ร้องไห้บ้างก็ได้ ไม่มีใครเขาหัวเราะเยาะว่าเธออ่อนแอหรอกตัดใจ ถ้ามันง่ายขนาดนั้น เธอคงทำได้ตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนหน้านี้แล้วญาณินซุกใบหน้าลงกับเข่าของตัวเอง เสียงสะอื้นเล็กๆ ดังลอดออกมาแผ่วเบา เธอไม่ได้รู้สึกอิจฉาชมพู่แล้ว เธอรู้แล้วว่าทำไมศิลาถึงได้รักชมพู่ขนาดนั้น แต่ลึกๆ เธอก็ยังอดรู้สึกเสียใจไม่ได้..."ฮึ่ก!"แต่ถ้าเกิดเธอสามารถย้อนเวลากลับไปได้ เธอก็คงทำเหมือนเดิม บอกเลิก... และบอกว่าไม่ได้รักศิลาแล้วเหมือนที่เคยทำเมื่อสิบสามปีก่อน..“ชนๆๆๆ”เสียงคึกคักของกลุ่มคนสี่ชีวิตดังขึ้นในบังกะโลหลังเล็กๆ ริมหาดดัง เสียงแก้วกระทบกันเบาๆ ก่อนจะเงียบไปเมื่อทุกคนยกแก้วที่มีน้ำสีอำพันบรรจุอยู่กระดกเข้าปาก“ข้อสอบยากโคตร! เกือบตาย”“เวอร์แล้วทศ ถ้าอย่างนายตายเราก็เละอะ” ญาณินแย้งเพื่อน ในกลุ่มศิลาเรียนเก่งสุด รองมาก็ไตรทศ และเธอกับวสุเป็นคนรั้งท้าย แต่ถึงจะรั้งท้ายยังไงก็ยังอยู่ในระดับท็อปของชั้นปีอยู่ดีใครๆ ต่างก็รู้ดีว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เพอร์เฟกต์จนหาที่ติไม่เจอ เรียนเก่งไม่พอ พื้นหลังครอบครัวก็ดีทุกคน หน้าตาก็หล่อสวยกันทุกคนจนกลายเป็นคนดังในมหาวิทยาลัยที่ใครๆ ต่างพาพูดถึง“เอาเถอะ ผ่านม
“แผนเซอร์ไพรส์วันเกิด?” ญาณินหยุดมือที่กำลังตักข้าวเข้าปาก เอ่ยถามคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามซ้ำเพื่อความมั่นใจ“อืม... ก็อย่างที่บอกแหละ ใกล้วันเกิดชมพู่แล้ว”“วันไหน”“พุธนี้ อีกสองวัน”“มิน่า...” ญาณินวางช้อนลง ยกแขนขึ้นกอดอกมองใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อนสนิทนิ่ง “ถึงได้มาขอแลกเวรกับเรา เห็นปกติไม่เคยเกี่ยงว่าจะได้ลงเวรไหนเลย ที่แท้ก็จะไปฉลองวันเกิดกับภรรยานี่เอง”“น่า... ปีละครั้งเอง” ศิลาส่งยิ้มแห้งๆ ให้เพื่อน ถูกจับได้เสียแล้วเมื่อวานเขาคุยเรื่องแลกเวรกับญาณินไว้ เธอไม่ได้ถามอะไรมาก ได้แต่พยักหน้ารับเพราะรู้ดีว่าเขาทำงานหนักมาตลอด อยากเกเรบ้างเลยไม่ขัดแต่เพราะวันนี้เขากำลังเจอปัญหาชิ้นใหญ่ เขาต้องการที่ปรึกษาซึ่งตอนนี้มีแค่คนเดียวที่ไว้ใจได้คือญาณิน ทำให้ต้องสารภาพไปด้วยว่าขอแลกเวรกับเธอทำไม จริงๆ ศิลารู้ว่าเพื่อนคงไม่ว่าอะไร แต่เขาก็อดเขินไม่ได้ อายุก็ปาไปสามสิบสามปีแล้ว แต่เพิ่งได้มีโมเมนต์อะไรแบบนี้ในชีวิตตอนคบหากับญาณินไม่ค่อยมีอะไรแบบนี้เท่าไหร่ เพราะญาณินไม่ใช่คนที่จะสามารถเซอร์ไพรส์อะไรได้ จะเซอร์ไพรส์ทีไรก็โดนจับได้จนศิลาท้อใจ หลังจากนั้นถ้าอยากให้อะไร หรืออยากพาไปฉลองที่ไหนก็พา
