แต่มีคำให้การของเขาประโยคหนึ่งที่น่าสนใจนั่นก็คือ หลังจากที่เขากลับเข้ามาจากการทิ้งขยะครั้งที่สอง เขาเห็นดีเจอาร์มเดินมาหยิบช้อนชาไปยื่นให้ผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่ง ซึ่งทางตำรวจคาดว่าน่าจะเป็นเหยื่อรายที่สองที่ถูกฆาตกรรม
ส่วนคำให้การของผู้ช่วยพ่อครัวคนที่สาม และพ่อครัวใหญ่ ไม่มีอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะทั้งคู่แทบไม่ได้ออกจากห้องครัวไปไหนนอกจากไปห้องน้ำเท่านั้น และยังบอกอีกด้วยว่าไม่พบเห็นใครเลยที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย เนื่องจากเท่าที่จำได้ก็มีแต่พนักงานด้วยกันเองเท่านั้นที่เดินเข้าออกห้องครัวเมื่อคืนที่ผ่านมา
คนต่อมาที่เข้ามาสอบปากคำคือผู้จัดการหนุ่ม ซึ่งทางตำรวจถือว่าเป็นพยานปากสำคัญที่สุดคนหนึ่ง เนื่องจากว่าเขาเป็นผู้พบศพเป็นคนแรก หนำซ้ำศพยังอยู่ใกล้กับบริเวณที่จอดรถของเขาอีกด้วย
“ช่วยเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนตั้งแต่ที่คุณเอาเครื่องดื่มขึ้นมาให้ผมเสร็จแล้วด้วยครับว่าหลังจากนั้นคุณไปไหน และทำอะไรต่อบ้าง ผมขอแบบละเอียดยิบเลยนะ” สารวัตรจุมพลยืดตัวขึ้น เอาศอกเท้าไว้กับหน้าขาเพื่อตั้งใจฟังเต็มที่
“หลังจากเมื่อคืนที่ผมเอาเบียร์ขึ้นไปให้สารวัตรเสร็จ ผมก็เดินลงมาข้าง
การสอบปากคำเพื่อนสาวทั้งสองคนของผู้ตายแทบไม่ได้ประโยชน์อะไรต่อการสืบสวนเลยแม้แต่น้อย แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์แบบฉาบฉวยของคนกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดีสารวัตรจุมพลถึงกับลอบถอนหายใจ พลางอดนึกเห็นใจหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายทั้งสองรายไม่ได้ที่ไม่มีมิตรแท้คอยช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกันเลยสักคน เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าทันทีที่เขาบอกข่าวร้ายเกี่ยวกับหญิงสาวที่ชื่อแนนนี่ ทั้งสองคนนั้นกลับแสดงอาการเพียงแค่ทำหน้าตื่นตกใจเท่านั้น ไม่ได้มีอาการโศกเศร้าเสียใจให้เห็นเลยสักนิด ดูไปก็น่าเวทนาเหลือเกินจุมพลสั่งให้ลูกน้องเดินปะปนรวมกลุ่มกับบรรดานักท่องเที่ยวเพื่อคอยสังเกตการณ์ไปเรื่อย ๆ อีกกลุ่มก็ปลอมตัวเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัย เป็นเด็กเสิร์ฟ แม้กระทั่งคนทำความสะอาดเพื่อเฝ้าระวังบุคคลน่าสงสัย ซึ่งเขาก็รู้ว่าคงจะไม่ได้อะไรคืบหน้ามากนัก เพราะเชื่อเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าฆาตกรจะต้องเป็นคนในผับนี้อย่างแน่นอน ถ้าไม่ใช่พนักงานก็ต้องเป็นลูกค้าขาประจำที่มาเที่ยวจนคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดีเพราะการเข้านอกออกในห้องครัว หรือโซนสำหรับพนักงานได้ก็หมายความว่าไม่ใช่เพียงแค่รู้จักผิวเผ
