“ฮึ่ม ฝากไว้ก่อนเถอะมึง” ธงชัยมองไปทางร้านเล็กๆแต่น่ารักเบื้องหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นแค้นที่โดนเหยียดหยามเกียรติและศักดิ์ศรีแค้นที่เธอทำเหมือนไม่เห็นค่าความรักของเขาเมื่อความแค้นมาบังตา คนที่เห็นใจตัวเองอยู่เสมอ แต่ไม่เคยเห็นใจคนอื่น จึงมักจะมองไม่เห็นข้อบกพร่องของตัวเอง ไม่เห็นความผิดตัวเอง ในสมองจึงครุ่นคิดอยู่แต่ว่า…ทำไม และทำไม ทำไมประภาพิณถึงไม่รับรักเขา ทำไมต้องขับไล่เขา ทำไมถึงไม่ยอมคุยดีๆกับเขาเมื่อความรู้สึกเสียหน้ามันท่วมท้นจนล้นใจ หนุ่มวัยดึกจึงเริ่มร่างแผนการร้ายๆไว้ในใจ โดยไม่คิดเลยสักนิดว่าสิ่งที่เขาทำ มันจะถูกหรือผิด เขารู้เพียงแค่ว่า…ขอให้เขาได้เธอมาครอบครอง และลบล้างคำหยามเหยียดในวันนี้ได้ก็พอ ส่วนใครจะเจ็บปวดเพราะผลของการกระทำของเขาบ้างนั้น เขาไม่สนใจทั้งสิ้น!!ประภาพิณอุ้มเด็กชายขึ้นมายืนอุ้มไว้ในอ้อมอก พร้อมกับจุ๊บที่หน้าผากบางๆของเมธากร รอยยิ้มบางๆผุดขึ้นที่มุมปากสีสดตามธรรมชาติเมื่อสมองหวนนึกไปถึงตอนที่ธัศไนยเข้ามาช่วยเหลือเธอจากการกระทำอันแสนป่าเถื่อนของธงชัยเมื่อคืนนี้ และตอนที่ธัศไนยยืนอยู่ข้างๆเธอเมื่อตอนที่ธงชัยมาหาเธออีกเมื่อครู่นี้เขาท
“ท่าทางเขาจะกลัวคุณนะ” ประภาพิณพูดเสียงกลั้วหัวเราะ มือเรียวยังคงหยิบดอกไม้มาจัดอย่างชำนาญ“เขาเป็นใคร” ชายหนุ่มถามพร้อมวางตะกร้าลง“เขาเป็นคนส่งดอกไม้ค่ะ”“เหรอ ท่าทางไม่ให้เลยนะ” ชายหนุ่มวิจารณ์ เล่นเอาเธอต้องหันมาค้อนใส่อย่างหมั่นไส้“คุณเองก็หน้าไม่เหมาะจะเป็นครูเหมือนกันค่ะ”“ผมเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองด้วยน่ะ ต้องทำหน้าเข้มๆหน่อยสิ เดี๋ยวเด็กไม่กลัว” เขาลูบหนวดตัวเองไปมาแล้วเดินไปนั่งบนโซฟาข้างๆหลานชายตัวน้อยที่เริ่มจะนั่งเป็นแล้ว“อย่าว่าแต่เด็กเลยค่ะ ขนาดฉันยังกลัวคุณเลย”“หมายความว่าไง” คิ้วเข้มๆเริ่มขมวดมุ่น“ก็หมายความว่าฉันก็กลัวคุณน่ะสิคะ คนอะไรหน้าดุยังกับ…” หญิงสาวเงียบเสียงลง ไม่ได้พูดอะไรต่อ ก่อนที่เธอจะสะดุ้งเฮือกเมื่ออยู่ๆคนร่างสูงก็เดินมาหยุดยืนซ้อนอยู่เบื้องหลังของเธอ“ยังกับอะไร” เขาถามเสียงนุ่ม เล่นเอาประภาพิณชักจะเริ่มรู้สึกหายใจติดๆขัดๆ“มายืนทำไมตรงนี้เล่า ไปดูแลหลานคุณโน่นสิ” เธอออกปากไล่ มือไม้เริ่มสั่นจนจัดดอกไม้ต่อไม่ถูก“ผมอยากยืนตรงนี้ ไอ้เมมันโตแล้ว มันดูแลตัวเองได้ ผมไม่ต้องคอยตามดูแลมันทุกฝีก้าวหรอก” เขาพูดเสียงกริ่มๆ เล่นเอาประภาพิณต้องตวาดแหว“อายุหกเด
