หน้าหลัก / โรแมนติก / เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว / บทที่ 2 พระชายาจะตายไม่ได้

แชร์

บทที่ 2 พระชายาจะตายไม่ได้

ผู้แต่ง: หลิ่วเยว่
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-10-29 19:42:56
เจ็บ……

เจ็บเหมือนโดนแทง...

นาง ล่อจี่นซูผู้อำนวยการการแพทย์เทียนจ้าน ได้พัฒนาระบบการแพทย์เลือดสีน้ำเงินของสำนักการแพทย์เทียนจ้าน แต่ถูกกล่าวหาว่าฆ่านักพัฒนาหลายคนและขโมยผลการวิจัยและพัฒนาของพวกเขา

นางถูกจำคุกในคุกทะเลของสำนักเทียนจ้านระยะเวลาห้าปี นั่นเป็นนรกบนโลกที่เต็มไปด้วยคนร้ายและผู้อ่อนแอตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง

แม้ว่านางจะถูกทรมานทั้งกลางวันและกลางคืน แต่นางก็มีความยึดมั่นอย่างเดียวในใจคือการหลบหนีและค้นหาความจริงเกี่ยวกับการฆาตกรรมเจ้าหน้าที่พัฒนา

น่าเสียดายที่นางไม่มีโอกาสนั้น หลังจากทนทุกข์ทรมานในเรือนจำทะเลเป็นเวลาห้าปีนางก็ถูกประหารชีวิต

นางเสียชีวิตอย่างไม่ยุติธรรมและข้ามภพมาเป็นลูกสาวกำพร้าของท่านแม่ทัพล่อในราชวงศ์หยาน

ล่อจี่นซูเด็กสาวกำพร้าที่ถูกใส่ร้ายและเกือบถูกข่มขืน

ส่วนเจ้าชายหซู่หยุนจินเฟิงเขาผิดสัญญาเรื่องแต่งงานก่อนและยังกักบริเวรนางอีก ตอนนี้เขายังกล่าวหานางว่านางได้ฆ่าพระชายาและต้องการให้คนเลี้ยวม้าข่มขืนนางจนตาย

ช่างเป็นชายชั่วที่ทำตัวเหมือนว่าตนนั้นเป็นคนที่รักเดียว

รู้สึกเจ็บแสบเล็กน้อยที่ข้อมือ นางยกมือขึ้นและเห็นเครื่องหมายของโล่เลือดสีน้ำเงินค่อย ๆ ปรากฏบนข้อมือที่เปื้อนเลือดของนาง

นางตกใจมาก เป็นไปได้ยังไง?

โล่เลือดสีน้ำเงินเป็นโล่ป้องกันและโจมตีของเทียนจ้าน โล่นั้นเต็มไปด้วยระบบป้องกันในช่วงสงครามชีพจรเลือดสีน้ำเงินและระบบการแพทย์ที่นางพัฒนาขึ้นเอง

โล่เลือดสีน้ำเงินสามารถข้ามเวลาได้จริงหรือ? นี่มันเหลือเชื่อมาก

แต่ตอนนี้นางไม่สนใจเรื่องนั้นแล้ว นางทรมานกับความอยุติธรรมในใจ ไม่ว่าชาติที่แล้วหรือชาตินี้นางได้แบกรับความไม่ยุติธรรมที่ไม่อาจชำระล้างได้

พระชายาหซู่เหลิ่งจิงจิงตายไม่ได้ นางเป็นคนเดียวที่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเจ้าของเดิมได้ นางยังเป็นคนเดียวในจวนแห่งนี้ที่ดีกับเจ้าของเดิม

นางลุกขึ้นยืนเหยียบเลือดคนเลี้ยวม้าด้วยรองเท้าที่เปียกชุ่ม เปิดประตูและกระโจนเข้าสู่สายฝนที่ตกหนัก

เสียงฝนปกคลุมเสียงร้องไห้ และเมฆมืดครึ้มปกคลุมเรือนหลักทั้งหมดของหอเหยาหยูจู

หมอหลวงได้ถูกเรียกมารักษาพระชายา แต่ให้ทานยานางก็ไม่ทาน ฝังเข็มก็ไม่มีประโยชน์

เหลิ่งซวงซวงน้องสามแท้ ๆ ของพระชายาร้องไห้หนักมากจนทนไม่ไหว นางเอนตัวพิงหยุนจินเฟิงเล็กน้อยแล้วพูดด้วยความโกรธ " ล่อจี่นซูทำไมโหดร้ายขนาดนี้ ? พี่สาวทำอะไรให้นางถึงได้แค้นท่านพี่ขนาดนี้ นางทำไมถึงทำร้ายจนเป็นพี่สาวแบบนี้?"

ริมฝีปากของหยุนจินเฟิงสั่นไหว เขากลั้นน้ำตาไว้ใบหน้าของเขาซีดอย่างน่ากลัว และเขาก็ตะโกนใส่หมอหลวง " ฝักเข็มต่อสิ มัวนิ่งอยู่ทำไม"

หมอหลวงไปฝังเข็มต่อ แต่ถอนหายใจ " ท่านอ๋อง เกรงว่ามันจะไม่มีประโยชน์"

หยุนจินเฟิงเตะเก้าอี้ไปและเส้นเลือดก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขา " ขยะ ไอ่พวกไร้ประโยนช์ !"

หมอหลวงคุกเข่าลงแล้วกล่าวว่า " หากท่านมีอะไรจะพูด โปรดรีบพูดเถอะพะยะค่ะ ข้าเกรงว่าพระชายาจะอยู่ได้ไม่นานแล้ว "

หยุนจินเฟิงรู้สึกราวกับกำลังหมดแรง เมื่อมองดูใบหน้าของภรรยาสุดที่รักที่เคยมีดวงตาที่สดใส แต่ตอนนี้ไม่มีส่วนไหวที่ดีบนใบหน้าของนางเลยแม้แต่น้อย หัวใจของเขาก็ปวดร้าวและอยากฟันนังนั่นเป็นชิ้น ๆ ด้วยมีดนับพันเล่ม

“ ออกไป ไสหัวออกไป !” เขาตะคอก

สื่นเหรินยกมือขึ้นและบอกให้ทุกคนออกไป เหลิ่งซวงซวงรีบวิ่งไปกอดหยุนจินเฟิงพร้อมสะอื้น “ พี่เขย ข้าจะอยู่กับท่านที่นี่ เพื่อบอกลาท่านพี่ ”

หยุนจินเฟิงเดินโซเซก้าวหนึ่ง "สื่นเหริน!"

