“เอาล่ะครับ ผมขอเวลาพวกคุณครู่เดียวเท่านั้น ก่อนอื่นเนี่ย...ไม่ทราบว่าใครเป็นคนเจอศพเป็นคนแรก” ตาคมกริบของสารวัตรตวัดมองไปที่พชร ช่อมาลี และผู้จัดการหนุ่มที่ยืนทำหน้าตาตื่นเมื่อเจอกับคำถาม
“ผะ...ผมครับ ผมเจอคนแรก เพราะรถของผมจอดอยู่ใกล้กับ...เอ่อ...กับเธอครับ” แมทหลบตาสารวัตรราวกับไม่ต้องการให้ถามอะไรต่อไปอีก แต่จากประสบการณ์การทำงานสอบสวน จุมพลรู้ได้ในทันทีว่าผู้ชายคนนี้จงใจปิดบังอะไรบางอย่างอยู่ จึงรุกถามต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้คนถูกถามได้พักหายใจ
“คุณมีอะไรจะบอกผมรึเปล่าคุณแมท”
แมทสะดุ้งเฮือก เหลือบตาขึ้นมองหน้าสารวัตรหนุ่มแล้วก้มหน้ามองพื้นอีกครั้ง ริมฝีปากสีแดงสดเม้มเข้าหากันแน่น สุดท้ายก็ตัดสินใจพูด
“เมื่อช่วงประมาณห้าทุ่มกว่า ๆ หลังจากที่ผมเอาเบียร์ขึ้นไปให้สารวัตร ตอนลงมาผมเจอกับแนนนี่พอดีครับ เธอบอกว่าจะขึ้นไปหาคุณโอมบนห้อง แต่ผมบอกเธอไปว่าคุณโอมไม่ได้สั่งเอาไว้ว่าให้เธอขึ้นไปหา อีกอย่างคือ...เพราะผมเห็นว่าคุณโอมพาผู้หญิงขึ้นไปพอดีเลยไม่อยากให้มีปัญหาน่ะครับ”
ผู้จัดการหนุ่มพูดพลางเหลือบตามองเจ้านายที่ยืนทำหน้าอิหลักอิเหลื่อเอามือล้วงกระเป๋ากา
อดเสียใจไม่ได้ ถ้าหากเธอไม่รู้ไม่เห็นรอยบ้า ๆ นั่นยังจะดีเสียกว่า แม้ว่าเจ้าตัวพยายามจะปกปิดด้วยเสื้อแขนยาวแล้วก็ตาม แต่สายตาเจ้ากรรมของเธอก็ยังอุตส่าห์ไปเห็นเข้าจนได้ให้ตายเถอะ! เธอไม่เชื่อเด็ดขาดว่าคริสจะเป็นฆาตกร!เมื่อกลับมาถึงบ้าน ดีเจมิวก็เข้าห้องปิดประตูเงียบ หญิงสาวล้มตัวลงนอนบนเตียงครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้า“ผมเตือนคุณแล้วนะว่าอย่ายุ่งเรื่องนี้” ร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งตรงเข้ามากักตัวเธอไว้จนติดกับกำแพง พลางก้มหน้าลงมากระซิบลอดไรฟันจนแทบชิดใบหูของเธอ“แล้วนายมายุ่งอะไรด้วย ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน”มิวพยายามหลบหลีกใบหน้าคมสันที่ก้มลงมาจนแทบชิด กระซิบตอบเขากลับไปอย่างหัวเสีย โกรธที่เขาเข้ามายุ่งเรื่องของเธอ ทั้งยังขู่เข็ญสารพัดให้เธอเลิกช่วยเหลือดีเจอาร์ม“อยากติดคุกหรือไง คราวก่อนผมอุตส่าห์พูดบอกคุณดี ๆ แล้วนะเพราะเห็นว่ากำลังถูกไอ้อาร์มมันหลอกใช้ นึกว่าจะสำนึกกลับตัวได้ทัน แล้วทำไมยังเห็นมาช่วยมันเก็บขอ
จุมพลเหลือบตามองตัวเลขตรงที่เป็นวันที่และเวลาที่มุมล่างขวาทันทีเพื่อความแน่ใจ หลังจากนั้นทั้งสี่คนก็เอาแต่จ้องภาพทางหน้าจอทั้งสี่ช่องโดยไม่มีการพูดอะไรกันอีกเลย“กรอเร็วขึ้นอีกนิดได้ไหม” สารวัตรหนุ่มพูดขึ้นเมื่อมองดูแล้วทุกอย่างแทบไม่มีอะไรสะดุดสายตา แต่แล้วพอเขามองไปที่จอภาพจอหนึ่งเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้“เฮ้ย! เดี๋ยว! หยุดภาพตรงนี้ก่อนแล้วซูมเข้าไปใกล้ ๆ”เดชทำตามคำสั่งทันทีเมื่อเห็นตำรวจคนที่เจ้านายพามาชี้ไปยังจอภาพขวาบนซึ่งเป็นภาพที่มาจากกล้องตรงประตูที่ออกมาจากครัวที่หน้าจอบอกเวลาเที่ยงคืนหกนาที จากกล้องทางฝั่งห้องครัวปรากฏภาพของหญิงสาวคนหนึ่งเดินสูบบุหรี่ออกมาทางประตูด้านหลัง หล่อนยืนอยู่ไม่นานนักก็เดินตรงมาทางครัวแล้วก็ผลุบหายไปจากหน้าจอ ไม่ถึงห้าวินาทีถัดมาหญิงสาวก็เดินกลับออกมาขยี้ก้นบุหรี่ที่ถังขยะ แล้วก็เดินหายออกจากจอไปทางแท็งก์น้ำ“กล้องตรงนี้เห็นได้มากที่สุดก็คือแค่ตรงเก้าอี้พักสูบบุหรี่นี่น่ะหรือ ตรงแท็งก์น้ำมองไม่เห็นใช่ไหม” จุมพลถามพลางมองจ้องเข้าไปที่จอภาพ ซึ่งในภาพเห็นตรงส่วนของแท็งก์น้ำก็แค่ฐานของมันที่เลยจากพื้นดินมาประมาณ
วันต่อมา ภีมพลสั่งให้ผู้จัดการคลับไปจัดหาบริษัทที่รับติดตั้งกล้องวงจรปิด และต้องทำให้เสร็จภายในวันนั้นทันทีพชรยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา สิบโมงแล้วทว่าเขากลับไม่รู้สึกง่วงงุนเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่ไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืนเพราะมัวแต่จัดการเรื่องยุ่ง ๆ ทั้งหลายกับภีมพล และเจ้าหน้าที่ตำรวจจนถึงเช้า เขารู้สึกว่าหนังตาเริ่มหนัก นัยน์ตาเริ่มแห้งผากจนต้องกะพริบตาบ่อย ๆ เพราะคงอยากพักผ่อนเต็มที แต่สมองกลับตื่นตัวเต็มที่อยู่ตลอดเวลาเขาเอนตัวลงนอนบนโซฟาตัวยาวเอาศีรษะพิงกับพนักไว้ แล้วปิดเปลือกตาลงเพื่อพักสายตาชั่วครู่ ในใจครุ่นคิดสงสัยอยู่เพียงลำพังว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมสองคนนั้นถึงถูกฆ่าตาย และทำไมต้องเป็นที่นี่ จะมีอะไรเกี่ยวกับเขารึเปล่า เพราะผู้หญิงทั้งสองคนนั้นล้วนเป็นคนที่เขาเคยนอนด้วยทั้งสิ้น หรือมันจะเกี่ยวกับภีมพลกันแน่ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว พชรยกมือขึ้นคลึงขมับของตนเองเบา ๆ พลันนั้นคำพูดของใครบางคนก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด‘โกโก้เย็น ๆ สักแก้วไหมคะท่านประธาน เวลาเครียดหรือปวดหัวเนี่ย เขาว่าดื่มโกโก้ หรือกินช็อกโกแลตสักแท่
เขาเคยไปดูน้องชายแสดงสดตามผับอยู่หลายครั้ง ครั้งแรกที่เห็นนักร้องนำสาวของวง เขาก็ติดใจเธอขึ้นมาทันที พยายามถามกับน้องชายหลายครั้ง เพราะอยากได้เจ้าหล่อนมานอนแนบเนื้อสักคืนสองคืน ทว่าน้องชายตัวดีกลับมาขู่เขาไม่ให้ไปยุ่งกับเพื่อนสาวของตนเอง เขาจึงถูกกีดกันให้ห่างจากเธอตั้งแต่นั้นมาเพราะฝีมือของน้องชาย“ใครว่ายังไม่ตื่น! ขึ้นมาบนห้องเราเลยม็อท” เสียงดังมาจากด้านบนทำให้คนทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกันจิลยืนเกาะราวระเบียงอยู่ด้านบน หัวหูดูยุ่งเหยิงเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน แต่แววตาคมกริบมองพี่ชายอย่างปราม ๆ อยู่ในทีจารุวรรธปล่อยมือจากช่อมาลี ทำให้หญิงสาวได้โอกาสรีบวิ่งเข้าไปในตัวบ้าน