อำเภอชิงผิงฉันนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมาสี่ชั่วโมงจนมาถึงที่แห่งนี้ตอนนี้เป็นช่วงเทศกาลโคมไฟพอดีถึงแม้จะไม่ได้คึกคักเหมือนเมืองไห่ตง ทว่าแสงโคมไฟระยิบระยับก็มีความโรแมนติกของเมืองเล็ก ๆ เช่นกันสายเรียกเข้าของเวินเหลียงโทรมาได้จังหวะพอดี “ถึงหรือยัง? หาที่พักได้แล้วใช่ไหม?”เธอไม่ได้อยากให้ฉันออกเดินทางรีบร้อนปานนั้น ตอนที่เธอถามฉันว่าจะไปไหน ฉันก็ส่งตำแหน่งและเวลาออกรถให้เธอดูในตอนนั้นเธอถามฉันว่าที่ฉันรีบร้อนออกเดินทางขนาดนั้น เพราะกลัวว่าเจียงอวี้เหิงจะมาตามเซ้าซี้ใช่หรือเปล่าฉันบอกว่าเธอคิดผิด เจียงอวี้เหิงไม่ทำหรอกตอนนี้เขาต้องกำลังโกรธที่ฉันผิดสัญญา ไม่ยอมทำตามที่เขาสั่งอย่างแน่นอนดูเหมือนว่าตอนนี้ฉันจะคิดถูกแล้ว นับตั้งแต่หลังจากที่เขาถามสาเหตุที่ฉันไม่ไปจดทะเบียนสมรส ก็ไม่ได้โทรหรือส่งข้อความมาหาฉันอีกแม้แต่ครั้งเดียวที่ฉันรีบร้อนมาที่นี่เพราะคิดวางแผนไว้นานแล้ว และยังมีอีกหนึ่งสาเหตุคือฉันกลัวจะถูกตามเซ้าซี้ แต่คนที่ตามเซ้าซี้ไม่ใช่เจียงอวี้เหิง แต่เป็นพ่อแม่ตระกูลเจียงต่างหากพวกเขาจะต้องมาหาเพื่อเกลี้ยกล่อมฉันอย่างแน่นอนฉันได้ตัดสินไปแล้ว การตามเซ้าซี้ของพวกเขา
ดูโดยรวมแล้ว ทั้งดูหยาบคายและแข็งกระด้าง ทำให้คนหวาดกลัวสองสามปีมานี้ผู้ชายที่ฉันคลุกคลีด้วยล้วนมีแต่พวกที่ผิวขาวผ่อง สวมเชิ้ตผูกเนคไท สวมชุดสูทใส่เสื้อนอกทับลักษณะของชายด้านหน้านี้ ทำให้ฉันมีความคิดแวบแรกเข้ามาในหัวว่าเขาเพิ่งถูกปล่อยตัวออกมาจากคุกฉันจับกระเป๋าแน่นโดยที่ไม่รู้ตัว นึกถึงสเปรย์พริกไทยและมีดพกป้องกันตัวที่เวินเหลียงยัดใส่กระเป๋าฉันก่อนออกเดินทางมาฉันไม่ทันได้สัมผัสของเหล่านี้ ชายผู้นี้ก็ติดเครื่องยนต์รถโดยที่ไม่พูดอะไรทั้งสิ้นทว่าสายตาที่เขามองฉันเมื่อครู่หมายความอย่างไร?ฉันมึนงงเล็กน้อย ทว่าใจที่เพิ่งจะได้รับฟื้นฟูจากเมืองนี้ ก็เกิดความวุ่นวายขึ้นเป็นครั้งคราวเพราะว่าต้องระแวดระวังตัว ฉันจึงไม่ได้ตั้งใจซึมซับบรรยากาศที่ทำรื่นเริงใจของเมืองนี้ได้ดีนัก จนเมื่อตอนที่รถจอด ฉันจ่ายเงินลงจากรถ มองรถคันนั้นเคลื่อนตัวออกไปแล้ว ฉันจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว ฉันมาถึงที่นี่ตอนนี้ก็ไม่ค่อยเหมาะสมจริง ๆฉันอยากจะหาสถานที่พ่อแม่ฉันเคยอาศัยอยู่ เอาไว้ตอนกลางวันค่อยทำก็ย่อมได้ ทว่าเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ก็ไม่มีอะไรให้ลังเลอีกแล้วสถานที่ด้านหน้า ช่า