สื่นเหรินสั่งให้สาวใช้พาเหลิ่งซวงซวงออกไป เหลิ่งซวงซวงร้องไห้และตะโกนเรียกพี่เขย แต่หยุนจินเฟิงก็ไม่แยแส นอกจากความเกลียดชังและความเจ็บปวดแล้ว ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเหลืออยู่ในใจแล้ว

สื่นเหรินสั่งให้ทุกคนรออยู่ในห้องรอง ปล่อยให้เจ้าชายบอกลาพระชายาตามลำพัง

ฟ้าแลบและฟ้าร้องอย่างบ้าคลั่ง

ท่ามกลางเสียงฝนก็ปรากฏเงาบนบันไดหินที่เดินท่ามกลางสายฝน โคมที่ปลิวไปสะท้อนให้เห็นคราบเลือดที่เป็นจุดๆ บนใบหน้าของนาง

มือที่เต็มไปด้วยคราบเลือดผลักประตูไม้แกะสลักออกเบา ๆ และน้ำฝนพร้อมด้วยเลือดก็แทรกซึมเข้าไปในรอยแตกบนพื้นกระเบื้องสีทองของห้องหลัก

หยุนจินเฟิงเงยหน้าขึ้นมองและดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธ เพราะเหตุใดอี่ตัวเมียตัวนี้จึงยังปรากฏต่อหน้าเขาขนาดที่ยังเป็นอยู่ ?

เขารีบวิ่งไปข้างหน้าและยื่นมือออกเพื่อบีบคอนาง ความเกลียดชังของเขาทำให้เขาสูญเสียความีเหตุผล และเขาแค่อยากจะบดขยี้สุนัขตัวเมียตัวนี้จนเป็นเถ้าถ่าน

ล่อจี่นซูมองไปที่หยุนจินเฟิงที่พุ่งมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะลงมือ ริมฝีปากที่ไร้เลือดของนางก็เปิดออก และเสียงแหบแห้งของนางก็ถูกเสียงฝนที่ตกกลบไป มีเพียงเสียงเบา ๆ "ข้าสามารถช่วยนางได้"

หยุนจินเฟิงบีบคอนาง ข้อกระดูกนิ้วของเขาดัง และใบหน้าของเขาก็ได้บิดเบี้ยว " นังแพศยา ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้"

นิ้วของล่อจี่นซูแตะที่โล่เลือดสีน้ำเงินบนข้อมือ และกระแสไฟฟ้าสีฟ้าอ่อนก็ถูกปล่อยออกมาจากข้อมือ กระแสไฟฟ้าได้ช็อดหยุนจินเฟิง

ทันใดนั้น หยุนจินเฟิงก็รู้สึกเจ็บปวดในใจราวกับสายฟ้าฟาด และเขาก็ล้มลงกับพื้นทันที

ล่อจี่นซูเดินผ่านเขาไปที่ข้างเตียงแม้ว่านางจะเตรียมจิตใจไว้แล้ว แต่ก็อดตัวสั่นไม่ได้

ใบหน้าของพระชายามีบาดแผลเต็มไปหมด มีเพียงเนื้อและเลือดผสมกัน รอยมีดกีดไปมาและบาดแผลบางแห่งก็สามารถเห็นถึงกระดูก หมอหลวงน่าจะทายาเพื่อห้ามเลือดไป ผงยาซึมเข้าไปในผิวหนังทำให้มันน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก

คนที่ฆ่านางคงจะเกลียดนางเข้ากระดูก

แต่นางเป็นคนเดียวที่สามารถคืนความบริสุทธิ์ให้ล่อจี่นซูเดิมได้ และนางจะตายไม่ได้

ล่อจี่นซูเปิดโล่เลือดสีน้ำเงิน ซึ่งปล่อยแสงจาง ๆ และห่อหุ้มพระชายาหซู่ไว้ เพื่อทดสอบชีพจรและการบาดเจ็บของนาง

ชีพจรต่ำมากมีเพียงห้าเปอร์เซ็นต์ แผลแทงที่หน้าอกเป็บาดแผลสาหัสทำให้เลือดออกรุนแรง แต่โชคดีที่อยู่ห่างจากหัวใจหนึ่งนิ้วและเลือดหยุดไหลได้ทันเวลา

จำนวนบาดแผลบนใบหน้าและร่างกายของนางมีทั้งหมดสิบแปดที่ ปกตินางคงจะตายเพราะบาดแผลที่สาหัสเช่นนี้แล้วแต่นางยังคงทนไว้เพราะทารกในครรภ์ของนาง

ทารกในครรภ์ยังมีชีวิตอยู่

ล่อจี่นซูค่อนข้างซาบซึ้ง บางทีนี่อาจเป็นพลังของคนเป็นแม่

แต่อาการของนางแย่มากและต้องผ่าตัดเพื่อเอาเด็กออกโดยเร็วที่สุด จากนั้นจึงเย็บแผลและให้เลือด

ไม่สามารถทำที่นี่ หยุนจินเฟินจะตื่นแล้ว ดังนั้นนางต้องออกจากจวนหซู่โดยเร็วที่สุดและหาสถานที่ที่ปลอดภัยใกล้ ๆ เพื่อนำผ่าคลอดเด็กทันที