ส่วนสองหนุ่มที่ยืนจ้องตากันอยู่ด้านนอกนั้นได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมาแข่งกัน แต่ต่างกันที่ความรู้สึก“ผมบอกพี่หลายครั้งแล้วนะว่าอย่ามายุ่งกับเพื่อนผม”พูดจบร่างสูงโปร่งของคนที่อยู่ข้างบนก็ผลุบหายเข้าไปในห้อง ทิ้งให้ผู้เป็นพี่ชายได้แต่ฮึดฮัดอยู่คนเดียวข้างล่างที่พลาดโอกาสงามไปอีกจนได้ช่อมาลีวิ่งหน้าตั้งขึ้นบันไดหินอ่อนตรงดิ่งไปยังห้องของเพื่อนชาย มือหมุนลูกบิดประตูเปิดพรวดเข้า
“คุณออกจากห้องล็อกเกอร์กี่ทุ่ม” จุมพลแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจกับอาการของหญิงสาวเพราะไม่อยากให้เจ้าตัวประหม่า และหวาดกลัวจนเกินไป เขาต้องการข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีในตอนนี้มากกว่า“จำเวลาไม่ค่อยได้ค่ะ คงประมาณเกือบ ๆ เที่ยงคืนมั้งคะ”“ตอนออกจากห้องล็อกเกอร์คุณเจอใครบ้างไหม” พอเจอคำถามนี้เข้าไปหญิงสาวถึงกับแววตาไหววูบ ปากอิ่มเม้มเข้าหากันอีกครั้งก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ“ไม่...ไม่เจอใครเลยค่ะ” มือที่เกาะกุมกันอยู่บนหน้าตักเริ่มบีบเข้าหากันแน่น และถูนิ้วโป้งไปมาอย่างลืมตัว“คุณแน่ใจนะ คิดให้ดี ๆ ก่อนตอบ” จุมพลเชื่อแน่ว่าดีเจสาวมีอะไรปิดบังอยู่แน่นอน แต่เธอกลับปิดปากเงียบไม่ยอมพูดออกมา เขาหันไปมองหน้ากับลูกน้องที่นั่งบันทึกคำให้การอยู่ข้าง ๆ อย่างมีความนัย“ไม่ได้เจอใครจริง ๆ ค่ะ ออกมาจากห้องล็อกเกอร์ก็เดินออกไปที่ฮอลล์เลย” มิวรวบรวมกำลังใจ ทำใจกล้าเงยหน้าขึ้นสบตานายตำรวจหนุ่มที่นั่งอยู่ทั้งสามคน แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อถูกถามเข้าประเด็นที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ลืมไป“ค
แน่นอน เขาไม่ยอมให้เธอเป็นอะไรไปตอนนี้แน่ เพราะเขายังไม่ได้ลองลิ้มชิมรสผีเสื้อแสนสวยคนนี้เลยสักครั้ง เพราะมีเรื่องยุ่ง ๆ เกิดขึ้นเสียก่อน มิเช่นนั้นป่านนี้เขาคงได้เล่นไล่จับใครแพ้ถูกปรับจับถอดผ้ากับเธอบนเตียงไปแล้วช่อมาลีแค่นยิ้มออกมาเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากเขา อดค่อนขอดในใจไม่ได้ว่า แม้น้ำเสียงจะดูห่วงใย แต่สายตาที่มองมานั้นกลับไม่ใช่เลยสักนิด มันดูวาววามจนน่าเอานิ้วจิ้มให้บอดเสียมากกว่า“ฟังดูเหมือนเป็นห่วงเลยนะคะคุณโอม ม็อทนี่โชคดีจังที่มีเจ้านายใจดี” ช่อมาลีหันไปสบตาเขาอย่างท้าทาย“ผมยังใจดีได้กว่านี้อีกเยอะ ถ้าเพียงแต่คุณจะยอมรับน้ำใจจากผมบ้าง” พชรส่งสายตาสื่อความนัย เขารู้ว่าเธอเข้าใจดีว่าเขาหมายถึงอะไร มันก็ขึ้นอยู่ที่ว่าเธอจะเล่นแง่ไปกับเขาอีกนานแค่ไหนเท่านั้นเอง“แหม...แค่นี้ม็อทก็ปลื้มจนไม่รู้จะปลื้มยังไงแล้วค่ะที่คุณโอมใจดีกับม็อทขนาดนี้ ถ้าขืนม็อทรับน้ำใจของคุณโอมขึ้นมาแล้วเกิด...ติดใจจนกลายเป็นถอนตัวไม่ขึ้น ใครจะรับผิดชอบล่ะคะ”ท้ายประโยคเสียงเริ่มผะแผ่วราวกระซิบ ช่อมาลียิ้มใส่ตาเขาแพรวพราว ก่อนจะลุกขึ้นช้า ๆ เมื่อเห็นว่าได้เวลาที่ต้อ
แต่มีคำให้การของเขาประโยคหนึ่งที่น่าสนใจนั่นก็คือ หลังจากที่เขากลับเข้ามาจากการทิ้งขยะครั้งที่สอง เขาเห็นดีเจอาร์มเดินมาหยิบช้อนชาไปยื่นให้ผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่ง ซึ่งทางตำรวจคาดว่าน่าจะเป็นเหยื่อรายที่สองที่ถูกฆาตกรรมส่วนคำให้การของผู้ช่วยพ่อครัวคนที่สาม และพ่อครัวใหญ่ ไม่มีอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะทั้งคู่แทบไม่ได้ออกจากห้องครัวไปไหนนอกจากไปห้องน้ำเท่านั้น และยังบอกอีกด้วยว่าไม่พบเห็นใครเลยที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย เนื่องจากเท่าที่จำได้ก็มีแต่พนักงานด้วยกันเองเท่านั้นที่เดินเข้าออกห้องครัวเมื่อคืนที่ผ่านมาคนต่อมาที่เข้ามาสอบปากคำคือผู้จัดการหนุ่ม ซึ่งทางตำรวจถือว่าเป็นพยานปากสำคัญที่สุดคนหนึ่ง เนื่องจากว่าเขาเป็นผู้พบศพเป็นคนแรก หนำซ้ำศพยังอยู่ใกล้กับบริเวณที่จอดรถของเขาอีกด้วย“ช่วยเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนตั้งแต่ที่คุณเอาเครื่องดื่มขึ้นมาให้ผมเสร็จแล้วด้วยครับว่าหลังจากนั้นคุณไปไหน และทำอะไรต่อบ้าง ผมขอแบบละเอียดยิบเลยนะ” สารวัตรจุมพลยืดตัวขึ้น เอาศอกเท้าไว้กับหน้าขาเพื่อตั้งใจฟังเต็มที่“หลังจากเมื่อคืนที่ผมเอาเบียร์ขึ้นไปให้สารวัตรเสร็จ ผมก็เดินลงมาข้าง
การสอบปากคำเพื่อนสาวทั้งสองคนของผู้ตายแทบไม่ได้ประโยชน์อะไรต่อการสืบสวนเลยแม้แต่น้อย แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์แบบฉาบฉวยของคนกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดีสารวัตรจุมพลถึงกับลอบถอนหายใจ พลางอดนึกเห็นใจหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายทั้งสองรายไม่ได้ที่ไม่มีมิตรแท้คอยช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกันเลยสักคน เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าทันทีที่เขาบอกข่าวร้ายเกี่ยวกับหญิงสาวที่ชื่อแนนนี่ ทั้งสองคนนั้นกลับแสดงอาการเพียงแค่ทำหน้าตื่นตกใจเท่านั้น ไม่ได้มีอาการโศกเศร้าเสียใจให้เห็นเลยสักนิด ดูไปก็น่าเวทนาเหลือเกินจุมพลสั่งให้ลูกน้องเดินปะปนรวมกลุ่มกับบรรดานักท่องเที่ยวเพื่อคอยสังเกตการณ์ไปเรื่อย ๆ อีกกลุ่มก็ปลอมตัวเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัย เป็นเด็กเสิร์ฟ แม้กระทั่งคนทำความสะอาดเพื่อเฝ้าระวังบุคคลน่าสงสัย ซึ่งเขาก็รู้ว่าคงจะไม่ได้อะไรคืบหน้ามากนัก เพราะเชื่อเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าฆาตกรจะต้องเป็นคนในผับนี้อย่างแน่นอน ถ้าไม่ใช่พนักงานก็ต้องเป็นลูกค้าขาประจำที่มาเที่ยวจนคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดีเพราะการเข้านอกออกในห้องครัว หรือโซนสำหรับพนักงานได้ก็หมายความว่าไม่ใช่เพียงแค่รู้จักผิวเผ