“พรุ่งนี้พี่จะเข้าไปกราบคุณพ่อกับคุณแม่” คำบอกเล่านั้นทำให้ชมพู่เงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังนอนมองดาว ศิลาเลื่อนสายตาจากดวงดาวบนท้องฟ้ามามองดวงดาวที่สวยที่สุดข้างกาย “พี่อยากขอบคุณพวกท่านที่ทำให้มีชมพู่ในวันนี้ อีกอย่าง... เพราะว่าวันนี้พี่ขอพ่อกับแม่ไว้ ชมพู่เลยไม่ได้อยู่กับพวกท่านในวันเกิดเลย พรุ่งนี้เข้าไปแต่เช้า ตักบาตรพร้อมกันกับพวกท่าน กินข้าว และใช้เวลาอยู่กับพวกท่านกัน ดีไหมคะ?”“ยังไงก็ได้ค่ะ จริงๆ ชมพู่ไม่ค่อยได้สนใจว่ามันเป็นวันอะไรเท่าไหร่ เพราะชมพู่ก็อยู่กับพ่อแม่ทุกวันอยู่แล้ว แต่ถ้าพี่หมออยากทำแบบนั้นชมพู่ก็ยินดีค่ะ”ศิลาพยักหน้ารับ เขากระชับอ้อมแขนที่โอบกอดภรรยาแน่นกว่าเดิม ก่อนจะหันกลับไปมองดวงดาวบนท้องฟ้าอีกครั้ง ต่างจังหวัดมันก็ดีแบบนี้ ไม่มีตึกสูงใหญ่ผุดขึ้นมาบดบังแสงสว่างของดวงดาว เขาเลยมีโอกาสได้เห็นดาวที่กระจายอยู่บนท้องฟ้าได้ชัดเจนหลังจากดินเนอร์พิเศษผ่านพ้นไป ศิลาก็ชวนชมพู่มานั่งพักตรงนี้ นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ ก็เกิดเมื่อยขึ้นมา สุดท้ายเบาะนุ่มที่เตรียมไว้ก็ได้ใช้งานจริง ศิลานอนอยู่บนนั้นเต็มตัว โดยที่มีชมพู่นอนอยู่ไม่ห่าง แต่เพราะเป็นเบาะที่ไม่ได้ทำมารองรับคนสองคน
“พี่พู่ขา ตรงนี้ออกเสียงว่ายังไงนะคะ”“ไหนคะ ตรงนี้เหรอ? ออกเสียงว่า...”ศิลาอมยิ้ม ตาคมมองภรรยาที่เดินอธิบายสิ่งที่เด็กๆ สงสัยอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่มีสีหน้าเหวี่ยงวีน ไม่มีท่าทีไม่พอใจ มีแต่รอยยิ้มและเสียงนุ่มๆ ที่ใช้ยามอธิบายให้เด็กๆ ฟังศูนย์การเรียนรู้เปิดมาได้สองอาทิตย์แล้ว กลางเดือนมีนาจังหวัดลำปางมีอากาศที่ร้อนระอุ ชมพู่ตัดสินใจในนาทีสุดท้ายว่าจะติดแอร์ที่นี่ แม้ค่าใช้จ่ายและค่าไฟจะเพิ่มขึ้นแค่เธอก็ยินดี เธออยากให้ที่นี่เป็นที่ๆ ใครๆ ก็อยากเข้ามาด้วยความสบายกายและสบายใจทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ผู้ปกครองหลายคนส่งลูกหลานมาเรียนกับชมพู่ทันทีที่รู้ว่าชมพู่เปิดสอนฟรีๆ ของฟรีใครจะไม่ชอบ... แต่ถึงแม้จะเป็นของฟรี แต่ก็เป็นของฟรีที่มีคุณภาพ ศิลารับรองได้หลังจากยืนฟังภรรยาคนเก่งสอนเด็กๆ มาครึ่งค่อนวัน“ดื่มน้ำหน่อยค่ะ” ศิลาเดินเข้าไปหาเมื่อชมพู่เริ่มว่างจากการถูกรุม เขายื่นน้ำหวานเย็นๆ ให้เธอ และก็ได้รับรอยยิ้มหวานๆ กลับมาเป็นค่าตอบแทน“ขอบคุณค่ะ”บรรยากาศหวานๆ ของคู่สามีภรรยาทำให้คนที่มาใหม่เกรงใจจนไม่กล้าเข้าไปขัด ภคินตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมาย เขาคงต้องไปหากำนันม่วงก่อน แล้วค่อยม
