"แล้วนางรำผู้นั้นเล่า นางไม่รู้เรื่องที่พี่ชายถูกทำร้ายหรือ"เฉินเจียนหลางขมวดคิ้วครู่หนึ่งเขาอยู่ใกล้แม่นางจวี๋จื่อผู้นั้นตลอดเวลา ได้ยินการวิเคราะห์ของนางทุกคำพูด แต่ไม่มีจุดไหนที่นางจะเอ่ยเรื่องที่พี่ชายถูกลอบทำร้ายตอนประลองสักคำ"เรื่องนี้แม่นางจวี๋อาจจะไม่รู้จริง""หายาก หายาก"จู่ ๆ ซ่างฮ้วนก็โพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกลั้วขำ สายตาคมมองสหายรักที่นั่งข้าง ๆ ด้วยสายตาเป็นประกาย"อะไรของเจ้า"เฉินเจียนหลางยังคงน้ำเสียงราบเรียบใบหน้านิ่งขรึมตอบโต้กลับ"หากเป็นยามอื่นเจ้าคงกล่าวว่า นางรำผู้นั้นน่าสงสัยไปแล้ว แต่นี่ยังไม่ทันได้คาดคั้นอีกฝ่ายเจ้าก็ตอบแทนนางไปแล้วว่านางนั้นบริสุทธิ์""แปลกกระไรในเมื่อข้าจับตาดูนางทุกฝีก้าว ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ""ไม่ผิดก็ไม่ผิด สายตาท่านแม่ทัพน้อยมองคนขาดอยู่แล้ว ใครจะกล้าสงสัยท่าน"ซ่างฮ้วนแสร้งพูดทีเล่นทีจริงหยอกเย้าคนข้าง ๆ ทำเอาเฉินเจียนหลางต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทางอย่างระอา ก่อนที่สายตาคู่คมจะเห็นบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอกเรือนฝั่งตรงข้ามผ่านหน้าต่างที่แง้มเปิดไว้ ก่อนจะรีบลุกขึ้นอย่างไวแล้วเอ่ยบอกรองแม่ทัพคนสนิท"เจ้าดับไฟนอนไปก่อน""อ้าว เดี๋
"หากจะบอกว่าข้าคิดถึงบ้านจะฟังดูเด็กน้อยไปหรือไม่เจ้าคะ"ทั้งน้ำเสียงและแววตาที่เยว่อันหนิงแสดงออกมาล้วนสื่อถึงความรู้สึกจากเบื้องลึกของหัวใจเพราะนางไม่ได้โกหกบุรุษรูปงามที่ยืนเคียงคู่"เป็นเช่นนี้นี่เอง"เฉินเจียนหลางลอบมองท่าทีของอีกคนหากแต่เขากลับไม่เห็นพิรุธใด ๆ ในสายตาคู่สวยราวผลึกแก้วคู่นั้น"ตั้งแต่เกิด ข้าไม่เคยอยู่อย่างเดียวดายมาก่อน พอเป็นยามนี้ที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองจึงอดที่จะคิดถึงบ้านเกิดไม่ได้ การได้มายืนมองจันทร์ทอแสงเช่นนี้ทำให้ข้าคลายความคิดถึงได้หลายส่วนเจ้าค่ะ"เฉินเจียนหลางมองใบหน้าสวยราวเทพธิดามาจุติ เขาไล่สายตามองตั้งแต่ปลายคางคมมนขึ้นไปยังริมฝีปากเลยผ่านจมูก แม้ทุกส่วนที่เอ่ยมาจะถูกปกคลุมด้วยผ้าสีแดงบางเบาแต่ก็มิอาจห้ามจินตนาการของเขาได้ ดวงตาสุกประกายที่รับกับคิ้วสีน้ำหมึกเรียงตัวพอดิบพอดีราวขนนกยามราตรี ทุกอย่างที่อยู่บนร่างกายนางผู้นี้ล้วนตราตรึงไปถึงขั้วหัวใจของเขาอย่างไม่รู้ตัว"เพียงแค่มองจันทร์ก็หายคิดถึงคนไกลได้ด้วยหรือ"เฉินเจียนหลางลองแหงนมองดวงจันทร์ที่กำลังทอแสงสีนวลบนท้องฟ้าบ้างเขาอยากรู้ว่าสิ่งนี้จะช่วยบรรเทาความโหยหาคิดถึงคนไกลได้อย่างไร"บนผืนด
