"เช่นนั้นแล้วข้าเองก็คงสละสิทธิ์เช่นกัน"ซ่างฮ้วนเองก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเดิมทีในใจคนทั้งสองรู้ดีว่างานนี้พวกเขาเป็นเพียงตัวละครในงานเท่านั้น ผู้ที่จะเป็นบุตรเขยของจวนสกุลมู่ได้มีเพียงผู้เดียวคือบุตรชายของจวนสกุลเฉิน"รองแม่ทัพซ่างช่างเด็ดขาดสมคำร่ำรือ อวี้ฉางนับถือ นับถือ""คุณชายอวี้ฉางเองก็สมกับเป็นบุรุษที่น่านับถือเช่นกัน"ทั้งสองต่างกล่าวเยินยอกันและกัน ผิดกับหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่เอาแต่จ้องมองกันไร้คำพูดจาใด ๆ จวบจนเยว่อันหนิงไม่อาจทนมองสายตาที่คุ้นชินอย่างประหลาดคู่นั้นต่อได้ จึงเอ่ยขึ้น..."เมื่อมีพบย่อมมีจาก""จากวันนี้ เพื่อพบกันในวันหน้า"ริมฝีปากเล็กสวยคลี่ยิ้มบาง ๆ ภายใต้ผ้าปิดหน้าสีแดงที่ได้คืนมา"บุญคุณครั้งนี้ยังมิได้ทดแทน หากมีวาสนาข้าจะใช้คืนแม่นางแน่นอน""เสียวจื่อจะเก็บน้ำใจของท่านแม่ทัพน้อยเอาไว้ เช่นนั้นขอให้ท่านแม่ทัพน้อยจับตัวคนร้ายได้โดยเร็วไวเจ้าค่ะ"เยว่อันหนิงทิ้งท้ายเอาไว้เพื่อดูปฎิกริยาของอีกคน หากแต่กลับไร้อาการตระหนกจากคำกล่าวเหน็บแนมนั้นของนาง'หรือว่าข้าจะเข้าใจเขาผิด คนผู้นี้ยังมิรู้ตัวคนร้ายจริงหรือ'"เรื่องนั้นแม่นางมิต้องเป็นห่วง ต่อให้เร
"ขอบคุณแม่นาง"เถ้าแก่เนี้ยแห่งหออี้เฉิงหลันรับเงินนั้นไปก่อนจะทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกจนถูกอีกคนจับสังเกตได้เลยเอ่ยขึ้น"มีเรื่องอันใดอยากถามข้าหรือ""แม่นางอย่าได้ถือสาความอยากรู้ของข้าในครั้งนี้"อี้หลันรีบคุกเข่าลงกับพื้นก้มหน้าก้มตาตัวสั่นเทาเมื่อรู้ว่าตนเองกำลังละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวคนตรงหน้าเกินควร"ท่านลุกขึ้นเถิด อยากรู้เพียงเอ่ยปากถาม ไม่ใช่ความผิดจนถึงขั้นคุกเข่าเช่นนี้"เป็นใครจะไม่กลัว ยิ่งรู้ว่าคนตรงหน้าคือ จวี๋ฮวา นักฆ่าบุปผาเบญจมาศผู้เลือดเย็นยิ่งต้องกลัวเข้าไปใหญ่"ขอบคุณแม่นางที่เมตตา"อี้หลันลุกขึ้นตามคำสั่ง หากแต่ยังไม่กล้าเงยหน้ามองเยว่อันหนิงที่สวมหน้ากากเหล็กนั้นไว้มองเห็นเพียงดวงตาที่มีกลิ่นไอสังหารลอยออกมาอย่างไร้ปกปิด"สิ่งที่เจ้าอยากรู้คงเกี่ยวกับหน้ากากนี่""แม่นางจวี๋ฉลาดยิ่งนัก"คำชมพวกนี้นางฟังจนจะอาเจียนออกมาเป็นตัวหนังสือได้อยู่แล้ว"ข้าเพียงแค่ป้องกันตัวเอาไว้ มีคนเห็นตัวตนข้าไปแล้ว และคนผู้นั้นฉลาดเกินไปที่จะเสี่ยงอันตราย"ครั้งนี้ไอสังหารจากแววตาของนางแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเลื่อมใสคนที่กำลังพูดถึงขึ้นมาแทน ทำให้อี้หลันที่รู้จักเยว่อันหนิงมาห