“สาวน้อย”เสียงพูดเปิดจากโทรศัพท์ให้ความรู้สึกพิลึก ทั้งคุ้นเคยและรู้สึกแปลกหน้าในแววตาก็ปรากฏใบหน้าที่ฉันคุ้นเคย และขานเรียกออกไปเช่นกัน “พี่ใหญ่”เดิมทีคิดว่าแค่เปลี่ยนเบอร์ก็สามารถหลบเลี่ยงคนครอบครัวตระกูลเจียงได้ ไม่คิดว่าพี่ชายของเจียงอวี้เหิงจะรู้เบอร์นี้ของฉัน ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่คิดว่าเขาจะติดต่อฉันมา“ดูแล้วยังบันทึกเบอร์พี่ไว้ ยังไม่ลืมพี่สินะ” คำพูดของเจียงหวยแฝงด้วยความหยอกล้อเขาอายุมากกว่าเจียงอวี้เหิงสองปี ตอนที่ยังไม่ได้ไปต่างประเทศก็ประคบประหงมฉันเป็นอย่างดี มักจะชอบเรียกฉันว่าสาวน้อยเสมอฉันไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรทันที เพราะรู้สึกว่าเขาเหมือนต้องการจะโอดครวญตอนที่เขาเพิ่งจะไปต่างประเทศได้สองปี ฉันก็ติดต่อไปถามสารทุกข์สุกดิบกับเขาเป็นครั้งคราว หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ขาดการติดต่อไปนิสัยแต่เดิมของเจียงหวยไม่ใช่คนที่จะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน น้อยครั้งที่เขาจะติดต่อหาคนในครอบครัว นับประสาอะไรกับคนอย่างฉันตอนนี้จู่ ๆ เขาก็โทรเข้ามา ฉันพอจะเดาได้คงจะเกี่ยวกับเรื่องที่งานแต่งที่พังไม่เป็นท่าของฉันกับเจียงอวี้เหิงต่อให้เจียงหวยจะติดต่อกับคนในครอบครัวไม่บ่อย ทว่าเมื่อมีเรื
ในตอนแรก ฉันไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้ แต่คำพูดของเจียงหวยเหมือนกับการกดสวิตช์เปิดปิดความทรงจำ เหตุการณ์ในอดีตเหล่านั้นก็กลับมาวนเวียนอยู่ในสมองของฉันราวกับหนังเรื่องเก่า“เขาทำอะไร? บอกพี่หน่อยได้ไหม?” ท่ามกลางความเงียบงัน เจียงหวยถามฉันขึ้นมาถ้าหากฉันไม่พูด พวกเขาก็จะสงสัย และเจียงอวี้เหิงก็จะคิดว่าฉันพูดไร้สาระ นอกจากนี้ หลังจากฉันกลับไปในอีกไม่กี่วัน คุณพ่อและคุณแม่เจียงก็จะต้องถามฉันทางที่ดีที่สุดก็คือ ฉันต้องพูดมันออกไปในตอนนี้ หลังจากนี้จะได้ไม่ต้องเผชิญกับมันอีก“เขาไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่น” คำพูดของฉันทำให้เจียงหวยเงียบไปในพริบตาฉันรู้ดีว่าเขาคงจะไม่เชื่อ ดังนั้นฉันจึงพูดเสริมอีกประโยคว่า “เธอเป็นภรรยาของเพื่อนเขา ข่าวลือของพวกเขา พ่อแม่พี่ก็คงจะรู้แล้ว”ในตอนนี้ เจียงหวยเงียบไป ฉันจึงยิ้มขึ้นมา "พี่ใหญ่ก็รู้เรื่องนี้แล้วใช่ไหม?"ในโลกนี้ไม่มีความลับใดๆ ฉันกับเจียงอวี้เหิงไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันด้วยซ้ำ พ่อแม่ของเขาจะต้องถามและตรวจสอบเรื่องนี้แน่นอน และไม่มีทางที่เจียงหวยจะไม่ถามพ่อของเขา“เสี่ยวเหิงชอบเธอมากขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก บางทีมันอาจจะมีเรื่องเข้าใจอะไร
