วันแต่งงานของเมิ่งจือหยวนกับอู๋ชิวอิ่งมาถึง
“ท่านชายทั้งสองปลอมเป็นผู้ไปร่วมงานและคอยจับตาดูเฉิงเคอไว้ ข้าจะไปรอที่ห้องหอกับแม่นางเจียอิน เผื่อมีสิ่งใดจะได้รีบช่วยเหลือได้ทัน”
ขุนพลห้าวอี้ย้ำในสิ่งที่เขาคิดไว้
“พวกข้าขอไปด้วยได้หรือไม่ อาจารย์ส่งข้ามาช่วยศิษย์พี่ หากไม่ทำสิ่งใดเลย คงไม่ดีนัก”
หลินเฟยเอ่ยขอ นางเองก็อยากช่วยจับเฉิงเคอกันเช่น
“ท่านหญิงกับเสี่ยวเหลียน รออยู่ที่นี่เถิด”
“อย่างน้อย หลังจากศิษย์พี่เจียอินปลอมตัวเป็นอู๋ชิวอิ่งแล้ว ข้ากับเสี่ยวเหลียนจะได้พานางมาซ่อนที่นี่ เพื่อไม่ให้พวกท่านต้องกังวลเผื่อต้องต่อสู้กับเฉิงเคอ อีกอย่างพวกท่านจะได้ไม่ต้องเสียเวลาพานางกลับไปกลับมา เช่นนี้ไม่ดีกว่าหรือ”
ฟังสิ่งที่หลินเฟยบอกแล้วสุดท้ายห้าวอี้ก็ตกลง ด้วยเห็นว่าหากมีพวกนางไปด้วยก็สามารถช่วยดูแลความปลอดภัยของอู๋ชิวอิ่งได้
ขณะอยู่ในงานแต่งงานจวนนายอำเภอ ก่อนเกี้ยวเจ้าสาวมาถึง เฉิงเคอในร่างของเมิ่งจือหยวนค่อนข้างสงบนิ่งกว่าตัวตนแท้จริง แน่นอนว่าช่วงหลายวันมานี้แม้คนในบ้านจะรู้สึกว่านายน้อยแปลกไป จากที่ออกไปบ่อนทุกวันกลับไม่ย่างก้าวออกไปไหน แต่ต่างก็คิดว่าเพราะกำลังจะแต่งงานเมิ่งจือหยวนจึงอยากทำตัวให้ดี โดยที่นายอำเภอเมิ่งจื่อหรานกับฮูหยินพลอยดีใจบุตรชายทำตัวดีขึ้น
“แม่นางไม่ทราบว่ามาจากสกุลใด”
พ่อบ้านของจวนเข้ามาถามเสี่ยวเหลียนที่ยืนในศาลาในสวนห่างจากผู้คนมากมาย ด้วยรู้สึกไม่ชินนัก ส่วนหลินเฟยแอบลอบไปดูลาดเลาใกล้ห้องหอ
‘เจ้ารออยู่ที่นี่ เจ้าเพิ่งดีขึ้นได้ไม่นาน อย่าฝืนตัวเองเลย’
แม้นางจะบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว แต่สุดท้ายหลินเฟยก็ให้นางรอ
‘ข้าจะรีบกลับมา’
“นางคือฮูหยินของข้า”
ร่างสูงใหญ่ของเทียนเหวินก้าวเข้ามายังศาลาพลางเอ่ย ทั้งยังจับข้อมือเล็กแสดงความสนิทสนม
“ฮูหยิน? เอ่อ แล้วท่านคือ?”
ดวงตาคู่คมดุมองสบตากับพ่อบ้านนิ่งพร้อมสะกดจิต
“ข้ากับฮูหยินออกมารับลมไม่นานแล้วจะกลับเข้าไปในงาน ท่านพ่อบ้านมีงานมากมายให้ดูแล เชิญเถิด”
“ขอรับ”
พ่อบ้านของจวนกลับไปโดยดีเพราะถูกสะกดจิต
“ขอบคุณท่านชาย”
ลับร่างพ่อบ้านเสี่ยวเหลียนก็ดึงมือตนออกพลางก้มหน้าขอบคุณ แม้จะเคยพูดคุยกันมาบ้างหากนางก็ยังเกร็งกับอีกฝ่าย และการได้รับรู้ว่าเขาคือทายาทสวรรค์ผู้สูงส่ง นางยิ่งไม่กล้าเข้าใกล้มากขึ้นไปอีก
“ไยเจ้ามาอยู่ตรงนี้เพียงลำพัง”
“หลินเฟยไปดูลาดเลาใกล้ห้องหอเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นนางก็ควรพาเจ้าไปด้วย ทิ้งเจ้าไว้เพียงลำพัง แม้เกี้ยวเจ้าสาวยังมาไม่ถึง แต่วิชาของเจ้ายังอ่อนด้อยนัก หากเกิดเรื่องใดขึ้น จะพลอยเสียงานใหญ่ไปกันหมด”
เทียนเหวินดุเสียงเข้ม เขาอยู่ท่ามกลางแขกที่มาร่วมงาน คนละมุมกับหลี่ไห่ฉิน ในตอนแรกยังมองเห็นหลินเฟยกับเสี่ยวเหลียน ทว่าอยู่ๆ พวกนางกลับหายไป ทำเอานึกเป็นห่วงจนต้องเดินตามหามาถึงที่นี่เพราะกลิ่นดอกบัวประจำตัวเสี่ยวเหลียน ซึ่งตอนนี้เทียนเหวินรู้แล้วว่ามีเพียงตนที่รับรู้ได้ แม้ไม่เข้าใจว่าด้วยเหตุอันใดก็ตาม
“หลินเฟยเองก็เช่นกัน ความจริงพวกเจ้าทั้งสองควรอยู่กับแม่นางเจียอิน แทนที่จะแยกตัวออกมาเช่นนี้”
เสี่ยวเหลียนหมดคำโต้แย้ง นางเองไม่มีความสามารถใด สำเร็จตบะเพียงเซียนขั้นต้น พลังปราณน้อยนิด เกิดเรื่องขึ้นนางมีแต่จะเป็นภาระเช่นที่ท่านชายสวรรค์พูดจริง หลินเฟยเองก็ฝึกวิชาไม่กี่ปี ความสามารถยังไม่ถึงขั้นที่จะต่อสู้กับผู้ใด
“เอาเถิด ในเมื่อมาอยู่ที่นี่แล้วก็รอจนกว่าสหายของเจ้าจะกลับมาก็แล้วกัน เมื่อเกี้ยวเจ้าสาวมาถึง พวกเจ้าทั้งสองก็รีบไปรอที่ห้องหอเสีย เสร็จพิธีแล้วอู๋ชิวอิ่งไปถึงแม่นางเจียอินปลอมตัวแล้วจะได้พานางไปซ่อนทันที ทางนี้ปล่อยให้พวกข้าจัดการ จะได้ไม่ต้องพะวักพะวน ห่วงหน้าพะวงหลัง”
เทียนเหวินสั่งแล้วก็เดินจากไป ปล่อยให้เสี่ยวเหลียนยืนหน้าเจื่อนเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่ที่ศาลาเช่นเดิม
ความจริงหลินเฟยกลับมาแล้ว นางจะมาช่วยเสี่ยวเหลียนนับแต่เห็นพ่อบ้านถามสหายคนสนิท ทว่าเทียนเหวินเข้ามาเสียก่อน จึงกลับไปหลบหลังต้นไม้ และได้ยินทุกคำพูดของชายหนุ่ม
ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น อยากพิสูจน์ตนเองให้คู่หมายได้เห็นว่านางเองก็มีฝีมือมีความสามารถเช่นกัน
“ข้าเอง”
อยู่ๆ หลินเฟยก็ออกปากอาสา
เจ้าสาวมารออยู่ในห้องหอแล้ว เจียอิน หลินเฟยและเสี่ยวเหลียนมารอนับแต่เกี้ยวเจ้าสาวมาถึงจวนนายอำเภอ อู๋ชิวอิ่งนั่งถอนหายใจ สีหน้ากังวลและบีบมือของตนบ่อยครั้ง ดูก็รู้ว่ากำลังวิตกเป็นอย่างมาก เจียอินจึงทำให้หญิงสาวหมดสติในตอนนี้ไปเลย เจ้าตัวจะได้ไม่ต้องกังวลใดๆ อีก
ห้าวอี้รออยู่ด้านนอก ปล่อยให้หญิงสาวทั้งสามจัดการกับเจ้าสาว ด้วยอย่างไรตนก็เป็นบุรุษ เขาจะรอกระทั่งเฉิงเคอมาที่นี่ ในเมื่ออยู่กันตามลำพัง หลินเฟยจึงได้โอกาสเสนอตัว
“คิดจะทำอะไรของเจ้า”
เจียอินงุนงงเมื่อหลินเฟยจับมือตนไว้หลังจากร่ายเวทให้อู๋ชิวอิ่งหมดสติไปแล้ว
“ข้าทำผิดกฎสำนัก อาจารย์ส่งข้าลงมาช่วยศิษย์พี่ชดเชยความผิด หน้าที่นี้ควรเป็นของข้า”
หลินเฟยบอกความต้องการ ขณะเสี่ยวเหลียนที่เพิ่งได้รู้ในสิ่งที่สหายตั้งใจทำก็อดตระหนกไม่ได้ นางคิดว่าอันตรายเกินไปหากหลินเฟยจะปลอมตัวเป็นอู๋ชิวอิ่ง
นิ่งคิดไปหลายอึดใจเจียอินก็ยอมพยักหน้าตกลง นางไม่เห็นด้วยนัก แต่มาคิดดูแล้วตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แม้สักนิด ไยต้องทำเรื่องเสี่ยงอันตรายด้วย ในเมื่อหลินเฟยอยากชดใช้ความผิดของตน นางก็ควรปล่อยให้เจ้าตัวได้ทำคุณไถ่โทษ
“เจ้าพูดมาก็ถูก คนผิดคือเจ้า หากไม่เพราะเจ้าทำผิดกฎ สหายเจ้าก็คงไม่บังเอิญไปพัวพันเรื่องคัมภีร์ถูกขโมยจากสำนักฝั่งเหนือ ให้เราต้องพลอยวุ่นวายไปด้วย”
ผู้เป็นศิษย์พี่ยอมถอย
เสี่ยวเหลียนถึงกับอึ้งเมื่อศิษย์พี่ของหลินเฟยยินยอมโดยง่าย เมื่อสหายตนก้าวเข้าไปใกล้ร่างของอู๋ชิวอิ่งที่นอนอยู่บนเตียง แล้วเปลี่ยนตัวเองให้เหมือนผู้เป็นเจ้าสาว นางก็ขยับไปด้านหลังโดยเร็ว ใช้วิชาป้องกันตัวที่ตนได้เรียนรู้มาจากการไปฝึกวิชาแทนหลินเฟยร่ายเวทให้เจ้าตัวหมดสติไปด้วย
ร่างโปร่งอรชรของท่านหญิงเผ่าวิหคล้มลงไปบนเตียงเคียงข้างอู๋ชิวอิ่ง ทำเอาเจียอินยกกระบี่ขึ้นปลายจรดหน้าอกเซียนดอกบัวในทันใด
“เหตุใดเจ้าจึงทำร้ายศิษย์น้องข้า”
=====
เสี่ยวเหลียนคิดจะทำอะไร? ฝากติดตามต่อด้วยนะคะ เฟซบุ๊กเพจ รสิตา เพียงพิณ https://twitter.com/rasitawriter
“เหตุใดเจ้าจึงทำร้ายศิษย์น้องข้า”“ข้าช่วยนางต่างหาก”เสี่ยวเหลียนเอ่ยโดยไม่หลบสายตาเจียอิน“หากจะหาต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด ย่อมเป็นข้า และข้าจะไม่ยอมให้หลินเฟยตกอยู่ในอันตราย”“อ้อ ภักดีเสียจริง สมกับเป็นภูตรับใช้ของหลินเฟย”เจียอินพยักหน้าพลางยิ้มเยาะ“แล้วจะทำอย่างไรต่อไป จะให้ข้าปลอมตัวเป็นนางเช่นเดิมหรือ ภูตรับใช้เช่นเจ้า ไม่มีสิทธิ์สั่งข้า หากข้าไม่ทำ เจ้าจะทำอย่างไร”“ข้าไม่กล้าสั่งท่านแน่นอน ข้าจะปลอมเป็นอู๋ชิวอิ่งเอง”ดวงตาคู่เรียวของเจียอินมองภูตดอกบัวราวประเมิน“เซียนชั้นต้นอ่อนแอเช่นเจ้า