ชินดนัยกลับถึงบ้านในเวลาเดิมเช่นทุกวัน แต่วันนี้ดูชายหนุ่มจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษเพราะนอกจากเดินฮัมเพลงเข้ามาในบ้านแล้ว ใบหน้าของเขายังมีรอยยิ้มบาง ๆ อีกด้วย
"อารมณ์ดีอะไรนักหนาจ๊ะ แหม...ไปก่อเรื่องไว้ให้แม่ต้องมานั่งปวดหัวยังไม่รู้ตัวอีก" นภวรรณค้อนให้บุตรชายอย่างไม่จริงจังนัก ซึ่งชินดนัยก็รู้ทันทีว่าเรื่องปวดหัวที่มารดาพูดถึงนั้นคือเรื่องไหน เขาจึงเดินไปทรุดตัวนั่งข้างท่าน จากนั้นก็ยื่นมือไปโยกศีรษะของน้องสาวที่นั่งอ่านนิยายอยู่บนโซฟาอีกตัว
"โธ่ คุณแม่ครับ คุณแม่ยังดีนะที่คุณน้าเขาไม่แผลงฤทธิ์ใส่เหมือนที่ไปทำกับลูกน้องผมที่บริษัท ออกฤทธิ์ออกเดชเสียจนปั่นป่วนไปทั้งชั้นเลย"
"ยังไงน้ารัมภาเขาก็ถือว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ของเรานะตาชิน เราไปทำกับน้าเขาอย่างนั้นมันไม่ถูก คนอื่นรู้เข้าจะหาว่าเราไม่มีสัมมาคารวะ ไม่เห็นหัวผู้หลักผู้ใหญ่" นภวรรณพูดอย่างใจเย็น ไม่ได้มีท่าทางตำหนิอะไรนัก
"ที่ควรเคารพผมก็เคารพนะครับคุณแม่ แต่กับบางคนก็ไม่ไหวจริง ๆ นะ ผมว่าคุณน้ากับเกรซล้ำเส้นมากเกินไปหน่อย ทำตัววางโตกดหัวพนักงานของผมทั้งที่ตัวเองก็ไม่มีสิทธิ์จะทำอย่างนั้น ไหน
ไม่พูดเปล่า แต่เอนกยังกระชากผ้านวมของอีกฝ่ายมาทิ้งลงข้างเตียง เผยให้เห็นสภาพเกือบเปลือยของคนที่เพิ่งขยับตัวบิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้าน"อือ...ป๊าจะมาโวยวายเสียงดังทำไมเนี่ย อั๊วจะนอน" บรรพตไม่สนใจผ้านวมที่ถูกแย่งไป เขาพลิกตัวไปอีกด้านแล้วเอาศีรษะซุกไว้ใต้หมอนเพื่อหลับต่อ"มึงนอนตั้งแต่กูออกไปทำงานเมื่อตอนบ่าย จนตอนนี้มันจะสองทุ่มอยู่แล้วก็ยังไม่คิดจะตื่น หรือมึงต้องให้กูถีบถึงจะยอมลุกจากเตียง" เอนกต่อว่าเสียงดังลั่น บรรพตจึงต้องลุกขึ้นมานั่งอย่างเสียไม่ได้เพราะรู้ดีว่าหากบิดาขึ้นมึงขึ้นกูเมื่อไร นั่นหมายความว่าท่านกำลังโกรธจัด"ป๊ามีอะไร" ชายหนุ่มพยายามเปิดเปลือกตาให้กว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้ แต่เพราะเมื่อคืนก่อนเขาสนุกสุดเหวี่ยงมากเกินไปหน่อย ผลคือร่างกายอ่อนเพลียจนนอนมาราธอนได้ขนาดนี้"เมื่อวานมึงไปก่อเรื่องอะไรมา มึงอย่ามาโกหกเชียวนะ สารวัตรเขาโทรศัพท์มาเล่าให้กูฟังหมดแล้ว"บรรพตพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด ใบหน้ายับยุ่งที่เกิดจากการนอนนั้นจึงยิ่งดูน่ากระทืบเหลือเกินสำหรับคนมอง"ในเมื่อเขาเล่าให้ฟังหมดแล้ว ป๊าจะมาถามอั๊วทำไมเล่า""ไอ้
