จันทร์เจ้าสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อสะกดความกลัวที่ผุดขึ้นมาในใจ บรรพตเป็นบุตรชายของเจ้าสัวเอนก เพื่อนในทางธุรกิจของบิดาผู้ล่วงลับ ตอนที่บ้านของเธอยังไม่ถูกฟ้องล้มละลาย เขาตามเทียวไล้เทียวขื่อเธออยู่หลายครั้ง บางทีก็เข้าหาทางบิดา ทำทีเป็นว่าให้ผู้ใหญ่พูดคุยตกลงเพื่อเป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่พอบ้านของเธอไม่เหลืออะไร ผู้ชายคนนี้กลับยื่นข้อเสนอให้เธอไปเป็นเมียเก็บของเขา เพื่อแลกกับเงินเดือนละหนึ่งแสนบาท ซึ่งเรื่องนี้เธอไม่เคยปริปากบอกมารดาให้ท่านทราบจนกระทั่งวันนี้
ใครยอมก็โง่เต็มที!
"คุณบรรพตมีธุระอะไรรึเปล่าคะถึงได้มาเวลานี้"
หญิงสาวพยายามเก็บความหวาดหวั่นเอาไว้ในใจ แล้วแสดงออกมาแต่ความสงบเยือกเย็นผ่านทางสีหน้าเช่นเคย และเพราะรู้ตัวว่าตนอาจเผลอแสดงความรังเกียจออกไปทางสายตา จึงพยายามกลอกตามองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้เขาสังเกตเห็น ตอนนี้เธออยู่บ้านกับเด็กเล็กแค่สองคน หากผู้ชายคนนี้ไม่ได้มาดี เขาอาจลงมือทำอะไรก็ได้
"แหม...น้องจันทร์นี่ละก็ พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกชื่อเต็ม มันฟังดูห่างเหินเกินไปเหมือนเราไม่ใช่คนกันเองอย่างนั้นแหละ" บรรพตยิ้มพร
ชินดนัยก้าวมายืนด้านหน้าบรรพตอย่างเอาเรื่อง ขณะที่ภาวินก็เดินเข้าไปใกล้แล้วพูดอย่างไม่พอใจเช่นกัน"แถวบ้านกูเขาเรียกปากหมานะเนี่ย จัดสักดอกดีไหมวะไอ้ชิน""เฮ้ย! พวกมึงจะหมาหมู่หรือวะ คิดว่ากูกลัวรึไง ถุย!"บรรพตถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างแนบเนียน ก่อนจะยกมือขึ้นชี้หน้าชายหนุ่มทั้งคู่แล้วพูดอย่างอาฆาต"ฝากไว้ก่อนเถอะพวกมึงน่ะ อย่าให้กูเจอที่อื่นนะจะให้คนกระทืบแม่งให้ตายคาตีนเลย""ตายคาตีนกูก่อนดีไหม ปากดีฉิบหาย" ชินดนัยปรี่เข้าไปทันที บรรพตจึงรีบถอยกรูดไปที่รถของตัวเองพร้อมกับเปิดประตูขึ้นไปนั่งอย่างลนลาน เป็นเวลาเดียวกับที่จันทร์เจ้ารีบไขกุญแจเปิดประตูรั้วออกมาแล้วร้องห้ามเสียงสั่น"หยุดเดี๋ยวนี้นะ! อย่ามาต่อยตีกันหน้าบ้านฉันนะ" สิ้นเสียงของหญิงสาว เสียงล้อบดถนนจากการเร่งเครื่องยนต์ก็ดังกระหึ่มพร้อมกับที่รถสปอร์ตของบรรพตวิ่งฉิวผ่านหน้าไปจนเกือบชนจักรยานที่พนักงานรักษาความปลอดภัยขี่ตรวจตราภายในหมู่บ้านคล้อยหลังรถเจ้าปัญหา จันทร์เจ้าก็หันมามองหน้าชายหนุ่มสองคนแล้วถามอย่างเอาเรื่อง"แล้วพวกคุณสองคนมาทำไม"ภาวินทำหน้าอิหลักอิเห