“เสี่ยวโม่ นี่คือผู้หญิงที่ฉันบอกเธอว่าอยากเปลี่ยนบ้าน พวกเธอลองคุยกันดูไหม?”คุณยายเจ้าของบ้านพูดขึ้น ทำลายช่วงเวลาการสบสายตาระหว่างฉันกับชายคนนั้นลงฉันเดินเข้าไป “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเฉียวซาน ห้องที่คุณอยู่ห้องนั้น ฉันขอเปลี่ยนได้ไหมคะ?”“ไม่ครับ” การปฏิเสธของเขาเด็ดขาดเหมือนกับตอนที่สระผมเมื่อครู่นี้มุมปากของฉันขยับเล็กน้อย ความรู้สึกไม่พอใจผุดขึ้นในใจเล็กน้อย อีกทั้งความดื้อรั้นก็แสดงออกมา “ทำไมล่ะ?”ชายคนนั้นมองมาที่ฉัน ไม่ได้พูดอะไร เขาเอาผ้าขนหนูสีเขียวลายทหารพาดไหล่แล้วเดินผ่านฉันไปทั้งแบบนั้นไอความเย็นที่แผ่ซ่านมาจากน้ำทำให้ฉันสั่นสะท้านอย่างไม่มีสาเหตุ“เสี่ยว...เสี่ยวเฉียวสินะ?” คุณยายเจ้าของบ้านเดินเข้ามา “อย่าโกรธเลยนะ ฉินโม่น่ะง้อผู้หญิงไม่เป็น เดี๋ยวฉันจะกลับไปคุยกับเขาทีหลัง”ฉันก็อารมณ์ขึ้นเช่นกัน จึงจงใจพูดเสียงดัง “ไม่ต้องหรอกค่ะ อยู่ห้องนั้นก็ไม่ทำให้สูงส่งได้หรอกค่ะ ใครอยากอยู่ก็อยู่ไปเถอะ”พูดจบ คุณยายเจ้าของบ้านก็ดึงฉันไว้แล้วพูดว่า “อย่าดุแบบนี้สิ เขาเคยเป็นทหารที่ผ่านการฝึกหนักมานะ ถ้าเขาโกรธขึ้นมา เขาสามารถแบกเธอขึ้นมาแล้วเอาไปโยนทิ้งที่ข้างนอกได้เลยน
แต่เมื่อฉันนอนลงบนเตียงแข็งๆ ภาพตรงหน้าก็ยุ่งเหยิงและว่างเปล่า ฉันจึงนอนไม่หลับในที่สุด ฉันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดไลน์ เห็นข้อความที่ส่งมาจากหยวนเสี่ยวไต้และเกาหย่วนหยวนเสี่ยวไต้ “พี่ซาน วันนี้ฉันยุ่งจนหัวหมุนทั้งวันเลย แต่งานที่พี่ฝากให้ทำฉันทำเสร็จแล้วนะ พรุ่งนี้ต้องเอาขนมมงคลสมรสมาให้ฉันเป็นรางวัลด้วยนะ พี่ซาน สุขสันต์วันแต่งงาน ขอให้มีความสุขมากๆ ตลอดชีวิตไปจนแก่เลยนะ”เมื่อเห็นข้อความนี้ ฉันก็กระตุกมุมปากเย้ยหยัน แต่ไม่ได้ตอบกลับเกาหย่วน “ผู้ช่วยเฉียว อย่าเข้าใจประธานเจียงผิดนะ อย่าไปมีเรื่องอะไรกับประธานเจียงเด็ดขาด ไม่งั้นความผิดผมได้ใหญ่มหันต์แน่”ฉันก็ไม่ได้ตอบอะไรเช่นกัน เพียงแต่เปิดอินสตาแกรมขึ้นมา แล้วก็เจอรูปเงาที่ฉันถ่ายที่สวนสนุกในอัลบั้ม จากนั้นก็โพสต์ไปข้อความหนึ่งว่า ‘สุขสันต์วันขึ้นปีใหม่!’หลังจากโพสต์แล้ว ฉันก็ลบทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเจียงอวี้เหิงออกจากอินสตาแกรมของฉันสิ่งที่ฉันทำก็มันก็คล้ายๆ กับสิ่งที่พวกดาราชอบทำในตอนหย่าหรือไม่ก็เลิกกับแฟนเมื่อไม่ได้เป็นคู่รักกัน แล้วก็เป็นคนรักกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นการลบทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวกับความรักไปก็คงจะดีท
ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าคุณยายจะบอกว่าจะเป็นแม่สื่อให้ฉัน ใบหน้าที่เย็นชาแข็งกระด้างของฉินโม่แวบผ่านหน้าฉันขึ้นมาเมื่อนึกถึงความตรงไปตรงมาและเย็นชาของเขาที่ปฏิเสธที่จะเปลี่ยนห้องกับฉัน จู่ๆ ฉันก็รู้สึกอยากเล่นสนุกขึ้นมา และตอบกลับไปอย่างเบิกบานสำราญใจไปสองคำว่า "ได้เลยค่ะ"ถึงฉันจะตกลง แต่มันก็เป็นเพียงคำพูดที่พูดไปเรื่อยที่ฉันไม่ได้เก็บมาใส่ใจหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ฉันก็ยืมจักรยานในบ้านคุณยายมาคันหนึ่งและปั่นไปรอบๆ มณฑลเล็กๆ แห่งนี้เมื่อฉันกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ฉันมีสิ่งที่ต่างจากตอนที่ออกไปในตอนเช้า ซึ่งก็คือมีกระดานวาดภาพเพิ่มมาฉันรักการวาดภาพ ก่อนที่พ่อแม่ของฉันจะเสีย พวกเขาให้ฉันไปสมัครเรียนคลาสเต้น คลาสวาดภาพ และการเขียนพู่กันจีน อีกทั้งยังให้ฉันเรียนกู่เจิงด้วยแต่สิ่งเหล่านี้ล้วนจบลงหลังจากที่พวกเขาจากโลกไป แต่สิ่งเดียวที่ยังไม่จบลงก็คือการวาดภาพ เพราะมันง่ายมาก เพียงแค่มีปากกาหนึ่งด้ามและกระดาษหนึ่งแผ่นก็เพียงพอแล้วทั้งวันวันนี้ที่ฉันออกไปข้างนอก นอกจากการมองชมวิวรอบๆ แล้ว ฉันก็ได้วาดรูปมารูปหนึ่ง ก็คือรูปเขตชิงผิงใหม่ความปรารถนาสูงสุดของพ่อแม่ของฉันค
เมื่อได้ยินเสียง ฉันจึงโยนโทรศัพท์ทิ้ง “เรียบร้อยแล้วค่ะ”พูดจบ ฉันก็ถอดรองเท้า เปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะแล้วเปิดประตู จากนั้นก็เห็นฉินโม่กำลังตักน้ำอยู่ในลานบ้านถังน้ำสีขาวหลายใบวางเรียงกันเป็นแถว ไม่นานน้ำก็เต็มถัง เขายกถังขึ้นมา กล้ามเนื้อที่ไหล่แนบกับเสื้อผ้าจนสามารถมองเห็นได้กล้ามเนื้อกับพละกำลังนั้นเป็นของคู่กันจริงๆ“ตักน้ำมาเยอะขนาดนี้ทำไม น้ำจะไม่ไหลเหรอ?” ฉันเดินไปถามสายตาของคุณยายมองไปที่รองเท้าแตะของฉัน และกลอกตาอย่างเงียบๆฉินโม่ไม่ได้ตอบอะไร คุณยายพูดแทน "เผื่อโดนตัดน้ำจ้ะ"พูดจบ เธอก็ตีฉินโม่ “เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะทำซุปปลาให้นะ พวกเธอช่วยไปซื้อปลากะพงมาหน่อย ขอสดๆนะ แล้วก็ซื้อผักชีกับกระเทียมมาด้วย”นี่เป็นการไปซื้อของที่ไหนกันล่ะ มันคือการให้เราสองคนออกไปคุยกันชัดๆเพียงแต่ฉันใส่รองเท้าแตะขนาดใหญ่อยู่ จึงไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่การจะเข้าไปเปลี่ยนในบ้านก็ดูไม่เหมาะสมเช่นกัน“ไปเปลี่ยนรองเท้า” ฉินโม่พูดเช่นนั้นในเวลาแบบนี้ ถ้าให้ฉันไปเปลี่ยนรองเท้า มันจะยิ่งทำให้ฉันรู้สึกอับอายมากขึ้น ดังนั้นฉันจึงยิ้มเยาะ “ไม่ต้องหรอก”ฉินโม่ไม่พูดอะไรอีก เขายกขาขึ้นเตรียมจะเดินออกไ
ฉันเงยหน้าขึ้น เห็นใบหน้าที่มีเหลี่ยมมุมของฉินโม่ที่ชัดเจนเขาไม่ใช่แค่พยุงฉันไว้ แต่ยังรับแตงโมในมือฉันไว้ได้อีกด้วยภาพที่ดูเหมือนฝันเช่นนี้เป็นสิ่งที่ได้จากการจงใจถ่ายทางโทรทัศน์เท่านั้น แต่ตอนนี้มันกำลังเกิดขึ้นกับฉันจริงๆเขาพยุงฉันให้ยืนตัวตรง คลายมือที่จับไว้ แต่ทันทีที่ฉันเคลื่อนไหว ฉันก็รู้สึกเจ็บแปลบเหมือนโดนเข็มทิ่มที่ข้อเท้าฉันคว้าแขนของเขาไว้แล้วพูดว่า “เจ็บ…”เขามองไปตามสายตาของฉัน เห็นข้อเท้าขาวบางของฉันกลายเป็นสีแดง "ข้อเท้าพลิกเหรอ?"