"คนที่อยู่ในรถม้าคงไม่ใช่..."เห็นอี้หลันจ้องตาตนเองอยู่นานสองนานไม่ยอมเอ่ยสักที คนฉลาดจึงคิดได้อย่างเดียวว่าผู้ที่เดินทางไปกับมู่ตงหยวนอาจจะเป็นองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นชิงเหิง หรือก็คือพระชายาในองค์ชายสาม หลิงอันเซียว"เจ้าค่ะ คนในรถม้าคือพระชายาหลิงอันเซียว"เมื่ออี้หลันเฉลย ทุกอย่างจึงลงตัวพอดีก่อนหน้าที่บิดาจะถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎ เยว่อันหนิงกำลังเล่นซ่อนแอบอยู่แถวนั้นเลยทันได้ยินที่บิดาปรึกษากับพี่ชายทั้งสอง เรื่องที่เขาเคยยกทัพไปตรวจความเรียบร้อยที่ชายแดนตะวันตกและได้ล่วงรู้ความลับบางอย่างขึ้น ครานั้นนางไม่ตั้งใจฟังเพราะคิดว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่จึงจำรายละเอียดได้เพียงเท่านี้หากแต่พอมานั่งคิดทบทวนรวบรวมสิ่งที่สืบหามาได้เหมือนว่าเรื่องทุกอย่างจะเกิดหลังจากที่บิดาพบเจอบางสิ่งบางอย่างที่ชายแดนตะวันตกนั่น และอาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับมู่ตงหยวนหรือไม่ก็พระชายาหลิงอันเซียวเพล้ง!ถ้วยชาในมือถูกกำด้วยกำลังภายในจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ เลือดสด ๆ ไหลออกจากฝ่ามือน้อยจนอี้หลันตกใจรีบเรียกสติเยว่อันหนิงให้คลายมือออกเพื่อทำแผล"แม่นางใจเย็น ๆ ก่อนเจ้าค่ะ ท่านต้องทำแผลก่อน"อ่างใส่น้ำสะอาดถูกนำมาวางล
'ไม่จริง! เป็นไปไม่ได้ คนผู้นั้น... คนผู้นั้นเหตุใดใบหน้าถึงละม้ายคล้ายกับ...'ครืน...ด้วยความตกใจกับสิ่งที่เห็นทำให้ร่างเล็กเผลอขยับตัวจนเท้าน้อยเตะเข้ากับขาตั้งม่านขยับจนเกิดเสียงให้คนในห้องรู้ตัวว่ามีผู้อื่นอยู่ด้วย"ใคร!?"หม่าเย่ารวดเร็วดั่งพายุ กระโจนเพียงครั้งก็ถึงม่านกั้นที่เยว่อันหนิงหลบซ่อนอยู่นักฆ่าสาวได้สติจึงรีบกระโดดหลบออกจากทางหน้าต่างทันทีหากแต่ด้วยวรยุทธ์ของหม่าเย่ามิได้เป็นรองเยว่อันหนิงจึงตามมาประมือกับนางได้ทัน"จับตัวมาให้ได้!"มู่ตงหยวนสั่งเสียงกร้าว ใบหน้ามีทั้งแววกังวลและไม่พอใจหลายส่วน เขาตวัดหางตามองบุรุษชุดดำที่ใบหน้าถือว่าอยู่ในขั้นรูปงามหากไม่ติดตรงที่ตาข้างขวาพิการคงมีรายชื่อติดหนึ่งในสิบคุณชายรูปงามในเมืองเทียนติ่งก่อนจะออกคำสั่ง"ไปช่วยหม่าเย่า ข้าต้องการจับเป็น"สิ้นคำสั่งนั้น บุรุษชุดดำผู้นั้นก็กระโดดเข้าร่วมวงต่อสู้หนึ่งสตรีสองบุรุษต่างวาดกระบี่ฟันแทงกันอย่างดุเดือดและสูสี ทุกครั้งที่เยว่อันหนิงประมือกับหม่าเย่านางไม่เคยผ่อนแรงกระบี่ทั้งหมดที่ฝึกฝนมาหมายเอาชีวิตอย่างไม่ปิดบังไอสังหาร ผิดกับยามที่รับมือกับบุรุษอีกคน ทุกครั้งที่นางมองหน้าเขาผู้นั้น