“ผมไล่คุณออก ผมไม่ให้คุณผ่านโปร คุณช่อมาลี!” พชรยืนจ้องคนที่นอนหน้าซีดอยู่บนเตียงผู้ป่วยด้วยสายตากรุ่นโกรธ ช่อมาลีพยายามยันกายลุกขึ้นนั่ง แต่แล้วก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดจากแผลที่ถูกแทงบริเวณชายโครงส่วนคนที่ยืนทำหน้าโกรธพอเห็นหญิงสาวหน้าเบ้เพราะเจ็บแผลก็หลุดมาดเข้ม รีบปราดเข้าไปประคองทันที“จะลุกขึ้นมาทำไม เดี๋ยวแผลก็ฉีกหรอก ทำไมชอบหาเรื่องใส่ตัวอย่างนี้นะ” ชายหนุ่มประคองร่างคนป่วยจนนั่งได้ จากนั้นก็กุลีกุจอเอาหมอนมาซ้อนไว้ที่หลังของหญิงสาว แล้วกดปุ่มปรับระดับหัวเตียงให้ยกขึ้น“ดิฉันขอทราบเหตุผลที่ท่านประธานจะไล่ดิฉันออกด้วยค่ะ”ดวงตาของเธอเริ่มมีน้ำเอ่อคลอ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนี้ เธอทำอะไรให้เขาไม่พอใจอย่างนั้นหรือ ทั้งที่เธอก็พยายามทำงานให้เขาชนิดที่เรียกได้ว่าไม่มีขาดตกบกพร่องแท้ ๆ แล้วที่ผ่านมาทั้งหมดมันคืออะไร ที่เขาดีกับเธอเพราะเห็นเป็นแค่ลูกน้องอย่างนั้นหรือช่อมาลีมัวแต่คิดน้อยใจคนตรงหน้า จนลืมนึกไปว่าที่ตนต้องมานอนรักษาตัวอยู่ที่นี่ก็เพราะเอาตนเองเป็นเหยื่อล่อฆาตกรในต
“วันนี้คุณต้องตื่นนะคนสวย ถ้าคุณไม่ตื่นผมก็จะนั่งเฝ้าคุณอยู่อย่างนี้จนกว่าคุณจะตื่นนั่นแหละ”พชรพูดกับคนที่นอนไม่ได้สติอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ลากเก้าอี้ที่วางชิดกำแพงอีกด้านมานั่งอยู่ข้างเตียง เขาถือวิสาสะเลิกเสื้อของหญิงสาวขึ้นเล็กน้อยพอให้มองเห็นบริเวณที่เป็นแผล สายตาทอประกายเจ็บปวดเมื่อเห็นรอยเลือดที่ซึมออกมาจากผ้าพชรคว้ามือของช่อมาลีขึ้นมาแตะริมฝีปากของตนเองลงไปเบา ๆ จากนั้นก็ประสานนิ้วมือของเขากับเธอเข้าไว้ด้วยกัน มีเพียงแรงกระเพื่อมจากอกเท่านั้นที่บอกเขาว่าเธอยังมีลมหายใจอยู่ชายหนุ่มเอาแต่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นแทบไม่ขยับ จนกระทั่งร่างกายเริ่มฝืนความอ่อนล้าต่อไปไม่ไหว สุดท้ายใบหน้าเขาก็เอนซบลงไปบนเตียงของหญิงสาวแรงสะกิดที่ไหล่จากเบา ๆ ก็เริ่มจะหนักขึ้นมาเรื่อย ๆ จนพชรต้องสะดุ้งตื่น เขาไม่รู้ว่าตนหลับไปนานแค่ไหน รู้แต่ว่าสายตาที่มองมาอย่างไม่เป็นมิตรของผู้กองชินกฤตกำลังพุ่งตรงมาที่เขาอย่างจงใจ ข้างกันกับนายตำรวจหนุ่มคือช่อฟ้า มารดาของช่อมาลีที่มองมาทางเขาอย่างเคลือบแคลงสงสัยเช่นกัน จนกระทั่งพชรก้มมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตนเอง ถึงเพิ่งรู
“ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ โชคดีที่พามาส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลา แต่เนื่องจากว่าคนไข้เสียเลือดไปมาก ทางโรงพยาบาลก็เพิ่งให้เลือดไป ตอนนี้คงต้องให้พักรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูไปก่อนเพราะต้องคอยดูอาการเป็นระยะ ๆ และยังไม่อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมนะครับ”แพทย์ผู้ทำการรักษากล่าวจบก็เดินจากไป คนที่ได้ฟังต่างก็รู้สึกโล่งใจไปตาม ๆ กันโดยเฉพาะเขตไทที่พอฟังจบก็เดินเข้ามาหาพชรแล้วยกมือไหว้อย่างขอบคุณ“พี่ครับ ผมต้องขอบคุณพี่มากที่ตอนนั้นพี่รีบพาพี่มาลีขึ้นรถมาโรงพยาบาล เพราะผมก็มัวแต่...” เขตไทพูดได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบเสียงลงไปเพราะก้อนสะอื้นเริ่มขึ้นมาจุกที่คอ ตอนนั้นเขามัวแต่เล่นงานคนที่แทงพี่สาวจนลืมนึกไปว่าต้องรีบพาส่งโรงพยาบาล กลับกลายเป็นพชรที่มาถึงก็รีบช้อนตัวพี่สาวเขาอุ้มขึ้นรถมาทันที“ไม่เป็นไรหรอกคนกันเอง ขอแค่ให้ช่อมาลีเขาปลอดภัยก็พอแล้ว”พชรหันไปยิ้มให้พร้อมกับตบบ่าเด็กหนุ่มเบา ๆ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ก้อนหินหนัก ๆ ที่ถ่วงใจเขาก่อนหน้านี้ละลายหายไปหมดแล้ว“ขอบคุณมากครับคุณ...” ผู้กองชินกฤตเอ่ยขอบคุณพชร พลางยื่นมือออกมา พชรจึงยื่นมื
ทันทีที่ส่งตัวช่อมาลีถึงมือแพทย์ พชรก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉินอย่างหมดเรี่ยวแรง ในใจได้แต่ปลอบตนเองซ้ำไปซ้ำมาว่าถึงมือหมอแล้วเธอต้องปลอดภัย ทั้งที่ลึก ๆ แล้วเขาเองก็ไม่ค่อยมั่นใจนักชายหนุ่มเหลือบมองคนที่เดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องที่ช่อมาลีกำลังเข้ารับการรักษา เห็นเลือดที่ไหลออกมาจากแขนขวาแล้วหยดลงพื้นแต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจมันเท่าไร พชรจึงเดินไปจับไหล่อีกข้างแล้วบีบเบา ๆ“ชื่อเขตใช่ไหมเรา พี่ว่าไปทำแผลก่อนดีกว่าไหม เลือดไหลใหญ่แล้วนะ” พชรมองเสี้ยวหน้าของเด็กหนุ่มที่มีส่วนละม้ายกับพี่สาวอยู่มากอย่างเป็นห่วง ก่อนหน้านี้เขารู้มาจากช่อมาลีว่ายังตามตัวของเขตไทไม่พบ แต่อยู่ดี ๆ เจ้าตัวก็กลับโผล่มาเสียเอง ใจนึกอยากจะถามให้รู้เรื่องรู้ราวแต่ติดที่ว่าตัวเขายังเป็นคนนอกสำหรับครอบครัวนี้อยู่ จึงไม่สมควรไปก้าวก่าย“แต่ผมเป็นห่วงพี่มาลี พี่ผมจะเป็นอะไรไหม ถ้าผมไปทำแผลแล้วเกิดหมอเขาต้องการเลือดด่วนล่ะ” เขตไทบอกกับพชรด้วยสีหน้ากังวลเพราะเป็นห่วงพี่สาวจนลืมอาการปวดที่บาดแผลของตนเองไปเสียสิ้น“ถึงมือหมอแล้วยังไงพี่สาวนายก็ต้องปลอดภัยแน่นอน ไม่ต้
“จะเป็นสายจากโรงพักรึเปล่านะ” หญิงสาวได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ รู้สึกใจกระตุกแปลก ๆ กับสายที่โทร. เข้ามาเมื่อครู่ แล้วก็ให้เสียดายที่ไม่ได้กดรับ สัญชาตญาณบางอย่างบอกว่าสายเมื่อครู่น่าจะเป็นเขตไท น้องชายของเธอที่โทร. เข้ามา หรืออาจเป็นสายจากตำรวจที่ทำคดีของน้องชายเธออยู่หญิงสาวเดินออกจากห้องน้ำ กะเอาไว้ว่าจะไปเอนหลังนอนบนเก้าอี้ยาวในห้องล็อกเกอร์สักหน่อย ก็พอดีกับที่มีเสียงเรียกมาจากด้านหลังพอดีจึงหันไปตามเสียงเรียก“ม็อท คุณโอมให้ไปหาที่รถแน่ะ เห็นบอกว่าอยากไปกินบะหมี่อะไรเนี่ยแหละ เขารออยู่”“อ้าวงั้นหรือ ขอบคุณนะคะ” คราวแรกช่อมาลีนึกระแวงไม่น้อย แต่พออีกฝ่ายพูดถึงบะหมี่ที่เคยพาพชรไปกินด้วยกันแล้วจึงคิดว่าชายหนุ่มน่าจะเรียกหาอยู่จริง ๆ เพราะเรื่องนี้มีเพียงเธอกับเขาเท่านั้นที่รู้หญิงสาวรีบเดินออกไปทางประตูด้านหลังที่จะออกไปสู่ลานจอดรถสำหรับพนักงาน สายตาระแวดระวังสอดส่ายไปทั่วบริเวณ พอไม่เห็นว่ามีใครเดินตามมาจึงค่อยโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง จากนั้นจึงรีบก้าวเร็ว ๆ เพื่อไปให้ถึงรถยุโรปคันหรูที่จำได้ติดตา แสงไฟสปอร์ตไลต์ที่ส่องสว่างในบริเวณลานจอดรถนั้นช่ว
เสียงสั่นพร่าไปด้วยแรงอารมณ์ของชายหนุ่มขณะกำลังพูดชิดริมฝีปากอิ่ม เขาเอาหน้าผากแนบกับเธอแล้วระดมจูบย้ำ ๆ ที่เรียวปากนุ่มหอมชวนให้เคลิบเคลิ้ม ทว่าหญิงสาวที่เหมือนกำลังอยู่ในห้วงฝันดูเหมือนจะไม่รับรู้ถ้อยคำจากเขาเท่าไร นัยน์ตาหวานฉ่ำหยาดเยิ้มดูล่องลอยกำลังปลุกแรงปรารถนาในกายเขาขึ้นอีกครั้ง“อย่าทำหน้าอย่างนี้ถ้าไม่อยากถูกผมลักพาตัวขึ้นไปข้างบน”เขาพูดไปในขณะที่ปากก็พร่ำจุมพิตไปทั่วหน้า หญิงสาวมองเขาที่เคลื่อนไหววนเวียนอยู่แถว ๆ ใบหน้าและซอกคอไม่ยอมหยุดจนต้องยกมือขึ้นจับหน้าเขาไว้“คุณโอมก็หยุดสิคะ อย่าแกล้งม็อท เดี๋ยวม็อทต้องขึ้นแสดงแล้ว”ให้ตายเถอะ เสียงของเธอหายไปไหนหมดนี่ เมื่อครู่สาบานได้ว่าเธอพยายามที่จะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ทำไมมันถึงได้สั่นพร่าจนฟังเหมือนกระซิบมากกว่าอย่างนี้เล่า“คนที่โดนแกล้งคือผมมากกว่า คุณกำลังจะทำให้ผมเป็นบ้าเพราะต้องการคุณ รู้บ้างรึเปล่า” เขากดสะโพกเธอให้เข้ามาบดเบียดแก่นกายร้อนผ่าวอีกครั้งราวกับต้องการยืนยันสิ่งที่ตนเองพูด“เดี๋ยวม็อทต้องไปแล้วค่ะคุณโอม” เธอดันอกกว้างของเขาให้ถอยห่างอย่างมีชั้นเชิง ปลายนิ้ว
ช่อมาลีนั่งมองเพื่อนชายที่ยืนกอดอกจ้องไปทางบูธดีเจตาแทบไม่กะพริบด้วยความสงสัย ครั้นพอหันมองตามสายตาของคริสไป หญิงสาวก็ยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ จึงหันไปหาเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน“ไอ้จิล เราตกข่าวอะไรไปรึเปล่าวะ” เวลาอยู่กับเพื่อน เธอมักจะพูดจาแบบนี้เสมอด้วยความเคยชิน เพราะเป็นเรื่องปกติระหว่างพวกเธออยู่แล้วตั้งแต่สมัยเรียนด้วยกันมา“อืม...คริสมันกำลังตกอยู่ในห้วงรัก” จิลตอบเพื่อนยิ้ม ๆ พลางพยักพเยิดไปทางหญิงสาวที่ยืนอยู่ในบูธดีเจช่อมาลีทำตาโตราวกับเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เพราะปกติเห็นคริสควงแต่สาวเซ็กซี่ร้อนแรง แล้วนึกอย่างไรถึงได้มาลงเอยกับสาวใส ๆ แบบมิวได้“วู้...ไม่น่าเชื่อ” หญิงสาวได้แต่อุทานเบา ๆ ไม่ใช่ว่าดีเจมิวไม่สวย จากที่เห็นด้วยตา มิวจัดว่าหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาเพราะเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มแบบที่ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบ นัยน์ตากลมโต จมูกเล็ก ๆ แก้มป่อง ปากอิ่มสีสดจนเธอนึกอิจฉา รูปร่างก็กะทัดรัดดูน่าทะนุถนอม แต่ที่เธอแปลกใจก็เพราะไม่คิดว่าคริสจะมาแพ้ทางสาวสไตล์นี้เข้าจนได้“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะ แ