บทที่เกี่ยวข้อง

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 3 ไปดูนางแพศยานั่น

    เจ้าของเดิมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเมืองหลวง หลังจากที่นางเดินทางจากเป๋ยโจวมาถึงเมืองหลวง นางถูกกักบริเวณในบ้านและไม่สามารถก้าวออกจากบ้านได้ แต่นางรู้ว่าเรือนข้าง ๆ เป็นจวนเซียว ครึ่งปีที่แล้ว เจ้าชายเซียวได้รับบาดเจ็บในสนามรบและอาศัยอยู่อย่างสันโดษและปฏิเสธผู้มาเยือน ยิ่งไปกว่านั้น กำลังคนในเรือนก็ลดลงมาก เหลือเพียง ทหารสองสามคนและคนใช้สองหรือสามคน เสียงเงียบและไม่รบกวน เหมาะสำหรับการผ่าตัดฉุกเฉิน หลังจากตัดสินใจได้แล้ว นางก็ก้มลงแล้วอุ้มพระชายาหซู่ ขึ้นมาแล้วเดินออกไป ร่างกายของเจ้าของเดิมขาดสารอาหารและถูกทุบตีทำร้าย ดังนั้นจึงอ่อนแอมาก อย่างไรก็ตามหลังจากใส่โล่เลือดสีน้ำเงินเข้าไปในร่างกายก็สามารถรักษาตัวเอง ซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย และกระตุ้นศักยภาพของมันได้ ฝนตกหนักและกลางคืนก็มืดมิด นางเปิดใช้งานฟังก์ชันการหลบหนีของระบบป้องกันในช่วงสงคราม และโล่เลือดสีน้ำเงินได้รวมเอาพลังสองอันไว้บนหลังของนาง ราวกับสร้างปีกสองปีกบินอย่างรวดเร็วผ่านลมฝน ตลอดทางไม่มีใครเห็น บวกกับฝนตกหนักขนาดนี้ แม้แต่ทหารยามก็หยุดลาดตระเวนและเฝ้าเฉพาะทางออกและจุดสำคัญของเรือนเท่านั้น แม้ว่าจะมียามคอยลา

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 4 ค้นหาล่อจี่นซูทั่วเมือง

    ในเวลาเดียวกัน เหลิ่งซวงซวงก็วิ่งออกห้องหลักและพบว่าหยุนจินเฟิงหมดสติอยู่บนพื้น และพี่สาวคนโตก็หายตัวไปนานแล้ว เมื่อสื่นเหรินวิ่งกลับไปที่หอเหยาเยว่ หยุนจินเฟิงเพิ่งฟื้นขึ้นมาจากการฝังเข็มของหมอหลวงและได้รู้ว่าพระชายาหายตัวไป ไม่รอให้สื่นเหรินรายงานล่อจี่นซูได้สังหารคนเลี้ยงม้าและหายตัวไป หยุนจินเฟิงพูดด้วยความโกรธ “ เป็นล่อจี่นซูนางแพศยานั่น ไปหาตัวนังนั่นมา ต่อให้ต้องพลิกหากันทั้งเรือนก็ต้องเอาตัวมันมาให้ข้า ” ใบหน้าของสื่นเหรินเข้มลง หันกลับไปและสั่งให้ทหารตรวจค้นบ้านทั้งหลัง และยังไปหาคนเฝ้าประตูตรวจดูว่าล่อจี่นซูไม่ได้ออกไป หยุนจินเฟิงโกรธมาก เขาคว้าแส้แล้ววิ่งออกไป ดวงตาของเขาแดงก่ำ และความโกรธของเขาเผาผลาญเขาจนสูญเสียความมีเหตุผลทั้งหมด หากเขาหานังแพศยานั้นเจอ เขาจะตีนางให้ตาย แต่หลังจากที่ค้นหาไปทั่ว พวกเขาก็ไม่พบล่อจี่นซูและพระชายาหซู่ ประตูหน้า ประตูด้านข้าง และประตูหลังได้รับการเฝ้าระวังทั้งหมด ไม่มีใครเข้าหรือออกยกเว้นคนของเรือนขุนนางลั่นหนิง หยุนจินเฟิงเตะคนเฝ้าประตูด้วยความโกรธจัด “ พวกเจ้ามันขยะไร้ประโยชน์ คนตัวโตขนาดนั้นก็ไม่สังเกตเห็น สื่นเหริน สั่งให้ทหารทั้

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 5 หาให้เจอ

    การค้นหาดำเนินไปจนถึงค่ำและทุกส่วนของเมืองหลวงถูกตรวจค้น ค่ายลาดตระเวนและจวนจิงเจ้า เข้าไปในบ้านพลเรือน เจ้าหน้าที่และเรือนเชื้อพระวงศ์ แม้ว่าจะมีความขุ่นเคืองอยู่บ้าง แต่ฮ่องเต้ก็ออกพระราชกฤษฎีกาให้ตามหาฆาตกรและร่างของพระชายาไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ดังนั้น แม้ว่าเขาจะมีความคับข้องใจเขาก็ทำได้แค่ยอมรับการค้นหาเท่านั้น หลังค่ำ ผู้บัญชาการกองพันลาดตระเวนและหัวหน้าบ้านของจวนจิงเจ้า ได้พบกับหยุนจินเฟิงและขุนนางลั่นหนิงที่ประตู และแลกเปลี่ยนข้อมูล ดวงตาของหยุนจินเฟิงเต็มไปด้วยดวงตาแดงก่ำและดูบ้าคลั่งและดุร้าย “ ค้นหาต่อไปไม่ว่าจะเป็นเรือนของใครก็ตามค้นหาให้ข้าจนเจอ ” ทุกคนพบว่ามันแปลกที่เด็กผู้หญิงที่ได้รับบาดเจ็บได้พาศพหญิงท้องแก่ไปซ่อนตัวที่ไหน โดยปกติจะอยู่ได้แค่ใกล้ ๆ เท่านั้น ไปไหนไกลไม่ได้เพราะในช่วงเคอร์ฟิว ทางค่ายตระเวนจะลาดตระเวนและบุคคลต้องสงสัยจะถูกสอบปากคำ มีคนจากค่ายลาดตระเวนถามว่า “นางหนีไปได้ใกล้ ๆ นี้เหรอ นางจะไปไหนได้ไกลพร้อมร่างของพระชายาได้อย่างไร นางเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแออายุสิบหกหรือสิบเจ็ด ” ทันทีที่พูดออกมา หยุนจินเฟิงและขุนนางลั่นหนิงต่างก็มองดูจวนเซีย