"แม่นางจวี๋พูดเหมือนว่าแต่ละเมืองมีจันทร์คนละดวง พอได้ยินจึงรู้สึกคิดถึงสหายในวัยเด็กผู้หนึ่ง"เยว่อันหนิงเผลอหันมาสบตาเข้ากับเฉินเจียนหลางที่จ้องนางอยู่ก่อนแล้วพอดี ทั้งสองแน่นิ่งค้างอยู่แบบนั้นครู่หนึ่งปล่อยให้สายลมเย็น ๆ โชยพัดผ่าน เสียงกิ่งหลิวลู่ลมดังล่องลอยมาราวเสียงของดนตรีขับขานยามค่ำคืนเป็นเยว่อันหนิงที่ได้สติก่อนจึงหันหน้าหนีแหงนมองท้องฟ้าครู่หนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นประสานกันกลางอกแล้วหลับตาลงช้า ๆทุกการกระทำของนางมิเคยหลุดรอดสายตาของแม่ทัพน้อยผู้นี้เว้นยามกะพริบตาอยากเห็น...ในใจของเฉินเจียนหลางยามนี้ปรารถนาที่จะเห็นใบหน้าที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าสีชาดผืนบางผืนนี้"ท่านแม่ทัพน้อยขอพรจากดวงจันทร์เสร็จแล้วหรือเจ้าคะ"หลังจากลืมตาขึ้นมา นางยังคงเห็นเฉินเจียนหลางมองตนจากทางหางตาอยู่จึงแสร้งถาม"คำขอของข้าคงไม่มีวันเป็นจริง"ครั้งนี้ใบหน้าสวยค่อย ๆ หันมาสบมองคนพูดช้า ๆ รอยย่นตรงกลางหว่างคิ้วสวยบ่งบอกว่าตอนนี้เยว่อันหนิงไม่เข้าใจสิ่งที่แม่ทัพน้อยผู้นี้กล่าวสักนิด"แม่นางจวี๋ขอพรอันใดจากดวงจันทร์นี้หรือ"เฉินเจียนหลางอ่านสายตานางออกว่าอยากถามความหมายของประโยคที่เขากล่าวออกมาลอย ๆ จึ
ฉึก!เสียงของมีคมปักเข้าที่ไหล่ขวา ร่างบางร่วงหล่นจากจั่วปั้นหยาราวถูกดูดเฉินเจียนหลางรีบกระโดดตามลงมารับร่างบางนั้นเอาไว้ได้ทัน ผ้าปิดหน้าสีชาดหลุดปลิวไปตามสายลมเผยใบหน้าสวยใสผิวพรรณผาดผ่องยามต้องแสงจันทร์ ตราตรึงใจผู้ที่เพิ่งได้ยลโฉมสตรีตรงหน้าชัด ๆ ครั้งแรก ก่อนทั้งคู่จะร่อนลงเหยียบบนพื้นได้อย่างปลอดภัย"มีคนร้าย!"เสียงทหารลาดตระเวนภายในจวนมู่ดังขึ้นมาจากเรือนกลาง ทำให้เยว่อันหนิงได้สติรีบยกชายเสื้อปกปิดใบหน้าแทนผ้าที่ปลิวหายไป"ขอบคุณท่านแม่ทัพน้อยที่ช่วยเหลือ เสียวจื่อขอตัว"ร่างบางหมุนตัวเตรียมกลับห้อง หากแต่พิษที่อาบบนมีดเล่มนั้นกลับเริ่มออกฤทธิ์ ทำให้ร่างของเยว่อันหนิงอ่อนแรงล้มลงตรงอกบุรุษข้างกายที่รอรับอยู่"เจียนหลาง!"เสียงซ่างฮ้วนดังขึ้นด้วยความร้อนใจ ตามมาด้วยเสียนต้วนอี้ที่วิ่งตามมาติด ๆ"เยว่... จื่อเอ๋อร์!"เมื่อเห็นนางในดวงใจหมดสติอยู่บนอ้อมกอดของชายอื่น แถมบนใบหน้าของนางยังไร้ผ้าปกปิดเขาร้อนใจจนวิ่งเข้าไปแย่งร่างบางนั้นกลับมาอุ้มเอง"ตามหมอ แม่นางจวี๋โดนพิษ"เฉินเจียนหลางไม่ได้สนใจการกระทำของเสียนต้วนอี้ เขามองเพียงว่าคงเป็นการกระทำของพี่ชายห่วงน้องสาวหากแต่คนช่า
