ร่างงามเย้ายวนที่ค่อยๆเดินเข้าไปหาบุรุษหนุ่มอย่างช้าๆ เท้าบอบบางที่หนักอึ้งจนแทบจะก้าวไม่ออก นางไม่มีสิ่งใดที่จะเสียอีกแล้ว บุรุษผู้นั้นไม่เหลือหนทางให้นางได้เลือกเดิน หวังว่าการเลือกเดินทางนี้ จะเป็นทางเดินที่ดีที่สุด ร่างบางที่เดินเข้าไปใกล้ระยะที่มือหนาเอื้อมถึง เขาก็ดึงรั้งร่างบอบบางมาปะทะอกแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามหนั่นแน่นแห่งบุรุษ ใบหน้าหล่อเหลาที่เข้ามาประชิด ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก ประทับริมฝีปากหยักลึกประกบลงมาบนเรียวปากอิ่ม บังคับให้นางกลืนกินลิ้นสากร้อนที่ฉกลงมาอย่างร้อนแรงฝ่ามือหนาที่ดึงรั้งท้ายทอยเล็กให้แหงนเงยขึ้นรับจุมพิตที่เต็มไปด้วยความถวิลหา ริมฝีปากหยักลึกทาบทับลงบนเรียวปากอวบอิ่มนุ่มละมุนอย่างกระหาย บดขยี้ความหอมละมุนที่อยูในห้วงฝันทุกคืนค่ำอย่างเร่าร้อน เรียวลิ้นช่ำชองไล่กวาดต้อนความหอมหวานในโพรงปากนุ่มราวกับพบแอ่งน้ำทิพย์กลางทะเลทรายที่แห้งแล้ง ดูดดื่มกลืนกินน้ำหวานในโพรงปากจนสตรีในอ้อมแขนหายใจหายคอแทบไม่ทันความอดทนที่ถูกกักเก็บมานานพังทลายลง กายหนาที่ไม่อาจรั้งรอได้อีกต่อไป เพียงแค่ได้สัมผัสเนื้อนวลหอมกรุ่นนี้ เขาก็แทบหมดความยับยั้งช่างใจ อยากจะโจนจ้วงฝังร่า
ร่างบอบบางที่ขยับกายซุกเข้าหาไออุ่นจากอกกว้างที่มอบความอบอุ่นให้นางตลอดในทุกค่ำคืนที่ผ่านมา เมื่ออากาศในตอนย่ำรุ่งช่างหนาวเย็นยิ่งนักตั้งแต่วันที่นางทอดกายให้บุรุษผู้นี้เชยชมก็ผ่านมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานางมีความสุขมาก แม้ว่าเขาจะตักตวงความสุขจากเรือนร่างนางอย่างคุ้มค่า ความสัมพันธ์ลับๆ ของทั้งคู่ดูจะเป็นไปได้ด้วยดี ยอมรับอย่างไม่อายว่านางเองก็มีความสุขกับสิ่งที่เขามอบให้ เขาดีกับนางมากจนไม่อยากจะเชื่อ อ่อนโยนกับนางจนนางลืมเลือนบุรุษใจร้ายคนเดิมเสียหมดสิ้น ทำเป็นหลงลืมเหตุผลที่ต้องทอดร่างให้เขาเชยชมสัมผัสเย็นวาบตรงอกเปล่าเปลือยทำให้ร่างบางที่ขยับกายอย่างเกียจคร้านกะพริบตาขึ้น ก่อนดวงตากลมโตจะเบิกกว้าง ประกายตาระยิบระยับราวกับดวงดาวส่องสกาวบนท้องนภาในค่ำคืนที่มืดมิด จนคนมองใจไหวสั่นปรากฏรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าหล่อเหลา"ให้ข้าหรือเจ้าคะ"อวี๋เฟิ่งมองดูอัญมณีสีขาวบริสุทธิ์ที่ส่องประกายแวววาวรูปหยดน้ำห้อยอยู่บนสร้อยคอทองคำขาวเส้นเล็กสวยงามแม้จะดูเรียบๆ แต่ทว่ากลับสูงค่ายิ่ง และนาง ชอบมันมาก"อืม"บุรุษหนุ่มที่ตอบรับร่างบางชันกายหนาขึ้นนั่ง มองสตรีที่เขาถวิลหาทุกค่ำคืน