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 6 ท่านไม่สงสัยเหรอ

    “ ฟิ้ว ๆ ” เป็นเสียงลูกธนูที่ตัดผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว ลูกธนูมากกว่าสิบลูกออกมาจากที่ไหนไม่รู้เลยและตกลงไปข้าง ๆ หยุนจินเฟิง และล้อมรอบเขาไว้อย่างแน่นหนา สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือลูกธนูถูกฝังอยู่ในแผ่นหินตรงประตู และก็ตั้งขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพลังงานภายในของผู้ยิงธนูนั้นดีแค่ไหน ยิ่งไปกว่านั้น หยุนจินเฟิงยังยืนอยู่ที่ประตูหากลูกธนูถูกยิงจากที่สูงในเรือนแล้วมันจะตกลงไปข้าง ๆ หยุนจินเฟิงโดยไม่ทำร้ายเขาได้อย่างไร ลูกศรจะโค้งได้เหรอ ยังสามารถรักษาทางโค้งและระยะอย่างแม่นยำได้ การกระทำนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นหวาดกลัว และทำให้ผู้คนในค่ายลาดตระเวนและจวนจิงเจ้าโกรธ เจ้าชายเซียวเป็นแม่ทัพที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศอย่างยิ่งใหญ่ เขาเข้ารับตำแหน่งแม่ทัพล่อและออกไปต่อสู้ ขับไล่กองทัพศัตรูอย่างหวุดหวิดเพื่อช่วยราชวงศ์หยาน ตัวเขาเองกลับมาได้รับบาดเจ็บสาหัส และหมอหลวงต้องใช้เวลาสามเดือนในการรักษาเพื่อช่วยชีวิตเขา พระชายาหซู่ถูกสังหารอย่างโหดร้าย ตายท้องกลม ทุกคนรู้สึกเสียใจกับนางและเกลียดฆาตกร พวกเขาเข้าใจความโกรธของเจ้าชายหซู่ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องรู้สึกแบบเดียวกับเ

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 7 ให้ตะเกียบคู่หนึ่งได้ไหม

    เจ้าชายเซียวยิ้ม แต่เขาไม่พูดอะไรเลย หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดช้าๆ ว่า “ หลานจี้ ส่งอาหารไปที่หอวูเหิ่น วางไว้นอกประตูแล้วบอกคนที่อยู่ข้างในก็พอ ถ้านางต้องการออกมาพบข้า นางจะออกเอง ถ้านางยังไม่อยากเจอ นางจะออกไปหลังจากธุระของนางเสร็จแล้ว พวกน้าก็คิดว่านางไม่เคยมาก็พอ ” องครักษ์หลานจี้หันกลับมา นายท่านตแหลนะเนี่ย เขาก็สงสัยเหมือนกัน ใช่ใครบ้างไม่อยากรู้ ? การได้ยินและการระวังตัวของนายท่านนั้นสูง แต่เขาและฝูงหมาป่าไม่สังเกตเห็นว่ามีใครแอบแฝงเข้ามา จนกระทั่งเสียงร้องของทารกดังขึ้นเมื่อคืนนี้ทุกคนจึงรู้เรื่องนี้ แต่ว่า นายท่านบอกว่านางมาแบบไม่รบกวน ซึ่งพิสูจน์ได้ว่านางแค่อยากยืมสถานที่และไม่จำเป็นต้องทำให้นางลำบากใจ หอวูเหิ่นล่อจี่นซูถอนหายใจ นางทั้งหิว หนาวและง่วงมาก ผ่านไปท้งวันทั้งคืนแบบนี้ นางดื่มน้ำกลูโคสและนมแพะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นางไม่ชอบรสชาติของนมแพะจริง ๆ หลังจากดื่มแล้วนางรู้สึกอยากจะอ้วกเด็กถูกวางไว้ในตู้ของระบบและนำนมแพะออกจากระบบและป้อนหลายครั้ง เด็กสบายดี แต่พระชายาหซู่ยังอยู่ในสภาพวิกฤติ เพราะเหตุนี้นางจึงยังไม่จากไป พระชายาหซู่ยังคงอยู่ในอาการโคม่า

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 8 คนร้ายเป็นใครกันแน่

    ดื่มโจ๊กชามใหญ่และกินผักทั้งหมดโดยไม่สิ้นเปลือง แม้ว่ามันจะไม่อร่อยก็ตาม ไก่ผัดและเนื้อแกะตุ๋น เห็นได้ชัดว่าทั้งสองเมนูใช้วัตถุดิบชั้นเลิศ นางอยากรู้จักพ่อครัวคนนี้จริง ๆ วัตถุดิบดี ๆ แบบนี้แต่ทำอาหารได้ไม่อร่อยมาก แต่ยังสามารถเอาตัวรอดในวังได้ต้องเป็นสิ่งที่พิเศษแน่ หลังจากรับประทานอาหารแล้วร่างกายจะรู้สึกอบอุ่น นางควรออกไปแสดงความขอบคุณ แต่นางเดินจากไปไม่ได้ สถานการณ์ของพระชายาหซู่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ความทรงจำเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องของเจ้าชายเซียว เจ้าชายเซียวหยุนเส้ายวนเป็นน้องชายของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน และจักรพรรดินีอัครมเหสีให้กำเนิดเขาในวัยสี่สิบของนาง ดังนั้นเขาและหยุนจินเฟิงจึงมีอายุไม่แตกต่างกันมากนัก เขาไหว้อาจายร์ดังตั้งแต่อายุยังน้อยและมีทักษะศิลปะการต่อสู้อย่างสูง เมื่อคนรงบุกเข้ามาเมื่ออายุสิบห้า เขาก็เป็นทหารและออกรบพร้อมกับกองทัพ ในการต่อสู้ครั้งแรกเขาฆ่าได้มากกว่าร้อยคนและมีชื่อเสียงในคราวเดียว หลังจากนั้นเขาได้ออกรบหลายครั้งและสร้างความสำเร็จทางรบให้กับราชวงศ์หยาน ครึ่งปีที่แล้วคนรงกลับมาบุกรุกอีกครั้ง บุกเข้าห้วยโจว พ่อของเจ้าของร่างแม่ทัพล่อได้รั