วันต่อมาจันทร์เจ้าตื่นแต่เช้ามาเป็นลูกมือช่วยมารดาทำกับข้าวอยู่ในครัว เพราะคุยกันไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าวันนี้จะไปทำบุญกันที่วัด เนื่องจากเธอไม่ได้ไปร่วมงานศพพร้อมมารดา"จันทร์เอาข้าวไปให้หนูพราวกินก่อนนะคะคุณแม่ ของในครัวคุณแม่ไม่ต้องเก็บนะคะเดี๋ยวจันทร์มาเก็บเองค่ะ"พูดจบก็เดินถือจานข้าวสำหรับเด็กไปวางบนโต๊ะกินข้าว จากนั้นก็เดินไปเรียกเจ้าตัวเล็กที่นั่งดูการ์ตูนอยู่หน้าโทรทัศน์"หนูพราวไปกินข้าวเช้าได้แล้วลูก กินเสร็จจะได้อาบน้ำแต่งตัวไปวัดกัน"เมื่อได้ยินว่าจะได้ออกไปเที่ยวนอกบ้านพราวนภาก็หันขวับมาหาคนพูดทันที "จะไปเที่ยวหรือคะ""ไปไหว้พระที่วัดค่ะ ธุจ้าไงคะลูก""แล้วเราจะไปกินไอติมกันอีกไหมคะ คุณลุงประธานไปด้วยไหม" เสียงใสถามเจื้อยแจ้วนัยน์ตาเป็นประกาย จันทร์เจ้าเห็นแล้วได้แต่ลอบถอนหายใจเพราะดูท่าทางหลานสาวจะชอบคนเจ้าเล่ห์คนนั้นไม่น้อยเลย"คุณลุงก็ต้องอยู่บ้านคุณลุงสิคะ ไม่ได้ไปกับเราหรอกค่ะ เพราะคุณลุงเขาก็ต้องพาครอบครัวไปเที่ยวเหมือนกัน"เมื่อวานหลังจากที่กินไอศกรีมกันเสร็จแล้ว พราวนภาก็หนังท้องตึงหนังตาหย่
"พี่เอาไปเก็บให้ดีกว่าครับเพราะมันหนักมาก น้องจันทร์ถือไม่ไหวหรอก ถึงถือไหวก็จะเจ็บมือเปล่า ๆ ผมขออนุญาตเอาของไปวางบนโต๊ะนะครับคุณน้า" บรรพตหันไปค้อมศีรษะให้เจ้าของบ้าน"เชิญค่ะ" พรรณียิ้มบาง ๆ ก่อนจะเชื้อเชิญให้เจ้าสัวเอนกนั่งในห้องรับแขก ส่วนจันทร์เจ้าก็เดินไปนำน้ำมาเสิร์ฟให้แขกผู้มาเยือน จากนั้นผู้ใหญ่ทั้งสองคนก็คุยเรื่องทั่วไปกันอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุดเจ้าสัวก็เริ่มเข้าเรื่อง"คืออย่างนี้นะคุณพรรณี เจ้าพตลูกชายของผมเนี่ย ปีนี้มันก็อายุอานามควรจะเป็นฝั่งเป็นฝาได้แล้ว ผมก็เคยถามมันว่ามีแฟนรึยัง มันก็บอกว่ายังไม่มีแต่มีคนที่ชอบอยู่"เจ้าสัวหยุดพูดแล้วมองไปทางจันทร์เจ้าพร้อมกับยิ้มจนตาหยี ส่วนบรรพตเองก็มองหญิงสาวอยู่เช่นกัน แต่มองด้วยสายตาวาววามราวกับเสือที่รอตะปบเหยื่อ"ผมจะไม่พูดอ้อมค้อมละนะ คนที่เจ้าลูกชายตัวดีของผมมันชอบก็คือหนูจันทร์นี่แหละ ฮ่า ๆ" เจ้าสัวพยายามทำให้บรรยากาศครื้นเครง ขณะที่บรรพตเองก็ได้แต่ยิ้มพลางหลุบตาลงมองพื้นพรรณีฝืนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหันมองบุตรสาวที่นั่งอยู่ข้างกายแล้วมองเลยไปยังหลานตัวน้อยที่นั่งเล่นตัวต่ออยู่บนพื้นข้างจันท
"กาแฟค่ะท่านประธาน" เสียงหวานแต่ฟังดูแล้วติดจะเย็นชาของเลขานุการสาว กอปรกับการที่เธอไม่ยอมมองหน้าเขาตรง ๆ ทำให้ชินดนัยอดสงสัยไม่ได้ เพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดูเหมือนจันทร์เจ้าจะตั้งกำแพงระหว่างกันขึ้นสูงมากกว่าเดิม ทั้งที่วันศุกร์ที่แล้วเขาคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอเริ่มเดินไปในทิศทางที่ดีขึ้นหลังจากที่ไปกินไอศกรีมด้วยกันเสียอีกวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เพิ่งผ่านไปมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเธอกันแน่ ทำไมคราวนี้จันทร์เจ้าถึงตั้งแง่กับเขามากกว่าตอนเจอหน้ากันครั้งแรกด้วยซ้ำ"จันทร์" เขาเรียกเธอเอาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะเปิดประตูออกไปจากห้อง"คะท่านประธาน" หญิงสาวหันมามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย"จันทร์เป็นอะไรรึเปล่า