“ที่ดินตรงนั้นน่าสนใจไม่น้อยเลย แล้วทำไมนายหน้าการขายที่ดินอย่างบารอนคอนเนอร์ถึงได้คิดจะมาเสนอขายที่ดินกับเรากันนะ..”
คาลอสเอ่ยถามเบนจามินด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขาแวะมาที่นี่เพราะยังเหลือเวลาอีกนานมากทีเดียวกว่าจะถึงเวลากลับไปที่แอเรียนา “เรื่องนั้นข้าได้สืบดูชื่อเจ้าของที่ดินคนเก่าแล้วครับ นางให้การว่าที่ดินตรงนี้เป็นมรดกตกทอดมานานแล้ว จึงได้ให้นายหน้าการค้าที่ดินอย่างบารอนคอนเนอร์ช่วยขาย แล้วทางบารอนก็อยากจะฟังราคาจากเราว่าเราจะให้ราคาได้เท่าไหร่..เขาน่าจะได้ส่วนแบ่งค่านายหน้ามากพอสมควร” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมในใจของคาลอสถึงได้คิดถึงชื่อของโอฟีเลียขึ้นมาทั้งๆ ที่มันไม่เกี่ยวข้องกันเลย เขาคงจะคิดมากไปเองรึเปล่านะ “เช่นนั้นเจ้านัดบารอนวันไหนล่ะ ข้าอยากจะฟังรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องการซื้อขายด้วย” “อีกสามวันข้างหน้าครับ..ว่าแต่นายท่านจะอยู่ที่แอเรียนาอีกนานมากแค่ไหนกันครับ ข้าทำงานแทนท่านมาหลายเดือนแล้วนะครับ..ข้าอยากมีวันพักผ่อนบ้าง อีกทั้งกับเรื่องบางเรื่องข้าตัดสินใจเองไม่ได้ก็ต้องรอคอยให้ท่านมาที่นี่ แล้วกว่าท่านจะมาบางทีลูกค้าของเราก็รอคอยไม่ไหวจนเขาไปที่อื่นกันหมด..นายท่านครับ งานของเทอรันมันล้นมือจนข้าแทบจะต้องทำงานทั้งวันทั้งคืนแล้วนะครับ..” เมื่อเบนจามินบอกกล่าวความในใจที่เขาอัดอั้นมานานเขาก็พ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาลอบมองใบหน้าของนายท่านด้วยความประหม่าเล็กน้อย คาลอสนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ๆ เขานั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานพร้อมกับบางอย่างที่มันผุดขึ้นมาในใจ เขาอยู่ที่แอเรียนาไปตลอดไม่ได้ งานของเขายุ่งเกินกว่าจะเล่นสนุกที่นั่นกับโอฟีเลียไปเรื่อยๆ อีกทั้งเขาไม่ได้ไปที่คฤหาสน์อัคราฟนานมากๆ แล้ว ที่ดินก็ไม่ได้ซื้อเข้าหรือว่าขายออกมาเป็นระยะเวลานานมาก จริงอยู่ที่เทอรันนั้นมีเงินทุนมากมาย แต่หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ กิจการต่างๆ ของเขาอาจจะทยอยปิดลงไปจนหมด กิจการที่เขาสร้างมาด้วยความเหนื่อยยาก.. “ที่เจ้ากล่าวมามันถูกต้องเลยเบน ขอบคุณที่เตือนสติข้า..ข้าคิดว่าจะอยู่ที่แอเรียนาจนกว่าจะถึงงานเลี้ยงพิธีบรรลุนิติภาวะของโอฟีเลีย หลังจากนั้นข้าจะบอกความจริงกับนางแล้วกลับมาทำงานเหมือนดังเดิม” เขารับปากไปแล้วว่าจะเป็นคู่ควงของโอฟีเลียในงานเลี้ยงพิธีบรรลุนิติภาวะของเธอ และในวันนั้นเขาจะบอกกล่าวกับเธอว่าความทรงจำของเขากลับคืนมาแล้ว เขาคือทายาทของตระกูลอัคราฟ หลังจากนั้นแน่นอนว่าโอฟีเลียอาจจะตกใจแต่เขาจะขอนางแต่งงานในทันที.. พอเบนจามินได้ยินดังนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ในที่สุดการทำงานราวกับโรงงานนรกของเขาก็จบลงได้ซะที “เช่นนั้นอีกสามวันพบกันนะครับนายท่าน” คาลอสพยักหน้า หมดเวลาเล่นสนุกของเขาแล้วสินะ ถึงเวลากลับสู้ความจริงแล้ว “อ่อ ข้ามีอีกเรื่องที่ต้องการให้เจ้าทำ สืบเรื่องของเซอร์บรูคลินมาให้หน่อย หมอนั่นมีกิจการที่ทำร่วมกันกับเทอรันหรือไม่ หากว่ามีบอกเลิกสัญญาไปได้เลย และหากว่าไม่มีก็ส่งคนไปจัดการทำลายกิจการของหมอนั่นซะ..” เบนจามินหุบยิ้มในทันที “รับทราบครับนายท่าน” เซอร์บรูคลินไปทำอะไรให้นายท่านของเขาไม่พอใจกันนะ ถึงได้ถูกหมายหัวเช่นนี้ .................. “นักบุญหญิงจูเลียนไม่ได้ร้องไห้ออกมาเลยครับ นางเข้มแข็งมากกว่าที่ท่านคิดเอาไว้เยอะเลย..” คาลอสกล่าวพร้อมกับตักซุปป้อนโอฟีเลีย อันที่จริงเธอทานเองได้แต่เขาอยากจะป้อนเธอนี่ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม..พอเขาคิดว่าตัวเองจะต้องออกไปจากที่นี่หัวใจมันกลับรู้สึกหน่วงแบบแปลกๆ ทั้งๆ ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเขาสักหน่อย แต่ทว่าพออยู่ที่นี่เขากลับรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก แต่เดี๋ยวโอฟีเลียก็จะต้องแต่งงานกับเขาอยู่แล้วนี่เพราะแบบนั้นหลังจากที่เราแต่งงานกันเขาจะมาที่นี่บ่อยแค่ไหนก็ได้ “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ซุปนี่อร่อยมากเลยนะคาเซล” เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อมองหน้าเธอ “อร่อยอย่างนั้นหรือครับข้ายังไม่ทันได้ชิมเลย..ขอชิมหน่อยได้ไหมครับ” หลังจากที่คาเซลกล่าวจบเขาก็ประทับริมฝีปากลงไปบนกลีบปากคู่งามของเธอ เกลียวลิ้นร้อนกดลึกเข้าไปในโพรงปากพร้อมกับตวัดเลียความหอมหวานในด้านใน เธอดูดดึงปลายลิ้นของเขาเบาๆ ราวกับจะเอาคืนลิ้นของเขา ทว่าคาลอสไม่ยอมให้โอฟีเลียชนะเขาอยู่แล้ว เขาเปิดริมฝีปากของเธอให้อ้าออกกว้างยิ่งขึ้นแล้วถาโถมความรู้สึกทั้งหมดเข้าไปเป็นรอยจูบที่แสนเร่าร้อน.. “อื้ม อร่อยมากจริงๆ ด้วยนะครับ” เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ ก่อนจะใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดริมฝีปากของเธอเบาๆ “ทานอีกหน่อยสิครับ..ข้าตั้งใจทำมาให้ท่านเลยนะ” เธอจับเข้าที่บ่าของเขา ก่อนจะอ้าปากออกเพื่อทานซุบแต่ริมฝีปากของคาเซลกลับประกบเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาทาบทับลงมา “คาเซล ข้าอยากกินซุปมากกว่า..” “น่าเสียใจนะครับที่ท่านอยากทานซุปนี่มากกว่าอยากจะรับจุมพิตจากข้า..ให้ตายสิข้าจะไม่ทำซุปข้าวโพดนี่ให้ท่านทานแล้ว..” ถึงแม้ว่าเขาจะกล่าวเช่นนั้นออกมาแต่มือของคาเซลก็ยังคงป้อนซุปใส่ปากของโอฟีเลียไม่หยุดหย่อน “คาเซล..ความทรงจำของเจ้ากลับคืนมารึยัง?” คำถามนั้นทำเอาคาลอสชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง “จะว่ายังไงดีล่ะครับ มันพร่าเลือนมองไม่ชัดเหมือนกับมีเมฆหมอกมาบดบังสายตา แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็รู้สึกจำเรื่องของตัวเองได้คลับคล้ายคลับคลา..เมื่อนึกถึงครอบครัวข้าจะรู้สึกเศร้ามาเหลือเกิน แสดงว่าครอบครัวของข้ามันเลวร้ายมากเลยใช่ไหมครับ” โอกาสไม่ได้มีให้บ่อยๆ และสำหรับโอฟีเลียนี่คือโอกาสสุดท้ายของคาเซลแล้ว หากว่าเธอรู้ความจริงว่าเขาเป็นเจ้าของกลุ่มการค้าเทอรัน แล้วเรื่องทุกอย่างที่ผ่านมาเขาหลอกลวงเธอ เห็นเธอเป็นตัวตลก รับรองได้เลยว่าคนที่หลังน้ำตาจะไม่ใช่เธออย่างแน่นอน “ข้าชอบเจ้ามากนะคาเซล..ชอบช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันมากเหลือเกิน” เขาวางถ้วยซุปลงก่อนจะหยิบถ้วยน้ำชามาให้เธอ “เช่นนั้นเราสองคน อยู่ด้วยกันตลอดไปเลยดีไหมครับ ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถแยกท่านไปจากข้าได้ทั้งนั้น.." โอฟีเลียซบใบหน้าลงบนไหล่ของคาเซล “แล้วหากคนที่แยกเราออกจากกันคือเจ้าล่ะคาเซล หากว่าเจ้าจำเรื่องราวทั้งหมดได้แล้วไม่ต้องการข้าอีก..เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะยังกล่าวคำนี้ออกมาได้อีกอย่างนั้นหรือ?”บอกตามตรงว่าโอฟีเลียมักจะรู้สึกสั่นไหวในทุกครั้งที่เธอกล่าวถึงเรื่องความทรงจำของเขาที่มันจะกลับคืนมา หรือว่าเธอกลัวว่าเขาจะทอดทิ้งเธอไปจริงๆ อย่างนั้นหรือ?ทำไมถึงคิดว่าเขาจะใจร้ายมากขนาดนั้นกัน..บอกตามตรงว่าเธอไม่มีทางรู้อย่างแน่นอนว่าในยามนี้เขารู้สึกเช่นไรกับเธอ คาลอสสาบานได้เลยว่าเขาไม่เคยอยากได้ใครมากขนาดนี้มาก่อน สตรีใดก็เทียบไม่ได้กับโอฟีเลีย เทียบไม่ได้เลย..