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 9 รื้อหลุมฝังศพ

    ในเรืองนางมีญาติสนิทเพียงสองคน คนหนึ่งคือ เหลิ่งซวงซวงนางสาวแท้ ๆ ที่มาดูแธอ คนหนึ่งคือหยุนจินเฟิงสามีของนาง แล้วใครล่ะ จู่ ๆ ล่อจี่นซูก็จำความทรงจำบางอย่างของเจ้าของเดิมได้ คนรวยที่มาจากเมืองหลวงบอกว่าให้พวกเขาไปที่เมืองหลวง นามสกุลของคนนั้นคือเล้ง คือเหลิ่งซวงซวงเหรอ เหตุใดเหลิ่งซวงซวงจึงขอให้เจ้าของเดิมไปที่เมืองหลวงเพื่อขัดขวางการแต่งงานระหว่างหยุนจินเฟิงกับพี่สาวคนโตของนาง นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก จวนหซู่ หยุนจินเฟิงแทบจะเป็นบ้า เขาอาลวาดในวังและสังหารสาวใช้และผู้หญิงทั้งหมดที่รับใช้พระชายาหซู่ รวมทั้งคุณนายหยิงที่มากับนางถูกเขาตั้งให้เป็นสนมน้อย ความผิดเดียว ปกป้องเจ้านายไม่ได้ ไม่มีใครกล้าร้องขอความเมตตา แม้ว่าสื่นเหรินจะรู้สึกโหดร้าย แต่คนเหล่านี้สมควรตาย ใครให้พวกเขาไม่ระวังแล้วปล่อยให้พระชายาพบกับนังแพศยาคนนั้นเพียงลำพัง ? หยุนจินเฟิงเดินไปอย่างหมดความอดทนและกระสับกระส่ายเพื่อรอรุ่งสางเขาจะไปที่พระราชวังทันทีเพื่อขอคำสั่งเขาต้องการนำผู้คนไปค้นหาจวนเซียว นังแพศยานั่นไม่สามารถวิ่งไปได้ไกล และก็พบจี้หยกของพระชายาอยู่ใต้กำแพง ซึ่งนางยังคงสวมอยู่ตอนที่ได้รับบ

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 10 ขอเข้าค้นจวนเซียว

    สื่นเหรินปฏิเสธที่จะไป แต่มีคนอื่นที่อยากไป ประตูจวนเปิดออกกว้าง และอัศวินดำมากกว่าสิบคนก็รีบวิ่งออกไปโดยถือป้ายของพระราชวังของเจ้าชายหซู่และมุ่งหน้าไปยัง เป๋ยโจว เป๋ยโจวอยู่ติดกับเมืองหลวงและระยะทางไม่ไกลใช้เวลาเพียงวันเดียวในการทำลายสุสานและกลับสู่เมืองหลวง เนื่องจากสื่นเหรินห้ามเรื่องขุดหลุมศพหยุนจินเฟิง จึงโกรธและเฆี่ยนตีเขาเป็นการส่วนตัวสิบครั้งเพื่อระบายความโกรธ ไม่มีใครไม่ทำตามคำสั่งของเขาได้ สื่นเหรินไม่รักดี หลังจากที่สื่นเหรินคุกเข่าลงและถูกเฆี่ยนตีสิบที เขายังต้องพาผู้คนออกไปค้นหาล่อจี่นซูทั้งคืน เช้าวันรุ่งขึ้น หยุนจินเฟิงเข้าไปในพระราชวังเพื่อเจอฮ่องเต้และอธิบายเหตุผลของเขาในการขอตรวจค้นที่ประทับของเจ้าชายเซียว ฮ่องเต้รักลูกชายคนนี้มากที่สุดเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเป็นพ่อ แต่พระชายากลับเจอกับหายนะเช่นนี้ เขาก็รู้สึกปวดใจมาก หลังจากได้ยินเขาอธิบายอย่างโกรธเคืองถึงเหตุผลในการค้นหาจวนเซียว ฮ่องเต้ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ มีเหตุผลที่เจ้าจะสงสัยว่าฆาตกรอยู่ในจวนเซียว แต่ท่านลุงของเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย เจ้าไปบอกเขาว่าข้าได้สั่งให้เขาเปิดประต

บทล่าสุด

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 330 คำเยินยอ

    หลังจากที่พวกเขาดื่มเกือบเสร็จแล้ว เชาหยวนก็ชื่นชมพวกเขาอีกครั้งและบอกว่าวันนี้พวกเขาทำได้ดีมากและควรทำหน้าที่นี้ให้ดีต่อไปยังไม่เมา แต่ก็เมาแล้ว หลังจากได้ยินคำพูดขอบคุณ ความมั่นใจก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าขณะที่พวกเขากล่าวคำอำลาทีละคน ใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจเมื่อพวกเขานั่งที่โต๊ะเจรจาในวันรุ่งขึ้น การแสดงออกของพวกเขาค่อนข้างผ่อนคลายเมื่อวานมีเชือกผูกไว้และดูประหม่ามาก วันนี้ทัศนคติทางใจเปลี่ยนไป ผู้คนจากรัฐฮุ่ยมองดูแล้วก็รู้สึกประหม่าครึ่งชั่วโมงผ่านไปหนึ่งชั่วโมงผ่านไปสองชั่วโมงผ่านไปการเจรจาที่แท้จริงเกี่ยวข้องกับการชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียและการต่อสู้ระหว่างคุณและฉัน ไม่พบดินปืน แต่ก็รู้สึกว่ามีดินปืนเต็มไปหมดคิ้วด้านนี้ขมวดคิ้วด้านนั้นก็คลายออกคิ้วด้านนี้ยกขึ้นคิ้วด้านนี้ย่นลงการชักเย่อดังกล่าวดำเนินต่อไปจนถึงตอนเย็นต่างฝ่ายต่างเหนื่อยและแทบจะไม่มีมุมมองใหม่ๆให้พูดมากนักทั้งสองฝ่ายกำลังรอให้ใครก็ตามพูดก่อนเพื่อลดเงื่อนไของค์ชายหลู่มองดูหยุนฉินเฟิงในมุมที่ต่างออกไป คิดว่าเขาไม่สามารถทำเรื่องอะไรได้เลย และคิดว่าไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 329 องค์ชายสี่ยังคงมั่นคงมาก