“เลี้ยวซ้ายตรงแยกหน้านะคะ” เสียงหวาน ๆ บอกกำกับทิศทางอยู่ด้านข้าง ทำเอาชายหนุ่มนั่งยิ้มกริ่ม เวลานี้ไม่ว่าเธอจะพาเขาไปขึ้นเขาลงห้วยที่ไหน เขายอมทั้งนั้นชายหนุ่มหมุนพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายตามที่ช่อมาลีบอกเมื่อถึงสี่แยกไฟแดง จากนั้นจึงเอื้อมไปกดปุ่มเปิดเครื่องเสียงในรถเพื่อสร้างบรรยากาศ เมื่อเห็นว่ามันเงียบจนเกินไป รอยยิ้มค่อย ๆ ผุดพรายขึ้นเต็มวงหน้าเมื่อมองเห็นป้ายไฟของโรงแรมม่านรูดวิบ ๆ วับ ๆ ตั้งเด่นท้าทายสายตาอยู่ริมทาง ถ้าเขาจำไม่ผิด โรงแรมม่านรูดของที่นี่จะมีธีมห้องให้เลือกว่าอยากได้แบบไหน ไม่ว่าจะเป็นใต้ทะเล ในป่า อวกาศ หรือธีมแบบยุคหกศูนย์ก็มีให้เลือก ชายหนุ่มไม่รอช้าตบไฟเลี้ยวแล้วขับชิดซ้ายทันที“เลี้ยวเข้าไปในนี้เลยค่ะ”เสียงหวานของหญิงสาวบอกให้เขาเลี้ยวเข้าไปในโรงแรมม่านรูดตรงหน้า พชรรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ความอ่อนเพลียเพราะอดนอนนั้นปลิวหายไปพร้อมกับอารมณ์วาบหวามที่กำลังจะเกิดขึ้นแล่นพล่านเข้ามาแทนที่ เขาเลี้ยวมาตามที่เธอบอก เห็นพนักงานวิ่งมาโบกไม้โบกมือให้เลี้ยวเข้าไปตามช่องว่างที่มีผ้าม่านผืนโตรูดไปกองไว้ด้านหนึ่ง ระหว่างที่กำลังจะหมุนพวงมาลัยเลี้ยวขว
“ใช่...เหมือนหนังจีนไงคุณ ที่เขาดื่มน้ำร่วมสาบานกันน่ะ แต่เราสาบานกันด้วยบะหมี่แทน” พชรพูดพลางยักคิ้วให้ข้างหนึ่ง ช่อมาลีหัวเราะคิกเมื่อได้เห็นอีกมุมหนึ่งที่น่ารักของเขา“คารวะศิษย์พี่” หญิงสาวไหลตามน้ำ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมกันไว้ในระดับเดียวกับใบหน้า พลางค้อมศีรษะลงคารวะเขาเลียนแบบภาพยนตร์จีน ส่งผลให้พชรหัวเราะเสียงดังลั่นร้านชายหนุ่มเผลอมองคนตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนเชื่อม นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้หัวเราะเต็มเสียงอย่างนี้มาก่อน ไม่น่าเชื่อว่าผีเสื้อราตรีคนนี้จะให้ความรู้สึกที่หลากหลายอารมณ์กับเขาเหลือเกิน พลันนั้นจิตใจกระหวัดคิดไปถึงเลขาฯ คู่ใจ รายนั้นก็ไม่ต่างกัน ทั้งเอ๋อทั้งเปิ่นแต่ก็รู้ใจเขาเป็นที่สุดทั้งที่เพิ่งทำงานร่วมกันแค่อาทิตย์กว่าเท่านั้น“คุณรู้ไหมว่าเวลาผมเจอคุณทีไร ทำให้ผมนึกถึงใครบางคนขึ้นมาทุกทีเลย” ชายหนุ่มพูดไปพลางคืบเส้นบะหมี่เข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ ทว่าคนฟังกลับรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาทันที กระนั้นก็ยังอดถามเขาต่อไม่ได้“ใครหรือคะ” ถามออกไปแล้ว ในใจก็วาดหวังว่าจะไม่ใช่ตัวเธอ แต่ทว่า...“เลขาฯ ของผมเอง เธอชื่อช่อมาลีน่ะ”