วันหยุดของญาณิน ถ้าไม่ออกกำลังกายและนอนอ่านหนังสือเฉยๆ เธอก็จะเข้าไปในเมืองเพื่อหาของสดมาเติมเข้าตู้เย็นเพราะเธอกินแต่ของออแกนิก และของพวกนี้ยังไม่แพร่หลายขนาดที่จะหาซื้อได้ทุกที่ บางอย่างที่หายากจริงๆ ก็ต้องเข้าเมืองไปหาดูในห้างใหญ่ๆ เท่านั้นถึงจะเจอ ระยะทางไม่ได้ใกล้เลย แต่เพราะรถไม่ติดญาณินเลยไม่ลำบากอะไรถ้าจะต้องเข้าเมืองบ่อยๆบางทีขับรถจากบ้านพักเข้าไปในตัวเมือง ยังใช้เวลาน้อยกว่าจากทองหล่อไปสยามเมื่อตอนที่เธออยู่กรุงเทพฯ ด้วยซ้ำวันนี้ก็เช่นกัน ญาณินตื่นตั้งแต่เจ็ดโมง ออกกำลังกายราวเก้าสิบนาที ก่อนจะจัดการมื้อเช้าและขับรถเข้าเมืองตามแผนที่วางไว้ ของที่หมดและต้องซื้อเธอจดไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะเป็นคนรอบคอบเลยไม่ค่อยลืมเวลาจะทำอะไรหญิงสาวฮัมเพลงเบาๆ วันนี้เธออารมณ์ดีกว่าที่เคย อาจจะเพราะว่าอากาศค่อนข้างดี ร้อนไปนิด แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้หงุดหงิด ท้องฟ้าเปิดสวย แต่มีเมฆก้อนโตมาบังพระอาทิตย์เลยไว้ทำให้ไม่ร้อนจนแสบผิวเหมือนหลายวันก่อนขับรถมาราวชั่วโมงเศษญาณินก็ได้ฤกษ์ตบไฟเลี้ยวเข้าลานจอดรถของห้างดัง เมื่อจอดรถเสร็จเธอก็รีบเดินเข้าห้างทันที เพราะห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่มีเป็นสิบแห่งใน
เช้านี้ช่างไม่สดใสเอาเสียเลยชมพู่ค่อยๆ ลุกจากเตียงนอน เธอกุมท้องตัวเองแน่น เพราะมันปวดหน่วงจนไม่อยากลุกไปไหนมาอีกแล้วสินะเธอพยุงร่างกายโรยแรงไปที่ห้องน้ำ สำรวจคราบที่คิดว่าคงเปรอะเปื้อนแต่กลับไม่มี ชมพู่ขมวดคิ้วแน่น ประจำเดือนไม่ได้มา... แล้วทำไมเธอถึงได้ปวดท้องแบบนี้ แถมเมื่อวันก่อนตอนที่เธอมีอะไรกับพี่หมอ เธอรู้สึกเจ็บภายในจนแอบน้ำตาซึม แต่ก็พยายามไม่แสดงออกเพราะกลัวว่าหมอศิลาจะเป็นห่วงนับวันร่างกายเธอยิ่งแปลกไป ชมพู่พยายามไม่ใส่ใจจนกลัวมากเกินไป เธอทำธุระส่วนตัวด้วยเวลาอันรวดเร็ว ก่อนจะคร่อมมอเตอร์ไซค์คู่ใจขับไปที่บ้านของกำนันม่วงเมื่อล็อคบ้านช่องเรียบร้อยแล้ว วันนี้หมอศิลาเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่เช้า ถ้าวันไหนเข้าเช้ามากไปเขาจะไม่ให้เธอลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้ วันนั้นเธอก็จหมดหน้าที่ไปหนึ่งอย่าง“มาแล้วหรือเจ้าพู่” อรอนงค์เอ่ยทัก เธอมองลูกสาวที่ขยับลงจากมอเตอร์ไซค์คันเก่งก่อนจะนิ่วหน้า “เสียงมันดังได้ใจจริงๆ แม่บอกแล้วให้ซื้อใหม่ๆ ก็ไม่เอา”“มันยังใช้ได้อยู่นี่” เช่นเคย ชมพู่เถียงคนเป็นแม่จนคอเป็นเอ็น โตโต้ถึงจะเสียงดังไปหน่อย แต่มันก็ยังใช้งานได้ดี ไม่เคยงอแงหรือดับกลางทางให้ต้องปวด
อากาศที่พุ่งทะลุไปกว่าสี่สิบสี่องศา ทำให้ชมพู่เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมหมอศิลาถึงได้เป็นห่วงแต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็เดินตามสามีเข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้โดยไม่บ่นซักคำ เพราะมันคุ้มค่าจริงๆ ที่ได้เห็นหมอศิลาในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนแบบนี้“คุณยาย ยังทานของหวานอยู่ไหมครับ”“ไม่ค่อยได้กินแล้วจ้าหมอ ลดลงเยอะเลย” คุณยายวัยเกือบแปดสิบตอบพร้อมยิ้มโชว์ฟันหลอ ทำเอาทั้งลูกหลาน หมอศิลา และชมพู่พลอยยิ้มตามไปด้วย“ดีแล้วครับ อายุมากขึ้นก็ต้องระวังเรื่องการกินมากตามไปด้วย จะได้ไม่ต้องไปหาหมอบ่อยๆ เนอะ”“แต่หมอใจดี ยายอยากเจอบ่อยๆ” คุณยายว่าซื่อๆ หมอหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะแตะมือเหี่ยวย่นอย่างสุภาพ“เจอหมอบ่อยไม่ดีหรอกครับยาย เจอหมอบ่อยก็แปลว่าไม่สบาย ไม่สบายไม่เห็นดีเลย...”“นั่นสิจ๊ะยาย หนูว่าได้เจอลูกหลานบ่อยดีกว่าเจอหมอน้า...” ชมพู่เสริม เธอพูดกับคนชราด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกว่าที่เคยจนศิลาลอบยิ้ม ไม่ใช่แค่เข้าหาเด็กๆ ได้เก่ง แต่ชมพู่ยังเข้าคนแก่เก่งด้วย ภรรยาเขานี่น่ารักจริงๆ“งั้นหมอก็มาเป็นหลานยายซี่”“โธ่... คุณยาย” เสียงหัวเราะดังไปทั่วบ้านหลังน้อยเมื่อหมอหนุ่มถูกคุณยายชวนมาเป็นหลานไม่หยุด จนกระทั่งคุณ
“หิน ใจเย็นๆ ก่อนเถอะนะ ตอนนี้หินไม่ได้อยู่ในหน้าที่ และที่นี่ก็มีหมอเพียงพอ เดี๋ยวเราเข้าไปดูชมพู่ให้เอง” ญาณินพยายามห้ามคนที่ขอเข้าไปดูชมพู่ด้วยตัวเองอย่างสุดความสามารถ ศิลาในตอนนี้เหมือนลืมสิ้นทุกอย่าง เขาไม่ฟังอะไรทั้งนั้นและดื้อรั้นจะเข้าไปดูชมพู่ให้ได้เมื่อกี้ชมพู่เป็นลมไป โชคดีที่ศิลาเห็นและรับได้ทัน ใบหน้าของชมพู่ซีดเผือดจนใจหาย ศิลาพอเห็นแบบนั้นก็สติหลุด ลืมหมดสิ้นทั้งความถูกต้องและสิ่งที่ควรทำ“แต่...”