เฉินเจียนหลางรอโอกาสที่จะได้พูดแทรกมานานแล้ว ครานี้สบโอกาสพอดีจึงไม่ปล่อยให้หลุดมือ เค้นหาคำตอบแบบไม่ให้ผู้ใดตั้งตัวทัน"ข้าขอละลาบละล้วงถามแม่ทัพน้อยเฉินสักประโยคได้หรือไม่"มู่ตงหยวนเองก็รอเวลานี้เช่นกันเมื่ออีกฝ่ายเกริ่นมาเขาจึงสนองตอบ"ใต้เท้ามู่คงใคร่สงสัยเรื่องที่เหตุใดตอนเกิดเหตุข้ากับแม่นางจวี๋ถึงได้อยู่ด้วยกันใช่หรือไม่"มู่ตงหยวนชะงักเล็กน้อยเมื่อคำพูดของเฉินเจียนหลางดูไม่ระอายใด ๆ ว่าจะถูกเข้าใจผิด"แม่ทัพน้อยเฉินฉลาดยิ่ง ข้าสงสัยเรื่องนั้นจริง""เรื่องนั้นข้าจะชี้แจงกับทุกท่านภายหลัง แต่ข้ามีเรื่องสำคัญกว่ามาหารือ"เฉินเจียนหลางเอ่ยเสียงจริงจัง ดึงให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหันมามองเขาด้วยความสนใจ"เชิญแม่ทัพน้อยเฉินกล่าวมาเถิด" กงจิ่นซวนเอ่ยขึ้น"หลังจากมือสังหารลอบทำร้ายพวกเรา ข้าได้สั่งให้รองแม่ทัพซ่างฮ้วนค้นหาเบาะแส และพบเข้ากับบางอย่างที่น่าสนใจ""หือ... แม่ทัพน้อยเฉินได้หลักฐานอันใดมาหรือ"มู่ตงหยวนเอ่ยถามอย่างอยากรู้ สายตาที่เขามองเฉินเจียนหลางราวกำลังหยั่งเชิงคนผู้นี้"ข้าขอมอบหน้าที่ให้รองแม่ทัพข้ารายงานแทน"ทุกสายตาจึงพุ่งเป้าไปที่รองแม่ทัพที่ว่าทันที"เดิมทีข้าคิดว่า
"วรยุทธ์ปลายแถว รอยเท้าเล็กราวสตรี หากเจ้าไม่ถูกความรักบังตา ก็คงยอมกลายเป็นคนโง่เพียงเพื่อสตรีนางเดียว"เหตุใดฟังแล้วรองแม่ทัพที่เคยสายตาเฉียบแหลมอย่างเขาถึงได้เจ็บแปลบขึ้นมาเช่นนี้หลายปีก่อนที่เคยได้พูดคุย มู่อานจิ่วออกจะเป็นสตรีน่าทะนุถนอม กริยาอ่อนน้อม จะให้เขาลบภาพนั้นมาเชื่อว่าวันนี้นางแต่งชุดดำแล้วทำเรื่องอำมหิตลอบฆ่าผู้อื่น ซ่างฮ้วนทำใจเชื่อไม่ลงจริง ๆ"พ่อเสือย่อมไม่มีลูกเป็นสุนัข"ซ่างฮ้วนจุกอกยิ่งกว่าเดิมเมื่อนึกถึงความหมายที่สหายกำลังบอกเลือดเนื้อเชื้อไขจากผู้ใด ไม่มีทางที่ลูกที่เกิดมาจะไม่ได้เลือดพ่อนิสัยแม่ไปแน่นอน"ข้าจะไม่เชื่อจนกว่าจะหาหลักฐานได้"ซ่างฮ้วนยังคงยืนกรานเสียงหนักแน่น แม้ในใจเขาหลายส่วนจะเอนเอียงเชื่อสิ่งที่สหายบอกแล้วก็ตาม"หลักฐานเจ้ามีอยู่แล้วมิใช่หรือ"แม้การกระทำต้อนให้สหายจนมุมเชื่อของเฉินเจียนหลางจะดูเลือดเย็นกับซ่างฮ้วนไปหน่อย แต่เพราะนี่คือซ่างฮ้วนที่เปรียบเสมือนพี่น้องของเขา เฉินเจียนหลางไม่มีทางปล่อยให้เสน่หาของสตรีครอบงำความถูกต้องในใจซ่างฮ้วนไปได้"นั่นอาจจะเป็นหลักฐานที่ว่าคุณหนูมู่ถูกคนร้ายลอบทำร้ายจริงก็เป็นได้"เฉินเจียนหลางได้แต่ส่ายหน
"ระวังด้วย"เสียงอบอุ่นแฝงไปด้วยความห่วงใยดังขึ้น เยว่อันหนิงรีบหลบหน้าใช้ชายแขนเสื้อปิดหน้าตนเองปล่อยให้อีกคนพยุงตนขึ้นมานั่งเอนหลังพิงหัวเตียง"เหตุใดพวกท่านพรวดพราดเข้ามาเช่นนี้ รู้หรือไม่ตามธรรมเนียมของคณะเซียงหย่งคือห้ามให้ผู้อื่นเห็นใบหน้าที่ไร้ผ้าปกปิดของนางรำในคณะเด็ดขาด!"เยว่อันหนิงรีบส่งสายตาตำหนิมองเสียนต้วนอี้อีกครั้งเมื่อเขาพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดขึ้น คนได้สติอยากจะตบปากตัวเองให้เลือดกลบแต่ก็สายไปเสียแล้ว"เหตุใดคณะพวกท่านถึงมีกฎระเบียบเช่นนั้น แค่เห็นหน้านางรำก็ไม่ได้ แล้วจะเป็นคณะดนตรีร่ายรำสร้างความรื่นรมย์ให้คนดูไปไย""ซ่างฮ้วน!"