ข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่ามีฝีมือพอจะไม่ทำแผนพัง จับเฉิงเคอได้”“อย่างน้อยท่านก็เห็นแล้วว่า ข้าสามารถทำให้เขาหมดสติได้แน่”เสี่ยวเหลียนเองก็เชิดหน้าเอ่ยอย่างมั่นใจ หากนางแสดงท่าทางไม่มั่นใจในตัวเอง เจียอินก็คงไม่เชื่อว่านางทำได้ ใช่ว่านางเก่งหรืออวดดี แต่สถานการณ์เช่นนี้นางทำได้เพียงกันหลินเฟยออกไปก่อน“เช่นนั้นก็ดี รีบปลอมตัวเสีย ข้าจะพาอู๋ชิวอิ่งกับหลินเฟยกลับโรงเตี๊ยม หึ สุดท้ายนางก็เป็นภาระของข้าอยู่เช่นที่ผ่านมา”คนได้ยินเม้มริมฝีปาก ไม่ชอบที่เจียอินมักดูถูกหลินเฟย สหายของนางเพียงไม่ได้ร
“รีบตามเร็ว”เทียนเหวินขยับตัวหายวับไปก่อนที่ห้าวอี้จะบอกเสียอีกชายหนุ่มทั้งสามยังไม่อาจเข้ามาได้เพราะคนของจวนทั้งสองยังแอบฟังเสียงนายตนอยู่หน้าห้องพักหนึ่งก่อนจากไป หากมีการต่อสู้หรือเสียงประหลาดคนพวกนั้นอาจเข้ามาช่วยนายน้อยของพวกเขา ผู้เป็นขุนพลสวรรค์ไม่ต้องการให้มนุษย์ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องของเซียนเพิ่มอีก เพียงเมิ่งจือหยวนตายไปคนหนึ่งก็มากเพียงพอแล้วไม่คิดว่าผู้ที่อยู่ในห้องหอจะเป็นเสี่ยวเหลียนที่ฝีมือยังอ่อนหัดและปราณไม่แข็งแรงพอจะจัดการกับเฉิงเคอได้ทั้งสามรีบรุดตามอีกฝ่ายไปโดยเร็ว กระดิ่งที่ห้าวอี้พกติดตัวบ่งบอกทิศทางให้พวกเขาตามไปได้ถูกต้อง ที่สำคัญเฉิงเคอไม่มีทางเล็ดลอดสายตาของเล่าทหารสวรรค์ที่รายล้อมเมืองนี้ไว้อย่างแน่นอนหลี่ไห่ฉินพุ่งไปด้านหน้าเร็วขึ้นทันทีที่เห็นด้านหลังของเฉิงเคอ ทั้งยังยกมือขึ้นร่ายเวทจะปล่อยพลังเข้าใส่ ทว่าเทียนเหวินจับมือเอาไว้ก่อน“ยั้งข้าไว้ทำไม”“เสี่ยวเหลียนอยู่ในมือเขา ท่านก็เห็นแล้ว”“หากไม่รีบจัดการเสียตอนนี้ เฉิงเคอก็ยิ่งหนีไปไกล”“แต่...”“พวกท่านหยุดเถียงกันสักที เร่งตามเฉิงเคอเร็ว เขาหนียังไปหุบเขาเบื้องหน้าแล้ว คงตั้งใจหนีเข้าป่าเพราะเร
“พวกท่านอย่าได้กังวลเลย ข้าเป็นเพียงภูตต่ำต้อย...”“เจ้าเงียบไปเถิดน่า”เทียนเหวินดุเซียนดอกบัวอีกแล้ว เขาไม่ชอบเลยที่นางบอกว่าตนต้อยต่ำราวไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ทั้งที่เขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยชีวิตนาง ทำราวสิ่งที่เขาทำไปไม่มีคุณค่าใด“หึ นางดูไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว เช่นนั้นก็จบชีวิตไปเลยก็แล้วกัน”“อย่า!”“หยุดนะ!”เสียงเทียนเหวินดังขึ้นพร้อมห้าวอี้ เห็นชัดว่ามือหนาที่คอของเสี่ยวเหลียนออกแรงบีบ ใบหน้าซีดของหญิงสาวแดงขึ้นส่วนหลี่ไห่ฉินเห็นว่าเฉิงเคอกำลังสะใจ และพอใจกับสีหน้าตกใจของทายาทสวรรค์รวมทั้งห้าวอี้ โดยละสายตาจากตน เขายืนเยื้องมาทางด้านข้าง ซึ่งแขนของเฉิงเคอโอบกายเซียนดอกบัวเพื่อบีบคอ คิดว่าคงไม่ทันสังเกต จึงฉวยโอกาสซัดพลังใส่อีกฝ่ายตั้งใจให้ถูกด้านข้างทว่าเฉิงเคอรับรู้จากปลายหางตาจึงหันมองแล้วเห็นว่าผู้เป็นศิษย์พี่โจมตีตน เขาผลักร่างเล็กของหญิงสาวเข้าไปปะทะกับพลังของหลี่ไห่ฉินแทนตนทันทีร่างบอบบางถลาไปเผชิญกับพลังทำลายรุนแรงของหลี่ไห่ฉินจนกระอักเลือด“อึก”“เสี่ยวเหลียน!”เทียนเหวินพุ่งกายเข้ามาหาร่างเล็กที่ผงะหงายหลัง ดวงตาคู่กลมโตยังมองเขา ทว่าเพียงชั่วอึดใจเพราะเสียงตะ