“ข้าต้องทำเช่นไรท่านถึงจะเชื่อว่าวาจาของข้านั้นไม่ใช่เรื่องโกหก ข้าชอบท่านมากจริงๆ และไม่มีวันทอดทิ้งท่านไปต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตาม”เขาซบใบหน้าลงบนฝ่ามือของเธอด้วยท่าทางออดอ้อน ราวกับคาลอสกำลังบอกกล่าวโอฟีเลียด้วยทุกอย่างที่เขามีว่าเขาจะไม่มีวันทอดทิ้งเธอไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมากก็ตาม แต่ทว่าความรู้สึกของโอฟีเลียมันแตกต่างกันเล็กน้อย เธอชอบเขา..ชอบมากในฐานะของคาเซล คราแรกที่เธอชอบเขาเพราะนิสัยที่ขยันเอาใจใส่เธอของเขา แต่ในช่วงเวลาต่อมาการที่เขาเข้ามาอยู่ในชีวิตของเธอมันทำให้เธอ..มีความสุข ทุกเรื่องเล็กน้อยของเธอมันคือเรื่องใหญ่สำหรับเขาเสมอ ช่วงเวลาที่ไร้ทางออกเมื่อหันหลังกลับไปมองเธอก็พบเจอคาเซลที่จะเดินเข้ามาจูงมือ
“เราหย่ากันเถอะค่ะ...”คำกล่าวนั้นสร้างความฮือฮาในแวดวงสังคมชนชั้นสูงเป็นอย่างมากเมื่อดัชเชส แอเรียนา ขอหย่ากับท่านดยุคกลางงานเลี้ยงครอบรอบการแต่งงานปีที่20ของทั้งสองคนดัชเชสเอเวียเป็นสตรีชนชั้นสูงที่งดงามผู้หนึ่ง นางคือน้องสาวของแกรนด์ดัชเชส และหากว่าย้อนเวลาไปเมื่อ20ปีก่อน ชื่อของ ดัชเชสจะอยู่แถวหน้าของสตรีที่เหล่าบุรุษอยากแต่งงานด้วย แต่เพราะเซอร์เกรทสามารถ คว้าชัยชนะมาให้จักรวรรดิ องค์จักรพรรดิจึงได้มีพระราชโองการ พระราชทานงานแต่งแห่งยุคให้แก่ผู้กล้าที่นำสันติมาสู่จักรวรรดิ โดยสตรีที่องค์จักรพรรดิพระราชทานให้แก่ เซอร์เกรท คือเลดี้ตระกูลแอเรียนา นามว่า เอเวียหญิงงามแห่งยุคและวีรบุรุษได้แต่งงานกันโดยที่ผู้คนต่างสรรเสริญว่านี่คือบุรุษและสตรีที่เหมาะสมมากที่สุดในช่วงนั้น มีเพียงแกรนด์ดัชเชสพี่สาวของเอเวียเท่านั้นที่มองว่าเซอร์เกรทไม่คู่ควรกับน้องสาวของพระนางเลยการหย่าร้างในชนชั้นสูง ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเมื่อดัชเชสเอเวียประกาศกร้าวถึงความต้องการของนาง ก็เกิดเสียงฮือฮาไม่หยุดหย่อน อีกทั้งการแต่งงานของทั้งคู่คือพระราชโองการขององค์จักรพรรดิอีกด้วยแต่สุดท้ายดยุคเกรทก็ยินยอมลงนามในห
โอฟีเลียเดินไปเดินมาอยู่ในห้องนอนของตัวเอง ในปีนี้เธออายุ17ปี และแน่นอนนี่คือวันที่ท่านแม่จะจับตัวของจูเลียน บุตรนอกสมรสของท่านพ่อมาเพื่อรับใช้เธอที่ผ่านมาเธอช่วยท่านแม่ดูแลแอเรียนาเป็นอย่างดี แถมยังพาท่านแม่ไปช็อปปิ้ง เสริมสวย ตัดผม ทำเล็บ ทำสปา นวดหน้า สารพัดอย่างที่จะทำจนเธอได้ชื่อว่าเธอโอฟีเลียลูกกตัญญูไปแล้วในสายตาของผู้อื่นในจักรวรรดิ และถึงแม้ว่าจะผ่านมา5ปีแล้วหลังจากที่เธอถูกงูกัด แต่เธอก็ไม่เคยเห็นท่านพ่อตัวเป็นๆ สักทีเลยชายผู้นั้นเลือดเย็นอย่างถึงที่สุดเลยจริงๆ เขาไม่มาหาลูกสาวเลยแม่แต่ครั้งเดียว และเธอเองก็ไม่ไปหาเขาด้วยผู้ที่ไปมาหาสู่กับท่านแม่บ่อยที่สุดคือท่านป้าเอสเทีย ท่านป้ามีลูกชาย เขามีชื่อว่าอาม่อนอายุมากกว่าเธอ 2 ปีและเราสนิทสนมกันมากพอสมควร แต่หมอนั่นไม่ค่อยเอาไหนเท่าไหร่นัก เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชายที่เกิดมาบน กองเงินกองทอง ไม่ต้องทำงานหรือว่าอะไรทั้งนั้น อาม่อนก็เลยวันๆ เอาแต่ดื่มสุราเคล้านารี“ปัง!!”โอฟีเลียสะดุ้งเฮือกเมื่อประตูห้องของเธอถูกถีบออกพร้อมกับท่านแม่ที่เดินเข้ามา ด้านหลังของท่านแม่คือเด็กสาวอายุ15ปี ที่มีเรือนผมสีเงินยวง ใบหน้าของนางเปียกชุ่มไปด