“หิน ตั้งสติ! ยิ่งทำแบบนี้เรายิ่งได้เข้าไปดูน้องช้า”ศิลาชะงักไปเมื่อถูกตะคอกแบบนั้น เขามองหน้าเพื่อนสาวด้วยดวงตาตื่นตระหนก ญาณินรีบลูบไหล่หนาเบาๆ ให้เพื่อนได้ผ่อนคลายลงบ้าง“ใจเย็นๆ เราเข้าไปดูชมพู่ก่อน แล้วค่อยว่ากัน”“.....”“เข้าใจไหม?” เธอถามย้ำอีกครั้งเมื่อศิลาไม่ยอมตอบ“...อืม”พอได้ยินแบบนั้นญาณินก็วางใจ ร่างบางเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉิน มุ่งตรงไปที่เตียงที่มีพยายามสองสามคนล้อมรอบอยู่“เป็นยังไงบ้าง”“ความดันต่ำค่ะเลยหมดสติไป แต่ไม่มีไข้นะคะ”“อืม... คงต้องดูอาการต่อไป ผู้ป่วยเขาเป็นคนแข็งแรงมาก อาจจะมีบางอย่างที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอแบบนี้” ญาณินมองคนที่นอนหลับไม่สตินิ่งๆ
“อะไรนะพี่มิว? ท้องอีกแล้ว!?”“ใช่จ้ะ” มือบางลูบหน้าท้องที่ยังแบนเรียบของตัวเองเบาๆ ใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความสุขจนชมพู่เปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทันเธอตกใจจริงๆ ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้...“หมอเจนบอกว่าสองเดือนแล้ว”“แต่... น้องพิมเพิ่งจะได้ขวบเดียวเองนะพี่มิว แบบนี้จะเลี้ยงไหวหรือ?”ชมพู่พูดพลางมองไปที่เด็กน้อยที่กล่าวถึงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะมองเลยไปที่เด็กชายอีกสองคนที่อายุไล่เลี่ยกัน ทั้งหมดเกิดจากพ่อและแม่คนเดียวกัน และที่สำคัญ... ทั้งสามคนอายุห่างกันไม่ถึงปีมีลูกหัวปีท้ายปี พี่ชายเธอจะขยันเอาเหรียญทองหรือยังไง...“ไหวสิ พี่ไม่ได้ทำงานที่ไหนอยู่แล้ว อีกอย่าง... น้องพิมเองก็เริ่มโตแล้ว”“แต่... ขวบเดียวเองนะ...” ชมพู่จะเป็นลม หนึ่งขวบนี่นะเรียกว่าโตแล้ว เพิ่งเดินได้ เพิ่งหัดเรียกพ่อกับแม่ได้เอง ยังไม่หย่านมด้วยซ้ำ...แต่เอาเถอะ เรื่องครอบครัวของพี่ชายเธอจะไม่ยุ่ง ถ้าทั้งคู่บอกว่าเลี้ยงไหวก็คือไหว เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่พร้าวและพี่มิวก็ไม่เคยรบกวนให้คนอื่นมาช่วยเลี้ยงลูกเลย มีแต่จะโดนปู่กับย่าแย่งตัวหลานๆ ไปเลี้ยงเองเสียมากกว่าพี่พร้าวของเธอสละโสดเมื่อห้าหกปีที่แล้ว แล
เช้าวันจันทร์ ชมพู่ลืมตาขึ้นมาในช่วงเวลาเดิม เสียงไก่ที่เริ่มขันดังอยู่ไกลๆ แสงพระอาทิตย์จางๆ เริ่มกระจายตัวไปทั่วหญิงสาวก้มมองมือที่พาดอยู่บนเอว ความอบอุ่นจากเนื้อตัวของอีกฝ่ายช่วยไล่อากาศหนาวๆ ออกไปจนไม่อยากออกห่างจากอ้อมแขนนี้แม้แต่วินาทีเดียว ลมหายใจอุ่นๆ รินรดอยู่ที่ซอกคอ สามีเธอยังคงเป็นเหมือนเดิม