“ท่านบอกว่าเสี่ยวเหลียน...”หลินเฟยพึมพำเสียงเบาพร้อมสีหน้าเจ็บปวด ก้าวถอยหลังพลางโซเซนั่งลงบนเก้าอี้ราวขาอ่อนแรง น้ำตาค่อยๆ เอ่อล้นก่อนจะไหลรินอาบแก้ม ความเสียใจถาโถมเข้าใส่ นางไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้เลย สำหรับนางแล้วเสี่ยวเหลียนจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เท่าหลายหมื่นปี“โธ่...เสี่ยวเหลียน เป็นข้าเองที่ผิด”หากไม่เพราะตนดื้อดึงอยากพิสูจน์ความสามารถตัวเอง ต้องการให้เทียนเหวินหันมามอง เสี่ยวเหลียนก็คงจะไม่ทำเช่นนี้ อีกฝ่ายต้องการปกป้องตนจากภัยอันตรายจึงต้องลงเอยเช่นนี้“ท่านเองก็ไม่น่าปล่อยให้นางปลอมตัวแทนเลย”นางอดตำหนิศิษย์พี่ของตนไม่ได้ อีกฝ่ายเก่งกาจมีฝีมือ แต่กลับปล่อยผู้ที่อ่อนแอกว่าให้แบกรับเรื่องเสี่ยงอันตราย“เจ้ามาโทษข้าได้อย่างไร นางมั่นใจนักหนาว่าจัดการได้ และหากไม่ใช่เจ้าเสนอตัวก่อน ทำให้นางเป็นห่วง ข้าย่อมปลอมเป็นอู๋ชิวอิ่งตามที่คุยกันไว้แต่แรกอยู่แล้ว ข้าไม่ได้บังคับใคร ทั้งเจ้าทั้งนาง พวกเจ้าสองคนเองต่างหากที่อาสาทำแทนข้า”เจียอินไม่พอใจที่ถูกดึงไปเกี่ยวด้วย“เรื่องอันตรายและเป็นเรื่องใหญ่ ไยพวกเจ้าโยนกันไปมาเป็นของเล่นเช่นนี้”ขุนพลสวรรค์ตำหนิ เมื่อได้ฟังสองสาวคุยกันแล้วรู้ว่
น้ำตกสูงไหลลงสู่แอ่งน้ำลึกไม่ขาดสาย ไอน้ำหนาคละคลุ้งราวหมอกลอยขาวทั่วบริเวณ นกน้อยเกาะกิ่งไม้ สลับบินโผผินเล่นลม ผีเสื้อตัวใหญ่หลากหลายสีสันบินไปมา บ้างก็หยุดชิมน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ แมกไม้สูงใหญ่ใบเขียวขจีให้ความร่มรื่น ดอกไม้นานาพันธุ์ส่งกลิ่นอ่อนหอมรายรอบบรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเสียงของธรรมชาติรังสรรค์ช่วยให้ผู้นั่งบำเพ็ญสมาธิฝึกพลังจิตมั่นคงไม่วอกแวกร่างสูงใหญ่นั่งนิ่งบนโขดหินสูงเหนือน้ำริมตลิ่งเนิ่นนานหลายชั่วยาม ใช้จิตแห่งพลังปราณเทพฝึกวิชาอยู่ภายใน ทว่าอยู่ๆ ก็มีเสียงบางอย่างดังเข้ามาในโสตประสาทรับรู้ รบกวนจิตเทพจนไม่อาจก้าวข้ามไปยังขั้นต่อไปได้ ทำให้ผู้ฝึกวิชาหงุดหงิด สุดท้ายก็ต้องล่าถอยก่อนปราณภายในจะแปรปรวนดวงตาคู่คมดุเปิดขึ้น สายตาสอดส่ายมองเวิ้งน้ำที่มีหมอกคละคลุ้งเบื้องหน้า ได้ยินเสียงน้ำขยับไหวกับเสียงประหลาดไม่คุ้นเคยเสียงฮัมเพลงเสียงหวานใสเอื้อนเอ่ยภาษาและทำนองสดใสร่าเริงราวกำลังอารมณ์ดีมีความสุข‘ผีเสื้อบินว่อนอวดโฉม ดอกไม้เบ่งบานส่งกลิ่นหอมรัญจวน ตอบรับท่วงทำนองขับขาน ชื่นชมจันทรากระจ่างตา’เบื้องบนท้องฟ้ามืดมิด พระจันทร์ดวงโตสาดส่องแบ่งปันความสุกสกาวให้โลกหล้า บ
“มีผู้บุกรุก”“เร็วเข้าทุกคน ช่วยกันจับผู้บุกรุกมาให้ได้”มีเสียงโวยวายจากหอตำรา เทียนเหวินเพิ่งกลับมาจากน้ำตกใกล้ฟ้าสว่างรีบก้าวเข้าไปถามศิษย์ผู้น้องกลุ่มหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปด้านหน้าสำนัก“รู้ได้อย่างไร ว่ามีผู้บุกรุก”“ศิษย์ที่เฝ้าหอตำราถูกอาคมเวทดำ ไม่ได้สติอยู่ตรงบันไดทางขึ้นห้องเก็บคัมภีร์ขอรับ ศิษย์พี่ใหญ่ให้พวกข้าไปดูที่ทางเข้าสำนักและปิดทางขึ้นเขาก่อนที่ผู้บุกรุกจะลงเขาไปเสียก่อนขอรับ”บอกแล้วเหล่าศิษย์น้องก็แยกไป“เทียนเหวิน เจ้ามาจากที่ใด”หลี่ไห่ฉินศิษย์พี่ใหญ่ เดินนำศิษย์อาวุโสคนอื่นมาทางด้านนี้พอดีถามขึ้น“ข้าได้ยินเสียงตะโกนดังไปทั่วจึงออกมาจากหอนอน และจะไปดูทางโน้น”ชายหนุ่มชี้ไปทางน้ำตกที่ตนเพิ่งจากมา เวลานี้เทียนเหวินนับเป็นศิษย์พี่ของศิษย์รุ่นหลัง แต่ยังมีหลี่ไห่ฉินกับศิษย์ที่อาวุโสกว่า หากเขาก็ให้ความเคารพตามความเหมาะสม“ไม่ใช่ว่าเจ้าเพิ่งเดินมาจากทางนั้นหรือ”ศิษย์พี่ใหญ่หลี่ไห่ฉินถามอีกครั้ง เขาเป็นท่านชายจากเผ่าจิ้งจอก ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำบรรดาศิษย์ในสำนักซ่างเซียนเหนือที่ทุกคนเคารพยำเกรง“ข้ากำลังจะไป”เทียนเหวินย้ำพร้อมใบหน้านิ่งสนิท อีกฝ่ายพยักหน้ารับเหม