หลังจากจ่ายเงินค่าอาหารเสร็จ สองหนุ่มสาวจึงพากันเดินย่อย อาหารในตลาดนัดกลางคืน พชรยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา สี่ทุ่มยี่สิบแล้ว ยังมีเวลาอีกสักพักที่จะอยู่กับหญิงสาวข้างกาย อารมณ์ที่อยากจะพาเธอขึ้นเตียงเริ่มเจือจางลงไป เหลือทิ้งไว้แต่ความรู้สึกพิเศษที่แม้แต่ตัวเขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าคืออะไร เขารู้แต่ว่าเขามองเธอเปลี่ยนไป และเขาอยากจะรู้จักเธอให้มากกว่านี้พชรหยุดยืนที่หน้าร้านขายของเก่าร้านหนึ่ง เขายกมือขึ้นแตะข้อศอกของม็อทเบา ๆ เป็นการบอกให้เธอรู้ว่าเขาจะแวะร้านนื้ ชายหนุ่มเดินเข้าไปด้านใน ก้มลงมองไฟแช็กดูปองท์สีทองหม่นสไตล์วินเทจอย่างสนใจ เจ้าของร้านเห็นดังนั้นจึงรีบปรี่เข้ามาหยิบไฟแช็กยื่นส่งให้อย่างกระตือรือร้น“ดูปองท์ของแท้เลยครับพี่ สภาพใช้น้อย พี่ลองเปิดฟังเสียงได้เลยครับ เสียงป๊อง...ยังเพราะพริ้งอยู่เลย” ชายหนุ่มวัยประมาณยี่สิบปลาย ๆ พูดเชียร์สินค้าไม่หยุดปากพชรยื่นมือไปรับไฟแช็กมาแล้วทดลองเปิดฟังเสียงดู มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจ จับมันพลิกซ้ายพลิกขวาเพื่อตรวจดูสภาพ ก่อนจะทดลองจุดดู ประกายตาฉายชัดถึงความพึงพอใจไม่น้อย“เท่
แต่นี่ไม่ใช่ เขารู้ว่าจารุวรรธก็แค่อยากได้ม็อทขึ้นเตียงเพื่อลบคำสบประมาทจากเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน และต้องการเอาชนะม็อทเท่านั้นเอง“เห็นทีงานนี้ต้องให้คริสช่วย” จิลหันไปทางเพื่อนเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้“เฮ้ย...จะดีหรือวะ คู่นี้ถูกกันที่ไหน เจอหน้ากันทีไรจะวางมวยกันทุกที พี่จากับไอ้คริสน่ะ” ว่านไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร แต่จิลกลับแค่นยิ้มออกมา“นั่นแหละที่ต้องการ เรารู้สึกว่าพี่จาไม่ค่อยกล้ากับคริสมันนะ ว่าแต่...คริสกับม็อทมันหายไปไหนของมันวะ หายไปทั้งคู่เลย ไปตามหน่อยดีกว่า”จิลพูดจบก็เดินออกจากห้องหลังเวที แล้วก้าวไปตามทางเดินที่ปูด้วยพรมสีเทาเข้ม ซึ่งเป็นทางเดินที่สามารถเชื่อมต่อไปยังห้องล็อกเกอร์ และออฟฟิศได้เขาผลักประตูเข้าไปในส่วนที่เป็นโซนออฟฟิศ เพราะคาดว่าคริสน่าจะอยู่ที่ห้องล็อกเกอร์ เมื่อเดินมาจนถึงห้องนั้นแล้วผลักประตูเข้าไป สายตาก็ปะทะเข้ากับหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่กำลังนัวเนียกันอยู่ จิลผงะเล็กน้อยกำลังจะหมุนตัวเดินออกจากห้อง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเมื่อเห็นว่าฝ่ายชายนั้นคือคนที่เขากำลังตามหา“ขอโทษทีว่ะเพื่อน เสร็จแล้วก็ไปเจอกันที่หลังเวทีละกัน”
“ใช่ นอกเสียจากว่าแกจะทำพิรุธให้เขาจับได้เอง” ว่านพูดเสริมขึ้นมาทันที คริสซึ่งเป็นหัวหน้าวง ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าใกล้ได้เวลาเต็มทีจึงบอกกับเพื่อนในวงด้วยท่าทางเป็นงานเป็นการ“ประชุมกันดีกว่าพวกเรา อีกสิบห้านาทีขึ้นเวทีแล้ว”พชรเดินฮัมเพลงขึ้นมาที่ออฟฟิศด้านบน พอเขาเปิดประตูเข้าไปก็เห็นสารวัตรหนุ่มกำลังยืนมองลงไปที่ฮอลล์ด้านล่างอย่างสำรวจตรวจตราตามประสาผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ พอได้ยินเสียงเปิดประตู เขาทำเพียงหันหน้ากลับมามองแล้วก็หันกลับไปตามเดิม พชรจึงเดินเข้าไปหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟา“ไอ้ภีมล่ะครับพี่พล”“รับรองแขกสาว ๆ อยู่ข้างล่างนั่นแหละ โน่นไง” สารวัตรหนุ่มชี้ไปยังโซฟารูปครึ่งวงกลมที่ภีมพลนั่งแนบชิดกันอยู่กับอรอิน หม้ายสาวไฮโซทรงเสน่ห์ พชรจึงลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปยืนข้าง ๆ เพื่อจะได้ดูให้ถนัดยิ่งขึ้น ครั้นพอเห็นว่าสาวที่ภีมพลกำลังนัวเนียอยู่นั้นเป็นใคร ก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีและพึงพอใจ“บ๊ะ...ไอ้ภีมนี่มันรู้ใจผมจริง ๆ”พชรรู้ดีว่าอรอินเข้าหาเขาเพราะเรื่องอะไร ยิ่งเขากับเธอมีอะไรกันแล้ว เจ้าตัวก
“พี่จา! ปล่อยม็อทนะ” หญิงสาวมองเขาตาขุ่นขวาง ทั้งไม่ชอบทั้งรังเกียจ แต่ก็ต้องพยายามใช้สติไม่พูดจาอะไรที่เป็นการยั่วยุอารมณ์ของอีกฝ่าย ด้วยรู้นิสัยของจารุวรรธดี มือพยายามแกะท่อนแขนที่โอบรัดรอบกายแน่นราวกับงูเหลือม“กำลังจะกลับบ้านหรือจ๊ะม็อท ให้พี่ไปส่งไหม”จารุวรรธก้มหน้าลงมาจนจมูกกับปากเกือบจะสัมผัสกับใบหน้าของหญิงสาว ดีที่ช่อมาลีรีบเอี้ยวตัวหลบได้ทัน กลิ่นสุราที่คละคลุ้งปะปนออกมากับลมหายใจอุ่นร้อน ทำให้เธอรู้ทันทีว่าเขาคงเมาได้ที่แล้วช่อมาลีรีบมองหาตัวช่วยทันที ในใจภาวนาให้เพื่อนในวงออกมาที่ลานจอดรถไว ๆ จะได้หลุดพ้นไปจากเขา“เฮ้ย! มึงทำอะไรคุณม็อท มึงปล่อยเขาเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่ากูไม่เตือน” เสียงตะคอกดังจากทางด้านหลัง ทำให้หญิงสาวรู้สึกโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง ทว่าพอเห็นว่าเป็นใคร กลับเพิ่มความหนักใจให้ถึงสองเท่า“คุณก้อง!” ช่อมาลีมองคนที่กำลังปรี่เข้ามาจับแขนอีกข้างหนึ่งของเธอไว้อย่างถือสิทธิ์ เขาไม่เพียงแค่จับเฉย ๆ เท่านั้น แต่กลับดึงกระชากอย่างสุดแรงเพื่อให้ตัวเธอหลุดพ้นจากจารุวรรธจนรู้สึกเจ็บแขนไปหมด“แล้วมึงเป็นใครวะ ถึงม
วันแรกของสัปดาห์แห่งการทำงาน ช่อมาลีเดินเข้าออฟฟิศมาด้วยท่าทางราวกับคนไร้วิญญาณเนื่องจากเมื่อคืนเธอต้องหาวิธีหลบหลีกก้องภพกับจารุวรรธจนเหนื่อย กว่าจะหลุดรอดสายตาของคนทั้งสองมาได้ ปาเข้าไปเกือบตีสาม ได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องรีบตื่นมาทำงานแต่เช้า เพราะส่วนใหญ่วันจันทร์ การจราจรมักหนาแน่นกว่าวันอื่น ๆเมื่อเดินเข้ามาในอาคาร ช่อมาลีสังเกตเห็นพนักงานฝ่ายขายที่ตั้งตัวเป็นแฟนคลับท่านประธานกำลังจับกลุ่มนั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ต่างคนต่างอวดรูปโฉมโนมพรรณของตนเองโดยไม่แคร์สายตาของพนักงานคนอื่น ช่อมาลีเอามือจับกรอบแว่นให้เข้าที่แล้วมองไปทางสาว ๆ กลุ่มนั้นด้วยความอึ้งระคนสงสัย แต่แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเคยพูดอะไรเอาไว้จริงสิ...เราเคยบอกผู้หญิงพวกนั้นว่าท่านประธานชอบผู้หญิงแต่งตัวเซ็กซี่นี่นาช่อมาลีไม่แปลกใจเลยที่ผู้หญิงกลุ่มนั้นแต่งตัวแข่งกันราวกับจะไปเที่ยวกลางคืน ชุดเดรสรัดรูปสั้นเต่ออวดเรียวขาขาว ช่วงบนเว้าหน้าเว้าหลังจนเห็นร่องอกวับ ๆ แวม ๆ หนำซ้ำยังประโคมแต่งหน้ากันมาอย่างพิถีพิถันด้วยความมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม“เดี๋ยวก็รู้”