ชอบนอนซุกซอกคอเธอเหมือนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วไม่มีผิดหญิงสาวพรูลมหายใจออกมาเบาๆ เพราะหน้าที่ของคนเป็นแม่ทำให้เธอเกียจคร้านนอนซุกอ้อมกอดอุ่นๆ ของสามีจนสายเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ ชมพู่ตัดใจยกแขนแกร่งออกจากเอว หมอศิลาที่เพิ่งได้นอนขยับตัวเล็กน้อย ชมพู่ชะงักค้าง เพราะกลัวว่าจะทำให้สามีที่เหน็ดเหนื่อยจากงานต้องตื่นจากฝันดีแต่สุดท้ายหมอศิลาก็หลับต่อ ดวงตาคู่คมยังปิดแน่นสนิท หน้าอกแกร่งขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ชมพู่ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ ย่องลงจากเตียงไปทำธุระส่วนตัวชมพู่มองตัวเองในกระจกหลังจากแปรงฟันเสร็จ เธอส่งยิ้มให้คนในกระจกเหมือนกับทุกๆ เช้า เธอทำแบบนี้ตั้งแต่คลอดพระพาย เพราะมีความเชื่อว่าถ้าเริ่มต้นวันด้วยรอยยิ้ม ก็จะทำให้วันนั้นทั้งวันมีแต่เรื่องที่มีความสุข... แต่การยิ้มบ่อยๆ
แอ๊ะ~“ยัยหนู น่าเกลียดน่าชังจังเลยหลานย่า” คุณหญิงศศิมาร้องออกมาเบาๆ ดวงตาจ้องมองเด็กน้อยตัวชมพู่ที่นอนอยู่บนที่นอนของตัวเองไม่วางตาเมื่อคืนกลางดึกเธอได้รู้ข่าวเรื่องที่ชมพู่กำลังจะคลอดจากลม น้องชายของชมพู่ที่ย้ายมาอยู่ที่บ้านด้วยเพราะเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ทั้งครอบครัวพากันแตกตื่นไปหมด รีบหาเที่ยวบินที่เร็วที่สุด เพื่อเดินทางมาเยี่ยมสะใภ้และหลานคนใหม่ทันทีแต่กว่าจะมาถึงได้ก็บ่ายแก่ๆ เข้าไปแล้ว ไม่ทันได้ลุ้นตอนชมพู่คลอดลูก แต่ความน่ารักของหลานก็ทำให้ความเสียดายนั้นมลายหายไปและโชคดีที่เด็กหญิงพระพายปลอดภัยดี แข็งแรง ร้องเสียงดัง น้ำหนักตอนคลอดปาไปสามกิโลถ้วน ไม่ต้องเข้าเตาอบ ตัวชมพู หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา“ชื่อพระพายหรือ” เสียงทุ้มเอ่ยถามลูกชาย ตั้งแต่มาถึงเขาเห็นศิลายิ้มไม่หุบ ทำให้นึกถึงตัวเองเมื่อเกือบสี่สิบปีก่อนตอนนั้นเขาก็ยิ้มกว้างแบบนี้ ยิ้มจนพ่อตาแม่ยายพอกันล้อเลียน แต่เขาก็หุบยิ้มไม่ได้ได้เห็นหน้าลูกครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษจนบรรยายออกมาไม่ถูกจริงๆ“ครับคุณพ่อ ชื่อพระพาย แปลว่าเทพเจ้าแห่งลม”“ชื่อน่ารัก ความหมายดี แล้วชื่อจริงล่ะ”“ยังไม่ได้คิดครับ ไว้ออกจากโรงพยา