หลังจากจัดช่อดอกไม้ในมือเสร็จไปช่อหนึ่งแล้ว เธอก็ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อวางช่อดอกไม้สีสันสดใสลงบนโต๊ะก่อนจะหยิบโทรศัพท์รุ่นขาวดำขึ้นมากดไปยังเบอร์ที่เซฟไว้เธอมีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่ง เป็นแม่ค้าขายขนมครก หลังจากที่เรียนจบชั้นมัธยมมาด้วยกัน เธอและเพื่อนคนนี้ก็ไม่ค่อยได้พบกันอีกเลย นอกจากจะโทรหากันบ้างเป็นบางครั้งคราว และในเวลานี้…เธอก็รู้สึกคันปากยิบๆอยากระบายที่สุดรอเพียงระยะเวลาไม่นาน เพื่อนรักสมัยเด็กของเธอก็กดรับสายอย่างรวดเร็ว//ฮัลโหล// พีระดารับสายเสียงระรื่น“ฉันมีเรื่องอะไรจะเล่าให้แกฟัง” ประภาพิณจีบปากจีบคอเตรียมเล่าเต็มที่ แต่พีระดาพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน//ฉันโดนจ้างให้ไปเป็นเจ้าสาว//“ห๋า อะไรนะ!!” จากที่คิดจะเล่าเรื่องของตัวเองให้เพื่อนแปลกใจเล่น กลับกลายเป็นว่าเธอต้องมาแปลกใจกับเรื่องของเพื่อนแทน//คุณภีมเขาบอกว่าจะตามหาแม่ให้ฉัน แต่ฉันต้องไปเป็นเจ้าสาวของเขาเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน// พีระดาบอกอ้อมแอ้มด้วยท่าทางเขินๆ“แล้วแกตอบเขาไปว่าไง” ประภาพิณถาม นึกตกใจไม่เบาที่อยู่ๆก็มาได้ยินว่าพีระดากำลังจะแต่งงาน//ก็ฉันอยากเจอแม่นี่นา// พีระดาพูดเสียงอ่อน ทำเอาประภาพิณนึกเดาได้ทันทีว่าเพื่อ
จากความผิดพลาดเพราะโดนยั่ว กลับกลายเป็นความรักอย่างที่ถอนตัวไม่ขึ้น เขาบอกกับเธอว่าเขาอยากแต่งงานกับเธอ แต่เธอก็พูดจาบ่ายเบี่ยงเขามาโดยตลอดจนในที่สุด…เธอก็ทำกับเขาเหมือนที่เคยทำกับธัศไนยมาก่อน นั่นก็คือบอกเลิกเขานอกจากนั้นเธอยังเที่ยวบอกกับใครต่อใครว่าเขาเป็นคนทิ้งเธอ เพื่อที่คนอื่นจะได้มองเธออย่างน่าสงสาร คนอื่นจะได้เห็นใจเธอเขาจำได้ว่าตอนนั้นเขาแทบเป็นบ้า เขาเสียใจ ทุกๆคืนเขาต้องนอนร้องไห้อยู่คนเดียว แต่เวลาผ่านไปได้ไม่นาน การที่เขาได้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆเหล่าลูกศิษย์ที่น่ารักของเขา บาดแผลในใจเขาจึงเริ่มสมาน แม้ว่าจะยังเจ็บแปลบๆอยู่บ้างก็ตามอเนกส่ายศีรษะไปมาเพื่อขับไล่ความคิดเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นออกไปจากสมอง ก่อนที่เขาจะเก็บรูปใบเดิมไว้ในอัลบั้มรูปเหมือนเก่าร่างสูง175เซนติเมตรลุกขึ้นยืนบิดตัวไปมาเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบแล้วยิ้มออกมาบางๆยามเมื่อเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อรินน้ำมาดื่มจริงสิ…พรุ่งนี้เขาไปหาธัศไนยที่บ้านดีกว่าทันทีที่ท้องเริ่มร้องครวญคราง ประภาพิณก็เริ่มชะเง้อชะแง้ไปทางในครัว ก่อนจะได้เห็นหน้าคมๆโผล่ออกมาชวนเธอด้วยดวงตายิ้มๆ“อาหารสุกแล้วครับ มาทานก่อนสิ แล้วค่อยไปทำงา