หรือพักนี้มีเรื่องอะไรไม่สบายใจไหม" เขาอดเป็นห่วงไม่ได้ กลัวเธอจะคิดมากเรื่องพราวนภา"ไม่มีค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไร ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ ขอตัวก่อนค่ะ" เธอกลับหลังหันไปทางประตูแต่เขาก็เรียกอีก"เดี๋ยวก่อน!"จันทร์เจ้าชะงัก ก่อนจะหันไปหาเขาอีกครั้ง "คะท่านประธาน""พรุ่งนี้พี่จะไปรับจันทร์ที่บ้านตอนห้าโม
จันทร์เจ้านั่งหันหน้าไปมองข้างทางตลอดเวลา ส่วนชินดนัยก็อาศัยจังหวะที่รถติดไฟแดงหันไปมองหญิงสาวให้เต็มตาอีกครั้ง วันนี้เธอสวยสง่ามาก ชุดเดรสสีม่วงเปลือกมังคุดช่วยขับผิวพรรณของเธอให้ยิ่งผุดผ่องชวนมอง จันทร์เจ้าไม่ชอบแต่งตัวโชว์เนื้อหนังมากเกินไป แต่ก็ไม่เรียบเสียจนดูไร้รสนิยม อย่างชุดที่เธอใส่วันนี้ก็เป็นเดรสแขนกุดคอกลมธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือช่วงบนตั้งแต่เหนืออกขึ้นเป็นผ้าลูกไม้ฝรั่งเศสสีเดียวกับชุด ด้านหลังก็เว้าไม่ลึกมากนัก มองแล้วเรียบง่ายกึ่ง ๆ ทางการแต่ก็แฝงความเซ็กซี่เย้ายวนด้วยเช่นกัน"มีคนบอกรึยังว่าวันนี้จันทร์สวยมาก" เขาพูดทำลายความเงียบ และจงใจขับให้ช้าลงโดยเลือกเส้นทางปกติ ไม่ขึ้นทางด่วนเพราะจะถึงที่หมายเร็วเกินไป"มีแล้วค่ะ" เธอตอบพลางมองเขาด้วยหางตา ทำเอาเขาอดยิ้มออกมาไม่ได้"หนูพราวละสิ ใช่ไหม" ในบ้านของเธอมีกันอยู่แค่สามคน และพราวนภาก็เป็นคนขึ้นไปตามเธอให้ลงมาข้างล่าง หากไม่ใช่หลานสาวตัวน้อยที่เอ่ยปากชมแล้วจะเป็นแมวที่ไหนได้อีกจันทร์เจ้าตวัดสายตาส่งค้อนให้เขาแล้วตอบสั้น ๆ "ค่ะ""หนูพราวนี่ขี้อ้อนจังเนอะ ปากหวานด้วย ตัวแค่นี้เข้าใจช
"ไม่เห็นต้องคิดอะไรมากเลยค่ะ ไม่ก็คือไม่ ฉันว่าเราต่างคนต่างอยู่และคงสถานะไว้ที่เจ้านายกับลูกน้องก็ดีอยู่แล้ว อีกอย่างนะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ คุณบอกฉันเองว่าชีวิตยังอีกยาวไกล จะให้มาคบผู้หญิงคนเดียวคงเป็นไปไม่ได้ และฉันก็จะไม่มีวันเป็นตัวเลือกของใครด้วย"ชายหนุ่มเงียบไปไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ในที่สุดคำพูดร้ายกาจของเขาก็ย้อนกลับมาเล่นงานตัวเองจนได้ เขาไม่โทษเธอที่ใจแข็งและไม่รู้จักให้อภัย แต่เขาโทษตัวเองที่เป็นฝ่ายสร้างบาดแผลไว้ให้เธอมากกว่า"พี่จะให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ละกัน แต่พี่บอกไว้เลยนะว่าถ่านไฟเก่าอย่างพี่จะพยายามติดไฟให้ได้"จันทร์เจ้าแค่นยิ้มแล้วมองเขาด้วยหางตาอีกครั้งก่อนพูดว่า"ถ่านไฟเก่าอะไร แค่เถ้าไม้ขีดก็พอมั้งคะ"ชินดนัยทำปากยื่นเหมือนเด็กเวลางอนพลางพึมพำเสียงขุ่น"คนสวยใจดำ!"ทั้งคู่มาถึงงานประมูลในเวลาหกโมงเศษ งานนี้จัดขึ้นที่โรงแรมระดับห้าดาวย่านใจกลางเมือง เมื่อเข้าไปในงาน จันทร์เจ้าก็เดินเข้าไปที่จุดลงทะเบียนเพื่อยื่นบัตรเชิญให้เจ้าหน้าที่ เสร็จเรียบร้อยก็ได้รั