ขาไปกลับระหว่างที่นี่กับที่คลับเขาก็ไม่ต้องห่วง เพราะเพื่อนในวงของเธอมารับส่งถึงที่อยู่แล้ว เขารู้ดี“ขอบคุณมากค่ะที่มาส่ง”ช่อมาลียกมือไหว้ขอบคุณเขาแต่กลับไม่กล้าสบตาด้วย เมื่อครู่ตอนที่นั่งอยู่ในรถ เขาก็ดึงมือเธอไปกุมเอาไว้ตลอดเวลา จะชักออกก็ไม่กล้าเพราะกลัวเขาโกรธ“อืม...ขึ้นห้องเถอะ เดี๋ยวผมกลับแล้ว” ชายหนุ่มยืนเอาหลังพิงตัวรถ มือสอดเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงทั้งสองอย่าง เพราะกลัวมันจะยืดยาวไปคว้าร่างของเธอมากอดไว้ช่อมาลีหมุนตัวเดินเข้าไปแตะคีย์การ์ดหน้าประตูเพื่อเข้าไปด้านใน อะพาร์ตเมนต์ หญิงสาวหันกลับมามองเขาอีกครั้งก็ยังเห็นเขายืนพิงรถมองอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหน จนกระทั่งลิฟต์มาแล้วจึงก้าวเข้าไปข้างใน ชายหนุ่มจึงขึ้นรถของตนเองแล้วขับออกไปทันทีเมื่อมาถึงห้อง ช่อมาลีคว้าตุ๊กตาตัวใหญ่ที่วางอยู่บนโซฟามากอดแน่น รอยยิ้มระบายเต็มวงหน้าทั้งปากทั้งตาอย่างเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เพราะเขาน่ารักอย่างนี้ไงเล่า เธอถึงได้หักห้ามใจไม่ให้คิดเกินเลยกับเขาไม่ได้สักที แม้ไม่รู้ว่าการกระทำที่เขาแสดงออกมาทั้งหมดนี้จะเป็นเพราะเอ็นดูเธอในฐานะลูกน้อง หรืออะไรก็ตาม เ
“หิวสิถึงได้รีบกลับมานี่ไง นึกว่าคุณยังไม่กินเสียอีกจะได้กินด้วยกัน” พูดพลางเอื้อมมือไปถือจานกับถุงอาหารเสียเอง แต่ไม่ยอมถือแก้วโกโก้เย็นที่เขาสั่งไว้ก่อนหน้า จากนั้นก็เดินนำเข้าไปในห้องทำงานเพื่อให้เลขาฯ สาวเดินตามเข้าไปแต่โดยดี“ดิฉันนึกว่าท่านประธานจะกินมาจากข้างนอกเสียอีก” ช่อมาลีเดินเข้าไปวางแก้วโกโก้บนโต๊ะตรงหน้าเขา“ไม่ล่ะ อยากกินข้าวกับคุณมากกว่า งานยุ่งไหมวันนี้” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแต่แฝงความนัยในถ้อยประโยค ทำเอาคนฟังรู้สึกอุ่นซ่านในหัวใจ หญิงสาวจับกรอบแว่นตาให้เข้าที่ตอนที่ก้มหน้าลงเล็กน้อยเพราะไม่กล้าสบตาเขา ก่อนจะตอบคำถามไปแบบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง“ก็...ไม่เท่าไรค่ะ ทำไปเรื่อย ๆ”“งั้นก็ดีเลย มานั่งเป็นเพื่อนผมกินข้าวหน่อยสิ” พชรพูดพลางเลื่อนกองเอกสารตรงหน้าหญิงสาวย้ายเอาไปไว้อีกมุมโต๊ะเพื่ออำนวยความสะดวกเต็มที่ ช่อมาลีไม่อยากนั่งเพราะไม่อยากให้ตนเองหวั่นไหวไปมากกว่านี้ แต่ก็ไม่กล้าขัดจึงหย่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามเขาแต่โดยดีหญิงสาวตวัดตามองเขาแล้วรีบหลุบตาลงต่ำ เพราะกลัวเขารู้ว่าเธอแอบมอง ในขณะที่คนถูกแอบมองกลับเงยหน้าขึ้น