“ทำไมผัดไทยของคุณถึงมีกุ้งเยอะกว่าฉัน”“เยอะที่ไหน ผมให้กุ้งคุณตั้งสิบกว่าตัวนะ” เขาแย้ง คิ้วเข้มๆขมวดเข้าหากันมุ่น“ไม่จริง คุณดูดีๆสิ ในจานของฉันมีกุ้งแค่สองตัวเอง” เธอใช้ช้อนส้อมจิ้มไปที่จานตัวเองเพื่อให้เขามองให้ชัดๆ“คุณตักกุ้งเข้าปากจนเกือบจะหมดจานแล้วก็บอกมาเถอะ”“ไม่จริง คุณให้กุ้งฉันน้อย ดูในจานของคุณสิ กุ้งมีตั้งเยอะ” เธอตวัดสายตามองจานเขาอย่างไม่พอใจ“อ้าว อะไรของคุณ” คราวนี้คิ้วเข้มๆเลิกขึ้นสูง ตาคมๆหรี่ลงมองสีหน้าเต้าเล่ห์ของหญิงสาวอย่างรู้เท่าทัน“คุณต้องเอากุ้งของคุณมาให้ฉันบ้าง จะได้ยุติธรรม” เธอเสนอแนะ ในขณะที่เขาหัวเราะในลำคอพร้อมพยักหน้า“คร้าบๆ จะเอากุ้งก็ตักไปสิ”“หึ” ประภาพิณทำเสียงขึ้นจมูกพร้อมใช้ช้อนตักกุ้งในจานเขามาไว้ในจานตัวเองอย่างรวดเร็ว“เอาล่ะค่ะ กินต่อได้แล้ว” เธอพูดอย่างอารมณ์ดีแล้วลงมือทานต่ออย่างเอร็ดอร่อย โดยมีสายตาคมกริบมองเธออย่างระอาใจก็ดูเธอสิ…เหลือกุ้งไว้ให้เขาแค่ตัวเดียวเนี่ยนะ!! ร่างสูงที่เพิ่งล้างจานเสร็จเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมด้วยไม้กวาดอีกหนึ่งด้ามก่อนที่เขาจะเดินเกร่ๆมาทางเธอที่กำลังนั่งจัดช่อดอกไม้ในมืออย่างเพลินๆ“จะทำอะไ
ประภาพิณหน้าแดงก่ำ รีบผุดลุกขึ้นจากร่างสูง ก่อนจะยืนหันซ้ายหันขวาหน้าร้อนวูบวาบเหมือนจะจับไข้ ดวงตากลมโตเหลือบมามองธัศไนยที่ค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นยืนพร้อมดึงเสื้อผ้าให้ดูเรียบร้อยเหมือนเก่า ยังไม่ทันที่เธอจะหายเขิน เสียงทุ้มๆก็พูดออกมาว่า“คุณแต๊ะอั๋งผม”“ห๋า” หญิงสาวอ้าปากค้าง“คุณจูบแก้มผม กอดผม ถูกเนื้อต้องตัวผม” เขากล่าวหา หน้าคมๆงอหงิก แต่ดวงตากลับพราวระยับอย่างขบขัน“มันเป็นอุบัติเหตุ ฉันสิที่ควรเสียหาย” หญิงสาวท้วง แต่เขาก็มีเหตุผลมาแย้งอีกจนได้“คุณจะไปเสียหายได้ไง คนที่โดนจูบโดนกอดคือผมนะ”“เอ๊ะ ก็ฉันบอกว่ามันคืออุบัติเหตุไง ลืมๆมันไปซะเถอะ” หญิงสาวแหวเสียงดัง มือเรียวยกขึ้นท้าวเอวฉับ ในขณะที่ชายหนุ่มยื่นใบหน้ามาใกล้ๆเธอแล้วกระซิบถามอย่างมีความหมายว่า“แล้วคุณล่ะ…จะลืมเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ได้ง่ายๆเหรอ”“ละ ลืมได้สิ” เธอพูดเสียงตะกุกตะกัก หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก เลือดสูบฉีดขึ้นมาที่แก้มนวลๆจนร้อนฉ่าๆแดงก่ำจนแทบไหม้“หน้าแดงทำไม เขินผมล่ะสิ” เขาพูดล้อๆพร้อมยิ้มกริ่ม เล่นเอาหญิงสาวต้องเชิดหน้าขึ้น มองเขาตาวาววับ“ฉันไม่ได้เขินคุณ ฉันอายต่างหาก เมื่อกี้นี้มีคนเข้ามาในร้าน แล้วก็เห็น