“อ๊ะ...”เสียงแผ่วหลุดจากปากอิ่ม ใบหน้าเรียวแหงนเงยกำลังจะกรีดร้องออกมาเทียนเหวินที่เพิ่งกำจัดพลังเวทดำหมดสิ้นต้องรีบตัวคว้าร่างเล็กเข้ามาในอ้อมอกตน มือหนาปิดปากอีกฝ่ายโดยไม่ทันคิดสิ่งใด ทำเอาตนเองก็ยังชะงักไปเช่นกัน เพราะร่างนุ่มนิ่มกึ่งเปลือยแนบแผงอกแกร่ง“พวกท่านได้ยินเสียงใดหรือไม่”ทั้งสามคนที่อยู่ริมลำธารหันมองไปมาหาบางอย่าง“หรือข้าจะหูแว่วไปเอง”คนที่ได้ยินเสียงแปลกๆ พึมพำพลางเกาศีรษะตน“น่าแปลก เทียนเหวินอยู่ที่ใด”เป็นหลี่ไห่ฉินที่สงสัยผู้ถูกเอ่ยถึงได้ยินคำพูดของคนด้านนอกแม้จะค่อนข้างเบา มองดวงหน้าซีดเผือดของสตรีที่ตนกำลังโอบกายไว้ ทั้งยังปิดปากเจ้าตัวเพราะเกรงจะส่งเสียงร้อง ไม่ได้กังวลว่าจะถูกพบเจอ ทว่าร่างกายที่ชิดใกล้กับกลิ่นกายหอมระรวยทำลายสมาธิตนจนอกแกร่งร้อนวูบวาบต่างหากที่ทำให้เขาหวั่นเกรง“หรือเขาอาจไปที่อื่นแล้ว”หนึ่งในนั้นออกความเห็นหลี่ไห่ฉินยังมองไปโดยรอบ ทำให้ศิษย์น้องทั้งสองคนเองก็จำต้องเดินสำรวจรอบๆขณะนั้นเองดวงตาคู่กลมโตที่ปิดอยู่ก็เปิดขึ้น ทำเอาเทียนเหวินใจหายวาบ แม้ตนหวังดีช่วยอีกฝ่ายทว่าใบหน้าทั้งสองอยู่ในระยะประชิดเกินไป“อื้อ”มือหนากดปากอิ่มพลางแขน
“นางไปแล้วอย่างนั้นหรือ”เทียนเหวินกลับมายังอุโมงค์หลังน้ำตกอีกครั้งในยามบ่ายแก่หลังจากเหล่าศิษย์ในสำนักต่างก็ออกตามหาผู้บุกรุกไปทุกที่ แม้กระทั่งลงเขาก็ไม่พบร่องรอย ทั้งยังไปจนถึงทางขึ้นสำนักฝั่งใต้ หากก็ไม่อาจเข้าไปได้เพราะไม่ได้รับอนุญาต และได้รับการยืนยันจากผู้เฝ้าประตูว่าไม่มีผู้ใดผ่านเส้นทางนั้นอาจารย์ใหญ่จี๋เฟิ่งเจ้าสำนักและอาจารย์ในสำนักเรียกศิษย์ทั้งหมดรวมตัว หลังศิษย์พี่อาวุโสตรวจตราหอตำราและได้รู้ว่าคัมภีร์จันทราหายไป‘เราทุกคนต่างรู้ดีว่าคัมภีร์จันทราสำคัญเพียงใด ผู้ที่เข้ามาขโมยคัมภีร์นี้ไม่ประสงค์ดีต่อหกพิภพเป็นแน่ อาจารย์จำต้องทูลต่อองค์จักรพรรดิสวรรค์ ระหว่างนี้อาจารย์ต้องการให้ศิษย์ทุกคนสอดส่องภายในสำนักทุกที่ หากไม่มีผู้ใดลงเขาจริง หมายความว่าคนผู้นั้นยังหลบซ่อนอยู่ในสำนัก’อาจารย์ใหญ่สั่งก่อนออกเดินทางไปยังสวรรค์ชั้นฟ้านั่นทำให้เทียนเหวินนึกถึงสตรีที่ตนช่วยไว้ขึ้นมา ความเป็นไปได้ว่านางคือผู้บุกรุกนั้นน้อยนิด แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย จะว่าไปแล้วการที่ไม่ใช่ศิษย์ของสำนักฝั่งเหนือ ทั้งยังเข้ามาที่นี่โดยพลการ ก็เท่ากับนางคือผู้บุกรุกแล้วจะอย่างไรเขาก็ต้องตรวจสอบ
“ท่านบอกว่าเสี่ยวเหลียน...”หลินเฟยพึมพำเสียงเบาพร้อมสีหน้าเจ็บปวด ก้าวถอยหลังพลางโซเซนั่งลงบนเก้าอี้ราวขาอ่อนแรง น้ำตาค่อยๆ เอ่อล้นก่อนจะไหลรินอาบแก้ม ความเสียใจถาโถมเข้าใส่ นางไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้เลย สำหรับนางแล้วเสี่ยวเหลียนจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เท่าหลายหมื่นปี“โธ่...เสี่ยวเหลียน เป็นข้าเองที่ผิด”หากไม่เพราะตนดื้อดึงอยากพิสูจน์ความสามารถตัวเอง ต้องการให้เทียนเหวินหันมามอง เสี่ยวเหลียนก็คงจะไม่ทำเช่นนี้ อีกฝ่ายต้องการปกป้องตนจากภัยอันตรายจึงต้องลงเอยเช่นนี้“ท่านเองก็ไม่น่าปล่อยให้นางปลอมตัวแทนเลย”นางอดตำหนิศิษย์พี่ของตนไม่ได้ อีกฝ่ายเก่งกาจมีฝีมือ แต่กลับปล่อยผู้ที่อ่อนแอกว่าให้แบกรับเรื่องเสี่ยงอันตราย“เจ้ามาโทษข้าได้อย่างไร นางมั่นใจนักหนาว่าจัดการได้ และหากไม่ใช่เจ้าเสนอตัวก่อน ทำให้นางเป็นห่วง ข้าย่อมปลอมเป็นอู๋ชิวอิ่งตามที่คุยกันไว้แต่แรกอยู่แล้ว ข้าไม่ได้บังคับใคร ทั้งเจ้าทั้งนาง พวกเจ้าสองคนเองต่างหากที่อาสาทำแทนข้า”เจียอินไม่พอใจที่ถูกดึงไปเกี่ยวด้วย“เรื่องอันตรายและเป็นเรื่องใหญ่ ไยพวกเจ้าโยนกันไปมาเป็นของเล่นเช่นนี้”ขุนพลสวรรค์ตำหนิ เมื่อได้ฟังสองสาวคุยกันแล้วรู้ว่