เฉินเจียนหลางใช้เวลาประมาณหนึ่งก็พาเยว่อันหนิงที่หมดสติเพราะถูกพิษกลับมาถึงจวนสกุลเฉินโชคดีที่ตอนนี้คนในจวนต่างหลับกันหมดแล้วเลยไม่มีผู้ใดเห็นว่าบุตรชายผู้เย็นชาของเจ้าบ้านอุ้มคนแปลกหน้าเข้าเรือนในยามนี้ร่างบางค่อย ๆ ถูกวางลงบนเตียงสี่เสาขนาดใหญ่ภายในเรือนต้นสน เรือนส่วนตัวหลังเล็กที่แยกออกมาจากจวนใหญ่ไว้ใช้สำหรับฝึกวิชาสงบจิตและใช้หารือเรื่องลับกับบุคคลสำคัญเป็นการส่วนตัว"ต้องรีบถอนพิษก่อน"หลังจากจับดูชีพจรบ่งบอกว่าตอนนี้พิษกำลังลามไปทั่วร่างสตรีนางนี้แล้ว ต้องรีบขับพิษออกให้เร็วที่สุดก่อนที่พิษร้ายนี้จะแล่นเข้าสู่หัวใจ เมื่อคิดได้ดังนั้น เฉินเจียนหลางจึงรีบพยุงร่างน้อยให้นั่งขัดสมาธิตรงหน้า ส่วนตนรีบถ่ายทอดพลังลมปราณทางด้านหลังเพื่อขับพิษออกจากร่างกายเพราะเป็นวิธีที่ได้ผลไวที่สุดในเวลาคับขันเช่นนี้"อั่ก!"เยว่อันหนิงกระอักเลือดพิษออกมาแล้ว ถึงแม้จะยังมีหลงเหลือในร่างกายบางส่วนเดี๋ยวใช้ยาถอนพิษที่สามารถบรรเทาได้ทุกพิษช่วยอีกแรงก็ไม่มีอันตรายถึงชีวิต ทว่ายานี้ต้องละลายน้ำถึงจะได้ผลดีที่สุดเฉินเจียนหลางจึงรีบหันไปรินน้ำอุ่น ๆ ลงบนถ้วย นำยาลูกลอนทิ้งลงไป ใช้ช้อนคนให้ตัวยาละลายจากนั
"อย่าไป!""...""พี่รอง อย่าทิ้งข้าไปอีก"แรงดึงแม้จะน้อยนิดเพราะคนผู้นั้นยังไม่รู้สึกตัวดีทว่ากลับสามารถหยุดบุรุษพลังเต็มเปี่ยมนี้เอาไว้ได้ ครั้นลองมองคนตรงหน้าดี ๆ อาการตอนนี้นางอาจจะแค่ฝันร้ายจนละเมอออกมา สุดท้ายเฉินเจียนหลางจึงทำได้เพียงหย่อนก้นนั่งลงบนเตียงที่เดิม มือหนาอีกข้างยกขึ้นตบเบา ๆ ที่หลังมือแน่งน้อยที่ยังดึงแขนเสื้อเขาแน่นเป็นการปลอบขวัญเยว่อันหนิงที่เหมือนตกอยู่ในห้วงฝันร้ายสะบัดศีรษะไปมาบนหมอนใบโตจนหน้ากากเหล็กนั้นค่อย ๆ หลุดออกจากใบหน้างาม"เป็นเจ้า!" ดวงตาราวหมาป่าเบิกกว้างด้วยความตกใจสตรีผู้เลอโฉมที่เพิ่งห่างกันเพียงสองวันได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งเช่นนี้ หากไม่ใช่โชคชะตาผูกพันจะเรียกว่าอะไรได้อีกดวงตาคู่คมจับจ้องมองใบหน้าดั่งเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ของนางรำจวี๋จื่อที่เขาเคยรู้จักพร้อมแววตาประหลาดใจและคำถามมากมายที่ก่อขึ้นหากแต่สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากรู้ว่านางคือใครคือการคลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว มือแกร่งเอื้อมแตะใบหน้าสวยผิวพรรณนวลอย่างทะนุถนอม นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยน้ำใส ๆ ที่ไหลออกทางหางตาอย่างรู้สึกห่วงใยเฉินเจียนหลางยอมรับว่าตั้งแต่เขาพบเจอนางผู้นี้หัวใจที่เคยปิด