“ท่านแม่ฝากของมาให้น่ะ..”อาม่อนกล่าวพร้อมกับโบกมือเพื่อให้คนของเขายกหีบไม้มากมายเข้าไปด้านในคฤหาสน์แอเรียนา ในหีบไม้พวกนั้นมีทั้งผ้าไหม เครื่องเทศ อาการแห้ง และเครื่องประทินโฉมอีกมากมายทีเดียว ท่านแม่ของเขาไม่สบายแต่ถึงอย่างนั้นเมื่อท่านพ่อได้รับเครื่องบรรณาการจากองค์จักรพรรดิ ท่านแม่ก็รีบสั่งให้เขาส่งข้าวของพวกนั้นมาที่นี่ เพื่อมามอบให้แก่ท่านน้าและโอฟีเลีย“ฝากขอบคุณท่านป้าด้วยนะคะ”อาม่อนพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ“อีกเรื่องที่ข้าต้องบอกกล่าวกับเจ้า คือท่านแม่ต้องการให้เจ้าเข้าร่วมงานเลี้ยงในพิธีบรรลุนิติภาวะในพระราชวัง ปีนี้เจ้าอายุ 18 แล้วนี่ ต้องเข้าร่วมพิธีเพื่อให้บุรุษทุกคนได้ล่วงรู้ว่าเจ้าพร้อมจะแต่งงานแล้ว”โอฟีเลียแค่นหัวเราะเบาๆ“ท่านแม่ไม่ยอมให้ข้าไปหรอก พี่ก็รู้ว่าท่านแม่หวงข้าอย่างกับอะไรดี”“ครั้งนี้ท่านแม่ของข้าจะออกหน้าให้เอง เรื่องชุดที่จะใส่ไปในวันงานและช่างแต่งหน้า ข้าจะส่งมาที่นี่เจ้าแค่เตรียมตัวให้พร้อมกับการเข้าสู่สังคมของชนชั้นสูงก็พอแล้ว นี่เป็นบัตรเชิญ แน่นอนว่ามันจ่าหน้าซองถึงเลดี้แอเรียนา โอฟีเลีย”โอฟีเลียยื่นมือไปรับบัตรเชิญนั้นมาถือเอาไว้ กำหนดการจัดงานอีกสาม
ว่าไงนะ?ฉันยังไม่ทันได้ถามออกไปเลยว่า คำกล่าวของท่านแม่มันหมายความว่าอย่างไรกัน ท่านแม่ก็สั่งให้ข้ารับใช้ทั้งหมดออกไปจากที่นี่ หลังจากนั้นท่านก็สวมสร้อยคอที่ถืออยู่ให้ฉัน“ตระกูลของเราจะสามารถล่วงรู้ได้เมื่อตัวเองกำลังจะตาย และเวลาของแม่มาถึงแล้วลูกรัก”เอเวียลูบผมของโอฟีเลียเบาๆ ด้วยความรักใคร่ นางมองลูกสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดโอฟีเลียขบเม้มริมฝีปากเบาๆ“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะที่ท่านแม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย..ตั้งแต่ที่ท่านพาทาสคนนั้นมาให้ลูกอย่างนั้นหรือ?”เพราะท่านแม่มองเห็นอนาคตก็เลยพยายามหาคนมาอยู่กับเธอสินะ แต่ไม่ว่าใครเธอก็ไม่ต้องการทั้งนั้น“อืม..แม่โกหกลูกไม่ได้เลยสินะลูกรัก ฤดูหนาวปีหน้าแม่จะตาย ส่วนสาเหตุการตายนั้นแม่มองไม่เห็นเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร”โอฟีเลียพยายามสูดหายใจเข้าปอดในขณะที่หัวใจของเธอเต้นรัว เหงื่อเม็ดโตผุดซึมขึ้นมาที่หน้าผาก“ลูกเก่งมากเลยนะ ลูกสามารถดูแล แอเรียนาของเราได้ ลูกทำให้แม่เห็นว่าต่อให้ไม่มีแม่ลูกก็สามารถอยู่ที่นี่ในฐานะของดัชเชสแอเรียนาได้อย่างไร้ที่ติ”“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ ลูกยังบกพร่องและต้องการคำแนะนำจากท่านแม่อีกมาก”เอเวียจับ
ในจักรวรรดิที่วุ่นวายและยุ่งเหยิงสิ่งที่ผู้คนต้องการย่อมเป็นความมั่งคั่งและมั่นคงอย่างเช่นการถือครองทรัพย์สิน และที่ดินจำนวนมากเอาไว้ในมือตระกูลอัคราฟเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ตระกูลเคาน์ที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน ท่านเคาน์ไม่มีบุตรกับเคาน์เตสแต่กลับมีบุตรชายนอกสมรสกับสตรีสามัญชนคนหนึ่ง แน่นอนว่าในสายตาของชายที่มองขาดในทุกเรื่อง เขายินยอมให้ภรรยาก่นด่าเพื่อนำพาลูกชายนอกสมรสของเขาเข้ามาในคฤหาสน์ ท่านเคาน์ลงมือสั่งสอนบุตรชายด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้เปิดตัวเข้าสู่แวดวงของสังคม แต่คาลอสก็สามารถครอบครองเบื้องหลังของตระกูลอัคราฟได้แล้วเขาไม่ได้เติบโตอย่างสวยงามเหมือนกับบุตรชายขุนนางคนอื่นๆ เพราะมารดาของเขาเป็นเพียงสามัญชนและทันทีที่เคาน์เตส ล่วงรู้ว่าท่านพ่อของเขามีลูกชายนอกสมรสอยู่ ชีวิตของเขาและท่านแม่ก็ราวกับถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาแค่นหัวเราะออกมาเมื่อต้องหลบหนีนักฆ่าพวกนั้นอย่างไม่มีวันหยุดหย่อน ท่านแม่ตัดสินใจจบชีวิตลงเพราะท่านเหนื่อยล้า กับการหลบหนีและไม่มีกะจิตกะใจที่จะใช้ชีวิตต่อไป ท่านยอมตายเสียยังดีกว่าจะต้องวิ่งหนีครั้งแล้วครั้งเล่าเขาเติบโตมาด้วยหนทางที่อาบชุ่มไปด้วยเลือด เ