“พวกท่านอย่าได้กังวลเลย ข้าเป็นเพียงภูตต่ำต้อย...”“เจ้าเงียบไปเถิดน่า”เทียนเหวินดุเซียนดอกบัวอีกแล้ว เขาไม่ชอบเลยที่นางบอกว่าตนต้อยต่ำราวไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ทั้งที่เขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยชีวิตนาง ทำราวสิ่งที่เขาทำไปไม่มีคุณค่าใด“หึ นางดูไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว เช่นนั้นก็จบชีวิตไปเลยก็แล้วกัน”“อย่า!”“หยุดนะ!”เสียงเทียนเหวินดังขึ้นพร้อมห้าวอี้ เห็นชัดว่ามือหนาที่คอของเสี่ยวเหลียนออกแรงบีบ ใบหน้าซีดของหญิงสาวแดงขึ้นส่วนหลี่ไห่ฉินเห็นว่าเฉิงเคอกำลังสะใจ และพอใจกับสีหน้าตกใจของทายาทสวรรค์รวมทั้งห้าวอี้ โดยละสายตาจากตน เขายืนเยื้องมาทางด้านข้าง ซึ่งแขนของเฉิงเคอโอบกายเซียนดอกบัวเพื่อบีบคอ คิดว่าคงไม่ทันสังเกต จึงฉวยโอกาสซัดพลังใส่อีกฝ่ายตั้งใจให้ถูกด้านข้างทว่าเฉิงเคอรับรู้จากปลายหางตาจึงหันมองแล้วเห็นว่าผู้เป็นศิษย์พี่โจมตีตน เขาผลักร่างเล็กของหญิงสาวเข้าไปปะทะกับพลังของหลี่ไห่ฉินแทนตนทันทีร่างบอบบางถลาไปเผชิญกับพลังทำลายรุนแรงของหลี่ไห่ฉินจนกระอักเลือด“อึก”“เสี่ยวเหลียน!”เทียนเหวินพุ่งกายเข้ามาหาร่างเล็กที่ผงะหงายหลัง ดวงตาคู่กลมโตยังมองเขา ทว่าเพียงชั่วอึดใจเพราะเสียงตะ
“รีบตามเร็ว”เทียนเหวินขยับตัวหายวับไปก่อนที่ห้าวอี้จะบอกเสียอีกชายหนุ่มทั้งสามยังไม่อาจเข้ามาได้เพราะคนของจวนทั้งสองยังแอบฟังเสียงนายตนอยู่หน้าห้องพักหนึ่งก่อนจากไป หากมีการต่อสู้หรือเสียงประหลาดคนพวกนั้นอาจเข้ามาช่วยนายน้อยของพวกเขา ผู้เป็นขุนพลสวรรค์ไม่ต้องการให้มนุษย์ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องของเซียนเพิ่มอีก เพียงเมิ่งจือหยวนตายไปคนหนึ่งก็มากเพียงพอแล้วไม่คิดว่าผู้ที่อยู่ในห้องหอจะเป็นเสี่ยวเหลียนที่ฝีมือยังอ่อนหัดและปราณไม่แข็งแรงพอจะจัดการกับเฉิงเคอได้ทั้งสามรีบรุดตามอีกฝ่ายไปโดยเร็ว กระดิ่งที่ห้าวอี้พกติดตัวบ่งบอกทิศทางให้พวกเขาตามไปได้ถูกต้อง ที่สำคัญเฉิงเคอไม่มีทางเล็ดลอดสายตาของเล่าทหารสวรรค์ที่รายล้อมเมืองนี้ไว้อย่างแน่นอนหลี่ไห่ฉินพุ่งไปด้านหน้าเร็วขึ้นทันทีที่เห็นด้านหลังของเฉิงเคอ ทั้งยังยกมือขึ้นร่ายเวทจะปล่อยพลังเข้าใส่ ทว่าเทียนเหวินจับมือเอาไว้ก่อน“ยั้งข้าไว้ทำไม”“เสี่ยวเหลียนอยู่ในมือเขา ท่านก็เห็นแล้ว”“หากไม่รีบจัดการเสียตอนนี้ เฉิงเคอก็ยิ่งหนีไปไกล”“แต่...”“พวกท่านหยุดเถียงกันสักที เร่งตามเฉิงเคอเร็ว เขาหนียังไปหุบเขาเบื้องหน้าแล้ว คงตั้งใจหนีเข้าป่าเพราะเร
“เหตุใดเจ้าจึงทำร้ายศิษย์น้องข้า”“ข้าช่วยนางต่างหาก”เสี่ยวเหลียนเอ่ยโดยไม่หลบสายตาเจียอิน“หากจะหาต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด ย่อมเป็นข้า และข้าจะไม่ยอมให้หลินเฟยตกอยู่ในอันตราย”“อ้อ ภักดีเสียจริง สมกับเป็นภูตรับใช้ของหลินเฟย”เจียอินพยักหน้าพลางยิ้มเยาะ“แล้วจะทำอย่างไรต่อไป จะให้ข้าปลอมตัวเป็นนางเช่นเดิมหรือ ภูตรับใช้เช่นเจ้า ไม่มีสิทธิ์สั่งข้า หากข้าไม่ทำ เจ้าจะทำอย่างไร”“ข้าไม่กล้าสั่งท่านแน่นอน