จันทร์เจ้าเดินออกมานอกห้องประชุมได้ก็พยายามก้าวขาเร็ว ๆ พลางมองหาห้องน้ำ แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเธอก็รู้สึกเหมือนโลกหมุนจึงหยุดเดินแล้วพยายามหายใจลึก เอาอากาศเข้าปอดให้มากเพราะจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าหายใจลำบากจนต้องยกมือขึ้นทาบอก แต่ลมจากในช่องท้องก็ตีรวนขึ้นมาอีก ส่งผลให้เธอต้องเลื่อนมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้อีกครั้งหญิงสาวพยายามสะกดกลั้นอาการคลื่นไส้เอาไว้ แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้ากลับพร่าเบลอจนต้องหลับตาแล้วสะบัดศีรษะสองสามครั้งแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ ทว่าการลืมตาขึ้นมาครั้งนี้เธอรู้สึกว่าพื้นที่ยืนอยู่โคลงเคลงจนแทบทรงตัวไม่ได้ ครั้นพอหันมองไปรอบตัวก็เห็นว่ามีทั้งพนักงานและแขกที่มาใช้บริการของทางโรงแรมอยู่ไม่กี่คนกำลังมองมาทางตนและถามด้วยความสงสัย"คุณผู้หญิงคะ เป็นอะไรรึเปล่า"จันทร์เจ้าพยายามครองสติเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยากพูดอะไรบางอย่างออกไปแต่อาการคลื่นไส้วิงเวียนก็โจมตีเข้ามาอีกครั้งจนต้องรีบยกมือขึ้นปิดปาก อีกมือก็จับกระเป๋าถือไว้แน่น พนักงานสาวอีกคนที่เห็นอาการของเธอจึงถามมาอีกครั้ง"คุณผู้หญิงจะไปห้องน้ำไหมคะ ดูเหมือนจะคลื่นไส้อยา
หญิงสาวถูกพยุงให้ลุกขึ้นแล้วพาเดินเข้าห้องน้ำหญิงที่เดินอีกแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึง เมื่อเข้ามาด้านในได้ จันทร์เจ้าก็พุ่งตัวเข้าไปทรุดนั่งกับพื้นแล้วโก่งคออาเจียนที่โถชักโครกอย่างหมดสภาพ พนักงานที่ช่วยพยุงมาทั้งสองคนจึงได้แต่เฝ้าดูที่หน้าเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าอย่างเป็นกังวล"เธอไปหาแก้วใส่น้ำให้คุณผู้หญิงใช้บ้วนปากเถอะ ท่าทางจะลุกไม่ไหว เอากระเป๋าของคุณเขามาไว้ที่พี่ละกัน พี่จะถือไว้ให้เอง" พนักงานที่อาวุโสกว่าหันไปบอกกับพนักงานรุ่นน้อง อีกฝ่ายจึงยื่นกระเป๋าถือของจันทร์เจ้าให้แล้วเดินออกจากห้องน้ำไปจันทร์เจ้าทิ้งตัวพิงผนังห้องน้ำอย่างหมดแรง ร่างกายเริ่มรู้สึกร้อนวูบวาบ ลำคอแห้งผากและร้อนผ่าวราวกับกำลังถูกเผาไหม้ เธอหันไปมองพนักงานที่ยืนอยู่เป็นเพื่อนแล้วขอร้องด้วยน้ำเสียงแหบพร่า"น้ำ ขอน้ำหน่อยค่ะ""รอสักครู่นะคะ ดิฉันกำลังให้น้องเขาไปเอาแก้วมาให้ค่ะ คุณผู้หญิงจะให้ดิฉันช่วยติดต่อญาติมารับไหมคะ แล้วคุณผู้ชายที่อยู่ข้างนอกนั่น..."พนักงานสาวพูดไว้แค่นั้นเพราะไม่รู้จะเลือกใช้คำไหนจึงจะเหมาะสมเนื่องจากไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของคนทั้งคู่จันทร์เจ้าส่ายหน
ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาเธออย่างเชื่องช้าพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองไปด้วย เสียงครวญครางแผ่วหวานที่เล็ดลอดออกจากปากอิ่มนั้นกำลังทำให้เนื้อตัวของเขาร้อนผ่าว ยิ่งเห็นเรียวขาขาวผ่องของเธอยกขึ้นมาชันเข่าแล้วแยกออกเล็กน้อยจนเป็นรูปตัวเอ็ม ความร้อนรุ่มที่ก่อตัวขึ้นทั่วร่างก็ไหลรวมกันจนไปกระจุกอยู่ที่กึ่งกลางลำตัว"หนูจันทร์" เขารู้สึกได้ว่าลำคอของตัวเองแห้งผากจนเสียงที่เปล่งออกมานั้นแหบพร่า ยิ่งเห็นสายตาเชิญชวนกึ่งเว้าวอนออดอ้อนที่มองมาความอดทนของเขาก็แทบกลายเป็นศูนย์"ร้อน...ฮือ..." เสียงครางปนสะอื้นของหญิงสาวเรียกสติของเขาให้กลับมาอีกครั้ง ตอนนี้จันทร์เจ้ามีเพียงกางเกงในสีเนื้อติดกายเพียงตัวเดียว แม้จะพยายามมองแต่ใบหน้าของเธอ แต่ทรวงสล้างได้รูปสวยที่ชูชันอวดโฉมให้เขายลนั้นก็ช่างดึงดูดสายตาดีเหลือเกิน"โอย...เอาไงดีวะ" เขารีบหลับตาแล้วหันหลังให้กับความเซ็กซี่ที่เชิญชวนให้เขาเข้าหาด้วยเสียงครางกระเส่า ส่วนหนึ่งของร่างกายที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของสมองก็ตื่นตัวเต็มที่จนปวดร้าวราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เวลานี้ความคิดฝั่งดีกับฝั่งร้ายกำลังตีกันยุ่งเหยิงจนเขาตัดสินใ
ภาวินจอดรถไว้ข้างกำแพงบ้านของจันทร์เจ้า หลังจากดับเครื่องแล้วเขาก็ลงมาเปิดกระโปรงหลังแล้วหยิบถุงใบใหญ่ออกมาถือไว้ก่อนจะเดินไปกดกริ่งหน้าบ้าน รอไม่นานนักก็มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมา สายตาที่มองมายังเขานั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและระแวดระวัง"มาหาใครคะ"ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง เขายกมือไหว้ทำความเคารพแล้วรีบแนะนำตัวเองทันที"สวัสดีครับ ผมภาวิน เป็นเพื่อนของชิน เจ้านายคุณจันทร์ครับ เผอิญว่าผมกลับจากไปบินมา ตอนที่อยู่เมืองนอกผมซื้อตุ๊กตากับของเล่นสำหรับเด็กผู้หญิงมาหลายอย่างก็เลย เอ่อ อยากเอามาให้หนูพราวน่ะครับ"เจ้าของบ้านมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้าให้"เอ่อ...เข้ามาก่อนค่ะ"ภาวินลอบถอนหายใจเมื่ออีกฝ่ายยอมให้ตนเข้าบ้าน เพราะก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์ไปหาชินดนัย กะว่าจะชวนมาที่นี่ด้วยกันแต่ปรากฏว่าวันนี้เพื่อนต้องไปงานประมูลการกุศลกับจันทร์เจ้า เขาจึงต้องมาหาพราวนภาด้วยตนเอง"ขอบคุณมากครับคุณน้า ผมขอเรียกคุณน้าก็แล้วกันนะครับเพราะยังไงคุณน้าก็เป็นแม่ของตะวัน" เขาเห็นอีกฝ่ายหยุดเดินจึงหยุดตาม คิดว่าจันทร์เจ้าคงเล่า
