตาลุกพรวดขึ้นมาทันที“เผลอหลับไปจนได้ นี่กี่โมงแล้วนะ”แคโรไลน์ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา เข็มนาฬิกาบอกเวลาเกือบจะแปดโมงแล้ว! ทำไมไม่มีใครปลุกเธอเลย แคโรไลน์ผุดลุกขึ้นนั่งและตระหนักว่าเมืองแม่มดที่เธอเดินทางท่องเที่ยวนั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ว่าตอนนี้เธอไม่ได้นอนอยู่ในห้องนอนของเธอ ใช่แล้ว เมื่อเย็นวานเธอเข้ามานอนในห้องใต้หลังคา และเผลอหลับไปพร้อมกับความฝันอันแสนประหลาดนั่นเอง “เฮ้ย ! วันนี้มีเรียนประวัติศาสตร์คาบเช้ากับครูคนใหม่นี่หว่า วิชาโปรดของเราซะด้วย ไม่ได้การละ” เธอกระโดดลงจากเตียงอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจเมื่อตระหนักว่าเธอมีเวลาเพียงไม่กี่นาทีในการเตรียมตัวไปโรงเรียนโดยไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว แคโรไลน์พุ่งไปที่ตู้เสื้อผ้าของเธอ ดึงชุดเครื่องแบบที่แขวนอย่างไม่เป็นระเบียบออกมา กระโดดไปรอบๆ สวมเสื้อผ้าของเธออย่างเงอะงะ พยายามติดกระดุมเสื้อของเธอในขณะที่กระโดดด้วยเท้าข้างหนึ
เรื่องราวอันแสนประหลาดของ “แคโรไลน์” เด็กสาวนัยน์ตาเรียวยาวสีน้ำตาล อายุสิบสี่ปี เริ่มต้นขึ้นในเช้าวันหยุดวันเสาร์ของสัปดาห์หนึ่ง เมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า เหนือเมืองเล็ก ๆ ส่องแสงสีทองไปทั่วเมืองที่หลับใหล กลิ่นหอมของเบคอน ไข่ และกาแฟอบอวลอยู่ในอากาศ ภายในร้านอาหารเก่าแก่ย่านใจกลางเมือง เด็กสาวชื่อแคโรไลน์กำลังยุ่งอยู่กับการช่วยพ่อแม่กับงานตอนเช้าที่สุดแสนจะวุ่นวาย ซึ่งเธอคุ้นชินและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันยุ่งๆ อีกวันหนึ่ง แคโรไลน์หลงใหลในการทำอาหารมาโดยตลอดและใฝ่ฝันที่จะเป็นเชฟตั้งแต่เธอยังเด็ก แม้ว่าเธอจะอายุยังน้อย แต่เธอก็ได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะการทำอาหารจนเรียกได้ว่าเธอสามารถทำทุกอย่างแทนพ่อกับแม่ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการซึบซับวิธีการทำอาหาร จากการใช้เวลาทำงานร่วมกับพ่อแม่ของเธอในร้านอาหารในทุกวัน “โอ้ว ฝุ่นจับอีกแล้ว เห็นทีต้องปัดฝุ่นเสียหน่อย”ขณะที่เธอเช็ดเคาน์เตอร์และขัดเครื่องเงิน แคโรไลน์อดไม่ได้ที่จะฝันกลางวันว่า สักวันหนึ่งการได้เปิดร้านอาหารของตัวเองจะเป็นอย่างไร เธอจินตนาการถึงการสร้างสรรค์อาหารที่รสเลิศ และสวยงาม ที่ทำให้ลูกค