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มต่ำลงมา จูบลงบนปลายยอดทรวงสีชมพูระเรื่อแผ่วเบา ก่อนจะส่งเรียวลิ้นฉ่ำร้อนออกมาไล้เลียสะกิดยอดอกที่หดเกร็งแข็งเป็นไตอย่างเชื่องช้าแต่ทว่ากดเน้นย้ำหนัก ดูดดึงเอาไว้ในอุ้งปาก เหลือบดวงตาสีรัตติกาลวาวหวานขึ้นมองใบหน้านวลแดงก่ำที่ครวญครางเสียงหวานแหบพร่าอย่างพึงใจ"อ๊ะ...อ่าาส์"ลิ้นสากระคายฉ่ำแฉะกวาดเลียไปทั่วเต้าทรวงเต่งตึง ดูดกลืนส่วนปลายเข้าไปในอุ้งปากร้อนรุ่ม สะกิดปลายลิ้นถี่ระรัวจนปลายยอดเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำดังผลอิงเถา ละเลงลิ้นครอบครองเต้าทรวงทั้งสองข้างอย่างทัดเทียมกัน สองมือฟอนเฟ้นเคล้นคลึงหนักเบา ฝ่ามือหนาลูบไล้ไปบนเนื้อนวล จูบซับริมฝีปากหนาร้อนตามติด ก้านนิ้วเรียวยาวกดแนบแทรกลงกลางรอยแยกของกลีบบุปผาบานฉ่ำน้ำ คลึงเคล้าลงบนความอ่อนไหว ถูไถลงไปในความอ่อนนุ่มที่เปียกชื้นอย่างซ่านสยิวหน้าท้องแบนราบพลันหดเกร็ง เมื่อนิ้วเรียวยาวสอดลึกลงไปในความอ่อนนุ่มอุ่นร้อนที่โอบรัดนิ้วใหญ่อย่างร้อนรุ่ม นัยน์ตาหวานฉ่ำ เยิ้มคลอไปด้วยหยาดน้ำที่เอ่อปริ่มหางตาด้วยอารมณ์ซ่านเสียว เจ้าของเรือนร่างแกร่งกำยำดูเหมือนจะรู้จักร่างกายของนางเป็นอย่างดี ยิ่งกว่านางที่เป็นเจ้าของเรือนร่างเสียอีก
วันเวลาหมุนเวียนผ่านไปวันแล้ววันเล่า ขึ้นชื่อว่าความลับไม่มีในโลกนั้นถูกต้องเลยทีเดียว เมื่อความสัมพันธ์ที่เก็บซ่อนของทั้งสอง มีบุคคลที่สามรับรู้ร่างสูงของบุรุษคุ้นตาที่เดินออกมาจากเรือนหลังเล็กของสตรีผู้เป็นบุตรีเลี้ยงในเวลาย่ำรุ่ง ใบหน้าหล่อเหลายังคงเปื้อนรอยยิ้ม อาภรณ์บนกายกำยำนั้นอยู่ในสภาพที่ไม่เรียบร้อยนัก ทำให้ชายชราถึงกับสะท้อนในอก ด้วยใช้ชีวิตผ่านมาจนล่วงเลยวัยมากกว่าครึ่งชีวิต ทำให้ไม่ต้องคาดเดาสิ่งใด ก็รู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบุตรชายผู้ที่มักจะมีสีหน้าเรียบเฉยเคร่งขรึมเย็นชาอยู่เสมอ ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเขากลับสังเกตเห็นรอยยิ้มที่มันหายไปจากใบหน้าหล่อเหลาตั้งแต่หลายสิบปีก่อน แววตาที่ทอประกายแห่งความสุขเมื่อทอดมองสาวน้อยที่เขารักและเอ็นดูดังบุตรยามเผลอไผลชายสูงวัยผู้เป็นนายท่านผู้เฒ่าของจวนแม่ทัพแห่งนี้ ได้แต่เดินกลับเข้าเรือนอย่างคิดไม่ตก ว่าสมควรจะจัดการเรื่องราวที่เกิดขึ้นเช่นไรดี เขารู้ดีถึงความดื้อรั้นของผู้เป็นบุตรชาย ที่เจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นที่หนึ่ง และความปากแข็งปากไม่ตรงกับใจของอีกฝ่าย หากบุตรชายตนยังไม่ปล่อยวางความแค้นลง คงยากที่จะพบพานความสุขสมหวัง แค่มองเขาก็ดูออกว่
“คุณหนู กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ”เสี่ยวถานที่พึ่งหายจากอาการโศกเศร้าที่พึ่งสูญเสียท่านยายผู้เป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับ เอ่ยถามคุณหนูของนางที่กำลังนั่งสางผมอย่างเหม่อลอย"อ้อ เสี่ยวถาน ไม่มีอะไรหรอก เจ้าเล่าเป็นเช่นไรบ้าง"อวี๋เฟิ่งที่ลุกขึ้น ให้เสี่ยวถานช่วยจัดแต่งอาภรณ์ให้ เอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างห่วงใย"บ่าวไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ ถือเสียว่าท่านยายไปสบายแล้ว"เสี่ยวถานที่ช่วยผู้เป็นนายสวมใส่อาภรณ์ สังเกตเห็นรอยจ้ำสีกุหลาบตรงไหล่มนแล้วถึงกับใบหน้าแดงก่ำ หลังจากนางกลับมาก็ได้รับรู้ทุกอย่าง รู้สึกทั้งตกใจและเห็นใจคุณหนูยิ่งนัก แต่ในเมื่อคุณหนูได้ตัดสินใจไปแล้ว นางก็ไม่อาจที่จะคัดค้านสิ่งใดได้อีก แต่ก็รู้สึกเบาใจที่ท่านแม่ทัพดูจะรักใคร่เอ็นดูในตัวคุณหนูของนาง และคุณหนูเองก็ดูมีความสุข"เร่งมือหน่อยเถอะเสี่ยวถาน เดี๋ยวท่านแม่จะรอนาน"อวี๋เฟิ่งที่เอ่ยกับเสี่ยวถาน วันนี้นางต้องไปรับสำรับที่เรือนใหญ่ เพราะมารดามีเรื่องที่จะคุยกับนาง"ท่านแม่ทัพขอรับ"จงไห่ที่เข้ามารายงานเรื่องที่เขาได้รับมอบหมายให้ไปสืบมา มีใบหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ด้วยคาดเดาได้ถึงโทสะของผู้เป็นนายหากรู้ในสิ่งที่เขาจะรายง
...เรือนใหญ่...เจียงซือหนี่ที่สั่งให้บ่าวนำสำรับขึ้นโต๊ะ แต่รอแล้วรอเล่าบุตรสาวคนโตของนางก็ไม่มาเสียที"อี้เอ๋อ รอสักครู่นะ น้าจะให้เด็กไปตามเฟิ่งเอ๋อเดี๋ยวนี้"เจียงซือหนี่หันมาเอ่ยกับสหายของบุตรสาวที่กำลังจะกลายมาเป็นบุตรเขยของนางด้วยรอยยิ้มขอโทษขอโพย"ไม่เป็นไรขอรับท่านน้า ข้ารอได้"อู๋ฟงอี้ที่เอ่ยตอบมารดาของสตรีที่เขาปักใจรักด้วยรอยยิ้มกว้าง วันนี้เขารู้สึกมีความสุขที่สุด ที่จะสมหวังในรักเสียที ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่าจะมีวันนี้ ในตอนที่ท่านน้าเจียงซือหนี่เอ่ยถามเขาว่ายินดีที่จะแต่งอวี๋เฟิ่งเป็นภรรยาหรือไม่ เขาดีใจมากจนพูดไม่ออกไปเลย"คงไม่ต้องกินแล้วกระมังข้าว คุณชายอู๋คงอิ่มอกอิ่มใจจนกินอะไรไม่ลงแล้ว"อวี๋เจินที่เอ่ยกระแทกแดกดันอีกฝ่าย ในตอนแรกนางตกตะลึงกับคำพูดของมารดา ที่เป็นดังแส้ที่ฟาดลงกลางใจนาง ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้ กดข่มความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้จนลึกสุดใจใช่แล้ว นางแอบหลงรักบุรุษผู้เป็นสหายของพี่สาวมาเนิ่นนาน แม้จะรู้อยู่แก่ใจดีว่าในใจของบุรุษผู้นี้มีเพียงพี่สาวของนางก็ตาม นางไม่ได้หวังให้เขาหันมามองนาง เพียงแค่ได้อยู่ใกล้ๆ เขาบ้างนางก็ดีใจมากแล้ว การที่นางชอบกวนอารม
เกิดความเงียบอันน่าอึดอัดขึ้นในห้องกว้างจนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกันอวี๋เฟิ่งที่ถูกประคองเอาไว้โดยอ้อมแขนของอวี๋เจินผู้เป็นน้องสาว น้ำตายังคงไหลออกมาไม่ขาดสาย จนดวงตากลมโตที่เคยเปล่งประกายอย่างสวยงามนั้นแดงช้ำไปหมด เสี่ยวถานที่ปาดน้ำตาที่รินไหล สงสารคุณหนูของนางจับใจ"พ่อว่า ค่อยๆ คุยกันเถอะนะ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เจ้าจะทำอย่างไรต่อไปก็ว่ามาเถิดอาซาน"นายท่านผู้เฒ่าเซียวที่เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนั้น