"หมาเห็นปลากระป๋อง ได้แต่มองไม่มีสิทธิ์แ..." คำสุดท้ายภาวินพูดโดยไม่ออกเสียงแล้วหัวเราะอย่างชอบใจ ส่วนคนที่ถูกนำไปเปรียบกับสุนัขได้แต่ชูนิ้วกลางให้เพื่อน จากนั้นทั้งสองคนก็นั่งเงียบ ๆ อยู่ในห้องรับแขกจนกระทั่งจันทร์เจ้าพาพราวนภาเดินเข้ามาในห้องหญิงสาวเห็นสองหนุ่มพากันนั่งตัวตรงจึงก้มตัวลงไปบอกหลานตัวน้อย"หนูพราว หนูนั่งเล่นอยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ ขอแม่คุยกับคุณลุงเขาก่อน""แม่จันทร์จะไปไหนคะ หนูพราวไปด้วย" พราวนภาเงยหน้าถามเสียงอ่อยด้วยสายตาออดอ้อน"แม่ไม่ได้ไปไหนค่ะ แม่จะนั่งคุยตรงโต๊ะกินข้าวนี่เอง หนูพราวนั่งดูการ์ตูนไปก่อนนะลูก" พูดจบก็เดินจะไปหยิบรีโมตโทรทัศน์มาเปิดช่องการ์ตูน แต่รีโมตนั้นกลับวางอยู่บนเบาะข้างชินดนัย เธอมองหน้าเขา เห็นเขายิ้มกริ่มมองตอบกลับมาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ จากนั้นเขาก็หยิบรีโมตโทรทัศน์ขึ้นมาถือไว้ในมือแล้วพูดว่า"หนูพราวคะ เวลาจะขอสิ่งของ หรือขอให้ผู้ใหญ่หยิบของให้ เราควรจะพูดยังไงเอ่ย""พูดว่าหยิบของให้หนูพราวหน่อยได้ไหมคะ" พราวนภาตอบอย่างพาซื่อ"แล้วถ้า..." ชินดนัยหยุดพูดพลางมองหน้าหญิงสาวด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ
ทั้งสองหนุ่มเองก็เงียบไปเช่นกัน ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเองไปครู่หนึ่ง"ช่วงนั้นพวกเราสามคนแม่ลูกแทบจะทำอะไรกันไม่ถูกเพราะทุกอย่างประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน ยังดีที่มีญาติสนิทบางคน และเพื่อนของคุณแม่ที่ช่วยเหลือและแนะนำอะไรหลาย ๆ อย่าง กว่าจะผ่านจุดนั้นกันมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่พี่ตะวันเองก็เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าท้อง พูดคุยน้อยลง ไม่ค่อยยิ้มหรือหัวเราะบ่อย ๆ เหมือนเมื่อก่อน พี่เขาตัดการติดต่อกับเพื่อนทุกคน จันทร์กับคุณแม่ก็คิดว่าพี่ตะวันคงกำลังปรับตัวจึงไม่ได้สงสัยอะไร และช่วงนั้นจันทร์ก็มัวแต่ยุ่งกับการหางานทำด้วย คุณแม่ก็ต้องอบขนมทำเค้กไปให้ร้านต่าง ๆ ลองชิมรสชาติ ถ้าถูกปากก็จะได้สั่งไปขาย"จันทร์เจ้าเล่าไปเรื่อย ๆ จนลืมตัวเผลอใช้ชื่อตนแทนคำเรียกขาน และคนฟังก็ไม่ได้สะดุดหูกับตรงนี้เช่นกันเพราะต่างคนต่างอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง"เราสามคนก็ใช้ชีวิตกันแบบเรียบง่ายอย่างนั้นเรื่อยมาจนกระทั่งพี่ตะวันคลอด หลังจากคลอดแล้วพี่เขาดูเหมือนจะยิ่งเก็บตัวและเงียบมากขึ้นกว่าเดิม ปกติคนที่เพิ่งคลอดลูกมามักจะอวบขึ้นแต่พี่ตะวันกลับซูบผอมลงไปมาก จากคนที
เสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีของคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถทำให้คนที่นั่งอยู่เบาะข้างกันอดหมั่นไส้ไม่ได้ ภาวินปรายตามองเพื่อนอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเอื้อมไปเร่งเสียงเพลงในรถให้ดังขึ้นพร้อมกับพูดว่า"กูจะฟังเพลง กูไม่ได้อยากฟังเสียงมึง"ชินดนัยยิ้มกว้างแล้วกดปุ่มลดเสียงจากพวงมาลัยที่จับอยู่แล้วจงใจพูดยั่วเพื่อนด้วยน้ำเสียงที่คิดว่ากวนประสาทที่สุด"แต่นี่มันรถกู เพราะฉะนั้นกูจะร้องดังแค่ไหนก็ได้" พูดจบก็ร้องท่อนฮุคของเพลงเสียงดังลั่นรถ ก่อนจะตบท้ายด้วยการหัวเราะร่วนเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนรัก"จะเครียดไปทำไมวะไอ้วิน หรือเสียใจที่จู่ ๆ ก็มีลูกสาวโผล่มาคนหนึ่ง กูว่าหนูพราวน่ารักน่าเอ็นดูจะตายไป นี่ถ้าพ่อกับแม่มึงรู้ว่ามีหลานสาวน่ารัก ๆ อย่างนี้สงสัยตื่นเต้นกันน่าดู"ภาวินถอนหายใจเสียงดังก่อนพูด "จะไม่ให้เครียดได้ยังไงวะ ท่าทางคุณจันทร์คงไม่มีทางปล่อยหนูพราวแน่""ไม่ปล่อยก็ไม่ปล่อยสิ เขาก็ไม่ได้หนีไปไหนกันนี่หว่า มึงอยากไปหาเมื่อไรก็ได้หนูจันทร์เขาก็บอกไว้แล้วนี่ เขาไม่ได้กีดกันหรือห้ามไม่ให้มึงไปหาลูกสักหน่อย""มึงก็พูดง่ายสิ
วันต่อมาจันทร์เจ้าจำเป็นต้องพาพราวนภามาเลี้ยงที่ทำงานอีกหนึ่งวัน หญิงสาวได้แต่ภาวนาในใจว่าวันนี้ขอไม่เจอกับภาวินอีก เพราะบอกตามตรงว่ายังหาวิธีรับมือกับเขาไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้เธอต้องรีบปรึกษากับมารดาทันทีที่ท่านกลับมาถึงหลังจากปูเบาะเพื่อให้หลานสาวนั่งเล่นด้านหลังโต๊ะทำงานเสร็จเรียบร้อย เมื่อหันกลับมาก็เจอร่างสูงโปร่งของผู้เป็นเจ้านายยืนยิ้มเผล่อยู่เบื้องหน้าพอดี"สวัสดีค่ะคุณลุงประธาน" เสียงใสของพราวนภาเอ่ยทักทายพลางย่อตัวไหว้ทันทีที่เห็นหน้าของคนที่ไปเยี่ยมหาถึงบ้านเมื่อวานพร้อมกับส่งรอยยิ้มเจิดจ้าไปให้"สวัสดีค่ะหนูพราว วันนี้แต่งตัวน่ารักจัง มีหูกระต่ายที่ไหล่ด้วยหรือคะ"ชินดนัยทำเสียงอ่อนเสียงหวานพลางเดินเข้าไปยืนใกล้กับจันทร์เจ้าจนไหล่แทบชนกัน หญิงสาวจึงเบี่ยงตัวไปอีกด้านเพื่อเว้นระยะห่างจากเขา เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าเธอห่างออกไปแล้วเขาจึงย่อตัวลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับเด็กหญิงตัวน้อยแล้วพูดเบา ๆ ว่า"วันนี้เราไปหม่ำไอติมกันไหมคะ ลุงอยากกินจังเลยแต่ไม่มีเพื่อนไปกิน หนูพราวไปเป็นเพื่อนลุงหน่อยได้ไหมเอ่ย"พราวนภายิ้มพร้อ
จันทร์เจ้านิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับคำสั่ง "ค่ะ"หญิงสาวลอบถอนหายใจ เธอเข้าใจดีว่าการที่ชินดนัยให้เธอติดตามไปด้วยก็เพื่อให้ตนไปทำความรู้จักกับบรรดาลูกค้าไฮโซทั้งหลาย และหากเธอสามารถจำชื่อของแต่ละคนได้ก็จะเป็นการดีกับบริษัทด้วย เพราะถือเป็นการให้เกียรติลูกค้าอย่างมาก อีกทั้งจะทำให้ลูกค้าเหล่านั้นรู้สึกเป็นคนสำคัญที่มีคนจดจำชื่อตนได้ ถือเป็นการสร้างความประทับใจอย่างหนึ่งหวังว่างานนี้จะไม่จะเจอคนรู้จักเพราะชินดนัยบอกว่ามีแต่คนในแวดวงไฮโซ ไม่ใช่กลุ่มนักธุรกิจ ตั้งแต่ครอบครัวถูกฟ้องล้มละลาย เธอกับมารดาก็ปลีกตัวออกมาใช้ชีวิตเงียบ ๆ โดยไม่ติดต่อกับบรรดาภรรยานักธุรกิจที่เคยรู้จักกันอีก คนเหล่านี้ส่วนใหญ่หน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าก็ทำท่าทางเห็นใจ แต่ลับหลังกลับหัวเราะเยาะเย้ยในชะตากรรมของคนอื่นขณะที่จันทร์เจ้าจมอยู่กับภวังค์ความคิดของตัวเอง ชินดนัยก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่างานประมูลครั้งนี้ หญิงสาวอาจเจอคนรู้จักก็เป็นได้ และเธอคงกำลังหนักใจอยู่กระมังที่ต้องไปออกงานพร้อมเขา"เอ่อ...พี่ขอโทษทีนะจันทร์ พี่ลืมไปเลยว่างานนี้เราอาจจะเจอคนรู้จักของคุณพ่อคุณแม่ ถ้าจันทร์ไ