    การเจรจาหยุดชะงักและบรรยากาศหยุดนิ่งเมื่อเห็นว่าหยุนฉินเฟิงปฏิเสธที่จะยอมแพ้ กษัตริย์หลู่ก็ทิ้งคำพูดที่รุนแรงและหยุดพูด หยุนฉินเฟิงก็ไม่ได้พยายามโน้มน้าวให้เขาอยู่ต่อคำพูดที่รุนแรงไม่มีประโยชน์กับเจ้าชายที่อยู่ในสนามรบคนนี้เขาได้ยินคำพูดที่รุนแรงมากที่สุดในชีวิตนี้แล้วอ่อนไหว มั่นคง สงบ และสง่างาม เหมือนคนเฝ้าประตูที่สามารถปิดกั้นคนได้เพียงหมื่นคน ปิดกั้นแผนการทั้งหมดของเจ้าชายหลู่และเหล่าคณะทูตยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมแม้แต่คำเดียวจริงๆ และสิ่งที่เขาพูดก็ได้รับการไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วคนนี้ รับมือยาก รับมือยากจริงๆที่ยากยิ่งกว่าในการจัดการคือสุภาพบุรุษสองคนในชิงอี้นั่งอยู่ที่โต๊ะเจรจา หยุนฉินเฟิงจะใช้สายตาในการถามพวกเขาและพวกเขาจะมีการแสดงออกทางสีหน้าที่ละเอียดอ่อนเพื่อเตือนหยุนฉินเฟิงทำให้เหล่าทูตเชื่อว่าทั้งสองคนเป็นผู้เจรจาที่แท้จริงแต่หยุนฉินเฟิงยังคงรับมือได้ยากมาก และจิตใจของเขาก็มั่นคงเกินไปการเจรจาถูกระงับ และแต่ละคนก็ไปที่ห้องปิดเพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัวคณะทูตรัฐหยานหงหลู่ซือชิงกังวลเล็กน้อยและถามหยุน ฉินเฟิงว่า"ฝ่าบาท จะเป็นอย่างไรหากพ

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 328 เจรจาอีกรอบ

    จินซูขยับเก้าอี้ออกไป นั่งอยู่หน้าระเบียง มองดูสายฝนฤดูใบไม้ผลิที่โปรยลงมาบนใบไม้ใหม่ใบไม้อ่อนกำลังเติบโตเป็นสีเขียวใหม่ และก่อนที่ดอกพีชจะเหี่ยวเฉา ใบไม้ก็ผลิออกมา แข่งขันกับดอกไม้เพื่อความสวยงามและความสดชื่นฝุ่นบนพื้นกระเบื้องหินสีฟ้าเปียกและมีสีเทาแกมเขียวเด็กๆที่เล่นกันกลับไปซ่อนตัวจากสายฝน จื่ออี๋เดินออกจากซุ้มโดยไม่มีร่มแล้วเดินเข้าไปอีกครั้งโดยสงสัยว่าเขายุ่งอยู่กับอะไรจินชูสูดอากาศบริสุทธิ์และหนาวเย็นเข้าลึกๆ รู้สึกว่าชีวิตของเธอจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไปหลิวต้าอันถือร่มและเดินผ่านอาคารเล็กๆ เพื่อไปที่วอร์ด จินชูทักทายเขาว่า"สวัสดี แอนดี้!"หลิวต้าอันเหลือบมอง เขย่าร่มในมือ และหยาดฝนที่ตกลงมาก็ตกลงบนหัวของเขา เขารีบยกมันขึ้นแล้วถามว่า"เกิดอะไรขึ้น"จินยี่ยิ้มสดใสโชว์ฟันขาวเล็กๆ ของเธอ"แค่เรียกนายเฉยๆ"หลินต้าอันตัวสั่นอีกครั้ง ป่วยเหรอ สามารถรักษาได้รึเปล่านะเขาเดินออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรเมื่อเช่าหยวนกลับมาถึงบ้าน เขาเห็นเธอนั่งอยู่บนระเบียงสวมเสื้อคลุมและมองดูสายฝน“อะไรคือเสน่ห์ของฝนนี้กัน ทำให้ภรรยาของฉันหลงใหลได้ขนาดนี้”เช่าหยวนก้าวขึ้นไ

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 327 ดูรายงานเสร็จแล้ว

    ในตอนเย็นเชาหยวนพาจินซูไปที่บ้านของตระกูลหวู่บัณฑิตอดอาหารประท้วงมาหลายวัน ร่างกายก็อ่อนล้า ล้มป่วยลุกไม่ขึ้นนานแล้วตั้งแต่กลับมาจากวังวันนี้ และกินข้าวต้มไปครึ่งชามแล้วดังนั้นเมื่อเชาหยวนและจินซูมาถึง เขาไม่สามารถลุกจากเตียงได้ เขาทำได้เพียงให้คนอุ้มเขาไปที่เก้าอี้นางสนมในห้องโถงหลักเพื่อนอนลงครึ่งหนึ่งใบหน้าของเขาแดงก่ำมาก และเขาเอาแต่พูดว่า"ฉันเสียมารยาทแล้ว ฉันเสียมารยาทมากจริงๆ"เชาหยวนกดมือของเขาแล้วพูดว่า"คุณไม่จำเป็นต้องพูดแบบนี้ บัณฑิตผู้ยิ่งใหญ่ คุณเข้าพบกับฝ่าบาทในวังแล้วเหรอ"“ข้าไม่เห็น ฝ่าพระบาทตรัสว่าจะทรงกักตัวไว้สามวัน ไม่ยอมออกจากห้องจำศีล ทรงตรัสกับเหล่าขุนนางผ่านประตูเพียงไม่กี่คำก็สมานฉันท์กันมาก”คำพูดของบัณฑิตนั้นอ่อนแอ และสุดท้ายเขาก็พูดว่า "สามัคคี" ซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกอ้างว้างจินชูหยิบสารละลายสารอาหารออกมาและสั่งให้ใครสักคนป้อนให้เขาดื่ม จากนั้น เขาจึงรู้สึกเข้มแข็งขึ้นเล็กน้อยที่จะพูดเขาถอนหายใจลึก ๆ"ต่อจากนี้ไป ชะตากรรมของตระกูลหวู่ น่ากังวลแล้วล่ะ"ไม่ว่าจะยุติธรรมหรือไม่ก็ตาม ตระกูลหวู่ก็ล้มเหลวอย่างน่าสังเวชถ้าฝ่าพระบาททรงเป็นกษัตริย์ท