แม้อยากจะช่วยบุตรชายมากเพียงใด แต่เขาก็ช่วยได้เพียงเท่านี้ ให้อีกฝ่ายได้เอ่ยเจตนาของตนออกมาแม่ทัพหนุ่มที่มองหน้าผู้เป็นบิดา ก่อนจะหันไปมองร่างบางของสตรีที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาอย่างปวดใจ นางกำลังออกปากไล่เขาไปจากชีวิต นางจะไม่ให้อภัยเขาเช่นนั้นหรือ"นางเป็นของข้าแล้ว อย่างไรนางก็ต้องแต่งให้ข้า""ข้าไม่แต่ง"เสียงหวานแหบเครือที่กล่าวขึ้น เอ่ยออกมาอย่างหนักแน่นจนกายแกร่งไหวสะท้านแม่ทัพเซียวไป๋ซานที่จ้องมองร่างบางกล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจ“เจ้าจะยอมหรือไม่ข้าไม่สน ในเมื่อเจ้าเป็นของข้าแล้ว เจ้ายังจะแต่งให้ผู้ใดอีก”อวี๋เฟิ่งที่ยกมือบางปาดน้ำตาออกจากแก้มนวล หันมาเผช
แม่ทัพหนุ่มที่มุ่งหน้ากลับมายังเรือนตะวันออกด้วยกายอันสั่นเทิ้ม ใบหน้าถมึงทึงที่ดูเย็นชานั้นราวกับจะฆ่าคนได้ จนบ่าวไพร่พากันหลบหลีกเป็นพัลวัน แล้วเพียงไม่นานเรือนฝั่งตะวันออกราวกับเกิดสงครามขึ้น เมื่อเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แต่ไม่มีใครหาญกล้าที่จะเข้าไปดูว่าเกิดสิ่งใด"ดี ดีเสียจริง หานอวี๋เฟิ่ง" เสียงแหบพร่าที่ดังราวกระซิบ ดวงตาสีรัตติกาลสั่นไหวรุนแรง มือหนาที่กำสร้อยคอนั้นไว้ในมือสั่นเทา กำเข้าหากันแน่น จนมันแทบแหลกคามือหนาผลั๊ว! ผลั๊ว! ผลั๊ว!มือข้างนั้นที่กระหน่ำลงบนเสาเรือนจนเลือดสีแดงฉานไหลริน แต่มันกลับไร้ความรู้สึกเจ็บ แต่กลับรู้สึกเจ็บตรงอกแกร่งจนแทบจะทนไม่ไหว ราวกับมีเข็มนับพันนับหมื่น ทิ่มแทงอยู่ในนั้น มองอัญมณีเม็ดงามที่ตอนนี้มันอาบย้อมไปด้วยสีเลือดของตนอย่างเจ็บปวดแม่ทัพเซียวไป๋ซานที่ระบายโทสะจนห้องทั้งห้องพังยับเยิน เมื่อระบายโทสะจนพอใจแล้ว ก็เรียกให้จงไห่เตรียมม้าเสียงดังลั่นเรือน จนบ่าวไพร่พากันแตกตื่น ก่อนจะห้อตะบึงควบม้าทะยานออกไปจากจวนราวกับพายุจงไห่ที่มองสภาพห้องที่แทบจะไม่เหลือเค้าเดิม เรียกบ่าวรับใช้มาเก็บกวาดก่อนจะห้อตะบึงตามผู้เป็นนายไปอีกคนหานอวี๋เจินมอ
ร่างบางของเสี่ยวถานยืนบิดกายไปมาอยู่หน้าเรือนหอของผู้เป็นนาย ใบหน้างามนั้นแดงก่ำ แม้ว่านางจะล่วงเลยวัยที่จะออกเรือนมานานมากแล้ว แต่ก็ยังมิเคยใกล้ชิดบุรุษใดมาก่อน เรื่องความสนิทสนมแบบชู้สาวยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง นางยังอ่อนด้อยในเรื่องเช่นนี้มากนักแม้ว่าคุณหนูจะอยากให้นางออกเรือนมีครอบครัวเป็นของตนเอง แต่นางยังไม่พบบุรุษที่ถูกตาต้องใจเลย หากนางจะต้องมีสามี ก็ขอเลือกบุรุษที่นางรัก หาไม่แล้วนางขออยู่รับใช้คุณหนูของนางไปเช่นนี้ตลอดชีวิตเสียยังดีกว่า แม้จะมีแวบหนึ่งที่ใบหน้าของบุรุษผู้แสนเย็นชาผู้นั้นจะแวบผ่านมาในความรู้สึก แต่นางจะไปหวังสิ่งใดกับคนไร้หัวใจเช่นนั้นกัน