ศิลาเป็นหมอ เวลาทุกวินาทีของเขามีค่ามาก เพราะนั่นหมายถึงความเป็นความตายของคนไข้ เขาไม่ชอบการรอคอย เพราะมันทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์แต่ครั้งนี้หมอหนุ่มกลับยินดีที่จะเสียเวลารอคอยอะไรบางอย่าง สี่สิบสัปดาห์ สองร้อยแปดสิบวัน เขาไม่เคยคิดว่าเวลาที่ยาวนานนี้มันจะทำให้เขาต้องเสียเวลาเปล่าเลย กลับกัน... เขากลับรู้สึกว่าต่อให้ต้องรอนานกว่านี้ เขาก็ยินดีที่จะรอ“กู๊ดไนท์นะคะ คุณแม่” ปากหยักจูบเบาๆ ลงบนหน้าผากเนียน ชมพู่ยิ้มจนตาปิด พี่หมอบอกฝันดี นั่นแปลว่าคืนนี้เธอจะต้องฝันดีแน่ๆ และรอยยิ้มของภรรยาก็ทำให้ศิลาอดใจไม่ไหว คุณหมอหนุ่มก้มลงหอมแก้มนุ่มหลายที ก่อนจะกระถดกายลงไปที่หน้าท้องใหญ่ “ฝันดีนะคะ พระพายของพ่อ”ศิลากดทั้งปากและจมูกลงบนหน้าท้องของภรรยา ป่านนี้ลูกเขาคงหลับแล้ว เพราะไม่มีการตอบรับใดๆ นอกจากแรงหายใจของคนเป็นแม่ ศิลาซุกหน้าอยู่แบบนั้นหลายนาที ก่อนจะขยับออกห่าง เขาปิดเสื้อนอนให้ภรรยา ห่มผ้าให้จนถึงคอ และทิ้งตัวนอนข้างๆ“พี่หมอ ฝันดีนะคะ”“งั้นขอจ้องหน้าชมพู่นานๆ หน่อยนะคะ พี่จะได้ฝันถึงชมพู่”“ทำไมคะ?”“ก็ฝันดีของพี่คือฝันถึงชมพู่นี่คะ”“พี่หมอ... จนลูกจะคลอดแล้วยังปากหวานอีกเหรอ
ตึง! ตึง! ตึง!“ติณณ์! อย่าวิ่ง!”“คิกคิก”“อย่าวิ่ง เดี๋ยวล้ม!”“ม่ายล้ม อ๊ะ!”ยังพูดไม่ทันขาดคำ ร่างเล็กๆ ที่วิ่งซนไม่ดูทางก็ชนเข้ากับร่างหนึ่งจนได้ เด็กน้อยโซเซจนล้มลงไปนั่งอยู่ที่พื้น ส่วนอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรเพราะตัวโตกว่าและตั้งตัวได้ทัน“น้องชมพู่!” ดาวเบิกตากว้าง รีบวิ่งเข้าไปหาเจ้านายก่อนใคร ตัดใจมองข้ามลูกชายที่นั่งแหมะอยู่ที่พื้น ไม่ใช่เพราะลูกสำคัญน้อยกว่า แต่ชมพู่กำลังท้อง แล้วเมื่อกี้ติณณ์วิ่งชนเข้าเต็มๆ “เป็นอะไรไหมคะ?”“ไม่เป็นอะไรจ้ะ ฉันเอนหลบทัน เลยไม่โดนท้อง” ชมพู่ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะนั่งลงยองๆ แล้วเอื้อมมือไปจับแขนเล็กไว้ “ติณณ์ล่ะ เจ็บหรือเปล่า?”“ฮึ่ก มะ...” เด็กน้อยเบะปากเตรียมร้องไห้ ส่ายหน้าไปมาแรงๆ“ไม่เจ็บก็ไม่ต้องร้องนะ น้ายังไม่ร้องเลยเห็นไหม”“หะ...เห็นคับ” เด็กน้อยว่าง่ายรีบเม้มปากแน่นกลั้นสะอื้น ไม่อยากร้องไห้เพราะคุณน้าคนสวยที่โดนชนก็ไม่ร้องเหมือนกัน ก่อนร่างเล็กจะลุกขึ้นตามแรงจับของชมพู่“นั่งนี่ก่อนนะ” ชมพู่ดันไหล่เล็กให้นั่งลงบนโซฟาไม้ ก่อนที่เธอจะนั่งลงไปข้างๆ “เมื่อกี้ที่วิ่งแบบนั้น ติณณ์ทำไม่ถูกนะรู้ไหม?”ดวงตาแป๋วจ้องมองชมพู่อย่างสงสัย เด็