คาลอสทำงานอยู่เบื้องหลังทั้งหมดของอัคราฟเพราะแบบนั้นเขาจึงค่อนข้างคาดหวังว่าคู่แข่งทางธุรกิจของเขาจะมีคฤหาสน์ที่แสนหรูหราและใหญ่โตให้สมกับเงินทุนจำนวนมากที่แอเรียนาลงทุนไปในการคว้านซื้อที่ดิน แต่นี่มันตรงกันข้ามกับที่เขาคิดอย่างสิ้นเชิงคฤหาสน์แอเรียน่านั้นมีขนาดเล็กและเก่ามาทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นที่นี่ก็ดูสะอาดสะอ้าน เท่าที่เขาคาดคะเนด้วยสายตาที่นี่มีข้ารับใช้เพียงสามคน มีพ่อบ้านวัยชราและแม่บ้านอีกสองคน ส่วนอีกคนที่เดินวุ่นวายไปมาเขาเคยเห็นนางผ่านตามาบ้าง นางคือเพนนีเป็นตัวแทนของเลดี้แอเรียนา ในการตกลงซื้อขายที่ดินและอสังหาต่างๆหัวใจของคาลอสเต้นแรงขึ้นมา ดัชเชสแอเรียนาเป็นสตรีที่งดงามเพราะอย่างนั้นเขาก็เลยคาดหวังถึงใบหน้าของเลดี้แอเรียนาว่านางน่าจะมีความงดงามที่เหมือนกับมารดาของนางก้าวแรกที่เขาเดินเข้าไปในบ้านหลังเล็กแห่งนี้ คาลอสคิดว่าเขาตาฝาดไป..เขามองเห็นรูปปั้นที่วิจิตรมามากมาย ผลงานของจิตรกรลือชื่อก็ถูกเขาซื้อมาไม่น้อย แต่คาลอสบอกได้เลยว่าทั้งภาพวาดและรูปปั้นเหล่านั้นไม่มีสิ่งใดเลยที่จะดูสมบูรณ์แบบได้เท่ากับสตรีที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาโอฟีเลีย แอเรียนานางไม่เคยปรากฏ
“มะ..หมายความว่าอย่างไรกันคาเซล?”โอฟีเลียเสียงสั่นเครือด้วยความประหม่าเขินอาย ยังไม่ทันที่เธอจะได้ถามคำถามกับเขาจบ ปลายนิ้วของคาเซลก็กดลงไปบนรอยแยกกลางกายของเธอเบาๆ เขากรีดปลายนิ้วลงไปโดยไร้ซึ่งความอ่อนโยน ใบหน้าหล่อเหลาเกินห้ามใจของเขาเงยหน้าขึ้นมามองสบตากับเธอเล็กน้อย“การมานั่งอธิบายมันเสียเวลาเพราะอย่างนั้นข้าทำให้ท่านดูเลยน่าจะดีกว่า..”เขาใช้มืออีกข้างแยกขาของเธอออกจากกันเล็กน้อย ใบหน้านั้นซบลงไปบนตักของโอฟีเลียอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มร้ายกาจ น่าเสียดายที่โอฟีเลียไม่ได้เห็นมันเธอยกมือขึ้นมาจับเข้าที่ไหล่ของเขาพร้อมกับผลักเขาออกเบาๆ การยื้อกันไปมาของเธอกับเขานั้นเกิดขึ้นอยู่พักหนึ่งก่อนที่ประตูห้องทำงานของโอฟีเลียจะถูกเปิดเข้ามาโดยเพนนีและชายผู้หนึ่งแน่นอนว่าเมื่อผู้มาใหม่ทั้งสองมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังซบใบหน้าลงบนตักของคุณหนูผู้เป็นเจ้านาย เพนนีก็พยายามลบอาการประหม่าของตัวเองออกเธอรับรู้เรื่องนี้มาจากพ่อบ้านว่าดัชเชส พาบุรุษผู้หนึ่งมาให้คุณหนู เขาจะเป็นทั้งทาสรับใช้และอัศวินเพื่อปกป้องคุณหนูของพวกเรา บอกตามตรงว่าในคราแรกเธอเป็นห่วงคุณหนูมากทีเดียวที่จะต้องอยู่กับบุรุษที่
บอกตามตรงว่าโอฟีเลียมักจะรู้สึกสั่นไหวในทุกครั้งที่เธอกล่าวถึงเรื่องความทรงจำของเขาที่มันจะกลับคืนมา หรือว่าเธอกลัวว่าเขาจะทอดทิ้งเธอไปจริงๆ อย่างนั้นหรือ?ทำไมถึงคิดว่าเขาจะใจร้ายมากขนาดนั้นกัน..บอกตามตรงว่าเธอไม่มีทางรู้อย่างแน่นอนว่าในยามนี้เขารู้สึกเช่นไรกับเธอ คาลอสสาบานได้เลยว่าเขาไม่เคยอยากได้ใครมากขนาดนี้มาก่อน สตรีใดก็เทียบไม่ได้กับโอฟีเลีย เทียบไม่ได้เลย..“ข้าต้องทำเช่นไรท่านถึงจะเชื่อว่าวาจาของข้านั้นไม่ใช่เรื่องโกหก ข้าชอบท่านมากจริงๆ และไม่มีวันทอดทิ้งท่านไปต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตาม”เขาซบใบหน้าลงบนฝ่ามือของเธอด้วยท่าทางออดอ้อน ราวกับคาลอสกำลังบอกกล่าวโอฟีเลียด้วยทุกอย่างที่เขามีว่าเขาจะไม่มีวันทอดทิ้งเธอไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมากก็ตาม แต่ทว่าความรู้สึกของโอฟีเลียมันแตกต่างกันเล็กน้อย เธอชอบเขา..ชอบมากในฐานะของคาเซล คราแรกที่เธอชอบเขาเพราะนิสัยที่ขยันเอาใจใส่เธอของเขา แต่ในช่วงเวลาต่อมาการที่เขาเข้ามาอยู่ในชีวิตของเธอมันทำให้เธอ..มีความสุข ทุกเรื่องเล็กน้อยของเธอมันคือเรื่องใหญ่สำหรับเขาเสมอ ช่วงเวลาที่ไร้ทางออกเมื่อหันหลังกลับไปมองเธอก็พบเจอคาเซลที่จะเดินเข้ามาจูงมือ