เขาคงไม่มีวันสนใจสตรีเช่นนางหรอกกระมัง ศีรษะเล็กที่สะบัดความคิดไร้สาระนั้นพลางทอดถอนใจ นางอยู่คนเดียวเช่นนี้ก็ดีแล้ว เสียงครางหวานที่ดังลอดออกมาจากด้านในทำให้ร่างบางหลุดจากความคิดของตัวเองใบหน้างามพลันร้อนผ่าว รีบถอยห่างจากหน้าเรือนเสี่ยวถานที่เดินบิดกายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพื่อกลับเรือนพักของตน คืนนี้คุณหนูคงไม่มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นมาเรียกใช้นางแล้วกระมัง เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตา จึงทำให้ไม่ทันระวังเดินชนร่างสูงของใครคนหนึ่งเข้าอย่างจ
ร่างบอบบางในชุดแดงมงคลงดงามล้ำค่า กำลังนั่งมองตัวเองอยู่ด้านหน้ากระจกด้วยความรู้สึกหลากหลาย ใบหน้าอิ่มเอิบแต่งแต้มไปด้วยความสุขที่ฉายชัดอยู่ในดวงตางดงาม อวี๋เฟิ่งนางไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่นางจะได้สวมชุดมงคลและได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับผู้เป็นสามีอย่างสมเกียรติ แม้ความจริงนางจะมิได้คิดถึงเรื่องนี้แล้วก็ตาม ในวันที่รถม้าเดินทางเข้าสู่ความพลุกพล่านของเมืองหลวง มุ่งหน้าสู่จวนแม่ทัพ หัวใจของนางนั้นเต้นแรงมาก แม้จะสังเกตว่าสองข้างทางนั้นถูกประดับไปด้วยผ้าแดงมงคลตลอดทางจนถึงประตูจวน แต่กลับถูกความตื่นเต้นที่ได้พบหน้าทุกคนกลบความสงสัยนั้น การต้อนรับที่แสนอบอุ่น อ้อมกอดของผู้เป็นมารดาทำให้นางไม่ได้ให้ความสนใจสิ่งรอบกาย จนเมื่อได้โอบกอดมารดาจนพอใจจึงได้เอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย ว่าในจวนจะมีงานมงคลของผู้ใดกัน มิใช่ว่าน้องสาวของนาง อวี๋เจินได้แต่งให้กับคุณชายอู๋ฟงอี้ไปเมื่อปีก่อนตามที่ผู้เป็นสามีได้บอกเล่าหรอกหรือ"ลองถามท่านแม่ทัพดูดีหรือไม่"เจียงซือหนี่ที่เอ่ยกับบุตรสาวด้วยรอยยิ้มละมุน โน้มกายลงโอบอุ้มหลายชายตัวน้อยที่หน้าตาช่างน่ารักน่าชังเอาไว้ในอ้อมแขน ปล่อยให้บิดามารดาของเด็กน้อ
"ซี๊ดด โอ๊ย!เจ็บ"เสียงโอดครวญไม่จริงจังนักของแม่ทัพหนุ่มเรียกรอยยิ้มจากเสี่ยวถานและจงไห่ที่กำลังจัดเตรียมข้าวของเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางกลับจวนในวันพรุ่งนี้เมื่อผู้เป็นนายเข้าใจและคืนดีกัน ก็สร้างความยินดีและปลาบปลื้มให้กับเสี่ยวถานและจงไห่บ่าวผู้ซื่อสัตย์ทั้งสองยิ่งนัก ต่อไปผู้เป็นนายจะได้มีความสุขที่แท้จริงเสียที หลังจากที่ต้องเจ็บช้ำกันมาอย่างแสนสาหัส บ่าวคนสนิททั้งสองที่รู้ใจผู้เป็นนายเป็นอย่างดีเร่งเก็บข้าวของก่อนจะอุ้มคุณชายน้อยพาออกไปเล่นด้านนอกเปิดโอกาสให้ผู้เป็นนายได้มีเวลาร่วมกันแม่ทัพหนุ่มที่ออดอ้อนภรรยาตัวน้อยผู้ที่กำลังทำแผลให้เขา ใบหน้างามนั้นแดงก่ำอย่างเขินอายอวี๋เฟิ่งที่หมั่นไส้บุรุษไร้ยางอายตรงหน้ายิ่งนัก มือเล็กจึงหยิกลงตรงหน้าท้องแกร่งเต็มแรง"โอ๊ย น้องหญิงหยิกพี่ทำไม พี่เจ็บจริงๆ นะ"ร่างสูงที่แสร้งโอดครวญมองโฉมงามด้วยสายตาละห้อย"ข้าไม่เชื่อท่านหรอก"อวี๋เฟิ่งที่ส่งค้อนให้อีกฝ่าย ใบหน้างามนั้นร้อนผ่าวไปหมด เขามันไร้ยางอายที่สุด"เหตุใดถึงไม่เชื่อเล่า พี่ไปทำสิ่งใดให้เจ้าไม่เชื่อกัน"แม่ทัพหนุ่มที่จ้องมองใบหน้างามด้วยสายตากรุ้มกริ่มอย่างรอคำตอบ"ก็ท่าน...ท่าน ท