เฉินเจียนหลางรีบตำหนิรองแม่ทัพที่ใช้น้ำเสียงเหน็บแนมอีกคนอย่างเห็นได้ชัด"ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วเสียวจื่อขอบอกความจริงแก่พวกท่านเจ้าค่ะ"บอกแล้วจะเป็นกระไรไปในเมื่อต่อไปพวกเขาก็ไม่ได้พบกันในสถานะนี้อีกแล้ว"จื่อเอ๋อร์"หากแต่ถูกเสียนต้วนอี้ส่งสายตาห้าม"ท่านพี่ก็รู้ดี ต่อให้เราไม่บอก ท่านแม่ทัพน้อยต้องหาคำตอบได้อยู่ดี"แม่นางจวี๋จื่อยังคงฉลาดในสายตาของเฉินเจียนหลางไม่เปลี่ยน"โปรดบอกพวกข้าเถิด หากเป็นการล่วงเกินข้าจะได้ขออภัยได้ถูก"เยว่อัน
"เช่นนั้นแล้วข้าเองก็คงสละสิทธิ์เช่นกัน"ซ่างฮ้วนเองก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเดิมทีในใจคนทั้งสองรู้ดีว่างานนี้พวกเขาเป็นเพียงตัวละครในงานเท่านั้น ผู้ที่จะเป็นบุตรเขยของจวนสกุลมู่ได้มีเพียงผู้เดียวคือบุตรชายของจวนสกุลเฉิน"รองแม่ทัพซ่างช่างเด็ดขาดสมคำร่ำรือ อวี้ฉางนับถือ นับถือ""คุณชายอวี้ฉางเองก็สมกับเป็นบุรุษที่น่านับถือเช่นกัน"ทั้งสองต่างกล่าวเยินยอกันและกัน ผิดกับหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่เอาแต่จ้องมองกันไร้คำพูดจาใด ๆ จวบจนเยว่อันหนิงไม่อาจทนมองสายตาที่คุ้นชินอย่างประหลาดคู่นั้นต่อได้ จึงเอ่ยขึ้น..."เมื่อมีพบย่อมมีจาก""จากวันนี้ เพื่อพบกันในวันหน้า"ริมฝีปากเล็กสวยคลี่ยิ้มบาง ๆ ภายใต้ผ้าปิดหน้าสีแดงที่ได้คืนมา"บุญคุณครั้งนี้ยังมิได้ทดแทน หากมีวาสนาข้าจะใช้คืนแม่นางแน่นอน""เสียวจื่อจะเก็บน้ำใจของท่านแม่ทัพน้อยเอาไว้ เช่นนั้นขอให้ท่านแม่ทัพน้อยจับตัวคนร้ายได้โดยเร็วไวเจ้าค่ะ"เยว่อันหนิงทิ้งท้ายเอาไว้เพื่อดูปฎิกริยาของอีกคน หากแต่กลับไร้อาการตระหนกจากคำกล่าวเหน็บแนมนั้นของนาง'หรือว่าข้าจะเข้าใจเขาผิด คนผู้นี้ยังมิรู้ตัวคนร้ายจริงหรือ'"เรื่องนั้นแม่นางมิต้องเป็นห่วง ต่อให้เร
เฉินเจียนหลางยืนเฝ้าท่านหมอหลวงปี่กงและเยว่อันหนิงอยู่หน้าห้องพักนางอย่างไม่ละไปไหนนี่ก็ผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้ว เหตุใดท่านหมอหลวงมากฝีมือผู้นั้นยังไม่ออกมาอีก ยิ่งรอนานเข้าหัวใจเขายิ่งร้อนลุ่มมิอาจสงบได้"เจียนหลาง เกิดอะไรขึ้น"เสียงสหายสนิทดังขึ้นทางด้านหลัง คนอ้างว้างรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเปราะหนึ่งเมื่อมีคนสนิทมาให้พูดคุย"ท่านหมอหลวงปี่กำลังรักษานางอยู่ด้านใน""นาง?"