“ที่ดินตรงนั้นน่าสนใจไม่น้อยเลย แล้วทำไมนายหน้าการขายที่ดินอย่างบารอนคอนเนอร์ถึงได้คิดจะมาเสนอขายที่ดินกับเรากันนะ..”คาลอสเอ่ยถามเบนจามินด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขาแวะมาที่นี่เพราะยังเหลือเวลาอีกนานมากทีเดียวกว่าจะถึงเวลากลับไปที่แอเรียนา“เรื่องนั้นข้าได้สืบดูชื่อเจ้าของที่ดินคนเก่าแล้วครับ นางให้การว่าที่ดินตรงนี้เป็นมรดกตกทอดมานานแล้ว จึงได้ให้นายหน้าการค้าที่ดินอย่างบารอนคอนเนอร์ช่วยขาย แล้วทางบารอนก็อยากจะฟังราคาจากเราว่าเราจะให้ราคาได้เท่าไหร่..เขาน่าจะได้ส่วนแบ่งค่านายหน้ามากพอสมควร”ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมในใจของคาลอสถึงได้คิดถึงชื่อของโอฟีเลียขึ้นมาทั้งๆ ที่มันไม่เกี่ยวข้องกันเลย เขาคงจะคิดมากไปเองรึเปล่านะ“เช่นนั้นเจ้านัดบารอนวันไหนล่ะ ข้าอยากจะฟังรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องการซื้อขายด้วย”“อีกสามวันข้างหน้าครับ..ว่าแต่นายท่านจะอยู่ที่แอเรียนาอีกนานมากแค่ไหนกันครับ ข้าทำงานแทนท่านมาหลายเดือนแล้วนะครับ..ข้าอยากมีวันพักผ่อนบ้าง อีกทั้งกับเรื่องบางเรื่องข้าตัดสินใจเองไม่ได้ก็ต้องรอคอยให้ท่านมาที่นี่ แล้วกว่าท่านจะมาบางทีลูกค้าของเราก็รอคอยไม่ไหวจนเขาไปที่อื่นกันหมด..นาย
เจมม่าร่ำไห้ออกมาเสียงดัง เสียงสะอึกสะอื้นของนางนั้นมันเหมือนกับว่านางกำลังจะขาดใจตรงนั้นจริงๆ ช่วงเวลาที่ผ่านนาง นางไม่สามารถนอนหลับได้อย่างมีความสุขเลยสักคืน มันทรมานตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทุกครั้งที่หลับตาเหมือนกับว่านางถูกซาตานมาดึงรั้งวิญญาณของนางไป ความรู้สึกผิดและความละอายกอบกุมหัวใจของนางแน่น จนเจมม่ามองหน้าของจูเลียนไม่ได้เลยด้วยซ้ำนางผิดต่อท่านดัชเชส ผิดต่อลูกสาวผู้ล้ำค่าของนาง..นางทำให้จูเลียนเป็นบุตรนอกสมรสที่ต่ำต้อยเสียยิ่งกว่าผู้ใด..เพราะความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในความรักส่งผลให้ชีวิตของเจมม่าเป็นเช่นนี้“ข้าขอฝากท่านเซอร์ ขอโทษท่านดัชเชส ด้วยนะคะ..”เจมม่ากล่าวออกมาเสียงเบาบางราวกับลมหายใจของนางจะหมดลง นางล้มตัวนอนลงบนพื้นพร้อมกับมองหน้าของเซอร์เกรท“ท่านและข้าเราต่าง..เป็นคนสารเลว คำขอโทษของท่านข้าไม่ขอรับเอาไว้ เพราะมันไร้ความหมายเหลือเกิน..”เกรทหลับตาลงช้าๆ ความเจ็บปวดกำลังกอบกุมร่างกายของเขาเอาไว้เพราะฤทธิ์ของสารเสพติดที่ชะลอความเจ็บปวดนั้นกำลังจะหมดลง“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลยเจมม่า..เจ้าจะโกรธข้าก็ย่อมได้ ข้าจะขอชดใช้ให้เจ้าให้ชาติหน้าก็แล้วกันเพราะแบบนั้น..เจ
โอฟีเลียยกมือขึ้นมานวดขมับของตัวเองเบาๆ เธอกำลังนั่งอยู่บนรถม้าเพื่อเดินทางกลับไปยังแอเรียนา ส่วนจูเลียนไม่ได้กลับมาด้วยเพราะองค์จักรพรรดิยืนกรานเสียงแข็งว่าพระองค์ต้องการให้จูเลียนอยู่กับพระองค์ที่พระราชวังเลยเธอไม่ได้พูดคุยกับท่านพ่อแม้แต่ครึ่งคำ เมื่อพูดคุยกับองค์จักรพรรดิเสร็จเรียบร้อยแล้ว คาเซลก็พาเธอเดินมาขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางกลับไปยังแอเรียนา ท่านพ่อยืนมองเธอราวกับว่าเขามีเรื่องอะไรจะพูด แต่วันนี้เธอเหนื่อยมากเหลือเกิน เหนื่อยมากเกินกว่าจะรับรู้เรื่องราวที่อาจจะทำให้เธอรู้สึกบั่นทอนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมเพราะแบบนั้นเธอถึงได้เดินหนีขึ้นรถม้ามา..