“มะ ไม่ต้อง ฉันไม่อยากลอง จะให้เก็บผักตรงไหนล่ะ” เธอพูดเสียงสั่น ในขณะที่ธัศไนยหลุบตาลงซ่อนยิ้มไว้อย่างแนบเนียน“ตามผมมาสิ ผมปลูกผักไว้กินเองเยอะพอสมควร จะได้ไม่ต้องไปซื้อผักที่มีสารพิษในตลาดมากิน” ชายหนุ่มออกเดินนำพร้อมเข็นรถเมธากรออกไปด้วย โดยมีหญิงสาวเดินตามไปติดๆ“เศรษฐกิจพอเพียงว่างั้นเถอะค่ะ” หญิงสาวพูด พร้อมกับห่อปากทำตาโตเมื่อเห็นแปลงผักยาวๆที่ข้างบ้านเขา มีผักคะน้าต้นอวบๆขึ้นอย่างเนืองแน่นๆ ข้างๆแปลงคะน้าคือแปลงผักกวางตุ้ง และถัดไปอีกคือแปลงผักชีใบเล็ก“ใช่ ผมพออยู่พอกินน่ะ ที่ข้างบ้านอีกด้านหนึ่งจะเป็นแปลงผักบุ้ง ผมชอบกินผักน่ะ”“ฉันไม่ชอบกินผัก ผักบางอย่างมันขม” หญิงสาวอุทรณ์ ในขณะที่คนตัวใหญ่ถอนหายใจพรืด“ผักผมไม่ขมหรอกน่า เดี๋ยวพอผมแกงส้มกวางตุ้งให้คุณกิน รับรองว่าคุณจะติดใจ อร่อยนะจะบอกให้” เขาโฆษณาฝีมือการทำอาหารของตัวเองก่อนจะชี้นิ้วไปทางแปลงผักแล้วบอกเธอว่า“เก็บสิ”“ห๋า?” เธออ้าปากหวอพร้อมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างงงๆ “ฉันเหรอ”“ใช่ คุณนั่นแหละ เก็บผักไปเลย”“แต่ฉันเก็บไม่เป็น”“งั้นคุณก็ไม่ต้องกินข้าวเย็น” เขาว่าเสียงเข้ม ทำให้เธอต้องทำปากยื่นก่อนจะเดินมาที่แปลงผักแล้
เวลาผ่านไปยี่สิบกว่านาที ประภาพิณทานข้าวหมดไปสามจาน พุงแบนราบเริ่มขยายตัวเบ่งบานจนเริ่มอึดอัด เธอจึงกึ่งนั่งกึ่งนอนที่โต๊ะอาหารผึ่งพุงที่อิ่มแปล้ของตัวเองอย่างสบายอารมณ์ถึงแม้ว่าเธอจะนั่งผึ่งพุงให้อาหารย่อยอยู่ แต่ดวงตาก็ยังคอยมองไปที่แผ่นหลังกว้างของคนหน้าดุที่กำลังยืนหันหลังให้เธอแล้วลงมือล้างจานชามอย่างชำนาญ“นี่ถ้าใครได้คุณไปเป็นสามี คงโชคดีน่าดู” หญิงสาวพูดขึ้นมา เล่นเอาจานที่ธัศไนยกำลังล้างอยู่หล่นลงจากมือกระทบที่พื้นจนแตกเป็นเสี่ยงๆเพล้ง!!เขาหันมามองเธอด้วยสายตาเป็นคำถาม แต่แก้มขาวๆกลับแดงปลั่งสื่อได้เป็นอย่างดีว่าเขากำลังเขินมากขนาดไหน“พูดอะไรของคุณน่ะ” เขาถามเสียงเก้อๆ“ก็คุณทำอาหารอร่อย งานบ้านก็เก่ง ใครได้แต่งงานกับคุณคงโชคดีมากแน่ๆ” หญิงสาวพูดออกมาตรงๆ ก่อนจะเดินมาทรุดลงนั่งตรงที่จานแตก ตั้งใจว่าจะช่วยเขาเก็บทำความสะอาด“ไม่ต้องเก็บหรอก เดี๋ยวเศษจานจะบาดมือ” เขาร้องเตือน และยังเตือนไม่ทันขาดคำ ประภาพิณก็สะดุ้งเฮือก เลือดสีแดงเข้มไหลออกมาจากปลายนิ้วทันตาเห็น“เห็นมั้ยล่ะ ผมบอกคุณแล้วว่าไม่ต้องทำ” เขาเริ่มบ่น พร้อมกับจับตัวเธอให้ลุกขึ้นแล้วพาหญิงสาวกลับไปนั่งที่โต๊ะอาหาร
“เหนื่อยมั้ยคะ”เขาหันมามองหน้าเธอก่อนจะตอบเสียงเศร้าๆว่า“ไม่เหนื่อยหรอก ไอ้เอกมันติดยาน่ะ”“อะไรนะคะ!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจ “ทำไมพี่เอกเขาถึงได้…”“เขาสารภาพออกมาหมดแล้วว่าแวววรรณกลับมาขอคืนดีกับเขาแล้วก็ทิ้งเขาไปอีกครั้ง เขาเลยทั้งเสียใจทั้งผิดหวัง ตอนนั้นมีคนมาเสนอยาบ้าให้เขา เขาเลยลองกินดูเพราะคิดว่าคงไม่ติด แต่ที่ไหนได้…เขาดันติดงอมแงม แล้วเรื่องที่เขามาปล้ำคุณน่ะ เพราะแววจ้างเขาด้วยยาบ้ายี่สิบเม็ดน่ะ”“ตายจริง…ไม่น่าเลยนะ เพราะยาบ้าแท้ๆ” หญิงสาวทำเสียงสลด“ตอนนี้ตำรวจเขาก็ไปจับแววแล้ว เพราะแววเป็นคนบงการ แถมยังมียาบ้าไว้ในครอบครองอีกหลายเม็ด คนรักของแววคนล่าสุดก็ตีตัวออกห่างไปแล้วพอรู้ว่าแววโดนตำรวจจับน่ะ”“เฮ้อ” ประภาพิณถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าๆ ในขณะที่มือใหญ่จับคางเธอให้แหงนหน้าขึ้น“ก่อนที่ผมจะกลับบ้าน ผมขอจูบทีหนึ่งได้มั้ย” เขาขออนุญาต ยังไม่ทันที่เธอจะตอบอะไรออกมา ริมฝีปากร้อนๆก็แนบประกบเข้าที่เรียวปากอิ่มอย่างแผ่วเบาและเว้าวอน“แฟนรักคุณนะคะ” เธอบอกเมื่อเขาถอนจุมพิตออก ในขณะที่เขาลุกขึ้นยืนแล้วรั้งต้นแขนเธอให้ลุกขึ้นด้วย“พอผมไปแล้ว อย่าลืมลงกลอนให้แน่นหนานะ แล้วพ
เธอคิดไว้แล้วไม่มีผิดว่าสักวันพีระดาจะต้องรักภีรวัทน์ และก็เป็นอย่างที่เธอคิดเอาไว้จริงๆว่าพีระดาคิดจะล้อล่นกับความรู้สึกของตัวเอง แล้วเป็นไงล่ะ...ผลสุดท้ายก็ต้องมารักเขาเพราะความใกล้ชิด แต่เธอคิดว่าพีระดากับภีรวัทน์ก็ดูเหมาะสมกันดี ที่สำคัญ..ในวันแต่งงาน เธอดูออกว่าภีรวัทน์แคร์เพื่อนสาวของเธอมากขนาดไหน บางที...ภีรวัทน์อาจจะรู้สึกเดียวกันกับพีระดาในตอนนี้ก็ได้//ฮือๆๆ// พีระดาไม่ตอบ มีแต่เพียงเสียงสะอื้นไห้ที่ดังแว่วมาทางสายโทรศัพท์จนประภาพิณชักจะเริ่มรู้สึกหนักใจแทน“งั้นอีก1ปีแกก็ต้องเลิกกับเขาน่ะสิ แกควรจะบอกเขาไปตรงๆเลยนะว่าแกรู้สึกยังไงกับเขา อย่าปล่อยเวลาให้มันผ่านไปเฉยๆไม่งั้นแกอาจจะต้องเสียใจ”//เขาไม่ยอมทำตามสัญญา// พีระดาพูดด้วยเสียงสะอึกๆ เสียงสูดจมูกดังฟืดฟาดชวนให้นึกเวทนา“ห๋า ไม่ทำตามสัญญา”//ใช่ ไม่ทำตามสัญญา เขาฉีกสัญญาทิ้ง บอกว่าจะให้ฉันอยู่กับเขาต่อไป//“งั้นแกก็ควรจะดีใจสิที่เขาอยากอยู่กับแก แกจะมาร้องไห้คร่ำครวญเพื่อ?”//เขาแค่หวงฉัน ไม่ใช่ว่ารักถึงได้หวงนะ แต่เป็นเพราะ...เขาเห็นฉันเป็นแค่ของชิ้นหนึ่ง ไม่อยากให้ฉันไปตกเป็นของคนอื่น ความสำคัญของฉันมีแค่นี้จริงๆ//“เ
โครม!บานประตูห้องนอนถูกถีบออกอย่างแรงก่อนที่คอเสื้อของอเนกจะโดนมือใครคนหนึ่งลากขึ้นมาจากร่างงามที่เขากำลังจะหาความสุขด้วยยังไม่ทันที่อเนกจะได้เห็นหน้าคนที่กล้ามาคว้าคอเสื้อเขา หมัดหนักๆก็ถูกต่อยเข้ามาที่ใบหน้าอย่างแรงจนร่างผอมบางเซแซ่ดๆไปปะทะกับผนังห้อง“คุณธัศ ช่วยแฟนด้วย” ประภาพิณพูดด้วยเสียงสั่นๆพลางพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งทั้งๆที่ยังจุกอยู่ที่ท้องน้อยตาคู่คมตวัดมามองประภาพิณชั่วแว่บหนึ่งก่อนจะยกเข่ากระแทกที่ท้องของอเนกอย่างเดือดดาล พร้อมกับศอกที่กระแทกเข้าที่ศีรษะอเนกอย่างจัง“เมื่อก่อนฉันเห็นนายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่ง แต่มาวันนี้…นายกลับมาปล้ำแฟนฉัน ฉันไม่ปล่อยให้นายรอดแน่ เอก”น้ำเสียงนี้อเนกจำได้ดีว่าเป็นเสียงใคร…ชายหนุ่มค่อยๆทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้นในสภาพหมดหนทางต่อสู้ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองหน้าหล่อเหลาของอาจารย์วิทยาศาตร์ที่กำลังมองเขาอย่างบูดบึ้ง“อะ ไอ้ธัศ”“เออ ฉันเอง ทำไมนายถึงทำแบบนี้วะ” ธัศไนยถามเสียงตะคอก ก่อนจะหันไปทางประภาพิณที่นั่งหน้าซีดเผือดอยู่บนเตียง“คุณแฟน โทรหาตำรวจ”“แต่ว่าเขาเป็นเพื่อนคุณ”“ผมบอกให้โทรก็โทรไปสิ” ชายหนุ่มเริ่มเสียงดัง เล่นเอาหญิงสาวต้อง
16.42น.“แฟนจ๋า เราจะมีลูกด้วยกันกี่คนดีครับ” ธัศไนยนั่งสวีตหวานอยู่กับประภาพิณในร้าน beautiful flower มือใหญ่จับกุมมือบางแล้วใช้หัวนิ้วโป้งคลึงหลังมือเธอเบาๆ ตาคมหวานเชื่อมมองหญิงสาวอย่างแสนรัก“สองคนดีมั้ยคะ”“จะดีเหรอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงอย่างไม่เห็นด้วย“ทำไมจะไม่ดีล่ะค่ะ ผู้ชายหนึ่งคน ผู้หญิงหนึ่งคน”“แต่ผมว่ามีลูกสักโหลนึงเลยก็ดีนะครับ” เขารั้งร่างบางมาพิงอกกว้างพร้อมจูบขมับหญิงสาวเบาๆ“โห ตั้งโหลนึงเชียวเหรอคะ เยอะเกินไปหรือเปล่า แฟนไม่ไหวหรอกค่ะ” เธอส่ายหน้าหวือ พูดอู้อี้“แต่ผมทำไหวนะ” เขาพูดอย่างเจ้าเล่ห์ ทำให้เธอต้องเงยหน้าออกจากอกหนาแล้วขว้างค้อนใส่เขาอย่างมีจริต“มีโหลนึง คุณคงจนกันพอดี”“ไม่จนหรอกน่า อย่างน้อยผมก็มีเงินเลี้ยงคุณและลูกให้มีความสุขได้ไปจนกว่าจะตาย ไม่มีทางปล่อยให้คุณลำบากแน่ๆ” เขาพูดเสียงหนักแน่น“เซี้ยว”“เซี้ยวที่ไหน ผมพูดตามความเป็นจริงนะ แต่ผมจอให้คุณสัญญากับผมสักข้อได้มั้ยครับคุณแฟน” เขาเอ่ยขอเสียงนุ่ม“ขออะไรคะ”“ถ้าแต่งงานกับผมแล้ว คุณห้ามมีสามีน้อยโดยเด็ดขาด”“อีตาบ้า ใครเขาจะมีสามีน้อยกัน” เธอหยิกหน้าอกเขาแรงๆจนชายหนุ่มร้องลั่น ก่อนที่หน้าคมจะตีหน
ทันทีที่อเนกกลับถึงบ้าน เขาก็ต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัยเมื่อเห็นรถคันหรูมาจอดอยู่หน้าประตูบ้านของเขา ก่อนที่คนในรถจะเปิดประตูออกมา“แวว…” อเนกเรียกชื่อเธอเสียงแผ่ว มองหน้าสะสวยที่มีแว่นสีดำอันใหญ่ปกปิดอยู่อย่างเจ็บปวด“ใช่ค่ะ ขอบคุณที่ยังจำแววได้” แวววรรณเหยียดปากอย่างเยาะหยัน กวาดตามองอเนกอย่างสมเพซ“ผมไม่ได้ความจำเสื่อมนี่ครับ จะได้ลืมอะไรง่ายๆ ไม่เหมือนคุณหรอก พูดอะไรก็ลืม…”“ตายจริง นี่คุณหลอกด่าแววเหรอคะ” แวววรรณยกมือทาบอกอย่างมีจริต“แล้วแววเป็นอย่างที่ผมว่าหรือเปล่าล่ะครับ” ย้อนถามอย่างเจ็บแสบแต่แวววรรณไม่อยากถือสา เพราะ…ความแค้นที่เธอมีอยู่ตอนนี้มันสำคัญมากกว่าการต่อล้อต่อเถียงกับอดีตคู่นอนอย่างเขา“วันนี้แววมีเรื่องจะมาคุยกับคุณค่ะ”“นั่นสินะ ถ้าไม่มีธุระ คุณคงไม่มาหาผมหรอก”“คุณเลิกด่าแววสักทีได้มั้ยคะ” แวววรรณเริ่มขึ้นเสียงสูงอย่างไม่พอใจ“ผมไม่ได้ด่า ผมพูดความจริง”“ความจริงของคุณ แววไม่อยากฟัง”“ ถอยไป ผมจะเข้าบ้าน” อเนกผลักร่างอวบอิ่มที่เขาเคยหลงใหลในอดีตให้พ้นทางพร้อมกับไขกุญแจประตูบ้านแล้วเปิดออก“แต่แววมั่นใจว่าคุณจะต้องสนใจในสิ่งที่แววมาเสนอ” แวววรรณเดินตามเขาเข้าไปในบ้า