“คนลามก!” ช่อมาลีขว้างค้อนเข้าใส่ ก่อนจะรีบเดินให้ถึงห้องน้ำ พชรจึงรีบลากเสาน้ำเกลือตามไปให้ทัน พอมาถึงเขาก็จัดแจงเอาเสาน้ำเกลือไปไว้ในห้องน้ำให้ แล้วก็ยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ยอมขยับไปไหน“ออกไปสิคะ ฉันจะเข้าห้องน้ำ”“จะไม่ให้ผมช่วยหรือ ผมช่วยเช็ดตัว หรือเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณได้นะ” พชรถูมือไปมา นัยน์ตาวิบวับเป็นประกาย“ไม่ต้องค่ะ ม็อททำเองได้ เชิญค่ะ” เธอชี้ไปที่ประตูเป็นการบอกให้เขาออกไป ชายหนุ่มจึงเดินออกมายืนรอข้างนอกห้องน้ำด้วยสายตาเว้าวอนสุดฤทธิ์“โธ่...ทำอย่างกับผมไม่เคยเห็น”ช่อมาลีถลึงตาใส่เมื่อจู่ ๆ เขาก็พูดจาแปลก ๆ“หมายความว่ายังไงคะคุณโอม เคยเห็น เห็นอะไร”ช่อมาลีคาดคั้นคนที่หลุดปากพูดออกมา พชรจึงได้แต่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแก้เก้อ แต่ในหัวกำลังเรียบเรียงคำพูดให้ฟังดูดีที่สุด“เอ่อ...ตอนที่ไปภูเก็ต คืนที่เราไปกินเลี้ยงกันที่ดาดฟ้าโรงแรม พอมาถึงห้องผมก็ตื่นพอดี ก็เลยอยากว่ายน้ำ ว่ายไปว่ายมาก็บังเอิญไปเห็นคุณกำลังนอนแช่ในอ่างพอดีน่ะ แต่ผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบดูนะ มันบังเอิญเห็นจริง ๆ สาบานได้ ผมอยู่นิ่ง ๆ ไม่กล้าขยับจนคุณเด
“ผมไล่คุณออก ผมไม่ให้คุณผ่านโปร คุณช่อมาลี!” พชรยืนจ้องคนที่นอนหน้าซีดอยู่บนเตียงผู้ป่วยด้วยสายตากรุ่นโกรธ ช่อมาลีพยายามยันกายลุกขึ้นนั่ง แต่แล้วก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดจากแผลที่ถูกแทงบริเวณชายโครงส่วนคนที่ยืนทำหน้าโกรธพอเห็นหญิงสาวหน้าเบ้เพราะเจ็บแผลก็หลุดมาดเข้ม รีบปราดเข้าไปประคองทันที“จะลุกขึ้นมาทำไม เดี๋ยวแผลก็ฉีกหรอก ทำไมชอบหาเรื่องใส่ตัวอย่างนี้นะ” ชายหนุ่มประคองร่างคนป่วยจนนั่งได้ จากนั้นก็กุลีกุจอเอาหมอนมาซ้อนไว้ที่หลังของหญิงสาว แล้วกดปุ่มปรับระดับหัวเตียงให้ยกขึ้น“ดิฉันขอทราบเหตุผลที่ท่านประธานจะไล่ดิฉันออกด้วยค่ะ”ดวงตาของเธอเริ่มมีน้ำเอ่อคลอ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนี้ เธอทำอะไรให้เขาไม่พอใจอย่างนั้นหรือ ทั้งที่เธอก็พยายามทำงานให้เขาชนิดที่เรียกได้ว่าไม่มีขาดตกบกพร่องแท้ ๆ แล้วที่ผ่านมาทั้งหมดมันคืออะไร ที่เขาดีกับเธอเพราะเห็นเป็นแค่ลูกน้องอย่างนั้นหรือช่อมาลีมัวแต่คิดน้อยใจคนตรงหน้า จนลืมนึกไปว่าที่ตนต้องมานอนรักษาตัวอยู่ที่นี่ก็เพราะเอาตนเองเป็นเหยื่อล่อฆาตกรในต
“วันนี้คุณต้องตื่นนะคนสวย ถ้าคุณไม่ตื่นผมก็จะนั่งเฝ้าคุณอยู่อย่างนี้จนกว่าคุณจะตื่นนั่นแหละ”พชรพูดกับคนที่นอนไม่ได้สติอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ลากเก้าอี้ที่วางชิดกำแพงอีกด้านมานั่งอยู่ข้างเตียง เขาถือวิสาสะเลิกเสื้อของหญิงสาวขึ้นเล็กน้อยพอให้มองเห็นบริเวณที่เป็นแผล สายตาทอประกายเจ็บปวดเมื่อเห็นรอยเลือดที่ซึมออกมาจากผ้าพชรคว้ามือของช่อมาลีขึ้นมาแตะริมฝีปากของตนเองลงไปเบา ๆ จากนั้นก็ประสานนิ้วมือของเขากับเธอเข้าไว้ด้วยกัน มีเพียงแรงกระเพื่อมจากอกเท่านั้นที่บอกเขาว่าเธอยังมีลมหายใจอยู่ชายหนุ่มเอาแต่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นแทบไม่ขยับ จนกระทั่งร่างกายเริ่มฝืนความอ่อนล้าต่อไปไม่ไหว สุดท้ายใบหน้าเขาก็เอนซบลงไปบนเตียงของหญิงสาวแรงสะกิดที่ไหล่จากเบา ๆ ก็เริ่มจะหนักขึ้นมาเรื่อย ๆ จนพชรต้องสะดุ้งตื่น เขาไม่รู้ว่าตนหลับไปนานแค่ไหน รู้แต่ว่าสายตาที่มองมาอย่างไม่เป็นมิตรของผู้กองชินกฤตกำลังพุ่งตรงมาที่เขาอย่างจงใจ ข้างกันกับนายตำรวจหนุ่มคือช่อฟ้า มารดาของช่อมาลีที่มองมาทางเขาอย่างเคลือบแคลงสงสัยเช่นกัน จนกระทั่งพชรก้มมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตนเอง ถึงเพิ่งรู
“ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ โชคดีที่พามาส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลา แต่เนื่องจากว่าคนไข้เสียเลือดไปมาก ทางโรงพยาบาลก็เพิ่งให้เลือดไป ตอนนี้คงต้องให้พักรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูไปก่อนเพราะต้องคอยดูอาการเป็นระยะ ๆ และยังไม่อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมนะครับ”แพทย์ผู้ทำการรักษากล่าวจบก็เดินจากไป คนที่ได้ฟังต่างก็รู้สึกโล่งใจไปตาม ๆ กันโดยเฉพาะเขตไทที่พอฟังจบก็เดินเข้ามาหาพชรแล้วยกมือไหว้อย่างขอบคุณ“พี่ครับ ผมต้องขอบคุณพี่มากที่ตอนนั้นพี่รีบพาพี่มาลีขึ้นรถมาโรงพยาบาล เพราะผมก็มัวแต่...” เขตไทพูดได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบเสียงลงไปเพราะก้อนสะอื้นเริ่มขึ้นมาจุกที่คอ ตอนนั้นเขามัวแต่เล่นงานคนที่แทงพี่สาวจนลืมนึกไปว่าต้องรีบพาส่งโรงพยาบาล กลับกลายเป็นพชรที่มาถึงก็รีบช้อนตัวพี่สาวเขาอุ้มขึ้นรถมาทันที“ไม่เป็นไรหรอกคนกันเอง ขอแค่ให้ช่อมาลีเขาปลอดภัยก็พอแล้ว”พชรหันไปยิ้มให้พร้อมกับตบบ่าเด็กหนุ่มเบา ๆ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ก้อนหินหนัก ๆ ที่ถ่วงใจเขาก่อนหน้านี้ละลายหายไปหมดแล้ว“ขอบคุณมากครับคุณ...” ผู้กองชินกฤตเอ่ยขอบคุณพชร พลางยื่นมือออกมา พชรจึงยื่นมื
ทันทีที่ส่งตัวช่อมาลีถึงมือแพทย์ พชรก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉินอย่างหมดเรี่ยวแรง ในใจได้แต่ปลอบตนเองซ้ำไปซ้ำมาว่าถึงมือหมอแล้วเธอต้องปลอดภัย ทั้งที่ลึก ๆ แล้วเขาเองก็ไม่ค่อยมั่นใจนักชายหนุ่มเหลือบมองคนที่เดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องที่ช่อมาลีกำลังเข้ารับการรักษา เห็นเลือดที่ไหลออกมาจากแขนขวาแล้วหยดลงพื้นแต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจมันเท่าไร