ข้าจะปลอมเป็นอู๋ชิวอิ่งเอง”ดวงตาคู่เรียวของเจียอินมองภูตดอกบัวราวประเมิน“เซียนชั้นต้นอ่อนแอเช่นเจ้า ข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่ามีฝีมือพอจะไม่ทำแผนพัง จับเฉิงเคอได้”“อย่างน้อยท่านก็เห็นแล้วว่า ข้าสามารถทำให้เขาหมดสติได้แน่”เสี่ยวเหลียนเองก็เชิดหน้าเอ่ยอย่างมั่นใจ หากนางแสดงท่าทางไม่มั่นใจในตัวเอง เจียอินก็คงไม่เชื่อว่านางทำได้ ใช่ว่านางเก่งหรืออวดดี แต่สถานการณ์เช่นนี้นางทำได้เพียงกันหลินเฟยออกไปก่อน“เช่นนั้นก็ดี รีบปลอมตัวเสีย ข้าจะพาอู๋ชิวอิ่งกับหลินเฟยกลับโรงเตี๊ยม หึ สุดท้ายนางก็เป็นภาระของข้าอยู่เช่นที่ผ่านมา”คนได้ยินเม้มริมฝีปาก ไม่ชอบที่เจียอินมักดูถูกหลินเฟย สหายของนางเพียงไม่ได้ร
วันแต่งงานของเมิ่งจือหยวนกับอู๋ชิวอิ่งมาถึง“ท่านชายทั้งสองปลอมเป็นผู้ไปร่วมงานและคอยจับตาดูเฉิงเคอไว้ ข้าจะไปรอที่ห้องหอกับแม่นางเจียอิน เผื่อมีสิ่งใดจะได้รีบช่วยเหลือได้ทัน”ขุนพลห้าวอี้ย้ำในสิ่งที่เขาคิดไว้“พวกข้าขอไปด้วยได้หรือไม่ อาจารย์ส่งข้ามาช่วยศิษย์พี่ หากไม่ทำสิ่งใดเลย คงไม่ดีนัก”หลินเฟยเอ่ยขอ นางเองก็อยากช่วยจับเฉิงเคอกันเช่น“ท่านหญิงกับเสี่ยวเหลียน รออยู่ที่นี่เถิด”“อย่างน้อย หลังจากศิษย์พี่เจียอินปลอมตัวเป็นอู๋ชิวอิ่งแล้ว ข้ากับเสี่ยวเหลียนจะได้พานางมาซ่อนที่นี่ เพื่อไม่ให้พวกท่านต้องกังวลเผื่อต้องต่อสู้กับเฉิงเคอ อีกอย่างพวกท่านจะได้ไม่ต้องเสียเวลาพานางกลับไปกลับมา เช่นนี้ไม่ดีกว่าหรือ”ฟังสิ่งที่หลินเฟยบอกแล้วสุดท้ายห้าวอี้ก็ตกลง ด้วยเห็นว่าหากมีพวกนางไปด้วยก็สามารถช่วยดูแลความปลอดภัยของอู๋ชิวอิ่งได้ขณะอยู่ในงานแต่งงานจวนนายอำเภอ ก่อนเกี้ยวเจ้าสาวมาถึง เฉิงเคอในร่างของเมิ่งจือหยวนค่อนข้างสงบนิ่งกว่าตัวตนแท้จริง แน่นอนว่าช่วงหลายวันมานี้แม้คนในบ้านจะรู้สึกว่านายน้อยแปลกไป จากที่ออกไปบ่อนทุกวันกลับไม่ย่างก้าวออกไปไหน แต่ต่างก็คิดว่าเพราะกำลังจะแต่งงานเมิ่งจือหยวนจึง
กลางดึกคืนหนึ่งช่างแสนอบอ้าว เสี่ยวเหลียนซึ่งปูที่นอนนอนบนพื้นรู้สึกไม่ค่อยสดชื่นนัก นับแต่มาถึงโลกมนุษย์นางยังไม่มีโอกาสอาบน้ำหรือแช่น้ำเลยสักครั้ง ดวงจิตวิญญาณของนางยังไม่แข็งแรงพอ ยังต้องแปลงร่างเป็นดอกบัวอยู่ในน้ำเหมือนเช่นเวลาที่อยู่ในสำนักซ่างเซียนใต้ร่างบอบบางลุกขึ้นนั่งเมื่อไม่อาจทนได้อีกแล้ว หันไปมองหลินเฟยซึ่งหลับบนเตียงกับศิษย์พี่เจียอินก็เกรงใจ ไม่อยากรบกวนยามพักผ่อนของอีกฝ่าย จึงตัดสินใจออกไปจากห้องให้เบาที่สุดนางจำได้ว่าด้านหลังโรงเตี๊ยมมีบ่อน้ำเล็กที่เอาไว้ตักน้ำขึ้นมาใช้สอย หญิงสาวชี้สองนิ้วใช้พลังหย่อนถังลงไปตักแล้วดึงขึ้น ก่อนจะเทลงใส่ตนเองทั้งหัวจรดปลายเท้า ทว่าเทไปสามถังจนกายชุ่มโชกแล้วก็ยังรู้สึกไม่เพียงพอ ราวผิวกลีบบัวบอบบางเหี่ยวเฉา จึงอดบ่นพึมพำไม่ได้“ต้องเทอีกกี่ถังกัน”เสี่ยวเหลียนรู้สึกว่าน้ำแต่ละถังนั้นน้อยเกินไป หญิงสาวโน้มกายมองลงไปในบ่อน้ำที่ลึกจนไม่อาจมองเห็นเบื้องล่าง นิ่งคิดเพียงชั่วอึดใจเจ้าตัวก็ก้าวขาข้ามขอบบ่อน้ำตั้งใจลงไปแช่ในนั้น เพราะคิดว่าอย่างไรตนก็สามารถใช้เวทลอยกลับขึ้นมาได้“เจ้าจะทำอะไรน่ะ”ร่างสูงใหญ่ก้าวพรวดเข้ามาทำเอาเสี่ยวเหลียนตกใจ