ร่างหนาที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มในอ้อมแขน ดวงตาสีรัตติกาลที่ก้มลงมองร่างหอมกรุ่นด้วยหัวใจที่เต้นระทึก เมื่อเห็นว่าร่างบอบบางที่เขาคิดว่ากำลังฝันว่าได้โอบกอดนางอยู่นั้น ตอนนี้นางกลับหลับตาพริ้มแนบอกกว้างของเขา แม่ทัพเซียวไป๋ซานที่ไม่แม้แต่จะกล้าขยับตัว กลัวเหลือเกินว่าเมื่อนางรู้สึกตัวตื่นแล้วจะรีบผละออกจากอ้อมแขนของเขา แต่หัวใจที่เต้นแรงนั้นกลับไม่รักดี มันเต้นกระหน่ำจนเปลือกตาที่มีขนตางอนประดับอยู่นั้นขยับยุกยิก และลืมขึ้นมาในที่สุด ดวงตาหรี่ปรือฉ่ำหวานที่จ้องมองสบกับดวงตาสีรัตติกาลของเขาอยู่นั้นช่างงดงามยิ่งนัก จนใบหน้าหล่อเหลาโน้มต่ำลงมาประทับริมฝีปากหนาบนเรียวปากอวบอิ่มแผ่วเบา ก่อนจะผละออก เขาไม่ได้ฝันไปและนางก็ยังไม่ผลักไสเขาอีกด้วย ในอกแกร่งยิ่งเต้นกระหน่ำ นางอภัยให้เขาแล้วใช่หรือไม่ ใบหน้าหล่อเหลาพลันยกยิ้มกว้างและสตรีตรงหน้าก็ยิ้มตอบเขาเช่นกัน ขอบคุณ ขอบคุณสวรรค์อ้อมแขนแกร่งที่โอบกระชับร่างบางแนบอก กดจุมพิตลงบนเส้นผมอ่อนนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า "ขอบคุณ เฟิ่งเอ๋อที่ให้โอกาสพี่"ฝ่ามือหนาที่เชยคางมนขึ้นรับจุมพิตที่เขาบรรจงมอบให้นางอย่างหวานล้ำ จุมพิตที่แสนยาว
ตอนนี้บ้านหลังน้อยก็มีผู้อาศัยเพิ่มมาอีกหนึ่งคน แม่ทัพเซียวไป๋ซานที่ขอพักอยู่ที่นี่จนกว่าแผลของเขาจะหายดี และขอใช้เวลาอยู่กับบุตรชายที่พึ่งได้พบหน้ากันอีกสักหน่อย เมื่อนางไม่ยินยอมที่จะกลับเมืองหลวงด้วยกัน แต่นางก็ไม่ใจดำพอที่จะกีดกันบิดากับบุตร เขาได้รับความเมตตาจากร่างบางเพราะมีบุตรชายที่ติดเขามากจนนางเอ่ยอนุญาต และตอบแทนที่เขาได้ช่วยชีวิตบุตรชายเอาไว้ นางยอมถอยให้เขาเพราะสงสารผู้เป็นบุตรชายที่ดูจะดีใจมากเมื่อมีบิดาดังเช่นเด็กคนอื่น นางยอมให้เขาเป็นบิดาของบุตร แต่นางยังไม่ยอมรับว่าเขาเป็นสามีของนาง ยังทำราวกับว่าเขานั้นเป็นคนอื่น แม่ทัพใหญ่เช่นเขากลับถูกไล่ให้มาซุกหัวนอนอยู่ในโรงเก็บฟืนที่มีเพียงแคร่ไม้ไผ่และผ้าห่มหนึ่งผืนหมอนหนึ่งใบจากเจ้าของบ้าน แต่แค่นี้ก็ถือว่านางเมตตาเขามากแล้วหลายวันมานี้แม่ทัพเซียวไป๋ซานผู้ทระนงองอาจ กลับทำตัวดีว่านอนสอนง่ายมาตลอด ตามงอนง้อขอนางคืนดี แต่นางก็ใจแข็งเหลือเกิน แม้จะสารภาพผิดและบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้นางฟัง บอกถึงความในใจที่อยากจะบอกนางตลอด บอกรักนางแทบจะสามเวลา รวมถึงเรื่องราวของเขาในอดีตและสิ่งที่มารดาของเขากระทำ และเขากับมารดานาง