พชรจึงเดินไปจับไหล่อีกข้างแล้วบีบเบา ๆ“ชื่อเขตใช่ไหมเรา พี่ว่าไปทำแผลก่อนดีกว่าไหม เลือดไหลใหญ่แล้วนะ” พชรมองเสี้ยวหน้าของเด็กหนุ่มที่มีส่วนละม้ายกับพี่สาวอยู่มากอย่างเป็นห่วง ก่อนหน้านี้เขารู้มาจากช่อมาลีว่ายังตามตัวของเขตไทไม่พบ แต่อยู่ดี ๆ เจ้าตัวก็กลับโผล่มาเสียเอง ใจนึกอยากจะถามให้รู้เรื่องรู้ราวแต่ติดที่ว่าตัวเขายังเป็นคนนอกสำหรับครอบครัวนี้อยู่ จึงไม่สมควรไปก้าวก่าย“แต่ผมเป็นห่วงพี่มาลี พี่ผมจะเป็นอะไรไหม ถ้าผมไปทำแผลแล้วเกิดหมอเขาต้องการเลือดด่วนล่ะ” เขตไทบอกกับพชรด้วยสีหน้ากังวลเพราะเป็นห่วงพี่สาวจนลืมอาการปวดที่บาดแผลของตนเองไปเสียสิ้น“ถึงมือหมอแล้วยังไงพี่สาวนายก็ต้องปลอดภัยแน่นอน ไม่ต้
“จะเป็นสายจากโรงพักรึเปล่านะ” หญิงสาวได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ รู้สึกใจกระตุกแปลก ๆ กับสายที่โทร. เข้ามาเมื่อครู่ แล้วก็ให้เสียดายที่ไม่ได้กดรับ สัญชาตญาณบางอย่างบอกว่าสายเมื่อครู่น่าจะเป็นเขตไท น้องชายของเธอที่โทร. เข้ามา หรืออาจเป็นสายจากตำรวจที่ทำคดีของน้องชายเธออยู่หญิงสาวเดินออกจากห้องน้ำ กะเอาไว้ว่าจะไปเอนหลังนอนบนเก้าอี้ยาวในห้องล็อกเกอร์สักหน่อย ก็พอดีกับที่มีเสียงเรียกมาจากด้านหลังพอดีจึงหันไปตามเสียงเรียก“ม็อท คุณโอมให้ไปหาที่รถแน่ะ เห็นบอกว่าอยากไปกินบะหมี่อะไรเนี่ยแหละ เขารออยู่”“อ้าวงั้นหรือ ขอบคุณนะคะ” คราวแรกช่อมาลีนึกระแวงไม่น้อย แต่พออีกฝ่ายพูดถึงบะหมี่ที่เคยพาพชรไปกินด้วยกันแล้วจึงคิดว่าชายหนุ่มน่าจะเรียกหาอยู่จริง ๆ เพราะเรื่องนี้มีเพียงเธอกับเขาเท่านั้นที่รู้หญิงสาวรีบเดินออกไปทางประตูด้านหลังที่จะออกไปสู่ลานจอดรถสำหรับพนักงาน สายตาระแวดระวังสอดส่ายไปทั่วบริเวณ พอไม่เห็นว่ามีใครเดินตามมาจึงค่อยโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง จากนั้นจึงรีบก้าวเร็ว ๆ เพื่อไปให้ถึงรถยุโรปคันหรูที่จำได้ติดตา แสงไฟสปอร์ตไลต์ที่ส่องสว่างในบริเวณลานจอดรถนั้นช่ว
เสียงสั่นพร่าไปด้วยแรงอารมณ์ของชายหนุ่มขณะกำลังพูดชิดริมฝีปากอิ่ม เขาเอาหน้าผากแนบกับเธอแล้วระดมจูบย้ำ ๆ ที่เรียวปากนุ่มหอมชวนให้เคลิบเคลิ้ม ทว่าหญิงสาวที่เหมือนกำลังอยู่ในห้วงฝันดูเหมือนจะไม่รับรู้ถ้อยคำจากเขาเท่าไร นัยน์ตาหวานฉ่ำหยาดเยิ้มดูล่องลอยกำลังปลุกแรงปรารถนาในกายเขาขึ้นอีกครั้ง“อย่าทำหน้าอย่างนี้ถ้าไม่อยากถูกผมลักพาตัวขึ้นไปข้างบน”เขาพูดไปในขณะที่ปากก็พร่ำจุมพิตไปทั่วหน้า หญิงสาวมองเขาที่เคลื่อนไหววนเวียนอยู่แถว ๆ ใบหน้าและซอกคอไม่ยอมหยุดจนต้องยกมือขึ้นจับหน้าเขาไว้“คุณโอมก็หยุดสิคะ อย่าแกล้งม็อท เดี๋ยวม็อทต้องขึ้นแสดงแล้ว”ให้ตายเถอะ เสียงของเธอหายไปไหนหมดนี่ เมื่อครู่สาบานได้ว่าเธอพยายามที่จะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ทำไมมันถึงได้สั่นพร่าจนฟังเหมือนกระซิบมากกว่าอย่างนี้เล่า“คนที่โดนแกล้งคือผมมากกว่า คุณกำลังจะทำให้ผมเป็นบ้าเพราะต้องการคุณ รู้บ้างรึเปล่า” เขากดสะโพกเธอให้เข้ามาบดเบียดแก่นกายร้อนผ่าวอีกครั้งราวกับต้องการยืนยันสิ่งที่ตนเองพูด“เดี๋ยวม็อทต้องไปแล้วค่ะคุณโอม” เธอดันอกกว้างของเขาให้ถอยห่างอย่างมีชั้นเชิง ปลายนิ้ว