ฉินโม่อยู่ใกล้ฉันมาก เสียงทุ้มต่ำของเขามันช่างน่าฟังมากเป็นพิเศษฉันตอบอืม วินาทีต่อมาเขาก็ยัดแตงโมใส่มาในมือฉันแล้วอุ้มฉันขึ้นมาฉันกับเจียงอวี้เหิงคบกันมาหลายปี แต่เขาไม่เคยอุ้มฉันแบบนี้เลย ในตอนนี้ ฉินโม่กลับอุ้มฉันในท่าเจ้าหญิง มันทำให้หัวใจฉันเต้นแรงขึ้น ถึงขั้นมีเหงื่อซึมออกมาที่ปีกจมูก...ฉันเป็นแบบนี้แหละ เวลาตื่นเต้นหรือประหม่า เหงื่อจะออกปลายจมูกในตอนนี้ ฉันก็ได้ยินเสียงถอนหายใจ เป็นเสียงจากคนในละแวกนั้นและผู้คนที่เดินผ่านไปมาอาจเป็นเพราะมณฑลเล็กๆ เช่นนี้ ผู้คนคงยังไม่ชินกับพฤติกรรมเช่นนี้ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงฉิ
ฉันหยิบแก้วแปรงสีฟันขึ้นมา เติมน้ำแล้วแปรงฟัน ตลอดเวลาที่แปรงฟัน ฉันไม่ได้มองที่ยัยหมูสามชั้นเลย แต่สายตาของเธอไม่เคยละไปจากฉันแม้แต่วินาทีเดียว เธอมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็จากปลายเท้าขึ้นไปถึงศีรษะ“เสี่ยวเฉียวเฉียว นี่คือหมูสามชั้น” คุณยายแนะนำเธอฉันอมยาสีฟันไว้ในปากแล้วพยักหน้าไปทางยัยหมูสามชั้นเธอมีใบหน้ากลม แต่ไม่ถึงกับอ้วน เธอสวมชุดเดรสลายดอกไม้และแต่งหน้า เห็นได้ชัดว่าเธอแต่งตัวมาอย่างจริงจัง“หมูสามชั้น นี่คือเสี่ยวเฉียวเฉียวที่เธออยากเจอ ฉันพูดถูกไหม ดูสิว่าผิวเธอนุ่มลื่มชุ่มชื้นแค่ไหน” คุณยายกำลังซักผ้าอยู่ ซักด้วยมือเปล่าเมื่อหมูสามชั้นกับฉันสบตากัน เธอมีความไม่มั่นใจฉายแวบขึ้นในดวงตาเมื่อถูกเปรียบเทียบกับฉัน แต่ปากกลับไม่ยอมรับ “เธอยังเด็ก ผิวก็ต้องนุ่มชุ่มชื้นอยู่แล้ว ตอนฉันอายุเท่าเธอก็ประมาณนี้แหละ”คุณยายเบะปาก หมูสามชั้นก็กลอกตามองบน การต่อสู้แบบเงียบๆ ระหว่างทั้งสองทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังดูโชว์ตลกอยู่เมื่อฉันแปรงฟันเสร็จ หมูสามชั้นก็พูดขึ้นมาว่า “คุณเฉียว มาที่นี่เพื่อเยี่ยมญาติหรือมาเที่ยวเล่น?”“มาเที่ยวเล่น” ฉันเปิดก๊อกน้ำและล้างแก้วแปรงสีฟัน“ม
คืนนี้ฉันนอนหลับสนิทจนกระทั่งได้ยินเสียงหนวกหูดังมาจากด้านนอกไม่ใช่ฉินโม่ที่กำลังพูด แต่เป็นผู้หญิงที่พูดติดสำเนียงท้องถิ่นฟังจากเสียงของเธอแล้ว เธอไม่ใช่เด็กเสียงของเด็กผู้หญิงจะนุ่มนวลและสดใส ในขณะที่เสียงของผู้หญิงโดยทั่วไปแล้วจะทุ้มและหยาบกว่าฉันเป็นคนที่สามารถแยกคนได้จากเสียง แต่กลับไม่สามารถแยกได้ว่าชายที่ฉันรักมาเป็นสิบปีนั้นเป็นไอ้ผู้ชายเจ้าชู้สารเลวเขาว่ากันว่าการลืมใครสักคนคือการไม่คิดถึงเขาบ่อยๆ ตลอดเวลา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าฉันจะทำไม่ได้ฉันยังคิดถึงเจียงอวี้เหิงโดยไม่รู้ตัวอยู่เสมอ ถึงจะไม่ใช่ความรัก เป็นเพียงความรู้สึกโกรธแค้น ฉันก็ยังคิดถึงเขาอยู่เป็นครั้งคราวฉันไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียง เพียงแต่เงี่ยหูฟังเสียงจากข้างนอก“คุณยาย ฉินโม่ล่ะคะ?” หญิงคนนั้นถาม“ออกไปแล้ว ตั้งแต่เช้าก็ออกไปแล้ว” คุณยายดูเหมือนกำลังล้างอะไรบางอย่างอยู่ มีเสียงน้ำดังเข้ามา“ไปแล้วหรอ ฉันก็นึกว่าเขายังไม่ตื่น” เสียงของหญิงสาวมีความตลกขบขันแทรกอยู่“ยัยหมูสามชั้น เสี่ยวฉินจะตื่นหรือไม่ตื่นแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ เขาไม่ได้ชอบเธอ เธอก็อย่าคิดให้รกสมองเปล่าๆ เลย” คุณยายพูดออกมาตรงๆคนปก