"อย่างกับมันอยากคุยกับกูนักนี่ กูชวนคุยก็ถามคำตอบคำ ท่าทางไม่ค่อยชอบหน้ากูเท่าไร คงคิดว่ากูจะไปจีบเด็กมึงละมั้ง เฮ้อ...พูดแล้วก็เสียดายแทนมึงว่ะ ยายนั่นหุ่นโคตรเด็ดเลยนะว่าไหม ผิวแม่งโคตรเนียน"อติวิชญ์เดาะลิ้นพลางส่ายหน้าช้า ๆ มือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกงไว้ ซึ่งในนั้นมียาทิงเจอร์ขาวขวดเล็ก ๆ อยู่ ท่าทางสุภาพบุรุษแบบนักธุรกิจหนุ่มก่อนหน้านี้หายวับไป เพราะถูกแทนที่ด้วยความเสเพลร้ายกาจซึ่งแสดงออกมาทางสีหน้าและแววตา"มึงใส่ยาไปแค่ไหนวะ ทำไมมันยังมีแรงมาต่อต้านกูได้"บรรพตหันไปถามอติวิชญ์ เพื่อนสนิทที่กินเที่ยวเล่นอยู่ในกลุ่มเดียวกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยในฐานะนักล่าคอเดียวกัน และเพราะธุรกิจที่ครอบครัวของอติวิชญ์ทำอยู่เป็นสายเดียวกับครอบครัวของเขาที่ทำโครงการบ้านจัดสรร ความสนิทสนมจึงยิ่งแน่นแฟ้น"ใส่ไปนิดเดียวแค่หยดสองหยด ใส่เยอะได้ยังไงเล่าเดี๋ยวคนอื่นเห็นอาการเข้าก็สงสัยกันหมดน่ะสิ ยิ่งกูไปโกหกเด็กเสิร์ฟไว้ว่าจะจีบสาว ให้มันช่วยเอาน้ำแก้วนั้นไปเสิร์ฟใกล้ ๆ ตอนกูให้สัญญาณนั่นอีกล่ะ ถ้าอาการออกเร็วขึ้นมาไอ้เด็กเสิร์ฟคนนั้นสงสัยกูแน่นอน อีกอย่างนะ ก
หญิงสาวถูกพยุงให้ลุกขึ้นแล้วพาเดินเข้าห้องน้ำหญิงที่เดินอีกแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึง เมื่อเข้ามาด้านในได้ จันทร์เจ้าก็พุ่งตัวเข้าไปทรุดนั่งกับพื้นแล้วโก่งคออาเจียนที่โถชักโครกอย่างหมดสภาพ พนักงานที่ช่วยพยุงมาทั้งสองคนจึงได้แต่เฝ้าดูที่หน้าเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าอย่างเป็นกังวล"เธอไปหาแก้วใส่น้ำให้คุณผู้หญิงใช้บ้วนปากเถอะ ท่าทางจะลุกไม่ไหว เอากระเป๋าของคุณเขามาไว้ที่พี่ละกัน พี่จะถือไว้ให้เอง" พนักงานที่อาวุโสกว่าหันไปบอกกับพนักงานรุ่นน้อง อีกฝ่ายจึงยื่นกระเป๋าถือของจันทร์เจ้าให้แล้วเดินออกจากห้องน้ำไปจันทร์เจ้าทิ้งตัวพิงผนังห้องน้ำอย่างหมดแรง ร่างกายเริ่มรู้สึกร้อนวูบวาบ ลำคอแห้งผากและร้อนผ่าวราวกับกำลังถูกเผาไหม้ เธอหันไปมองพนักงานที่ยืนอยู่เป็นเพื่อนแล้วขอร้องด้วยน้ำเสียงแหบพร่า"น้ำ ขอน้ำหน่อยค่ะ""รอสักครู่นะคะ ดิฉันกำลังให้น้องเขาไปเอาแก้วมาให้ค่ะ คุณผู้หญิงจะให้ดิฉันช่วยติดต่อญาติมารับไหมคะ แล้วคุณผู้ชายที่อยู่ข้างนอกนั่น..."พนักงานสาวพูดไว้แค่นั้นเพราะไม่รู้จะเลือกใช้คำไหนจึงจะเหมาะสมเนื่องจากไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของคนทั้งคู่จันทร์เจ้าส่ายหน
จันทร์เจ้าเดินออกมานอกห้องประชุมได้ก็พยายามก้าวขาเร็ว ๆ พลางมองหาห้องน้ำ แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเธอก็รู้สึกเหมือนโลกหมุนจึงหยุดเดินแล้วพยายามหายใจลึก เอาอากาศเข้าปอดให้มากเพราะจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าหายใจลำบากจนต้องยกมือขึ้นทาบอก แต่ลมจากในช่องท้องก็ตีรวนขึ้นมาอีก ส่งผลให้เธอต้องเลื่อนมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้อีกครั้งหญิงสาวพยายามสะกดกลั้นอาการคลื่นไส้เอาไว้ แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้ากลับพร่าเบลอจนต้องหลับตาแล้วสะบัดศีรษะสองสามครั้งแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ ทว่าการลืมตาขึ้นมาครั้งนี้เธอรู้สึกว่าพื้นที่ยืนอยู่โคลงเคลงจนแทบทรงตัวไม่ได้ ครั้นพอหันมองไปรอบตัวก็เห็นว่ามีทั้งพนักงานและแขกที่มาใช้บริการของทางโรงแรมอยู่ไม่กี่คนกำลังมองมาทางตนและถามด้วยความสงสัย"คุณผู้หญิงคะ เป็นอะไรรึเปล่า"จันทร์เจ้าพยายามครองสติเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยากพูดอะไรบางอย่างออกไปแต่อาการคลื่นไส้วิงเวียนก็โจมตีเข้ามาอีกครั้งจนต้องรีบยกมือขึ้นปิดปาก อีกมือก็จับกระเป๋าถือไว้แน่น พนักงานสาวอีกคนที่เห็นอาการของเธอจึงถามมาอีกครั้ง"คุณผู้หญิงจะไปห้องน้ำไหมคะ ดูเหมือนจะคลื่นไส้อยา
"ไม่เห็นต้องคิดอะไรมากเลยค่ะ ไม่ก็คือไม่ ฉันว่าเราต่างคนต่างอยู่และคงสถานะไว้ที่เจ้านายกับลูกน้องก็ดีอยู่แล้ว อีกอย่างนะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ คุณบอกฉันเองว่าชีวิตยังอีกยาวไกล จะให้มาคบผู้หญิงคนเดียวคงเป็นไปไม่ได้ และฉันก็จะไม่มีวันเป็นตัวเลือกของใครด้วย"ชายหนุ่มเงียบไปไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ในที่สุดคำพูดร้ายกาจของเขาก็ย้อนกลับมาเล่นงานตัวเองจนได้ เขาไม่โทษเธอที่ใจแข็งและไม่รู้จักให้อภัย แต่เขาโทษตัวเองที่เป็นฝ่ายสร้างบาดแผลไว้ให้เธอมากกว่า"พี่จะให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ละกัน แต่พี่บอกไว้เลยนะว่าถ่านไฟเก่าอย่างพี่จะพยายามติดไฟให้ได้"จันทร์เจ้าแค่นยิ้มแล้วมองเขาด้วยหางตาอีกครั้งก่อนพูดว่า"ถ่านไฟเก่าอะไร แค่เถ้าไม้ขีดก็พอมั้งคะ"ชินดนัยทำปากยื่นเหมือนเด็กเวลางอนพลางพึมพำเสียงขุ่น"คนสวยใจดำ!"ทั้งคู่มาถึงงานประมูลในเวลาหกโมงเศษ งานนี้จัดขึ้นที่โรงแรมระดับห้าดาวย่านใจกลางเมือง เมื่อเข้าไปในงาน จันทร์เจ้าก็เดินเข้าไปที่จุดลงทะเบียนเพื่อยื่นบัตรเชิญให้เจ้าหน้าที่ เสร็จเรียบร้อยก็ได้รั
จันทร์เจ้านั่งหันหน้าไปมองข้างทางตลอดเวลา ส่วนชินดนัยก็อาศัยจังหวะที่รถติดไฟแดงหันไปมองหญิงสาวให้เต็มตาอีกครั้ง วันนี้เธอสวยสง่ามาก ชุดเดรสสีม่วงเปลือกมังคุดช่วยขับผิวพรรณของเธอให้ยิ่งผุดผ่องชวนมอง จันทร์เจ้าไม่ชอบแต่งตัวโชว์เนื้อหนังมากเกินไป แต่ก็ไม่เรียบเสียจนดูไร้รสนิยม อย่างชุดที่เธอใส่วันนี้ก็เป็นเดรสแขนกุดคอกลมธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือช่วงบนตั้งแต่เหนืออกขึ้นเป็นผ้าลูกไม้ฝรั่งเศสสีเดียวกับชุด ด้านหลังก็เว้าไม่ลึกมากนัก มองแล้วเรียบง่ายกึ่ง ๆ ทางการแต่ก็แฝงความเซ็กซี่เย้ายวนด้วยเช่นกัน"มีคนบอกรึยังว่าวันนี้จันทร์สวยมาก" เขาพูดทำลายความเงียบ และจงใจขับให้ช้าลงโดยเลือกเส้นทางปกติ ไม่ขึ้นทางด่วนเพราะจะถึงที่หมายเร็วเกินไป"มีแล้วค่ะ" เธอตอบพลางมองเขาด้วยหางตา ทำเอาเขาอดยิ้มออกมาไม่ได้"หนูพราวละสิ ใช่ไหม" ในบ้านของเธอมีกันอยู่แค่สามคน และพราวนภาก็เป็นคนขึ้นไปตามเธอให้ลงมาข้างล่าง หากไม่ใช่หลานสาวตัวน้อยที่เอ่ยปากชมแล้วจะเป็นแมวที่ไหนได้อีกจันทร์เจ้าตวัดสายตาส่งค้อนให้เขาแล้วตอบสั้น ๆ "ค่ะ""หนูพราวนี่ขี้อ้อนจังเนอะ ปากหวานด้วย ตัวแค่นี้เข้าใจช