"เสี่ยวถาน เสี่ยวถานอยู่ไหน"ร่างบางที่เอ่ยเรียกบ่าวรับใช้คนสนิทด้วยเสียงแหบเครือ ทำราวกับว่าบุรุษตรงหน้าไม่มีตัวตน นางไม่แม้แต่จะเอ่ยทักทายอีกฝ่ายแม้เพียงครึ่งคำ นางไม่อยากจะคิดอะไรหรือว่าคุยกับใครทั้งนั้น แม้หัวใจของนางตอนนี้จะเต้นกระหน่ำเพียงใดก็ตาม"คุณหนู คุณหนูฟื้นแล้ว บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ"เสี่ยวถานที่รีบวิ่งเข้ามาหาคุณหนูของนางด้วยรอยยิ้มกว้าง เมื่อเห็นว่าคุณหนูของนางรู้สึกตัวแล้วหลังจากที่สลบไสลไม่ได้สติไปถึงสองวันเต็มๆ ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะเลือนหายไป เมื่อสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดภายในห้อง"ข้าหิวน้ำ"อวี๋เฟิ่งที่เอ่ยบอกบ่าวคนสนิท เสี่ยวถานที่หันไปมองใบหน้าหม่นเศร้าของท่านแม่ทัพก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ เดินตัวลีบไปรินน้ำมาให้ผู้เป็นนาย ที่รับน้ำมาดื่มอย่างกระหาย หลังจากนั้นก็ล้มตัวลงนอนหันหลังให้ทุกคน"ออกไปได้แล้ว ข้าอยากพักผ่อน"ร่างบางที่เอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยล้าหลับตาลงทันที โดยไม่สนใจที่จะพูดคุยกับใครทั้งนั้น หลังจากนั้นนางก็เผลอหลับไปจริงๆ อย่างอ่อนเพลีย รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่รู้สึกถึงไออุ่นที่ซุกอยู่ตรงทรวงอกอิ่ม ริมฝีปากที่ตอนนี้กลับมาชุ่มชื่นอีกครั้งพลันยกยิ้มขึ้
เกิดการต่อสู้ขึ้นตรงหน้าร้านขายยานั้น พร้อมกับเสียงกรีดร้องของชาวเมืองที่ต่างวิ่งหนีกันชุลมุน เสี่ยวถานที่ถือห่อวิ่งออกมาจากร้านขายยาด้วยกายที่สั่นเทา มองหาร่างเล็กของคุณชายน้อยด้วยน้ำตาเอ่อคลอ หัวใจบีบรัดจนสั่นไปทั้งร่างเมื่อเห็นร่างเล็กนั่งร้องไห้จ้าอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ ร่างบางที่รีบพุ่งกายเข้าไปหาผู้เป็นนายกลับถูกดึงรั้งเขาไว้ด้วยมือของใครคนหนึ่ง"ปล่อยข้า ข้าจะไปช่วยคุณชาย ปล่อยข้าสิ"ทางด้านฉินอ๋องที่มีแม้จะเก่งกาจเพียงใด น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ และคนที่เขากำลังเผชิญหน้าคือแม่ทัพผู้เก่งกล้าแห่งแคว้น และคนของเขาก็กำลังจะเพลี่ยงพลั้ง สายตาที่คล้ายดังสุนัขจนตรอกกลับเหลือบไปเห็นร่างเล็กที่นั่งคุดคู้สั่นเทาด้วยความหวาดกลัวของเด็กน้อยจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปหาร่างเล็ก เพื่อจับเจ้าหนูน้อยผู้นั้นเป็นตัวประกัน แต่ยังช้ากว่าผู้เป็นแม่ทัพที่พุ่งเข้ามาหาร่างเล็กนั้นเช่นกัน ด้วยความที่เป็นห่วงเด็กน้อยผู้นั้น จึงพุ่งเข้าหาร่างเล็กเอากายหนานั้นบังร่างเจ้าตัวน้อยจึงทำให้พลาดพลั้งโดนคมกระบี่ของบุรุษอีกคนที่พุ่งตัวเข้ามาเกิดเป็นบาดแผลฉกรรจ์ ก่อนจะพลิกกายฟาดกระบี่ในมือตัดแขนของบุรุษผู้นั้นจนเลือดสาดกระเซ็น พร