ฉันตอบอืมไปเบาๆ “เป็นข้อเสนอที่ไม่เลวเลย ฉันจะเก็บไปพิจารณาดู”“ต้องคิดแบบจริงจังนะ” เวินเหลียงพูดจบก็ชะงักไปชั่วขณะ “ซานซาน วิธีที่จะลืมใครสักคนกับความรักที่ดีที่สุดก็คือการหาใครสักคนมาแทน แล้วก็รีบเริ่มต้นความรักใหม่โดยเร็ว”“โอเคค่ะอาจารย์เวิน ฉันเข้าใจแล้ว” หลังจากวางสาย ฉันก็นอนลงบนเตียงอย่างเหม่อลอยฝีเท้าของฉินโม่ข้างนอกดังเข้ามา ฉันรู้ได้ในทันที มันทั้งหนักแน่นและทรงพลังผ่านไปสักพักก็มีเสียงก๊อกน้ำดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงบ่นพึมพำของคุณยายเจ้าของบ้าน "ทำไมมีแค่นายคนเดียว? เสี่ยวเฉียวเฉียวล่ะ?"ฉันไม่ได้ยินคำตอบของฉินโม่ ได้ยินเพียงแค่ที่เขาพูดว่า "อย่าใส่ผักชีในซุปปลา"เมื่อได้ยินดังนั้น ฉันก็หัวเราะ หัวเราะไปหัวเราะมาก็น้ำตาไหลออกมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่ตระกูลเจียง ฉันกินผักชี แต่ในอดีตตอนที่อยู่กับพ่อแม่ ฉันไม่เคยกินเลยมีสำนวนที่ว่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม แม้ว่าตอนนั้นฉันจะย้ายเข้ามาอยู่ในตระกูลเจียงในฐานะคู่หมั้นของเจียงอวี้เหิง คุณแม่เจียงก็บอกว่าฉันเป็นลูกสาวของเธอ แต่ฉันก็ไม่ได้เป็นคนในครอบครัวตระกูลเจียงอยู่ดี ฉันรู้ดีอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่แก่ใจในเรื
ในชีวิตนี้ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายที่ฉันเคยพบหน้าเพียงสองครั้งจะอยากจดทะเบียนแต่งงานกับฉันแต่ผู้ชายที่คบกับฉันมาสิบปีกลับไปมีชู้ลับหลังฉันหลังจากตกใจไปชั่วขณะ ฉันก็เม้มริมฝีปากและยิ้ม "คุณฉินคะ นี่มันกะทันหันเกินไปหน่อยไหม?"สีหน้าของฉินโม่ยังเหมือนเดิม ดูค่อนข้างจริงจัง “คนเราคบกันก็เพื่อแต่งงานกันไม่ใช่เหรอ ในเมื่อคุณไม่อยากคบ งั้นก็แต่งงานเลย”คำพูดนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไรแต่คนที่พูดดูเหมือนว่าจะมีปัญหา คนปกติจู่ๆ จะมาแต่งงานกับคนแปลกหน้าไหมล่ะ?นิยายสมัยนี้นิยมโครงเรื่องแบบนี้ แต่มันก็เป็นแค่นิยายเท่านั้นคิ้วของฉันขมวด มุมปากปรากฏรอยยิ้มเยาะ "คุณฉินตรงไปตรงมาขนาดนี้กับคู่นัดดูตัวทุกคนเลยเหรอคะ?"ขณะนี้ พระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าส่องแสงมาที่ตัวของพวกเราพอดี เงาของฉินโม่ปกคลุมฉันไว้ “คุณเป็นคนแรก” ฉันรู้สึกคันคอ “เรา…แทบจะไม่รู้จักกันเลย”ฉินโม่ไม่ได้พูดอะไรอีก เรายืนหันหน้าเข้าหากัน ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ ฉันรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าทั่วทั้งร่างกายของฉันร้อนผ่าวเล็กน้อย แม้แต่ปลายจมูกก็มีเหงื่อซึมออกมาในขณะที่ฉันกำลังขูดกำแพงที่อยู่ด้านหลังฉัน คิดว่าจะพูดอะไร
เมื่อได้ยินเสียง ฉันจึงโยนโทรศัพท์ทิ้ง “เรียบร้อยแล้วค่ะ”พูดจบ ฉันก็ถอดรองเท้า เปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะแล้วเปิดประตู จากนั้นก็เห็นฉินโม่กำลังตักน้ำอยู่ในลานบ้านถังน้ำสีขาวหลายใบวางเรียงกันเป็นแถว ไม่นานน้ำก็เต็มถัง เขายกถังขึ้นมา กล้ามเนื้อที่ไหล่แนบกับเสื้อผ้าจนสามารถมองเห็นได้กล้ามเนื้อกับพละกำลังนั้นเป็นของคู่กันจริงๆ“ตักน้ำมาเยอะขนาดนี้ทำไม น้ำจะไม่ไหลเหรอ?” ฉันเดินไปถามสายตาของคุณยายมองไปที่รองเท้าแตะของฉัน และกลอกตาอย่างเงียบๆฉินโม่ไม่ได้ตอบอะไร คุณยายพูดแทน "เผื่อโดนตัดน้ำจ้ะ"พูดจบ เธอก็ตีฉินโม่ “เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะทำซุปปลาให้นะ พวกเธอช่วยไปซื้อปลากะพงมาหน่อย ขอสดๆนะ แล้วก็ซื้อผักชีกับกระเทียมมาด้วย”นี่เป็นการไปซื้อของที่ไหนกันล่ะ มันคือการให้เราสองคนออกไปคุยกันชัดๆเพียงแต่ฉันใส่รองเท้าแตะขนาดใหญ่อยู่ จึงไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่การจะเข้าไปเปลี่ยนในบ้านก็ดูไม่เหมาะสมเช่นกัน“ไปเปลี่ยนรองเท้า” ฉินโม่พูดเช่นนั้นในเวลาแบบนี้ ถ้าให้ฉันไปเปลี่ยนรองเท้า มันจะยิ่งทำให้ฉันรู้สึกอับอายมากขึ้น ดังนั้นฉันจึงยิ้มเยาะ “ไม่ต้องหรอก”ฉินโม่ไม่พูดอะไรอีก เขายกขาขึ้นเตรียมจะเดินออกไ
ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าคุณยายจะบอกว่าจะเป็นแม่สื่อให้ฉัน ใบหน้าที่เย็นชาแข็งกระด้างของฉินโม่แวบผ่านหน้าฉันขึ้นมาเมื่อนึกถึงความตรงไปตรงมาและเย็นชาของเขาที่ปฏิเสธที่จะเปลี่ยนห้องกับฉัน จู่ๆ ฉันก็รู้สึกอยากเล่นสนุกขึ้นมา และตอบกลับไปอย่างเบิกบานสำราญใจไปสองคำว่า "ได้เลยค่ะ"ถึงฉันจะตกลง แต่มันก็เป็นเพียงคำพูดที่พูดไปเรื่อยที่ฉันไม่ได้เก็บมาใส่ใจหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ฉันก็ยืมจักรยานในบ้านคุณยายมาคันหนึ่งและปั่นไปรอบๆ มณฑลเล็กๆ แห่งนี้เมื่อฉันกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ฉันมีสิ่งที่ต่างจากตอนที่ออกไปในตอนเช้า ซึ่งก็คือมีกระดานวาดภาพเพิ่มมาฉันรักการวาดภาพ ก่อนที่พ่อแม่ของฉันจะเสีย พวกเขาให้ฉันไปสมัครเรียนคลาสเต้น คลาสวาดภาพ และการเขียนพู่กันจีน อีกทั้งยังให้ฉันเรียนกู่เจิงด้วยแต่สิ่งเหล่านี้ล้วนจบลงหลังจากที่พวกเขาจากโลกไป แต่สิ่งเดียวที่ยังไม่จบลงก็คือการวาดภาพ เพราะมันง่ายมาก เพียงแค่มีปากกาหนึ่งด้ามและกระดาษหนึ่งแผ่นก็เพียงพอแล้วทั้งวันวันนี้ที่ฉันออกไปข้างนอก นอกจากการมองชมวิวรอบๆ แล้ว ฉันก็ได้วาดรูปมารูปหนึ่ง ก็คือรูปเขตชิงผิงใหม่ความปรารถนาสูงสุดของพ่อแม่ของฉันค