ร่างกายของเสี่ยวเหลียนดีขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน หญิงสาวรู้สึกตัวในเช้าวันถัดมาเป็นเวลาเดียวกันกับที่เจียอินเข้ามาในห้องพอดี อีกฝ่ายมองนางแวบเดียวแล้วนั่งลงบนโต๊ะรินน้ำชาจิบ“เอ่อ หลินเฟยไปไหนหรือ”“ล้างหน้าล้างตา”นางพยักหน้ารับแล้วเงียบไปอย่างทำตัวไม่ถูก เพราะไม่เคยพูดคุยหรืออยู่ตามลำพังกับศิษย์พี่ของหลินเฟยมาก่อนเจียอินเองก็ไม่เอ่ยสิ่งใดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นลอยๆ พลางจิบชา“เป็นเพียงภูตรับใช้ แต่กลับบนนอนเตียงอย่างสบาย ปล่อยให้เทพเซียนต้องนั่งหลังขดหลังแข็ง ทั้งที่ออกไปตะลอนข้างนอกมาหลายชั่วยาม”เสี่ยวเหลียนรู้ตัวในทันใดว่าถูกตำหนิ เพราะตนยังนั่งบนเตียง ร่างเล็กขยับลงจากเตียงและหลินเฟยก็เข้ามาพอดี“อ้าว ฟื้นแล้วหรือเสี่ยวเหลียน”“อื้อ”“ไปล้างหน้าสิจะได้สดชื่นขึ้น ข้าพบท่านขุนพลข้างนอก เห็นบอกว่าได้เรื่องแล้ว หลังทานข้าวเช้ากันแล้วค่อยมาวางแผนกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป”เมื่อสหายสนิทบอกเช่นนั้นเสี่ยวเหลียนก็รีบพยักหน้าแล้วไปทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยโดยเร็ว เพราะมีเพียงตนที่ไม่ได้ออกไปช่วยคนอื่นๆ เมื่อวาน เกรงว่าจะมีคนไม่พอใจ“เจ้าให้ความสำคัญกับภูตรับใช้เกินไปแล้ว”เสียงของเจียอินทำให้
“หากยังอยากมีชีวิตอยู่ เจ้าก็ต้องเชื่อใจข้า”“ท่านขู่ข้า?”หญิงสาวหันกลับมามองอีกฝ่าย แม้รู้สึกว่าใบหน้าของตนใกล้กับใบหน้าขาวคมมากเกินไป ทว่าในตอนนี้ชีวิตของนางอยู่ในช่วงความเป็นความตายที่ไม่รู้ว่าปราณเทพจะแผลงฤทธิ์ขึ้นมาเมื่อไร หากไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ นางก็ไม่อาจหาทางหลอมรวมปราณได้เช่นกัน“ข้ามีเจตนาดีแต่แรก เพียงแต่เจ้าไม่เชื่อข้าเอง”คราวนี้เทียนเหวินเอ่ยอย่างจริงจัง“ในเมื่อช่วยเจ้ามาก่อนหน้านี้แล้วทำให้เจ้าต้องลำบาก ข้าก็กังวลใจไม่น้อยเลย จึงได้อยากช่วยเจ้าให้ถึงที่สุด”เสี่ยวเหลียนเริ่มมีสีหน้าลังเล ชายหนุ่มจึงย้ำ“ในทุกครั้งที่เจ้าพยายามใช้พลังปราณ ร่างกายของเจ้าจะยิ่งทรมานเพราะพลังที่มากเกินจะรับไหว ดวงจิตวิญญาณที่บาดเจ็บของเจ้าจะยิ่งบอบช้ำ เมื่อถึงที่สุด เจ้าก็จะแหลกสลาย”แม้จะยังไม่ไว้ใจอีกฝ่าย หากนางก็ไม่มีทางเลือกใดอีกแล้ว“ข้าต้องทำอย่างไร”เทียนเหวินแทบจะลอบถอนหายใจเมื่อหญิงสาวเหมือนจะยินยอมให้ตนช่วยแล้ว“นั่งนิ่งๆ หลับตา ข้าจัดการเอง”คำพูดอีกฝ่ายดูมีเลศนัยทำให้คิ้วเรียวงามขมวดมุ่น สีหน้าแววตาสงสัยชัดเจน“เถิดน่า หากไม่รีบ คนอื่นกลับมาระหว่างนี้แล้วมาพบเข้า ข้ากับเจ้าอา
‘หรือธาตุไฟกำลังเข้าแทรก’เสี่ยวเหลียนตัวสั่นเทา ลูบแขนตนเองทั้งที่เหงื่อชุ่มกาย ปากแห้งคอแห้ง ร่างบอบบางพยายามขยับลุกขึ้น ต้องหาแหล่งน้ำบริสุทธิ์โดยเร็วนางเป็นภูตดอกบัว เมื่อร่างกายได้รับบาดเจ็บ การกลายร่างกลับเป็นร่างดอกบัวดังเดิมแช่ในน้ำจะสามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลงได้ เหมือนการจำศีลเข้าฌาน ช่วยให้นางบำเพ็ญเพียรได้เต็มความสามารถ เพราะกายทิพย์ของเซียนน้อยเช่นนางไม่ได้มีกำลังมากนักหญิงสาวเดินโผเผไปจนถึงประตู แม้ไม่รู้ว่าตนจะหาแหล่งน้ำพบได้อย่างไร ทว่าก็ไม่อาจนั่งเฉยอยู่เพียงในห้องนี้ได้ แต่ประตูเปิดออกกลับต้องผงะถอยหลังเมื่อพบคนผู้หนึ่ง“ท่าน”เสียงหวานพึมพำระคนงุนงง“ข้ามาช่วยเจ้า”คิ้วเรียวงามขมวดอย่างไม่เข้าใจ หากร่างสูงใหญ่กลับก้าวพรวดมาหาจนนางถอยไม่เป็นกระบวนอย่างตกใจเกือบล้มลง แต่อีกฝ่ายโอบไหล่ช่วยพยุงได้ทัน“ปล่อยข้านะ”“ข้าบอกแล้วว่ามาช่วยเจ้า”“ท่านจะช่วยข้าได้อย่างไร”เสี่ยวเหลียนจ้องใบหน้าขาวคมที่ก้มลงมาใกล้ของศิษย์สำนักซ่างเซียนเหนือแล้วความรู้สึกหนึ่งก็แวบเข้ามานางเคยเห็นใบหน้าเช่นนี้ในระยะใกล้มาแล้วมือบางรีบผลักอีกฝ่ายทันที ความหวาดกลัวฉายชัดในแววตาพร้อมสะบัดกายหน