ภาพของชายหนุ่มกับหญิงสาวที่กำลังพลอดรักกันอยู่ในรถยนต์คันหรูตรงหน้าเริ่มพร่าเบลอขึ้นทีละนิดเพราะน้ำที่เอ่อรื้นขึ้นกบตา จันทร์เจ้ายืนตัวแข็งอย่างคนทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายทั้งปวดแปลบและอึดอัดราวกับหายใจไม่ออก จุกจนเจ็บไปทั้งใจ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนี้น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มหยดแล้วหยดเล่า แต่กลับไร้เสียงสะอื้น ดูเหมือนคนในรถจะเริ่มรู้สึกตัวว่ามีคนยืนมองอยู่ เพราะฝ่ายหญิงทำหน้าตกใจแล้วรีบติดกระดุมเสื้อนิสิตของตนตามเดิม ขณะที่ฝ่ายชายนั้นเพียงหันมามองแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นชายหนุ่มหันไปพูดบางอย่างกับคนที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับ จันทร์เจ้าจำหล่อนได้ ผู้หญิงคนนี้ชื่อสลิลา เรียนปีเดียวกันกับเธอแต่คนละคณะ เธอเรียนบริหารการจัดการ แต่เจ้าหล่อนเรียนเศรษฐศาสตร์ และเป็นดาวคณะที่หนุ่ม ๆ ไม่ว่าจะรุ่นน้องหรือรุ่นพี่ต่างพากันเข้าคิวจีบเพราะอยากสานสัมพันธ์ด้วยแต่ทั้งที่มีชายหนุ่มมากมายหมายปอง ผู้ชายที่สลิลาเลือกคบหากลับเป็นชินดนัย คนรักของเธอชินดนัยเปิดประตูแล้วก้าวลงมาจากรถ ร่างสูงโปร่งในชุดนิสิตเดินเข้าไปหาจันทร์เจ้าด้วยท่าทีปกติราวกับว่
จันทร์เจ้าแหงนมองอาคารหลังใหญ่ตรงหน้าจากในรถด้วยความตื่นเต้น วันนี้เป็นวันเริ่มงานวันแรกของเธอในฐานะเลขานุการของท่านประธานใหญ่บริษัทนำเข้านาฬิกาแบรนด์หรู แม้จะไม่ใช่งานแรกสำหรับการเป็นเลขาฯ แต่ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ทำงานกับบริษัทใหญ่ขนาดนี้เมื่อคืนหญิงสาวตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ กว่าจะหลับได้ก็ล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว โชคดีที่เธอตั้งนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์ไว้สามช่วงเวลา มิเช่นนั้นวันนี้คงมาสายตั้งแต่ทำงานวันแรกหลังจากแลกบัตรแล้วเข้าไปจอดรถในอาคารเสร็จเรียบร้อย จันทร์เจ้าก็กดลิฟต์ขึ้นไปชั้นเก้า เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกก็เห็นชื่อบริษัทเด่นหราอยู่ตรงหน้า หญิงสาวผลักประตูกระจกเดินเข้าไปด้านใน และเพราะยังไม่ถึงเวลาทำงาน คนในออฟฟิศจึงค่อนข้างบางตา เธอเห็นหลายคนมองมาด้วยความสงสัย จึงแนะนำตัวเองอย่างเป็นมิตร“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อจันทร์เจ้า ทำตำแหน่งเลขาฯ ท่านประธาน วันนี้มาเริ่มงานวันแรกค่ะ” แนะนำตัวเองเสร็จก็เห็นหลายคนมีสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งยิ้มให้แล้วชี้ขึ้นไปด้านบน“ห้องท่านประธานอยู่ชั้นสิบครับ ยินดีที่ได้รู้จักและได้ร่วมงานกันนะครับคุณจันทร์เจ้า”“ขอบคุณมากค่ะ” เธอค้อมศีรษะขอ