พรึ่บ!ตุบ!"อั่ก!"หากแต่ทุกอย่างผิดแผนไปหมดเมื่อครู่เฉินเจียนหลางเตรียมจะสกัดจุดเพื่อให้เยว่อันหนิงหมดสติอีกครั้ง ทว่าจู่ ๆ นางผู้นี้ก็เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนไม่รู้พลิกตัวเขาลงมานอนราบกับพื้นส่วนตัวนางกลายเป็นขึ้นคร่อมทับเขาอยู่ด้านบนแทนเท่านั้นไม่พอ มือที่เขาเตรียมสกัดจุดให้นางในคราแรกกลับผิดพลาดหันกลับมาจี้ถูกจุดชาให้ตนเองขยับเขยื้อนไม่ได้เสียอย่างนั้นอะไรจะบังเอิญเพิ่มความยุ่งเหยิงได้ถึงเพียงนี้"อืม ตรงนี้ยิ่งอุ่น"เยว่อันหนิงราวคนกึ่งหลับกึ่งตื่น นางควบคุมร่างกายตนเองไม่ได้ เหมือนลมปราณภายในกำลังสับสน ประเดี๋ยวร้อน ประเดี๋ยวหนาว บางคราวถึงกับอยากให้ร่างกายตัวเองโอบกอดกับใครสักคนใช่! นี่คือความรู้สึกที่นางควบคุมไม่ได้นางกำลังโหยหาไออุ่นจากร่างกายที่อบอุ่นของผู้อื่น!"แม่นางจวี๋ แม่นางจวี๋ตั้งสติเอาไว้ก่อน"ร่างกายเฉินเจียนหลางมิอาจขยับได้ก็จริงแต่เขายังสามารถพูดคุยออกเสียงได้อยู่จึงรีบเรียกสติอีกคนที่ดูแล้วเหมือนจะเกิดธาตุไฟเข้าแทรก น่าจะเพราะพิษที่นางได้รับขัดกับยาถอนพิษที่เขาให้กินเข้าไปจึงทำให้เกิดผลข้างเคียงเช่นนี้"อื้อ ต้องการ ข้าต้องการไออุ่นมากกว่านี้"หากแต่ยิ่งเฉินเจ
เฉินเจียนหลางขาดสติอย่างสิ้นเชิงสัญชาตญาณผู้ล่าถูกปลุกขึ้นทันทีเมื่อลิ้นร้ายสอดแทรกเข้าไปตักตวงเกสรหวานในโพรงปากนั้นสาวงามครางอื้ออึงอยู่ในลำคอ ยิ่งเพิ่มความกำหนัดให้ชายหนุ่มเพิ่มแรงเล้าโลมกลับอย่างหนักหน่วงมือบางโอบกระชับร่างกายหนัดแน่นที่เปลือยท่อนบนเอาไว้ กอดรัดจนด้านหน้าทั้งสองแนบสนิทไร้ช่องว่างร่างกายที่ร้อนรุ่มดั่งไฟแผดเผาบิดเร่าอยู่ใต้ร่างบุรุษรูปงามนางผละการบดจูบนั้นออกเพราะรู้สึกโหยหากลิ่นที่แสนยั่วเย้าอย่างอื่นบนกายเฉินเจียนหลางมือน้อยลูบไล้ไปตามสีข้างของชายชาตินักรบ ไล้ต่ำลงไปยังขอบกางเกงที่เดิมที่ก่อนหน้ายังไม่ทันล้วงก็ถูกหยุดไว้ก่อนหากแต่ครั้งนี้ดูเหมือนทางจะโล่ง เฉินเจียนหลางไม่ขัดขวางมือน้อยนั้น ปล่อยให้สตรีใต้ร่างได้ทักทายกับเสี่ยวหลางน้อยของเขาสักหน่อยเผื่อนางจะได้สติและทุกอย่างอาจจะหยุดทัน"อืม"ทว่าดูเหมือนเขาจะคิดผิดหยุดหรือ? เวลาเช่นนี้จะให้เขาหยุดคงเป็นไปได้ยากมือสตรีผู้นี้ช่างนุ่มเสียเหลือเกิน ยามนางสัมผัสลูบวนเสี่ยวหลางน้อยของเขายิ่งเพิ่มความอึดอัดหลายเท่าตัว กรามแกร่งขับกัดฝืนทนเอาไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเยว่อันหนิงเล้าโลมปั่นป่วนเลือดลมเขาจากด้านล่างไม่พอ
เฉินเจียนหลางยืนเฝ้าท่านหมอหลวงปี่กงและเยว่อันหนิงอยู่หน้าห้องพักนางอย่างไม่ละไปไหนนี่ก็ผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้ว เหตุใดท่านหมอหลวงมากฝีมือผู้นั้นยังไม่ออกมาอีก ยิ่งรอนานเข้าหัวใจเขายิ่งร้อนลุ่มมิอาจสงบได้"เจียนหลาง เกิดอะไรขึ้น"เสียงสหายสนิทดังขึ้นทางด้านหลัง คนอ้างว้างรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเปราะหนึ่งเมื่อมีคนสนิทมาให้พูดคุย"ท่านหมอหลวงปี่กำลังรักษานางอยู่ด้านใน""นาง?"