นี่เขามิได้ฟังผิดใช่หรือไม่ สหายรักเพิ่งเอ่ยคำว่านางออกมา"แม่นางจวี๋จื่อ""นางรำผู้นั้นเหตุใดถึงมาอยู่ที่เรือนเจ้าได้ แล้วนางเป็นอันใดถึงต้องขนาดเชิญหมอหลวงในวังมารักษาเช่นนี้"ซ่างฮ้วนที่เพิ่งได้รับพิราบแจ้งข่าวเมื่อเช้าให้กลับมาที่จวนสกุลเฉินถามอย่างรัวไม่มีจังหวะให้คนถูกถามได้เอ่ยปากสอด"เรื่องนั้นเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง ข้ามีเรื่องให้เจ้าไปสืบ เรื่องนี้คงต้องวานเจ้าลงมือด้วยตนเอง"เพียงแค่มองตาอีกคนซ่างฮ้วนก็รู้ในทันทีแล้วว่าเรื่องนี้ต้องสำคัญถึงขั้นคอคาดบาดตายเป็นแน่ มิเช่นนั้นเฉินเจียนหลางคงไม่ย้ำคำว่าให้เขาลงมือเองเช่นนี้"เจ้าสั่งการมาเถิด"สิ้นสุดคำพูดนั้น เฉินเจียนหลางจึงรีบเดินเข้าไปใกล้สหายสนิท ก้มลงไปกระซิบคำส
"หากเป็นเรื่องภายในครอบครัวควรจัดการในเขตเรือนตนมิใช่อีกไม่กี่ก้าวก็เป็นเขตเมืองเทียนติ่งเช่นนี้ แบบนี้ข้าจึงยื่นมือเข้าสอดได้"เยว่อันหนิงรอจนสบโอกาส ค่อย ๆ ใช้เรี่ยวแรงที่กำลังจะหมดเพราะฤทธิ์ยาเงยมองผู้ต่อปากต่อคำกับคนของนางเพียงแค่เห็นเสี้ยวหน้าคนที่นอนอยู่กลางถนน เฉินเจียนหลางก็กระโดดลงจากหลังม้าปรี่เข้ามาหานางทันที"แม่นางจวี๋! เป็นเจ้าใช่หรือไม่"แม้นี่จะเป็นสิ่งที่เยว่อันหนิงอยากให้เกิดขึ้นตามแผนการ ทว่าเหตุใดหัวใจนางถึงได้เต้นแรงกับท่าทีการแสดงออกของคนผู้นี้ราวกับเป็นความรู้สึกจริง ๆ มิใช่แสร้งกระทำกลับ"ทะ...ท่านแม่ทัพ... อั่ก!"นึกไม่ถึงว่าฤทธิ์ยาของยี่ซูจะออกฤทธิ์ร้ายแรงได้ไวปานนี้ แถมยังได้จังหวะพอดิบพอดีเยว่อันหนิงกระอักโลหิตออกจากปากทำผู้คนที่มุงดูแตกตื่นตกใจ ผู้ร่วมกระบวนการสามคนของเยว่อันหนิงรีบเผ่นหนีตามแผนที่วางไว้เพื่อไม่ให้ถูกจับได้"แม่นางจวี๋ แม่นางจวี๋!"เฉินเจียนหลางไม่มีเวลาตามสามคนนั้น เขารีบอุ้มเยว่อันหนิงขึ้นบนหลังม้าควบกลับเข้าเมืองเทียนติ่ง มุ่งหน้าสู่จวนสกุลเฉินทันทีจวนสกุลเฉิน...ภายในจวนสกุลเฉินเกิดความวุ่นวายขึ้นหนึ่งชั่วยามเห็นจะได้ บรรดาหมอทั้งผม
เยว่อันหนิงเดินออกมาจากห้องก็เจอกับเสียนต้วนอี้อย่างที่ยี่ซูบอกกล่าวไว้ ร่างอรชรสวมชุดชาวบ้านขาดวิ่นสะพายห่อผ้าเก่า ๆ เดินเข้าไปหาคนที่ยืนหันหลังรอทันที"นี่คือสิ่งที่เจ้าเลือก"ทันทีที่โฉมสครวญเดินมาเคียงข้าง คนที่ยืนรออยู่ก่อนหน้าจึงเอ่ยปากถามอย่างไม่รีรอเยว่อันหนิงมิได้ตกใจกับคำถามนั้น นางรู้ดีว่าคนที่แอบฟังพวกนางคุยกันที่กระโจมของประมุขกู่เหนียงนอกจากยี่ซูแล้วก็เป็นสหายผู้นี้อีกคน"หากข้าไม่เอาตัวเข้าไปเสี่ยงจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องชั่วช้าที่ทำกับตระกูลข้า"ครานี้เยว่อันหนิงมิได้กล่าวใส่อารมณ์อย่างคราวก่อน นางเพียงชี้แจงให้อีกคนฟังด้วยเหตุผล"เพียงแค่เจ้าเอ่ยปาก ข้ายอมแลกด้วยชีวิตเพื่อช่วยเจ้าตามสืบเรื่องนี้""ต้วนอี้ ข้าซึ้งในน้ำใจของท่าน เพียงแต่ข้าสูญเสียคนข้างกายมามากพอแล้ว หากต้องแลกด้วยชีวิตใครอีก ขอให้เป็นชีวิตของข้าคนสุดท้าย"ดวงตาสุกประกายจ้องสบบุรุษรูปงามอย่างมาดมั่นในคำตอบ"เจ้าทำเช่นนี้คงมิได้ทำเพื่อตระกูลเจ้าอย่างเดียว"ในคำถามนี้มีความน้อยเนื้อต่ำใจและเหน็บแนมคนฟังอยู่หลายส่วน"ต้วนอี้..."เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยเรียกรีบยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เยว่อันหนิง
"เจ้าจะรีบร้อนไปไย"ยี่ซูกระฟัดกระเฟียดนั่งทิ้งตัวลงปลายเตียงอย่างแง่งอน"ข้าปล่อยเวลาสูญเปล่านานแล้ว"ยี่ซูรีบหันมองเสี้ยวหน้าของสหายรักนางเข้าใจความหมายของประโยคนั้นดี ผ่านมาแล้วเก้าปี เยว่อันหนิงยังล้างแค้นให้ตระกูลนางไม่สำเร็จ ใจคงทุกร์มากจึงกล้าที่จะให้สหายเช่นนางปรุงยาพิษเพื่อทำร้ายตัวเองเพื่อการใหญ่ในครั้งนี้ใจ"เจ้าเพิ่งจะพ้นวัยปักปิ่นไม่กี่ปี นี่ไม่นับว่าล่าช้า"ปีนี้เยว่อันหนิงสิบเก้า ถือว่าแตกเนื้อสาวเต็มตัว เวลาที่ผ่านมาก็มิได้ปล่อยทิ้ง ตามสืบหาความจริงคืนเลือดสาดอยู่แทบทุกทางที่นางกระทำได้ ยี่ซูจึงหยิบยกเรื่องนี้มาปลอบใจและเตือนความจำให้สหายเยว่อันหนิงเข้าใจสิ่งที่ยี่ซูให้กำลังใจนาง ทว่าหลังจากพบมือสังหารตาเดียวในครั้งนั้นหัวใจนางก็ไม่เคยสงบสุขได้อีก ความร้อนเนื้อร้อนใจคลุ้มคลั่งหนักกว่าการแบกรับการแก้แค้นหลายสิบเท่า"ได้ ๆ ข้าไม่ยืดเยื้อเจ้าก็ได้"มือแน่งน้อยของยี่ซูล้วงเข้าไปในแขนเสื้อเพื่อหยิบขวดยาสีขุ่นออกมาถือไว้ในมือ"ยาพิษที่เจ้าอยากได้"เยว่อันหนิงเอื้อมมือออกไปรับขวดยานั้น ทว่ายี่ซูกลับไม่ยอมมอบมันให้คนที่ต้องการสักที เอาแต่จ้องหน้าสหายรักด้วยความกลัดกลุ้มและคำ
"ท่านพ่อวางใจ ข้าจะเก็บรักษาของสิ่งนี้ไว้ยิ่งชีพ"ไม่มีคำไหนที่บุตรชายเขารับปากแล้วทำไม่ได้ เฉินปู้เกาจึงได้เพียงยิ้มรับก่อนจะนั่งลงเพื่อหารือเรื่องอื่นต่อ"ข้าเห็นศาลเทียนอวี่ประกาศจับโจรนางหนึ่งที่สวมหน้ากากลายดอกจวี๋ฮวา เรื่องมันเป็นมาอย่างไร"สิ่งที่เฉินปู้เกาเอ่ยเมื่อครู่ ทำให้จู่ ๆ เฉินเจียนหลางก็รู้สึกเหมือนมีอะไรแวบเข้ามาในหัวหากแต่เป็นเพียงภาพที่เหมือนเมฆหมอก ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ว่าเป็นรูปร่างเช่นใด"เจียนหลาง เจ้าไม่สบายหรือ"เป็นอีกครั้งที่ผู้เป็นบิดาเห็นความผิดปกติของบุตรชาย"เมื่อคืนข้าคงร่ำสุรากับองค์รัชทายาทหนักเกินไป"ความทรงจำของเขามีเพียงเรื่องที่เข้าวังไปปรับทุกข์กับองค์รัชทายาท หลังจากนั้นก็คล้ายภาพทุกอย่างถูกลบหาย เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากลับมายังเรือนต้นสนได้อย่างไร เคยถามเวรยามที่เฝ้าหน้าจวนคืนนั้นก็ไม่มีผู้ใดเห็นว่าเขาเข้ามาทางประตูยามไหนพอนึก ๆ ดูแล้ว เรื่องคืนก่อนนั้นช่างเหมือนตัวเขาถูกวิญญาณผู้อื่นควบคุมร่างกายจนไร้ความทรงจำไปครู่หนึ่ง"ซ่างฮ้วน เจ้าเคยรู้จักหมอที่เก่งด้านสมุนไพรพิษท่านหนึ่งใช่หรือไม่"คนถูกตั้งคำถามอย่างไม่มีปี่ขลุ่ยถึงกับเบิกตาตกใจกับคำถ