ช่อมาลีนั่งมองเพื่อนชายที่ยืนกอดอกจ้องไปทางบูธดีเจตาแทบไม่กะพริบด้วยความสงสัย ครั้นพอหันมองตามสายตาของคริสไป หญิงสาวก็ยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ จึงหันไปหาเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน“ไอ้จิล เราตกข่าวอะไรไปรึเปล่าวะ” เวลาอยู่กับเพื่อน เธอมักจะพูดจาแบบนี้เสมอด้วยความเคยชิน เพราะเป็นเรื่องปกติระหว่างพวกเธออยู่แล้วตั้งแต่สมัยเรียนด้วยกันมา“อืม...คริสมันกำลังตกอยู่ในห้วงรัก” จิลตอบเพื่อนยิ้ม ๆ พลางพยักพเยิดไปทางหญิงสาวที่ยืนอยู่ในบูธดีเจช่อมาลีทำตาโตราวกับเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เพราะปกติเห็นคริสควงแต่สาวเซ็กซี่ร้อนแรง แล้วนึกอย่างไรถึงได้มาลงเอยกับสาวใส ๆ แบบมิวได้“วู้...ไม่น่าเชื่อ” หญิงสาวได้แต่อุทานเบา ๆ ไม่ใช่ว่าดีเจมิวไม่สวย จากที่เห็นด้วยตา มิวจัดว่าหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาเพราะเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มแบบที่ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบ นัยน์ตากลมโต จมูกเล็ก ๆ แก้มป่อง ปากอิ่มสีสดจนเธอนึกอิจฉา รูปร่างก็กะทัดรัดดูน่าทะนุถนอม แต่ที่เธอแปลกใจก็เพราะไม่คิดว่าคริสจะมาแพ้ทางสาวสไตล์นี้เข้าจนได้“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะ แ
ขาไปกลับระหว่างที่นี่กับที่คลับเขาก็ไม่ต้องห่วง เพราะเพื่อนในวงของเธอมารับส่งถึงที่อยู่แล้ว เขารู้ดี“ขอบคุณมากค่ะที่มาส่ง”ช่อมาลียกมือไหว้ขอบคุณเขาแต่กลับไม่กล้าสบตาด้วย เมื่อครู่ตอนที่นั่งอยู่ในรถ เขาก็ดึงมือเธอไปกุมเอาไว้ตลอดเวลา จะชักออกก็ไม่กล้าเพราะกลัวเขาโกรธ“อืม...ขึ้นห้องเถอะ เดี๋ยวผมกลับแล้ว” ชายหนุ่มยืนเอาหลังพิงตัวรถ มือสอดเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงทั้งสองอย่าง เพราะกลัวมันจะยืดยาวไปคว้าร่างของเธอมากอดไว้ช่อมาลีหมุนตัวเดินเข้าไปแตะคีย์การ์ดหน้าประตูเพื่อเข้าไปด้านใน อะพาร์ตเมนต์ หญิงสาวหันกลับมามองเขาอีกครั้งก็ยังเห็นเขายืนพิงรถมองอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหน จนกระทั่งลิฟต์มาแล้วจึงก้าวเข้าไปข้างใน ชายหนุ่มจึงขึ้นรถของตนเองแล้วขับออกไปทันทีเมื่อมาถึงห้อง ช่อมาลีคว้าตุ๊กตาตัวใหญ่ที่วางอยู่บนโซฟามากอดแน่น รอยยิ้มระบายเต็มวงหน้าทั้งปากทั้งตาอย่างเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เพราะเขาน่ารักอย่างนี้ไงเล่า เธอถึงได้หักห้ามใจไม่ให้คิดเกินเลยกับเขาไม่ได้สักที แม้ไม่รู้ว่าการกระทำที่เขาแสดงออกมาทั้งหมดนี้จะเป็นเพราะเอ็นดูเธอในฐานะลูกน้อง หรืออะไรก็ตาม เ