“ว้าย! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะคะคุณธัศ”“ไม่เอา ผมคิดถึงคุณจะแย่ รู้มั้ย?”“ฉันจะกลับแล้วนะคะ มันมืดแล้ว คุณไม่เห็นเหรอไง”“คุณนอนที่นี่ก็ได้นี่นา” เขาทำเสียงออดอย่างเอาแต่ใจ“ไม่ได้แล้วค่ะ เพราะตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นพี่เลี้ยงเด็กเหมือนเคย จะให้มาอยู่ที่บ้านคุณได้ไง เห็นฉันเป็นผู้หญิงใจง่ายเหรอคะ”ได้ฟังประโยคนี้เข้าไป ชายหนุ่มก็ถอนหายใจเฮือกอย่างยอมจำนน“โอเคๆ ผมยอมก็ได้ แต่ว่าคุณต้อง…” เขาเริ่มมีเงื่อนไขเล่นเอาประภาพิณต้องถามกลับอย่างหวาดระแวง“แต่ว่าอะไรคะ” เธอช้อนตาขึ้นมองเขา“แต่ว่า…จูบผมก่อนสิ แล้วจะปล่อย”“ไม่เอาหรอก ตาบ้า” เธอเบือนหน้าไปอีกทางอย่างขัดเขิน“ก็ตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนี่นา แค่จูบเองนะ นะครับ” เขาอ้อนเสียงอ่อน ตาคู่คมพราวระยับจนหญิงสาวใจอ่อนยวบ“ก็ได้ค่ะ” เธอพูดพร้อมโน้มต้นคอเขาให้ก้มลงต่ำมากขึ้นแล้วยกศีรษะขึ้นจุมพิตปากเขาเบาๆแล้วรีบถอยหน้าออกห่าง“ปล่อยฉันได้แล้วค่ะ”“เดี๋ยวสิ เรียกตัวเองว่าแฟนก่อน” เขายังมีเงื่อนไขอีกข้อ ทำเอาหญิงสาวตีหน้าบูด“เอาน่า อย่าหน้างอสิครับ น่านะ เรียกตัวเองว่าแฟน ผมว่ามันฟังดูน่ารักดีออกนะ” เขาก้มหน้าลงพูดใกล้ๆเธอโดยไม่สนใจสักนิดว่าร่างบางที่เข
อเนกยิ้มออกมาอย่างคนเมาๆเบลอๆ ตาฉ่ำไปหมด ในขณะที่โจ้เหยียดริมฝีปากออกอีกครั้งอย่างหยันๆ“ไหนล่ะครับพี่ ค่ายาแห่งความสุข” โจ้แบมือตรงหน้าเขาพลางกระดิกไปมา“อยู่ในลิ้นชัก เป็นเงินที่ผมเก็บไว้มานาน คุณไปหยิบสิ” อเนกบอกพร้อมยิ้มแหะๆอย่างมีความสุขโจ้เดินตรงไปเปิดลิ้นชักพร้อมกับหยิบกระปุกชินจังออกมาเปิดฝาในนี้ไม่มีเหรียญสักเหรียญเดียว มีแต่ธนบัตรใบละหนึ่งร้อยเต็มไปหมดโจ้หันไปมองอเนกอีกครั้งก่อนจะหยิบเงินออกมาหมดกระปุกเงินทั้งกระปุกนี่คงเกือบหมื่น….เขาขอไปหมดเลยก็แล้วกันโจ้รีบเก็บธนบัตรใบแดงๆยัดใส่กระเป๋าสะพายของตัวเองอย่างว่องไวพร้อมกับหันไปบอกอเนกตามมารยาทว่า“ผมกลับก่อนนะพี่”“อือ” อเนกชูสองนิ้วให้โจ้แล้วมองตามหลังโจ้ที่เปิดประตูออกไปจากบ้านของเขาแล้วด้วยสายตาขอบคุณอนิจจา…อาจารย์หนุ่มผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์…ตอนนี้เขามีสภาพไม่ต่างจากสุนัขตัวหนึ่งที่หลงมัวเมาอยู่กับสารเสพย์ติดจนถอนตัวไม่ขึ้นณ วันนี้ อเนกได้ก้าวเข้าสู่นรกเต็มตัวแล้วอย่างสมบูรณ์!!ตอนเย็นของวันต่อมาธัศไนยขมวดคิ้วมุ่นเมื่อรู้สึกว่าช่วงนี้อเนกจะไม่ค่อยไปโรงเรียนโดยอ้างว่าไม่สบายมาหลายวันแล้ว หลังเลิกงาน เขาจึงขับรถแวะมาเย