เมื่อวันก่อนเฉินเจียนหลางตื่นขึ้นมาในเรือนต้นสนของตนเองด้วยความประหลาดใจ บนเตียงที่เคยนอนยับย่นราวกับผ่านศึกหนักกับผู้ใดมา คราแรกเขาคิดว่าตนเองนอนละเมอ หากแต่นั่นมิใช่วิสัยนักรบเช่นตน แถมยังมีหลักฐานชิ้นดีรอยคราบเลือดหนึ่งจุดยืนยันว่ามีคนร่วมเตียงกับเขา ทว่านึกย้อนจนหัวแทบแตกกลับไม่มีภาพความทรงจำของสตรีที่เป็นเจ้าของเลือดหยดนี้"มีเรื่องหนักใจหรือ"เสียงยานคางของเฉินปู้เกา แม่ทัพใหญ่ของสกุลเฉินหรือบิดาแท้ ๆ ของเฉินเจียนหลางเอ่ยถามเมื่อสังเกตสีหน้ามิสู้ดีของบุตรชายได้"มิใช่เรื่องสำคัญอันใด ท่านพ่อว่าธุระต่อเถิด"วันนี้เฉินปู้เกาเรียกบุตรชายรวมถึงลูกน้องเก่าแก่คนสนิทของเยว่จิ้นกงผู้ล่วงลับมาหารือเกี่ยวกับสิ่งของที่อดีตแม่ทัพใหญ่เยว่ทิ้งเอาไว้ให้เมื่อเก้าปีก่อนกล่องไม้ที่เฉินปู้เกาเคยหยิบออกมาถกเถียงหาความหมายถูกหยิบออกมาวางตรงหน้าทั้งสี่คนอีกครั้งม้วนภาพวาดค่อย ๆ ถูกคลี่ออกเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั้งห้าเป็นหนที่เท่าไรมิอาจนับได้ภาพวาดของเด็กน้อยนั่งบนตักแกร่งของบิดาภายใต้ต้นไห่ถังพร้อมข้อความสั้น ๆ'เพียงคิดถึง แม้ไกลพันลี้ จักส่งถึงกันได้'"ขนาดท่านพ่อติดตามอดีตแม่ทัพเยว่มาหลายปี
"เจ้าต้องการใช้เลือดกลั่นตัวนำยาออกมาแล้วทำยาแก้ทีหลัง""ถูกแล้วเจ้าค่ะ"ยี่ซูยิ้มอย่างผู้ชนะออกมา ทำเอาประมุขกู่เหนียงถึงกับหัวเราะเบา ๆ ในท่าทีไม่เก็บความถ่อมตนนี้ของนางพลางเอ่ยชื่นชม"สมแล้วที่เป็นคนร่วมสร้างยาลืมเลือนกับท่านหมอฝู""แฮ่ ๆ"ยี่ซูค้อมศีรษะรับคำชมนั้นพร้อมฉีกยิ้มกว้าง"ต่อไปคงเป็นหน้าที่เจ้าแล้ว"ประมุขกู่เหนียงหันมาพูดคุยกับเยว่อันหนิงที่มองสหายรักด้วยความชื่นชม"แต่เจ้ากลับเมืองเทียนติ่งด้วยฉายานักฆ่าบุปผาเบญจมาศไม่ได้แล้ว"ยี่ซูกล่าวราวหมดหวังแทนสหายรัก"ข้ามีแค่ตัวตนเดียวเสียเมื่อไร"รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นอย่างคนเหนือกว่า"เจ้าหมายถึงในฐานะนางรำจวี๋จื่อ?"ประมุขกู่เหนียงแสร้งถามออกไป"มีคนติดค้างหนี้ชีวิตข้าอยู่เจ้าค่ะ"เยว่อันหนิงกล่าวออกไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า แววตาของนางมีประกายบางอย่างยามนึกถึงคนที่ติดค้างหนี้ชีวิตหนนั้น"แล้วเจ้าจะกลับไปอย่างไร"ยี่ซูถามได้รวบรัดตรงกับความอยากรู้ของคนอื่น ๆ"เรื่องนี้ต้องขอความร่วมมือจากเจ้าและท่านประมุข"คนที่ถูกเอ่ยขอความช่วยเหลือหันมองหน้ากันครู่หนึ่ง เยว่อันหนิงจึงเป็นฝ่ายเสริมต่อ"ข้าอยากขอยืมคนของหุบเขาสักสามสี่คนจากท่