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 326 ขอโทษแล้ว

    หลังจากระบายความโกรธจักรพรรดิจิงชางก็ล้มลงบนเก้าอี้ไม้จันทน์แกะสลัก พร้อมด้วยเบาะนุ่มๆที่พยุงร่างกายที่สั่นเทาของเขา"ทำไมกันล่ะ?"เขาเป็นจักรพรรดิแล้ว!เขาเคยเห็นจักรพรรดิ์ผู้สูงสุดอารมณ์เสียในห้องโถงราชวัง ไม่ต้องพูดถึงการทุบจี้มังกร เขายังฆ่าขุนนางในห้องโถงด้วยดาบของเขาเอง ทำให้เลือดกระเซ็นในห้องโถงอันศักดิ์สิทธิ์ทุกคนได้แต่คุกเข่าตัวสั่น ตะโกนขอให้พระองค์สงบลง และไม่มีใครตำหนิเขาจักรพรรดิสูงสุดเคยขอโทษขุนนางของเขา แต่นั่นเป็นการปรากฏตัวของคนขี้โกง ขอโทษที่ไหนกันล่ะ มันเหมือนกับการออดอ้อนเขาลงโทษตัวเองด้วยการไม่รับประทานอาหารเป็นเวลาสามวัน แต่มีขุนนางกลุ่มหนึ่งคุกเข่าอยู่นอกห้องหนังสือของจักรวรรดิและขอร้องให้เขารับประทานอาหารทำไมคนทั้งสองที่เป็นจักรพรรดิเหมือนกัน แต่ทำไมเขาและจักรพรรดิสูงสุดถึงได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันมากขันทีเหวิงเป่ามาพร้อมกับเข็มขัดหยก คุกเข่าลงกับพื้นและยื่นเข็มขัดหยกด้วยมือทั้งสองข้าง“ฝ่าบาทถึงเวลาขึ้นราชวังแล้ว”“ฉันไม่ไป!”จักรพรรดิจิงชางพูดอย่างเย็นยะเยือก“ฝ่าบาท พระองค์ควรไปและต้องไป มันไม่นับว่าเป็นเรื่องอะไรเลย”เหวิงเป่าเงยหน้าขึ้นและรู

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 325 ฝ่าบาทโปรดสงบสติอารมณ์ด้วย

    จักรพรรดิสูงสุดตรัสถามเขาว่า “ปลาชนิดนี้ไม่อร่อยใช่ไหม”ขนตาของเขาไม่ขยับ รู้สึกว่าการจ้องมองของจักรพรรดิสูงสุดแทบจะเผาจนเป็นหลุมบนใบหน้าของเขา"รสชาติแย่ลงกว่าเดิม"สมเด็จพระจักรพรรดิทรงกัดแล้วตรัสว่า“คราวนี้รสชาติไม่ดีเพราะไม่ได้เอาหัว เหงือก และลำไส้ออก ปลาจึงมีกลิ่นแรง นอกจากนี้ หลังจับไม่ได้แช่ในน้ำสะอาดสองสามวัน ดังนั้นรสชาติของโคลนจึงเข้มยิ่งขึ้น”"เป็นแบบนั้นเองสินะ"จักรพรรดิจิงชางยังคงไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ได้ฟังเสียงของเขา ก็หายใจไม่ออก ทำไมเขาถึงยังเต็มไปด้วยความสง่างามและความรู้สึกกดขี่ล่ะในความเลือนลาง ได้ย้อนกลับไปในเจตนาฆ่าของคืนั้นร่างกายก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว“แล้วองค์จักรพรรดิคิดว่าเป็นความผิดของปลาหรือเป็นความผิดของแม่ครัวกันแน่ หรือว่าคนกินปลาสูญเสียความตั้งใจเดิมที่จะชอบปลาและไม่สามารถทนต่อข้อบกพร่องใดๆได้กันล่ะ”จักรพรรดิจิงชางหน้าซีดจักรพรรดิสูงสุดจ้องมองเขาอยู่นาน จากนั้นยกมือขึ้นแล้วพูดว่า:"ยกขึ้นมาอีกครั้ง"ขันทีเป่าตอบรับแล้วหยิบปลากรอบเล็กๆ ขึ้นมาอีกจาน มีสีทองและมีกลิ่นหอมจักรพรรดิสูงสุดใส่อันหนึ่งลงในชามของเขาเป็นการส่วนตัวแล้วพูดว่า"ลองอีกครั้งสิ

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 324 ชวนเขาไปกินข้าวกับฉันด้วย