ร่างสูงถอดแว่นตาสีชาออกจากใบหน้าคมคาย ดวงตาเพ่งมองไปที่ป้ายประกาศหน้าร้านดอกไม้เล็กๆอย่างงงๆ ‘ปิดร้านชั่วคราว’ เธอปิดร้านทำไม ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า1อาทิตย์ที่ผ่านมา เมื่อเลิกจากงาน เขาจะต้องรีบมาที่ร้านของประภาพิณเสมอ แต่ทุกครั้งที่มา…เขาก็จะได้เห็นแต่ป้ายปิดร้านชั่วคราวแปะอยู่ที่หน้าร้าน beautiful flowerทั้งรักทั้งคิดถึง อยากเห็นหน้า อยากเจอ อยากพูดคุยด้วย แต่ก็เห็นได้แค่หน้าร้าน…แค่ได้มองร้านดอกไม้ ก็รู้สึกสุขใจ แม้ว่าจะมีความเศร้าแฝงอยู่บ้างก็ตามเขาเป็นอาจารย์มีหน้าที่สอนนักเรียน ต่อให้สภาพจิตใจของเขาจะย่ำแย่ขนาดไหน เขาก็หยุดงานไม่ได้แต่ถึงเขาจะไปทำงานตามปกติ แต่หัวใจเขากลับไม่ปกติ อาหารเขาก็ทานไม่ได้เยอะเหมือนเก่า หน้าหล่อๆก็เริ่มซูบลงเพราะตอนกลางคืนนอนไม่ค่อยหลับเมื่อไหร่นะ…ความทรมานที่เขาได้รับมันจะหายไปเสียทีธัศไนยถอนหายใจเฮือก ก่อนจะกลับเข้าไปนั่งในรถยนต์ตามเดิมแล้วค่อยๆขับจากไปด้วยหัวใจที่ยังหนักอึ้งเหมือนมีหินนับพันก้อนมากดทับเอาไว้จนเขาหายใจไม่สะดวกวันเวลาคือยาวิเศษที่จะสามารถรักษาแผลใจให้เขาได้ แต่กว่าเขาจะลืมรักเธอได้ เขากลัวว่า…ลมหายใจเขาจะหมดลงเสียก่อนน่ะสิ!!อ
คำว่ารักที่เขาบอกเธอไป มันไม่มีค่าเลย เธอไม่เคยมองเห็นความรู้สึกที่เขามีต่อเธอ ไม่เคยมอง…และก็คงไม่อยากมอง“พาฉันไปส่งที่ร้านดอกไม้หน่อยค่ะ ต่อไปนี้เราสองคนจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม เหมือนวันที่เราไม่เคยรู้จักกัน เพราะฉัน…ไม่อยากรู้จักกับผู้ชายที่ชอบล่วงเกินฉันอย่างคุณ!!”ประโยคนี้ของเธอมันยังดังก้องอยู่ในหูเขา คำพูดที่อยากจะกล่าวออกมาเพื่อรั้งเธอเอาไว้ก็ไม่ยอมหลุดพ้นออกจากริมฝีปากในเมื่อเธอไม่อยากรู้จักกับเขาอีกต่อไป ในเมื่อเธออยากไปจากเขาเสียเต็มประดา แล้วเขาจะรั้งเธอไว้ทำไมล่ะ จริงไหม?เธอคงอยากกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมโดยไม่มีเขาไปคอยสร้างความรำคาญใจความสุขของเธอคือการไม่ได้เห็นหน้าเขา เขาก็ควรจะปล่อยเธอไปถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกเจ็บมากขนาดไหนก็ตามเจ็บอย่างที่ไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกแบบนี้ได้ ผู้หญิงคนอื่นๆหรือแม้แต่แวววรรณ ผู้หญิงที่เขาคบด้วยคนล่าสุดก็ไม่เคยทำให้เขารู้สึกแย่ได้ถึงขนาดนี้มีประภาพิณเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขาร้องไห้ได้เพียงแค่คิด น้ำบางๆก็ฉาบที่ดวงตาคู่คม เขาก้มหน้าลงพร้อมซบหน้าลงกับเข่า นั่งลงบนสนามหญ้าสีเขียวข้างๆแปลงผักด้วยความเจ็บปวดและอ้างว้างที่สุดดวงตะวั