จันทร์เจ้านิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับคำสั่ง "ค่ะ"หญิงสาวลอบถอนหายใจ เธอเข้าใจดีว่าการที่ชินดนัยให้เธอติดตามไปด้วยก็เพื่อให้ตนไปทำความรู้จักกับบรรดาลูกค้าไฮโซทั้งหลาย และหากเธอสามารถจำชื่อของแต่ละคนได้ก็จะเป็นการดีกับบริษัทด้วย เพราะถือเป็นการให้เกียรติลูกค้าอย่างมาก อีกทั้งจะทำให้ลูกค้าเหล่านั้นรู้สึกเป็นคนสำคัญที่มีคนจดจำชื่อตนได้ ถือเป็นการสร้างความประทับใจอย่างหนึ่งหวังว่างานนี้จะไม่จะเจอคนรู้จักเพราะชินดนัยบอกว่ามีแต่คนในแวดวงไฮโซ ไม่ใช่กลุ่มนักธุรกิจ ตั้งแต่ครอบครัวถูกฟ้องล้มละลาย เธอกับมารดาก็ปลีกตัวออกมาใช้ชีวิตเงียบ ๆ โดยไม่ติดต่อกับบรรดาภรรยานักธุรกิจที่เคยรู้จักกันอีก คนเหล่านี้ส่วนใหญ่หน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าก็ทำท่าทางเห็นใจ แต่ลับหลังกลับหัวเราะเยาะเย้ยในชะตากรรมของคนอื่นขณะที่จันทร์เจ้าจมอยู่กับภวังค์ความคิดของตัวเอง ชินดนัยก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่างานประมูลครั้งนี้ หญิงสาวอาจเจอคนรู้จักก็เป็นได้ และเธอคงกำลังหนักใจอยู่กระมังที่ต้องไปออกงานพร้อมเขา"เอ่อ...พี่ขอโทษทีนะจันทร์ พี่ลืมไปเลยว่างานนี้เราอาจจะเจอคนรู้จักของคุณพ่อคุณแม่ ถ้าจันทร์ไ
วันต่อมาจันทร์เจ้าจำเป็นต้องพาพราวนภามาเลี้ยงที่ทำงานอีกหนึ่งวัน หญิงสาวได้แต่ภาวนาในใจว่าวันนี้ขอไม่เจอกับภาวินอีก เพราะบอกตามตรงว่ายังหาวิธีรับมือกับเขาไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้เธอต้องรีบปรึกษากับมารดาทันทีที่ท่านกลับมาถึงหลังจากปูเบาะเพื่อให้หลานสาวนั่งเล่นด้านหลังโต๊ะทำงานเสร็จเรียบร้อย เมื่อหันกลับมาก็เจอร่างสูงโปร่งของผู้เป็นเจ้านายยืนยิ้มเผล่อยู่เบื้องหน้าพอดี"สวัสดีค่ะคุณลุงประธาน" เสียงใสของพราวนภาเอ่ยทักทายพลางย่อตัวไหว้ทันทีที่เห็นหน้าของคนที่ไปเยี่ยมหาถึงบ้านเมื่อวานพร้อมกับส่งรอยยิ้มเจิดจ้าไปให้"สวัสดีค่ะหนูพราว วันนี้แต่งตัวน่ารักจัง มีหูกระต่ายที่ไหล่ด้วยหรือคะ"ชินดนัยทำเสียงอ่อนเสียงหวานพลางเดินเข้าไปยืนใกล้กับจันทร์เจ้าจนไหล่แทบชนกัน หญิงสาวจึงเบี่ยงตัวไปอีกด้านเพื่อเว้นระยะห่างจากเขา เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าเธอห่างออกไปแล้วเขาจึงย่อตัวลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับเด็กหญิงตัวน้อยแล้วพูดเบา ๆ ว่า"วันนี้เราไปหม่ำไอติมกันไหมคะ ลุงอยากกินจังเลยแต่ไม่มีเพื่อนไปกิน หนูพราวไปเป็นเพื่อนลุงหน่อยได้ไหมเอ่ย"พราวนภายิ้มพร้อ
เสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีของคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถทำให้คนที่นั่งอยู่เบาะข้างกันอดหมั่นไส้ไม่ได้ ภาวินปรายตามองเพื่อนอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเอื้อมไปเร่งเสียงเพลงในรถให้ดังขึ้นพร้อมกับพูดว่า"กูจะฟังเพลง กูไม่ได้อยากฟังเสียงมึง"ชินดนัยยิ้มกว้างแล้วกดปุ่มลดเสียงจากพวงมาลัยที่จับอยู่แล้วจงใจพูดยั่วเพื่อนด้วยน้ำเสียงที่คิดว่ากวนประสาทที่สุด"แต่นี่มันรถกู เพราะฉะนั้นกูจะร้องดังแค่ไหนก็ได้" พูดจบก็ร้องท่อนฮุคของเพลงเสียงดังลั่นรถ ก่อนจะตบท้ายด้วยการหัวเราะร่วนเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนรัก"จะเครียดไปทำไมวะไอ้วิน หรือเสียใจที่จู่ ๆ ก็มีลูกสาวโผล่มาคนหนึ่ง กูว่าหนูพราวน่ารักน่าเอ็นดูจะตายไป นี่ถ้าพ่อกับแม่มึงรู้ว่ามีหลานสาวน่ารัก ๆ อย่างนี้สงสัยตื่นเต้นกันน่าดู"ภาวินถอนหายใจเสียงดังก่อนพูด "จะไม่ให้เครียดได้ยังไงวะ ท่าทางคุณจันทร์คงไม่มีทางปล่อยหนูพราวแน่""ไม่ปล่อยก็ไม่ปล่อยสิ เขาก็ไม่ได้หนีไปไหนกันนี่หว่า มึงอยากไปหาเมื่อไรก็ได้หนูจันทร์เขาก็บอกไว้แล้วนี่ เขาไม่ได้กีดกันหรือห้ามไม่ให้มึงไปหาลูกสักหน่อย""มึงก็พูดง่ายสิ
ทั้งสองหนุ่มเองก็เงียบไปเช่นกัน ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเองไปครู่หนึ่ง"ช่วงนั้นพวกเราสามคนแม่ลูกแทบจะทำอะไรกันไม่ถูกเพราะทุกอย่างประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน ยังดีที่มีญาติสนิทบางคน และเพื่อนของคุณแม่ที่ช่วยเหลือและแนะนำอะไรหลาย ๆ อย่าง กว่าจะผ่านจุดนั้นกันมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่พี่ตะวันเองก็เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าท้อง พูดคุยน้อยลง ไม่ค่อยยิ้มหรือหัวเราะบ่อย ๆ เหมือนเมื่อก่อน พี่เขาตัดการติดต่อกับเพื่อนทุกคน จันทร์กับคุณแม่ก็คิดว่าพี่ตะวันคงกำลังปรับตัวจึงไม่ได้สงสัยอะไร และช่วงนั้นจันทร์ก็มัวแต่ยุ่งกับการหางานทำด้วย คุณแม่ก็ต้องอบขนมทำเค้กไปให้ร้านต่าง ๆ ลองชิมรสชาติ ถ้าถูกปากก็จะได้สั่งไปขาย"จันทร์เจ้าเล่าไปเรื่อย ๆ จนลืมตัวเผลอใช้ชื่อตนแทนคำเรียกขาน และคนฟังก็ไม่ได้สะดุดหูกับตรงนี้เช่นกันเพราะต่างคนต่างอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง"เราสามคนก็ใช้ชีวิตกันแบบเรียบง่ายอย่างนั้นเรื่อยมาจนกระทั่งพี่ตะวันคลอด หลังจากคลอดแล้วพี่เขาดูเหมือนจะยิ่งเก็บตัวและเงียบมากขึ้นกว่าเดิม ปกติคนที่เพิ่งคลอดลูกมามักจะอวบขึ้นแต่พี่ตะวันกลับซูบผอมลงไปมาก จากคนที
"หมาเห็นปลากระป๋อง ได้แต่มองไม่มีสิทธิ์แ..." คำสุดท้ายภาวินพูดโดยไม่ออกเสียงแล้วหัวเราะอย่างชอบใจ ส่วนคนที่ถูกนำไปเปรียบกับสุนัขได้แต่ชูนิ้วกลางให้เพื่อน จากนั้นทั้งสองคนก็นั่งเงียบ ๆ อยู่ในห้องรับแขกจนกระทั่งจันทร์เจ้าพาพราวนภาเดินเข้ามาในห้องหญิงสาวเห็นสองหนุ่มพากันนั่งตัวตรงจึงก้มตัวลงไปบอกหลานตัวน้อย"หนูพราว หนูนั่งเล่นอยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ ขอแม่คุยกับคุณลุงเขาก่อน""แม่จันทร์จะไปไหนคะ หนูพราวไปด้วย" พราวนภาเงยหน้าถามเสียงอ่อยด้วยสายตาออดอ้อน"แม่ไม่ได้ไปไหนค่ะ แม่จะนั่งคุยตรงโต๊ะกินข้าวนี่เอง หนูพราวนั่งดูการ์ตูนไปก่อนนะลูก" พูดจบก็เดินจะไปหยิบรีโมตโทรทัศน์มาเปิดช่องการ์ตูน แต่รีโมตนั้นกลับวางอยู่บนเบาะข้างชินดนัย เธอมองหน้าเขา เห็นเขายิ้มกริ่มมองตอบกลับมาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ จากนั้นเขาก็หยิบรีโมตโทรทัศน์ขึ้นมาถือไว้ในมือแล้วพูดว่า"หนูพราวคะ เวลาจะขอสิ่งของ หรือขอให้ผู้ใหญ่หยิบของให้ เราควรจะพูดยังไงเอ่ย""พูดว่าหยิบของให้หนูพราวหน่อยได้ไหมคะ" พราวนภาตอบอย่างพาซื่อ"แล้วถ้า..." ชินดนัยหยุดพูดพลางมองหน้าหญิงสาวด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ
ชินดนัยก้าวมายืนด้านหน้าบรรพตอย่างเอาเรื่อง ขณะที่ภาวินก็เดินเข้าไปใกล้แล้วพูดอย่างไม่พอใจเช่นกัน"แถวบ้านกูเขาเรียกปากหมานะเนี่ย จัดสักดอกดีไหมวะไอ้ชิน""เฮ้ย! พวกมึงจะหมาหมู่หรือวะ คิดว่ากูกลัวรึไง ถุย!"บรรพตถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างแนบเนียน ก่อนจะยกมือขึ้นชี้หน้าชายหนุ่มทั้งคู่แล้วพูดอย่างอาฆาต"ฝากไว้ก่อนเถอะพวกมึงน่ะ อย่าให้กูเจอที่อื่นนะจะให้คนกระทืบแม่งให้ตายคาตีนเลย""ตายคาตีนกูก่อนดีไหม ปากดีฉิบหาย" ชินดนัยปรี่เข้าไปทันที บรรพตจึงรีบถอยกรูดไปที่รถของตัวเองพร้อมกับเปิดประตูขึ้นไปนั่งอย่างลนลาน เป็นเวลาเดียวกับที่จันทร์เจ้ารีบไขกุญแจเปิดประตูรั้วออกมาแล้วร้องห้ามเสียงสั่น"หยุดเดี๋ยวนี้นะ! อย่ามาต่อยตีกันหน้าบ้านฉันนะ" สิ้นเสียงของหญิงสาว เสียงล้อบดถนนจากการเร่งเครื่องยนต์ก็ดังกระหึ่มพร้อมกับที่รถสปอร์ตของบรรพตวิ่งฉิวผ่านหน้าไปจนเกือบชนจักรยานที่พนักงานรักษาความปลอดภัยขี่ตรวจตราภายในหมู่บ้านคล้อยหลังรถเจ้าปัญหา จันทร์เจ้าก็หันมามองหน้าชายหนุ่มสองคนแล้วถามอย่างเอาเรื่อง"แล้วพวกคุณสองคนมาทำไม"ภาวินทำหน้าอิหลักอิเห
จันทร์เจ้าสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อสะกดความกลัวที่ผุดขึ้นมาในใจ บรรพตเป็นบุตรชายของเจ้าสัวเอนก เพื่อนในทางธุรกิจของบิดาผู้ล่วงลับ ตอนที่บ้านของเธอยังไม่ถูกฟ้องล้มละลาย เขาตามเทียวไล้เทียวขื่อเธออยู่หลายครั้ง บางทีก็เข้าหาทางบิดา ทำทีเป็นว่าให้ผู้ใหญ่พูดคุยตกลงเพื่อเป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่พอบ้านของเธอไม่เหลืออะไร ผู้ชายคนนี้กลับยื่นข้อเสนอให้เธอไปเป็นเมียเก็บของเขา เพื่อแลกกับเงินเดือนละหนึ่งแสนบาท ซึ่งเรื่องนี้เธอไม่เคยปริปากบอกมารดาให้ท่านทราบจนกระทั่งวันนี้ใครยอมก็โง่เต็มที!"คุณบรรพตมีธุระอะไรรึเปล่าคะถึงได้มาเวลานี้"หญิงสาวพยายามเก็บความหวาดหวั่นเอาไว้ในใจ แล้วแสดงออกมาแต่ความสงบเยือกเย็นผ่านทางสีหน้าเช่นเคย และเพราะรู้ตัวว่าตนอาจเผลอแสดงความรังเกียจออกไปทางสายตา จึงพยายามกลอกตามองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้เขาสังเกตเห็น ตอนนี้เธออยู่บ้านกับเด็กเล็กแค่สองคน หากผู้ชายคนนี้ไม่ได้มาดี เขาอาจลงมือทำอะไรก็ได้"แหม...น้องจันทร์นี่ละก็ พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกชื่อเต็ม มันฟังดูห่างเหินเกินไปเหมือนเราไม่ใช่คนกันเองอย่างนั้นแหละ" บรรพตยิ้มพร