คาลอสยื่นมือมาปัดเส้นผมออกจากดวงตาของโอฟีเลียเพื่อให้เขามองเห็นหน้าของเธอได้ชัด เขาอุ้มเธอขึ้นมานั่งบนตักก่อนจะจับศีรษะของเธอให้เอนซบลงบนไหล่ของเขา เขาจุมพิตลงบนเรือนผมของเธอด้วยความทะนุถนอมและอ่อนโยนราวกับเขาหวาดกลัวว่าเธอจะแหลกสลายไปสายตาที่เคร่งขรึมของเขาถูกแทนที่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย“วันนี้ข้าทำซุปให้ท่านทานดีไหมครับ วันนี้เปลี่ยนเป็นซุปข้าวโพดบ้างดีว่าท่านน่าจะเบื่อซุบมันฝรั่งแล้ว..”เขายื่นนิ้วชี้ไปนวดหัวคิ้วที่กำลังขมว
“หัวหน้าของท่านชื่ออะไรหรือครับท่านเซอร์”ทหารที่ยืนอยู่หัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับยกมือขึ้นมาเกาศีรษะแก้เขิน“ข้าไม่ใช่เซอร์อะไรหรอก เป็นแค่ทหาร ธรรมดาๆ เท่านั้น หัวหน้าของเราที่เดินไปกับคุณหนูของเจ้าเมื่อครู่ต่างหากที่เป็นท่านเซอร์ตัวจริง เซอร์บรูคลินน่ะ”คาลอสหัวเราะออกมาเบาๆ“อย่างนั้นเองสินะครับ ข้านึกว่าพี่ชายเป็นเซอร์ซะอีก ท่านดูภูมิฐานมากๆ ชุดเครื่องแบบก็เท่มากอีกด้วย”เมื่อได้รับคำชมทหารผู้นั้นก็ยืนหลังตรงในทันทีพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก“ฮะ..ฮ่า ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า”เมื่อได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้แล้ว คาลอสก็เดินออกมาเพื่อเดินไปหาจูเลียนเซอร์บรูคลินอย่างนั้นสินะ คอยดูเถอะเขาจะสั่งให้เบนทำลายทุกธุรกิจที่หมอนั่นทำอยู่เลย กล้าดีอย่างไรมาแตะต้องมือของโอฟีเลีย แถมยังมองนางด้วยสายตาน่ารังเกียจเช่นนั้นอีก“ท่านพี่จะกลับมาแล้วใช่ไหมคะ นางจะโกรธข้าไหม?”คาลอสถอนหายใจ“คราวหลังจะทำอะไรก็คิดให้มากหน่อยสิ หากมีของที่อยากขายก็ไปขายที่กลุ่มการค้าเทอรัน ปัญหาจะได้ไม่มี คุณหนูก็จะไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมาในสภาพตกใจเช่นนี้ด้วย”จูเลียนขบเม้มริมฝีปากเบาๆ พี่สาวของเธอยังไม่ด่าขนาดนี้เลยนะ แต่หมอนี่ขยันด่าเ
เมื่อได้ยินคำถามนั้นทหารที่รับผิดชอบต่อคดีนี้ก็ยินยอมส่งมอบตราสัญญาลักษณ์ให้กับเลดี้แอเรียนาเรือนผมสีแดงนั่นทำให้สตรีผู้นี้โดดเด่นมากกว่าใครที่เขาเคยพบเห็นความงดงามที่ไม่มีใครรู้จักภายใต้ชื่อของแอเรียนา ทหารคนอื่นในที่แห่งนี้ก็อยู่ในอาการเหม่อลอยเช่นเดียวกันกับเขาโอฟีเลียยื่นมือไปรับตรานั้นมาตรวจดู เธอไม่อยากจะคิดแบบนี้เท่าไหร่เพราะว่านี่มันไม่ได้เป็นไปตามเนื้อเรื่องในนิยายเลย คนรักของจูเลียนจะต้องเป็นองค์รัชทายาทซึ่งเป็นหลานขององค์จักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ในความคิดของเธอมันไม่แปลกหรอกที่จูเลียนและองค์รัชทายาทจะพบเจอกัน เรื่องราวแสนโรแมนติก มันเกิดขึ้นได้อยู่แล้วในนิยายเรื่องนี้“ในเมื่อเจ้าบอกว่าชายผู้นั้นให้เจ้านำตรานี่มอบให้ทหารที่หน้าประตู พวกทหารก็จะพาเข้าไปพบเขาเพื่อรับรางวัลใช่หรือไม่”จูเลียนพยักหน้า“ข้ารู้ว่าข้าผิดที่เอามันไปขาย แต่เพราะว่าข้าไปไม่อยากไปที่พระราชวัง พี่คะ..ข้าผิดไปแล้วจริงๆ พี่อย่าโกรธข้าเลยนะคะ”คาลอสส่งผ้าเช็ดหน้าของเขาให้กับนักบุญหญิงจูเลียน“ตั้งสติก่อนเถอะครับ แล้วก็หากอยากรู้ว่าตรานี่เป็นของใครเราก็แค่เอาตรานี่เดินทางไปที่พระราชวัง ข้าหวังอย่างยิ่งว่าทห