    เชาหยวนรู้ว่ารัฐหยานประสบความยากลำบากมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ประเทศก็พัฒนาอย่างดี ไม่เพียงแต่การเกษตรและธุรกิจต่างก็เจริญรุ่งเรืองอย่างไรก็ตามประเทศที่ไม่สามารถต้านทานความอิจฉาริษยาของประเทศเพื่อนบ้านได้ ยังคงใช้อุบาย การแทรกซึม การแบ่งแยก และสร้างวิกฤตการณ์ชายแดนเมื่อพ่อขึ้นครองราชย์ สุขภาพก็ไม่ดีแล้ว เขากังวลเรื่องใหญ่เรื่องเล็กทุกวันเชาหยวนถาม:" เรื่องของบัณฑิตหวู่ ท่านได้ยินแล้วใช่ไหม "ดวงตาของจักรพรรดินั้นหนักราวกับสระน้ำ"ฉันรู้"“มันจะช่วยได้ไหม ถ้าท่านไปปลอบ”จักรพรรดิค่อยๆนอนลงแล้วกล่าวว่า"เปล่าประโยชน์ ฉันรู้อารมณ์ของเขาดี ถ้าเขารอความยุติธรรมไม่ไหว เขาก็ไม่รอด"“ท่านช่วยโน้มน้าวฝ่าบาทได้ไหม…”จักรพรรดิมองเขาด้วยสายตาที่เฉียบคม"นายมีใครเลือกบ้างไหม?"คุณชายมินเข้ามารินชา เสื้อคลุมสีเขียวของเขาสะท้อนเห็นในน้ำ รินชาเสร็จแล้วก็เดินกลับไป"พี่สี่""ใช้เวลานานแค่ไหน?"เชาหยวนคิดอยู่พักหนึ่งว่า"ถ้าการเจรจาประสบความสำเร็จ ก็จะน่าทึ่งมาก แต่รากฐานไม่มั่นคงและชื่อเสียงดั้งเดิมก็ไม่ดี คงต้องปลูกฝังและล้างข้อมูลออกไป ทำให้คนลืมชื่อสกปรกไปหมด บางทีอาจต้องใช้เวลาหนึ่ง

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 323 เสี่ยวมินไปราชวังเป็นเพื่อนฉัน

    นอกจากเรื่องของบัณฑิตหวู่แล้วยังมีเรื่องของการเจรจาเหล็กดิบกลายเป็นจุดสนใจของเมืองหลวงอีกด้วยหยุนฉินเฟิงอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างมากในครั้งนี้ เพราะหากการเจรจาล้มเหลวจริงๆหรือราคาสูงเกินไป เขาจะกลายเป็นแพะรับบาปสำหรับเรื่องทั้งหมดไม่มีใครจะจดจำสิ่งที่หยุนจินเฟิงทำ แต่จะจำว่าว่าเขาล้มเหลวในการได้รับผลประโยชน์ให้กับรัฐหยานดังนั้น เขาอ่านหนังสือมากมาย ดูแผนที่ของรัฐหยาน และยังค้นคว้าและทำความเข้าใจเหมืองแร่เหล็กของรัฐหยานด้วยรัฐหยานมีเหมืองเหล็กหลายแห่ง แต่มีสิ่งสกปรกมากเกินไปและทำเลที่ตั้งอยู่ห่างไกล ทำให้การขุดเป็นเรื่องยากมากผลผลิตแร่เหล็กที่ขุดได้ในปัจจุบันไม่เพิ่มขึ้นและมีสิ่งเจือปนหนักมาก ในรัชสมัยของจักรพรรดิ พระองค์ได้ส่งราชทูตหลายองค์ไปตรวจสอบว่าเป็นเช่นนั้นจริงองค์ชายสี่ได้อ่านข้อมูลบางอย่างแล้ว และเมื่อเขาดูแผนที่ เขาก็พบบางสิ่งที่ผิดปกติเป็นเรื่องปกติที่เหมืองในจีนตอนเหนือมีสิ่งเจือปนมากเกินไป แต่พื้นที่อันชานอยู่ติดกับเหมืองแร่ในรัฐฮุ่ย รัฐฮุยนั้นดีมากและมีผลผลิตมาก เหตุใดจึงมีความแตกต่างมากมายในเทือกเขาเดียวกันขนาดนี้ล่ะเขาไปที่วังเซียวทันทีพร้อมกับสิ่งต่างๆ ม

  • เสด็จลุงห้ามใจไม่ไหว   บทที่ 322 พัง

    วันรุ่งขึ้นหวู่เหวินหลานมาต้อนรับราชินี เธอเดินค่อนข้างช้าเล็กน้อยราชินีไม่ได้แสร้งทำเป็นป่วยเกินไปต่อหน้าเธอ เพียงแต่ดูอ่อนแอนิดหน่อย โดยรักษาศักดิ์ศรีและความสวยของราชินีไว้หวู่เหวินหลานมีความกตัญญูจริงๆ เธอทำซุปด้วยมือของเธอเองเมื่อเข้ามา เธอกังวลว่าราชินีไม่สบาย ไม่สามารถกินเนื้อสัตว์และผักแข็งได้ ต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศหนาวจึงดื่มซุปจะได้รู้สึกอบอุ่นและสบายราชินีทรงสนทนาสั้นๆกับเธอแล้วจึงส่งเธอออกไปหลังจากที่หวู่เหวินหลานออกไป เขาก็คุกเข่าลงและขอบคุณจินชูจินชูช่วยเธอลุกขึ้นแล้วพูดว่า"หยุดคุกเข่าให้ฉันเถอะ เมื่อวานเธอคุกเข่าไม่พอเหรอ ฉันจะดูเข่าของเธอให้"หวู่เหวินหลาน ปกปิดไว้แต่ถูกซินยี่ผลักลงบนเก้าอี้เธอยกกระโปรงจับจีบและขากางเกงขึ้นเพื่อเผยให้เห็นเรียวขาของเธอ แต่เข่าทั้งสองข้างมีเลือดออกแดงและบวม“คุกเข่าที่ไหนกัน”จินชูถาม ขมวดคิ้วถาม“บนเศษกรวด”หวู่เหวินหลานพูดเบา ๆ“กรวดนั้นผสมกับเหล็กเปียกปูนจำนวนหนึ่ง โชคดีที่เธอรีบไปที่พระราชวังหนิงคัง เพื่อชมความครึกครื้นและไม่ได้คุกเข่านานเกินไป”“เป็นเรื่องดีที่เธอไม่ได้คุกเข่านานเกินไปไม่เช่นนั้นเข่าของเธอก็จะพัง”จินชูโกรธมา

DMCA.com Protection Status