"กาแฟค่ะท่านประธาน" เสียงหวานแต่ฟังดูแล้วติดจะเย็นชาของเลขานุการสาว กอปรกับการที่เธอไม่ยอมมองหน้าเขาตรง ๆ ทำให้ชินดนัยอดสงสัยไม่ได้ เพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดูเหมือนจันทร์เจ้าจะตั้งกำแพงระหว่างกันขึ้นสูงมากกว่าเดิม ทั้งที่วันศุกร์ที่แล้วเขาคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอเริ่มเดินไปในทิศทางที่ดีขึ้นหลังจากที่ไปกินไอศกรีมด้วยกันเสียอีกวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เพิ่งผ่านไปมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเธอกันแน่ ทำไมคราวนี้จันทร์เจ้าถึงตั้งแง่กับเขามากกว่าตอนเจอหน้ากันครั้งแรกด้วยซ้ำ"จันทร์" เขาเรียกเธอเอาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะเปิดประตูออกไปจากห้อง"คะท่านประธาน" หญิงสาวหันมามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย"จันทร์เป็นอะไรรึเปล่า หรือพักนี้มีเรื่องอะไรไม่สบายใจไหม" เขาอดเป็นห่วงไม่ได้ กลัวเธอจะคิดมากเรื่องพราวนภา"ไม่มีค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไร ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ ขอตัวก่อนค่ะ" เธอกลับหลังหันไปทางประตูแต่เขาก็เรียกอีก"เดี๋ยวก่อน!"จันทร์เจ้าชะงัก ก่อนจะหันไปหาเขาอีกครั้ง "คะท่านประธาน""พรุ่งนี้พี่จะไปรับจันทร์ที่บ้านตอนห้าโม
"พี่เอาไปเก็บให้ดีกว่าครับเพราะมันหนักมาก น้องจันทร์ถือไม่ไหวหรอก ถึงถือไหวก็จะเจ็บมือเปล่า ๆ ผมขออนุญาตเอาของไปวางบนโต๊ะนะครับคุณน้า" บรรพตหันไปค้อมศีรษะให้เจ้าของบ้าน"เชิญค่ะ" พรรณียิ้มบาง ๆ ก่อนจะเชื้อเชิญให้เจ้าสัวเอนกนั่งในห้องรับแขก ส่วนจันทร์เจ้าก็เดินไปนำน้ำมาเสิร์ฟให้แขกผู้มาเยือน จากนั้นผู้ใหญ่ทั้งสองคนก็คุยเรื่องทั่วไปกันอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุดเจ้าสัวก็เริ่มเข้าเรื่อง"คืออย่างนี้นะคุณพรรณี เจ้าพตลูกชายของผมเนี่ย ปีนี้มันก็อายุอานามควรจะเป็นฝั่งเป็นฝาได้แล้ว ผมก็เคยถามมันว่ามีแฟนรึยัง มันก็บอกว่ายังไม่มีแต่มีคนที่ชอบอยู่"เจ้าสัวหยุดพูดแล้วมองไปทางจันทร์เจ้าพร้อมกับยิ้มจนตาหยี ส่วนบรรพตเองก็มองหญิงสาวอยู่เช่นกัน แต่มองด้วยสายตาวาววามราวกับเสือที่รอตะปบเหยื่อ"ผมจะไม่พูดอ้อมค้อมละนะ คนที่เจ้าลูกชายตัวดีของผมมันชอบก็คือหนูจันทร์นี่แหละ ฮ่า ๆ" เจ้าสัวพยายามทำให้บรรยากาศครื้นเครง ขณะที่บรรพตเองก็ได้แต่ยิ้มพลางหลุบตาลงมองพื้นพรรณีฝืนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหันมองบุตรสาวที่นั่งอยู่ข้างกายแล้วมองเลยไปยังหลานตัวน้อยที่นั่งเล่นตัวต่ออยู่บนพื้นข้างจันท