ซิลเวสเตอร์ตกใจเล็กน้อยที่นักบุญหญิงผู้นี้สามารถรู้ปัญหาที่เขากำลังพบเจอเพียงแค่นางมองเห็นจากภายนอกเท่านั้น“อืม นี่เป็นปัญหาใหญ่หลวงของข้ามากทีเดียว ขนาดที่ว่าหมอที่เก่งกาจมากที่สุดยังรักษาไม่หายเลย มีคนแนะนำให้ข้าเดินทางมาที่นี่ ข้าก็เลยลองมาดู”จูเลียนพิงไม้กวาดเอาไว้ที่ม้านั่ง เธอเช็ดมือของตัวเองเข้ากับผ้ากันเปื้อนที่ผูกอยู่ที่เอวก่อนจะจับมือของชายผู้นั้นเอาไว้ เขาน่าจะอายุ30กว่าๆ และที่มือของเขานิ้วหัวแม่มือก็ด้านจากการจับดาบเป็นเวลานานและทันทีที่นักบุญหญิงผู้นี้แตะมือของเธอลงบนร่างกายของเขา มันก็เหมือนกับมีสายลมอุ่นๆ จากฤดูร้อนพัดผ่านเขาไปในทันที เขารู้สึกได้เลยว่าความเหนื่อยล้ามากมายที่ตัวเองแบกมาทั้งหมดมันจางหายไปเป็นปลิดทิ้งนี่สามารถเรียกได้ว่าเขาพบเจอกับปาฏิหาริย์ได้ไหมนะ“พระเจ้าช่วย อาการเหนื่อยล้าของข้ามันจางหายไปหมด แค่เจ้าแตะมือคู่นั้นลงมา”จูเลียนส่งยิ้มให้เขา เธอรู้ดีว่าพลังของตัวเองมันมากมายแค่ไหนแต่เพื่อที่เธอจะได้ออกไปจากที่นี่เธอจึงปิดบังเรื่องนี้มาโดยตลอด“ข้าจะขอบคุณท่านมากหากว่าท่านปิดเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับ”เธอกล่าวพร้อมกับแบมือออกไป“ค่ารักษาค่ะ อย่างที
เหมือนว่าโลกทั้งใบกำลังหมุนช้าลงเมื่อ คาเซลกล่าวถ้อยคำเช่นนั้นมาให้เธอได้รับฟัง มันคล้ายว่าถ้อยคำเหล่านั้นคือการบอกรักที่ไม่มีคำว่ารักอยู่ในนั้นเธออ้าปากออกเล็กน้อยเพื่อทานซุปมันฝรั่งที่เขาป้อน ก่อนจะดื่มน้ำชาร้อนๆ เพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมา“หากในช่วงเวลานั้น ช่วงเวลาที่ความทรงจำทั้งหมดของเจ้ากลับคืนมา แล้วเจ้ายังต้องการเป็นคาเซลของข้าอยู่ เราค่อยมาพูดคุยเรื่องนี้กันอีกที..ข้าก็คือข้า..คาเซล ข้าคือโอฟีเลีย แอเรียนา ว่าที่ดัชเชสคนต่อไปของแอเรียนา หากเจ้าต้องการจะเป็นคาเซลของข้าต่อไปเจ้าจะต้องมาอยู่กับข้าเท่านั้น เพราะว่าข้าไม่มีวันละทิ้งแอเรียนาไปเพื่อเจ้าหรอกนะ..”ชีวิตจริงกับบทกวีนั้นมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ที่แอเรียนานั้นเป็นมากกว่าบ้าน แต่ที่นี่คือทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ โอฟีเลียไม่มีวันยินยอมแต่งงานเพื่อไปใช้ชื่อตระกูลของคนอื่น เธอไม่อยากให้ตระกูลแอเรียนาจบลงที่เธอ..บางทีเธอก็คิดนะว่าหากท่านแม่ไม่ได้หย่ากับท่านพ่อ เธอจะมีชีวิตที่มันง่ายดายมากกว่านี้รึเปล่า อาจจะไม่ได้ต้องสนใจสายตาของผู้อื่นมากมายขนาดนั้นก็ได้..แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเธอก็กล่าวโทษท่านแม่ไม่ลงเหมือนกัน สิ่งที่ท่า
ใบหน้างามของจูเลียนงอง้ำ เมื่อเธอนั่งรถม้ามากับผู้ช่วยของท่านพี่มากกว่าที่จะเป็นท่านพี่ของเธอชายผู้นี้กล่าวว่าเมื่อคืนท่านพี่ของเธอทำงานหนักจนตื่นเช้าไม่ไหว เขาจึงต้องมาส่งเธอที่วิหารแทนท่านพี่“ท่านอยากจะออกมาจากวิหารไหมครับ”คำถามนั้นส่งผลให้จูเลียนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หากให้ข้าตอบตามตรงข้าอยากจะออกมาจากที่นั่นค่ะ ข้าไม่ชอบที่ถูกนักบุญหญิงด้วยกันรังแก แล้วข้าก็ไม่ชอบที่ข้าไม่มีอิสระ เพียงแต่ข้ายังออกมาไม่ได้เพราะว่าท่านแม่ของข้าอยู่ที่นั่น..”คาลอสเหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง กับบางคนก็มีชีวิตเพื่อทำลายชีวิตของผู้อื่นไปเรื่อยๆ จนกว่าตัวเองจะตายอย่างนั้นเองสินะ“เช่นนั้นก็รอคอยวันที่ท่านจะออกมาจากที่นั่นได้ ข้าจะมารับท่านเอง”ดวงตาของจูเลียนเปล่งประกายขึ้นมา“ท่านจะมาช่วยข้าอย่างนั้นหรือคะ ท่านพี่ให้ท่านมาช่วยข้าใช่ไหม อ๊ะ..ข้าหมายถึงเลดี้แอเรียนา”เด็กคนนี้ตรงไปตรงมามากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ซะอีก นางมองเห็นโอฟีเลียเป็นพี่สาว เป็นครอบครัวที่เหลืออยู่ของนางสินะแต่โอฟีเลียคือภรรยาของเขาต่างหาก เขาไม่ยอมให้โอฟีเลียไปเป็นพี่สาวของใครหรอก ชีวิตของนางแค่เป็นภรรยาของเขาก็เหนื่อยมากพอแล้ว