เมืองตงหนิงเหล่าชายฉกรรจ์ชุดดำนับสิบคนที่เข้ามาภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ที่พากันขึ้นไปบนชั้นสองที่มีความเป็นส่วนตัว สร้างความแตกตื่นให้กับชาวบ้านไม่น้อย เพราะกลิ่นอายของคนเหล่านี้ช่างดูกดดันเสียเหลือเกิน คาดว่าคงมิใช่ชาวบ้านธรรมดาเป็นแน่ โดยเฉพาะบุรุษในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มที่คาดว่าคงจะเป็นนายของกลุ่มคนเหล่านี้ ที่ดูองอาจเหนือบุรุษ ถึงแม้ใบหน้าหล่อเหลานั้นจะมีไรหนวดเขียวครึ้ม แต่กลับส่งให้ใบหน้านั้นยิ่งดูคมเข้มในสายตาคนมอง บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ต่างหลบตาอย่างเอียงอาย"ท่านแม่ทัพขอรับ"จงไห่ ที่เอ่ยเรียกผู้เป็นนายก่อนจะรายงานถึงความคืบหน้า"ตอนนี้คนของเราได้กระจายกำลังออกไปทุกจุดแล้วขอรับ โดยเฉพาะโรงหมอและร้านขายยา และได้ทำการปิดประตูทางเข้าออกในเมืองทุกจุด ตามคำสั่งแล้วขอรับ""ดีมาก ให้คนของเราจับตาบุรุษต้องสงสัยทุกคน ข้าแน่ใจว่าฉินอ๋องยังกบดานอยู่ในเมืองนี้แน่นอน"แม่ทัพเซียวไปซาน ที่ตามจับตัวฉินอ๋อง ผู้ที่คิดการกบฏต่อบัลลังก์ สามารถทลายกองกำลังของฉินอ๋องได้สำเร็จ แต่ฉินอ๋องนั้นหนีรอดไปได้ และหลบหนีเข้ามากบดานอยู่ในเมืองแห่งนี้ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขานำกำลังมาที่นี่ คาดว่าอีกไม่นานฉินอ๋องคง
เปรี้ยง!!!กรี๊ดดดเฮือกกแม่ทัพเซียวไป๋ซานที่ผวาตื่นขึ้นมาในตอนย่ำรุ่ง หันมองรอบกายที่ยังคงเงียบสงัด มองผ่านช่องหน้าต่างที่มีสายฟ้าแลบแปลบปราบ พร้อมกับสายฝนที่โปรยปรายลงมาก่อนจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มือหนายกขึ้นลูบใบหน้าที่มีหนวดเคราขึ้นเขียวครึ้ม เหงื่อผุดซึมขึ้นจนเปียกชื้น เขาคงจะฝันอีกแล้วสินะ เพียงแค่หลับตาลงเขาก็มักจะฝันเห็นนางอยู่เสมอ ไม่รู้ว่าป่านนี้นางจะเป็นเช่นไรบ้าง"พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน เฟิ่งเอ๋อ"กรี๊ดดด!อุแว้ อุแว้เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นตามด้วยเสียงร้องไห้จ้าของทารกน้อยท่ามกลางสายฝนพรำในตอนรุ่งสาง สายฝนที่ตกอย่างไม่ลืมหูลืมตาในตอนแรกพลันขาดเม็ดลง พระอาทิตย์สาดแสงเกิดเป็นภาพความงดงามของเช้าวันใหม่ ฟ้าหลังฝนที่แสนงดงาม "เป็นคุณชายน้อยเจ้าค่ะ คุณหนู"เสี่ยวถานที่เอ่ยบอกผู้เป็นนายด้วยความยินดี ส่งเจ้าก้อนแป้งตัวอวบอ้วนเข้าสู่อ้อมอกของผู้เป็นมารดา ที่น้ำตาแห่งความยินดีเอ่อคลอดวงตาคู่งาม"เจ้าก้อนแป้งน้อยของแม่"หานอวี๋เฟิ่งที่จ้องมองใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มอย่างรักใคร่หลงใหล รู้สึกตื้นตันใจจนไม่อาจบรรยายออกมาได้ มีเพียงความรักและหวงแหนเจ้าก้อนกลมๆ ตัวน้อยในอ้อมแขน เกิดความร