หลังจากกลับมาจากผาลืมทุกข์ เยว่อันหนิงก็รีบมาพบประมุขกู่เหนียงเพื่อปรึกษาถึงแผนการของนางทันที"ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องถลกหนังคนตายมาสวมให้คนเป็น มือสังหารที่เจ้าเล่าไม่แน่อาจเป็นพี่ชายเจ้าตัวจริง"กู่เหนียงฟังสิ่งที่เยว่อันหนิงเล่าให้ฟังถึงมือสังหารตาเดียวที่หน้าตาคล้ายพี่รองของนางจบจึงแสดงความเห็นไปทิศทางเดียวกันกับสิ่งที่นางคิด"ในโลกนี้มียาขนานใดสามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนได้หรือไม่เจ้าคะ"เสียงราบเรียบหันไปถามผู้เฒ่าฝูหนานที่ครั้งนี้นางเรียกเขามาพบประมุขกู่เหนียงด้วยกัน"ตั้งแต่ข้าศึกษาตำราแพทย์มา โอสถที่ร้ายกาจที่สุดมิใช่โอสถคืนชีพ"สิ่งที่ผู้เฒ่าฝูหนานเกริ่นออกมาทำเอาสตรีทั้งสองในห้องพักส่วนตัวแห่งนี้มองหน้ากันด้วยความใคร่อยากรู้"ยาอันใดหรือเจ้าคะที่ท่านหมอดูหวาดกลัวแกมสะอิดสะเอียนเช่นนั้น"เพราะใบหน้าเหี่ยวย่นของผู้เฒ่าฝูหนานแสดงอาการออกมาเช่นนั้นจริงทำให้เยว่อันหนิงต้องถามออกไปตรง ๆ"ควบคุมหุ่นเชิด""ควบคุมหุ่นเชิด?"ครั้งนี้เป็นประมุขกู่เหนียงเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ"ข้าเคยได้ยินมาก่อนสมัยยังเป็นดรุณีน้อยเช่นพวกเจ้า ตอนนั้นเพียงแต่ได้ยินถึงความร้ายกาจของยาตัวนื้ อาการข้าเองก็มิ
"ต้วนอี้ ท่านมีเรื่องในใจ"มองเพียงตาเยว่อันหนิงก็ดูออกว่าสหายผู้นี้มีเรื่องค้างคาในใจให้คิดไม่ตก และเรื่องนั้นต้องเกี่ยวข้องกับนาง"เมื่อก่อนเจ้าบอกว่าที่มายืนอยู่ตรงนี้เพราะสามารถมองเห็นเมืองเทียนติ่ง มองเห็นความทรงจำของเจ้ากับครอบครัวได้ชัดเจนที่สุด"หากแต่เสียนต้วนอี้กลับไม่สนใจสิ่งที่เยว่อันหนิงถาม เขายังคงยืนไขว้หลังทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้าอย่างสง่างามในเมื่อสหายผู้นี้ไม่ต้องการตอบคำถามของนาง เยว่อันหนิงจึงไม่ซักไซ้และคาดคั้นให้เขารีบเล่าเรื่องทั้งหมด ทำเพียงยืนข้าง ๆ บุรุษกายกำยำเงียบ ๆ รอให้คนอยากพูดบอกทุกอย่างออกมาเอง"เจ้าไม่เคยปล่อยวางความแค้น เจ้าไม่เคยคิดที่จะมองบุรุษอื่นในเชิงชู้สาว"สิ่งที่เสียนต้วนอี้เอ่ยครั้งนี้ทำเอาเยว่อันหนิงขมวดคิ้วมุ่น เบนสายตามองบุรุษข้าง ๆ ด้วยความใคร่สงสัย"หากมีเรื่องคาใจท่านรีบถามออกมาเถิด"คราแรกว่าจะไม่เซ้าซี้ซักถามเขาแล้ว แต่เสียนต้วนอี้กลับเปิดประเด็นออกมาเช่นนี้คงต้องการประโยคนี้จากนาง"เมื่อคืนข้ามิได้พักอยู่ที่นี่"หัวใจเยว่อันหนิงไหววูบครู่หนึ่ง แววตานางสั่นไหวเล็กน้อยราวกระต่ายหวาดระแวง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวทุกอย่างก็กลับสู่ปก