"ช่วงที่กูได้งานเป็นนักบินใหม่ ๆ กูเคยคบกับแอร์สายการบินเดียวกันอยู่คนหนึ่งชื่อตะวัน คบได้ปีกว่าก็เลิกไป และตะวันก็น่าจะเป็นพี่สาวของเลขาฯ มึงนั่นแหละ ถึงว่าสิ ตอนเห็นหน้าคุณจันทร์ครั้งแรกกูถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก เพราะสองพี่น้องนี่หน้าตาคล้าย ๆ กันนี่เอง" ภาวินก้มดูรูปในโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง"ทำไมถึงเลิกวะ บอกได้ไหม" ชินดนัยอดถามไม่ได้ เพราะหากพราวนภาเป็นลูกของภาวินจริง ๆ ก็หมายความว่าพี่สาวของจันทร์เจ้าตั้งครรภ์อยู่ตอนที่เลิกรากับเพื่อนเขาภาวินถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟา แหงนคอพาดไว้กับพนักแล้วหลับตานิ่งก่อนจะตอบเบา ๆ"เขาบอกว่าเขาท้องกับคนอื่น"ทั้งคู่ต่างคนต่างเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นก็เป็นภาวินที่เปิดปากพูดทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน"ตอนแรกก็ยังดี ๆ อยู่ ตอนบินไปปารีสก็ยังไปเที่ยวด้วยกันอยู่เลย แต่หลังจากกลับมาถึงเมืองไทยได้สักวันสองวัน จู่ ๆ ตะวันก็โทร. มาบอกเลิกกู เขาบอกว่าคบผู้ชายคนอื่นอยู่ด้วยไม่ได้คบกูคนเดียว เขาท้อง และลูกในท้องก็เป็นลูกของผู้ชายคนนั้น เฮ้อ...บอกตามตรงเลยว่าตอนนั้นกูโคตรโกรธเลย วันไหนไม่มีบิน ก
"หนูไม่ชอบกินขนมปังหรือคะ" ชายหนุ่มลองถามเด็กน้อยดูเมื่อเห็นเจ้าตัวเอาแต่มองถุงขนมแต่ไม่ยอมรับไป"ชอบกินค่ะ แต่ต้องขอแม่จันทร์ก่อน แม่จันทร์กับยายจ๋าไม่ให้รับของจากคนอื่น" พราวนภาอธิบายเจื้อยแจ้ว ทำเอาคนมองอย่างภาวินรู้สึกเอ็นดูจนอยากรวบตัวเข้ามากอดไว้แนบอก"ถ้าอย่างนั้นรอแม่จันทร์มาก่อนก็ได้ค่ะ แต่ระหว่างรอ เรามาถ่ายรูปด้วยกันดีไหมคะ คุณลุงอยากถ่ายรูปกับหนูพราวจังเลย"ภาวินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตแล้วกดโหมดถ่ายภาพทันทีโดยไม่รอคำตอบ จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ พราวนภาจนแก้มเกือบชนกัน"ยิ้มสวย ๆ หน่อยค่ะคนเก่ง คุณลุงจะนับถึงสามนะคะ หนึ่ง...สอง...สาม"เขากดถ่ายไปหลายรูปด้วยความรวดเร็ว เพราะอยากได้รูปที่ชัดที่สุดเพื่อเอาไว้เปรียบเทียบว่าพราวนภามีส่วนใดบนใบหน้าที่คล้ายคลึงกับเขาบ้าง ซึ่งคนที่จะช่วยเขาดูเรื่องนี้ก็คือบิดามารดาของเขาเองชินดนัยมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก บุตรสาวของจันทร์เจ้าใบหน้าละม้ายคล้ายภาวินอย่างกับแกะ หากเดินด้วยกันเขาเชื่อว่าร้อยทั้งร้อยต้องมีคนคิดว่าเป็นพ่อลูกกันแน่นอน แต่ปัญหาคือภาวินยืนยันเป