นี่เขามิได้ฟังผิดใช่หรือไม่ สหายรักเพิ่งเอ่ยคำว่านางออกมา"แม่นางจวี๋จื่อ""นางรำผู้นั้นเหตุใดถึงมาอยู่ที่เรือนเจ้าได้ แล้วนางเป็นอันใดถึงต้องขนาดเชิญหมอหลวงในวังมารักษาเช่นนี้"ซ่างฮ้วนที่เพิ่งได้รับพิราบแจ้งข่าวเมื่อเช้าให้กลับมาที่จวนสกุลเฉินถามอย่างรัวไม่มีจังหวะให้คนถูกถามได้เอ่ยปากสอด"เรื่องนั้นเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง ข้ามีเรื่องให้เจ้าไปสืบ เรื่องนี้คงต้องวานเจ้าลงมือด้วยตนเอง"เพียงแค่มองตาอีกคนซ่างฮ้วนก็รู้ในทันทีแล้วว่าเรื่องนี้ต้องสำคัญถึงขั้นคอคาดบาดตายเป็นแน่ มิเช่นนั้นเฉินเจียนหลางคงไม่ย้ำคำว่าให้เขาลงมือเองเช่นนี้"เจ้าสั่งการมาเถิด"สิ้นสุดคำพูดนั้น เฉินเจียนหลางจึงรีบเดินเข้าไปใกล้สหายสนิท ก้มลงไปกระซิบคำส
"หากเป็นเรื่องภายในครอบครัวควรจัดการในเขตเรือนตนมิใช่อีกไม่กี่ก้าวก็เป็นเขตเมืองเทียนติ่งเช่นนี้ แบบนี้ข้าจึงยื่นมือเข้าสอดได้"เยว่อันหนิงรอจนสบโอกาส ค่อย ๆ ใช้เรี่ยวแรงที่กำลังจะหมดเพราะฤทธิ์ยาเงยมองผู้ต่อปากต่อคำกับคนของนางเพียงแค่เห็นเสี้ยวหน้าคนที่นอนอยู่กลางถนน เฉินเจียนหลางก็กระโดดลงจากหลังม้าปรี่เข้ามาหานางทันที"แม่นางจวี๋! เป็นเจ้าใช่หรือไม่"แม้นี่จะเป็นสิ่งที่เยว่อันหนิงอยากให้เกิดขึ้นตามแผนการ ทว่าเหตุใดหัวใจนางถึงได้เต้นแรงกับท่าทีการแสดงออกของคนผู้นี้ราวกับเป็นความรู้สึกจริง ๆ มิใช่แสร้งกระทำกลับ"ทะ...ท่านแม่ทัพ... อั่ก!"นึกไม่ถึงว่าฤทธิ์ยาของยี่ซูจะออกฤทธิ์ร้ายแรงได้ไวปานนี้ แถมยังได้จังหวะพอดิบพอดีเยว่อันหนิงกระอักโลหิตออกจากปากทำผู้คนที่มุงดูแตกตื่นตกใจ ผู้ร่วมกระบวนการสามคนของเยว่อันหนิงรีบเผ่นหนีตามแผนที่วางไว้เพื่อไม่ให้ถูกจับได้"แม่นางจวี๋ แม่นางจวี๋!"เฉินเจียนหลางไม่มีเวลาตามสามคนนั้น เขารีบอุ้มเยว่อันหนิงขึ้นบนหลังม้าควบกลับเข้าเมืองเทียนติ่ง มุ่งหน้าสู่จวนสกุลเฉินทันทีจวนสกุลเฉิน...ภายในจวนสกุลเฉินเกิดความวุ่นวายขึ้นหนึ่งชั่วยามเห็นจะได้ บรรดาหมอทั้งผม
เยว่อันหนิงเดินออกมาจากห้องก็เจอกับเสียนต้วนอี้อย่างที่ยี่ซูบอกกล่าวไว้ ร่างอรชรสวมชุดชาวบ้านขาดวิ่นสะพายห่อผ้าเก่า ๆ เดินเข้าไปหาคนที่ยืนหันหลังรอทันที"นี่คือสิ่งที่เจ้าเลือก"ทันทีที่โฉมสครวญเดินมาเคียงข้าง คนที่ยืนรออยู่ก่อนหน้าจึงเอ่ยปากถามอย่างไม่รีรอเยว่อันหนิงมิได้ตกใจกับคำถามนั้น นางรู้ดีว่าคนที่แอบฟังพวกนางคุยกันที่กระโจมของประมุขกู่เหนียงนอกจากยี่ซูแล้วก็เป็นสหายผู้นี้อีกคน"หากข้าไม่เอาตัวเข้าไปเสี่ยงจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องชั่วช้าที่ทำกับตระกูลข้า"ครานี้เยว่อันหนิงมิได้กล่าวใส่อารมณ์อย่างคราวก่อน นางเพียงชี้แจงให้อีกคนฟังด้วยเหตุผล"เพียงแค่เจ้าเอ่ยปาก ข้ายอมแลกด้วยชีวิตเพื่อช่วยเจ้าตามสืบเรื่องนี้""ต้วนอี้ ข้าซึ้งในน้ำใจของท่าน เพียงแต่ข้าสูญเสียคนข้างกายมามากพอแล้ว หากต้องแลกด้วยชีวิตใครอีก ขอให้เป็นชีวิตของข้าคนสุดท้าย"ดวงตาสุกประกายจ้องสบบุรุษรูปงามอย่างมาดมั่นในคำตอบ"เจ้าทำเช่นนี้คงมิได้ทำเพื่อตระกูลเจ้าอย่างเดียว"ในคำถามนี้มีความน้อยเนื้อต่ำใจและเหน็บแนมคนฟังอยู่หลายส่วน"ต้วนอี้..."เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยเรียกรีบยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เยว่อันหนิง
"เจ้าจะรีบร้อนไปไย"ยี่ซูกระฟัดกระเฟียดนั่งทิ้งตัวลงปลายเตียงอย่างแง่งอน"ข้าปล่อยเวลาสูญเปล่านานแล้ว"ยี่ซูรีบหันมองเสี้ยวหน้าของสหายรักนางเข้าใจความหมายของประโยคนั้นดี ผ่านมาแล้วเก้าปี เยว่อันหนิงยังล้างแค้นให้ตระกูลนางไม่สำเร็จ ใจคงทุกร์มากจึงกล้าที่จะให้สหายเช่นนางปรุงยาพิษเพื่อทำร้ายตัวเองเพื่อการใหญ่ในครั้งนี้ใจ"เจ้าเพิ่งจะพ้นวัยปักปิ่นไม่กี่ปี นี่ไม่นับว่าล่าช้า"ปีนี้เยว่อันหนิงสิบเก้า ถือว่าแตกเนื้อสาวเต็มตัว เวลาที่ผ่านมาก็มิได้ปล่อยทิ้ง ตามสืบหาความจริงคืนเลือดสาดอยู่แทบทุกทางที่นางกระทำได้ ยี่ซูจึงหยิบยกเรื่องนี้มาปลอบใจและเตือนความจำให้สหายเยว่อันหนิงเข้าใจสิ่งที่ยี่ซูให้กำลังใจนาง ทว่าหลังจากพบมือสังหารตาเดียวในครั้งนั้นหัวใจนางก็ไม่เคยสงบสุขได้อีก ความร้อนเนื้อร้อนใจคลุ้มคลั่งหนักกว่าการแบกรับการแก้แค้นหลายสิบเท่า"ได้ ๆ ข้าไม่ยืดเยื้อเจ้าก็ได้"มือแน่งน้อยของยี่ซูล้วงเข้าไปในแขนเสื้อเพื่อหยิบขวดยาสีขุ่นออกมาถือไว้ในมือ"ยาพิษที่เจ้าอยากได้"เยว่อันหนิงเอื้อมมือออกไปรับขวดยานั้น ทว่ายี่ซูกลับไม่ยอมมอบมันให้คนที่ต้องการสักที เอาแต่จ้องหน้าสหายรักด้วยความกลัดกลุ้มและคำ
"ท่านพ่อวางใจ ข้าจะเก็บรักษาของสิ่งนี้ไว้ยิ่งชีพ"ไม่มีคำไหนที่บุตรชายเขารับปากแล้วทำไม่ได้ เฉินปู้เกาจึงได้เพียงยิ้มรับก่อนจะนั่งลงเพื่อหารือเรื่องอื่นต่อ"ข้าเห็นศาลเทียนอวี่ประกาศจับโจรนางหนึ่งที่สวมหน้ากากลายดอกจวี๋ฮวา เรื่องมันเป็นมาอย่างไร"สิ่งที่เฉินปู้เกาเอ่ยเมื่อครู่ ทำให้จู่ ๆ เฉินเจียนหลางก็รู้สึกเหมือนมีอะไรแวบเข้ามาในหัวหากแต่เป็นเพียงภาพที่เหมือนเมฆหมอก ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ว่าเป็นรูปร่างเช่นใด"เจียนหลาง เจ้าไม่สบายหรือ"เป็นอีกครั้งที่ผู้เป็นบิดาเห็นความผิดปกติของบุตรชาย"เมื่อคืนข้าคงร่ำสุรากับองค์รัชทายาทหนักเกินไป"ความทรงจำของเขามีเพียงเรื่องที่เข้าวังไปปรับทุกข์กับองค์รัชทายาท หลังจากนั้นก็คล้ายภาพทุกอย่างถูกลบหาย เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากลับมายังเรือนต้นสนได้อย่างไร เคยถามเวรยามที่เฝ้าหน้าจวนคืนนั้นก็ไม่มีผู้ใดเห็นว่าเขาเข้ามาทางประตูยามไหนพอนึก ๆ ดูแล้ว เรื่องคืนก่อนนั้นช่างเหมือนตัวเขาถูกวิญญาณผู้อื่นควบคุมร่างกายจนไร้ความทรงจำไปครู่หนึ่ง"ซ่างฮ้วน เจ้าเคยรู้จักหมอที่เก่งด้านสมุนไพรพิษท่านหนึ่งใช่หรือไม่"คนถูกตั้งคำถามอย่างไม่มีปี่ขลุ่ยถึงกับเบิกตาตกใจกับคำถ