แต่เมื่อฉันนอนลงบนเตียงแข็งๆ ภาพตรงหน้าก็ยุ่งเหยิงและว่างเปล่า ฉันจึงนอนไม่หลับในที่สุด ฉันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดไลน์ เห็นข้อความที่ส่งมาจากหยวนเสี่ยวไต้และเกาหย่วนหยวนเสี่ยวไต้ “พี่ซาน วันนี้ฉันยุ่งจนหัวหมุนทั้งวันเลย แต่งานที่พี่ฝากให้ทำฉันทำเสร็จแล้วนะ พรุ่งนี้ต้องเอาขนมมงคลสมรสมาให้ฉันเป็นรางวัลด้วยนะ พี่ซาน สุขสันต์วันแต่งงาน ขอให้มีความสุขมากๆ ตลอดชีวิตไปจนแก่เลยนะ”เมื่อเห็นข้อความนี้ ฉันก็กระตุกมุมปากเย้ยหยัน แต่ไม่ได้ตอบกลับเกาหย่วน “ผู้ช่วยเฉียว อย่าเข้าใจประธานเจียงผิดนะ อย่าไปมีเรื่องอะไรกับประธานเจียงเด็ดขาด ไม่งั้นความผิดผมได้ใหญ่มหันต์แน่”ฉันก็ไม่ได้ตอบอะไรเช่นกัน เพียงแต่เปิดอินสตาแกรมขึ้นมา แล้วก็เจอรูปเงาที่ฉันถ่ายที่สวนสนุกในอัลบั้ม จากนั้นก็โพสต์ไปข้อความหนึ่งว่า ‘สุขสันต์วันขึ้นปีใหม่!’หลังจากโพสต์แล้ว ฉันก็ลบทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเจียงอวี้เหิงออกจากอินสตาแกรมของฉันสิ่งที่ฉันทำก็มันก็คล้ายๆ กับสิ่งที่พวกดาราชอบทำในตอนหย่าหรือไม่ก็เลิกกับแฟนเมื่อไม่ได้เป็นคู่รักกัน แล้วก็เป็นคนรักกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นการลบทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวกับความรักไปก็คงจะดีท
“เสี่ยวโม่ นี่คือผู้หญิงที่ฉันบอกเธอว่าอยากเปลี่ยนบ้าน พวกเธอลองคุยกันดูไหม?”คุณยายเจ้าของบ้านพูดขึ้น ทำลายช่วงเวลาการสบสายตาระหว่างฉันกับชายคนนั้นลงฉันเดินเข้าไป “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเฉียวซาน ห้องที่คุณอยู่ห้องนั้น ฉันขอเปลี่ยนได้ไหมคะ?”“ไม่ครับ” การปฏิเสธของเขาเด็ดขาดเหมือนกับตอนที่สระผมเมื่อครู่นี้มุมปากของฉันขยับเล็กน้อย ความรู้สึกไม่พอใจผุดขึ้นในใจเล็กน้อย อีกทั้งความดื้อรั้นก็แสดงออกมา “ทำไมล่ะ?”ชายคนนั้นมองมาที่ฉัน ไม่ได้พูดอะไร เขาเอาผ้าขนหนูสีเขียวลายทหารพาดไหล่แล้วเดินผ่านฉันไปทั้งแบบนั้นไอความเย็นที่แผ่ซ่านมาจากน้ำทำให้ฉันสั่นสะท้านอย่างไม่มีสาเหตุ“เสี่ยว...เสี่ยวเฉียวสินะ?” คุณยายเจ้าของบ้านเดินเข้ามา “อย่าโกรธเลยนะ ฉินโม่น่ะง้อผู้หญิงไม่เป็น เดี๋ยวฉันจะกลับไปคุยกับเขาทีหลัง”ฉันก็อารมณ์ขึ้นเช่นกัน จึงจงใจพูดเสียงดัง “ไม่ต้องหรอกค่ะ อยู่ห้องนั้นก็ไม่ทำให้สูงส่งได้หรอกค่ะ ใครอยากอยู่ก็อยู่ไปเถอะ”พูดจบ คุณยายเจ้าของบ้านก็ดึงฉันไว้แล้วพูดว่า “อย่าดุแบบนี้สิ เขาเคยเป็นทหารที่ผ่านการฝึกหนักมานะ ถ้าเขาโกรธขึ้นมา เขาสามารถแบกเธอขึ้นมาแล้วเอาไปโยนทิ้งที่ข้างนอกได้เลยน