เมื่อวันก่อนเฉินเจียนหลางตื่นขึ้นมาในเรือนต้นสนของตนเองด้วยความประหลาดใจ บนเตียงที่เคยนอนยับย่นราวกับผ่านศึกหนักกับผู้ใดมา คราแรกเขาคิดว่าตนเองนอนละเมอ หากแต่นั่นมิใช่วิสัยนักรบเช่นตน แถมยังมีหลักฐานชิ้นดีรอยคราบเลือดหนึ่งจุดยืนยันว่ามีคนร่วมเตียงกับเขา ทว่านึกย้อนจนหัวแทบแตกกลับไม่มีภาพความทรงจำของสตรีที่เป็นเจ้าของเลือดหยดนี้"มีเรื่องหนักใจหรือ"เสียงยานคางของเฉินปู้เกา แม่ทัพใหญ่ของสกุลเฉินหรือบิดาแท้ ๆ ของเฉินเจียนหลางเอ่ยถามเมื่อสังเกตสีหน้ามิสู้ดีของบุตรชายได้"มิใช่เรื่องสำคัญอันใด ท่านพ่อว่าธุระต่อเถิด"วันนี้เฉินปู้เกาเรียกบุตรชายรวมถึงลูกน้องเก่าแก่คนสนิทของเยว่จิ้นกงผู้ล่วงลับมาหารือเกี่ยวกับสิ่งของที่อดีตแม่ทัพใหญ่เยว่ทิ้งเอาไว้ให้เมื่อเก้าปีก่อนกล่องไม้ที่เฉินปู้เกาเคยหยิบออกมาถกเถียงหาความหมายถูกหยิบออกมาวางตรงหน้าทั้งสี่คนอีกครั้งม้วนภาพวาดค่อย ๆ ถูกคลี่ออกเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั้งห้าเป็นหนที่เท่าไรมิอาจนับได้ภาพวาดของเด็กน้อยนั่งบนตักแกร่งของบิดาภายใต้ต้นไห่ถังพร้อมข้อความสั้น ๆ'เพียงคิดถึง แม้ไกลพันลี้ จักส่งถึงกันได้'"ขนาดท่านพ่อติดตามอดีตแม่ทัพเยว่มาหลายปี
"เจ้าต้องการใช้เลือดกลั่นตัวนำยาออกมาแล้วทำยาแก้ทีหลัง""ถูกแล้วเจ้าค่ะ"ยี่ซูยิ้มอย่างผู้ชนะออกมา ทำเอาประมุขกู่เหนียงถึงกับหัวเราะเบา ๆ ในท่าทีไม่เก็บความถ่อมตนนี้ของนางพลางเอ่ยชื่นชม"สมแล้วที่เป็นคนร่วมสร้างยาลืมเลือนกับท่านหมอฝู""แฮ่ ๆ"ยี่ซูค้อมศีรษะรับคำชมนั้นพร้อมฉีกยิ้มกว้าง"ต่อไปคงเป็นหน้าที่เจ้าแล้ว"ประมุขกู่เหนียงหันมาพูดคุยกับเยว่อันหนิงที่มองสหายรักด้วยความชื่นชม"แต่เจ้ากลับเมืองเทียนติ่งด้วยฉายานักฆ่าบุปผาเบญจมาศไม่ได้แล้ว"ยี่ซูกล่าวราวหมดหวังแทนสหายรัก"ข้ามีแค่ตัวตนเดียวเสียเมื่อไร"รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นอย่างคนเหนือกว่า"เจ้าหมายถึงในฐานะนางรำจวี๋จื่อ?"ประมุขกู่เหนียงแสร้งถามออกไป"มีคนติดค้างหนี้ชีวิตข้าอยู่เจ้าค่ะ"เยว่อันหนิงกล่าวออกไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า แววตาของนางมีประกายบางอย่างยามนึกถึงคนที่ติดค้างหนี้ชีวิตหนนั้น"แล้วเจ้าจะกลับไปอย่างไร"ยี่ซูถามได้รวบรัดตรงกับความอยากรู้ของคนอื่น ๆ"เรื่องนี้ต้องขอความร่วมมือจากเจ้าและท่านประมุข"คนที่ถูกเอ่ยขอความช่วยเหลือหันมองหน้ากันครู่หนึ่ง เยว่อันหนิงจึงเป็นฝ่ายเสริมต่อ"ข้าอยากขอยืมคนของหุบเขาสักสามสี่คนจากท่
หลังจากกลับมาจากผาลืมทุกข์ เยว่อันหนิงก็รีบมาพบประมุขกู่เหนียงเพื่อปรึกษาถึงแผนการของนางทันที"ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องถลกหนังคนตายมาสวมให้คนเป็น มือสังหารที่เจ้าเล่าไม่แน่อาจเป็นพี่ชายเจ้าตัวจริง"กู่เหนียงฟังสิ่งที่เยว่อันหนิงเล่าให้ฟังถึงมือสังหารตาเดียวที่หน้าตาคล้ายพี่รองของนางจบจึงแสดงความเห็นไปทิศทางเดียวกันกับสิ่งที่นางคิด"ในโลกนี้มียาขนานใดสามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนได้หรือไม่เจ้าคะ"เสียงราบเรียบหันไปถามผู้เฒ่าฝูหนานที่ครั้งนี้นางเรียกเขามาพบประมุขกู่เหนียงด้วยกัน"ตั้งแต่ข้าศึกษาตำราแพทย์มา โอสถที่ร้ายกาจที่สุดมิใช่โอสถคืนชีพ"สิ่งที่ผู้เฒ่าฝูหนานเกริ่นออกมาทำเอาสตรีทั้งสองในห้องพักส่วนตัวแห่งนี้มองหน้ากันด้วยความใคร่อยากรู้"ยาอันใดหรือเจ้าคะที่ท่านหมอดูหวาดกลัวแกมสะอิดสะเอียนเช่นนั้น"เพราะใบหน้าเหี่ยวย่นของผู้เฒ่าฝูหนานแสดงอาการออกมาเช่นนั้นจริงทำให้เยว่อันหนิงต้องถามออกไปตรง ๆ"ควบคุมหุ่นเชิด""ควบคุมหุ่นเชิด?"ครั้งนี้เป็นประมุขกู่เหนียงเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ"ข้าเคยได้ยินมาก่อนสมัยยังเป็นดรุณีน้อยเช่นพวกเจ้า ตอนนั้นเพียงแต่ได้ยินถึงความร้ายกาจของยาตัวนื้ อาการข้าเองก็มิ
"ต้วนอี้ ท่านมีเรื่องในใจ"มองเพียงตาเยว่อันหนิงก็ดูออกว่าสหายผู้นี้มีเรื่องค้างคาในใจให้คิดไม่ตก และเรื่องนั้นต้องเกี่ยวข้องกับนาง"เมื่อก่อนเจ้าบอกว่าที่มายืนอยู่ตรงนี้เพราะสามารถมองเห็นเมืองเทียนติ่ง มองเห็นความทรงจำของเจ้ากับครอบครัวได้ชัดเจนที่สุด"หากแต่เสียนต้วนอี้กลับไม่สนใจสิ่งที่เยว่อันหนิงถาม เขายังคงยืนไขว้หลังทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้าอย่างสง่างามในเมื่อสหายผู้นี้ไม่ต้องการตอบคำถามของนาง เยว่อันหนิงจึงไม่ซักไซ้และคาดคั้นให้เขารีบเล่าเรื่องทั้งหมด ทำเพียงยืนข้าง ๆ บุรุษกายกำยำเงียบ ๆ รอให้คนอยากพูดบอกทุกอย่างออกมาเอง"เจ้าไม่เคยปล่อยวางความแค้น เจ้าไม่เคยคิดที่จะมองบุรุษอื่นในเชิงชู้สาว"สิ่งที่เสียนต้วนอี้เอ่ยครั้งนี้ทำเอาเยว่อันหนิงขมวดคิ้วมุ่น เบนสายตามองบุรุษข้าง ๆ ด้วยความใคร่สงสัย"หากมีเรื่องคาใจท่านรีบถามออกมาเถิด"คราแรกว่าจะไม่เซ้าซี้ซักถามเขาแล้ว แต่เสียนต้วนอี้กลับเปิดประเด็นออกมาเช่นนี้คงต้องการประโยคนี้จากนาง"เมื่อคืนข้ามิได้พักอยู่ที่นี่"หัวใจเยว่อันหนิงไหววูบครู่หนึ่ง แววตานางสั่นไหวเล็กน้อยราวกระต่ายหวาดระแวง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวทุกอย่างก็กลับสู่ปก