“พี่ดาว เอาอันนี้ไปวางตรงนั้นให้ฉันทีนะ”“ค่ะน้องพู่” ดาวรับของจากมือของหญิงสาว ก่อนจะเดินไปจัดการให้ตามที่อีกฝ่ายไหว้วาน ร่างบางค้อมตัวลงเล็กน้อยเมื่อเดินผ่านศิลาที่เดินสวนมา“ชมพู่ พี่บอกไม่ให้ทำ ทำไมไม่ฟังกันบ้าง”คุณหมอหนุ่มตอนนี้ขมวดคิ้วแน่นกว่าตอนที่เจอเคสยากๆ เสียอีก เพราะความดื้อรั้นของภรรยามันเกินที่จะเยียวยาแล้ววันนี้เป็นวันแต่งงานของญาณินและปลัดภคิน ทั้งสองทำพิธีการที่สำคัญรวมถึงสวมแหวนกันไปแล้วตั้งแต่เช้า และช่วงเย็นจะมีงานเลี้ยงฉลองเล็กๆ ระหว่างนี้บ่าวสาวกำลังพักผ่อนอยู่ แต่เพื่อนเจ้าสาวอย่างชมพู่กลับออกมาจัดการเรื่องงานเลี้ยงตอนเย็นแทนเจ้าของงานเสียอย่างนั้น ศิลารู้ว่าภรรยาเขาหวังดี แต่แดดที่ร้อนจัดตอนนี้ก็ทำให้เขาเป็นห่วงเหลือเกิน“เสร็จแล้วค่า” ชมพู่รีบวางงานทุกอย่างลง แล้วหันมากอดเอวสอบของสามีไว้ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างออดอ้อน “ชมพู่ออกมาเดี๋ยวเดียวเองน้า”“มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา เจนกับปลัดเขามีเจ้าหน้าที่ช่วยอยู่แล้ว”“แต่ชมพู่รับปากไว้แล้ว...”“นั่นคือตอนที่ชมพู่ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังท้อง แต่ตอนนี้ชมพู่ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ ออกมาตากแดดร้อนๆ แบบนี้ถ้าเป็นลมไปจะ
เสียงบางอย่างที่ตกใส่กระทะร้อนๆ และตามมาด้วยกลิ่นหอมของเครื่องแกงทำให้คนที่เพิ่งตื่นท้องร้องจ๊อก เด็กหนุ่มหัวฟูหน้ามันเยิ้ม เดินเกาพุงโซเซเข้าห้องครัวตามกลิ่นของอาหารไป“พี่พู่~”เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ร่างบอบบางที่อยู่ในชุดง่ายๆ อย่างเสื้อยืด กางเกงสามส่วนยืนอยู่หน้าเตา แขนเล็กขยับหยิบนู่นนี่นั่นใส่กระทะไปมาอย่างรวดเร็วจนแทบมองตามไม่ทัน“ว่า” เจ้าของชื่อตอบกลับ แต่ไม่ยอมหันกลับมาหาคนเรียก มือจับตะหลิวพลิกสิ่งที่อยู่ในกระทะไปมาอย่างขะมักเขม้น“ทำอะไรอ่า”“ไม่มีตาหรือไง”“โธ่ ฉันถามดีๆ นะพี่”“แล้วฉันตอบไม่ดีตรงไหน”“...ยังจะมาถามอีก...” เปี๊ยกขมุบขมิบปากนินทาลูกพี่สาวเบาๆ เพราะไม่ต้องการให้คนถูกนินทาได้ยิน ถึงพี่พู่จะท้องอยู่ แต่พี่พู่ก็เตะก้นมันได้เหมือนเดิม ไม่เสี่ยงดีกว่า “ทำกับข้าวให้พี่หมอหรือจ๊ะ”“อืม ทำให้พวกเอ็งด้วย”“แต่พี่หมอบอกไม่ให้พี่พู่ตื่นเช้า อยากให้นอนให้เต็มที่” เปี๊ยกว่าตามที่เจ้าของบ้านสั่งอย่างเคร่งครัด แม้จะอยากกินฝีมือพี่พู่แค่ไหน แต่ถ้าพี่พู่เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมามันคงไม่แคล้วถูกพี่หมอไล่ออกจากบ้านเป็นแน่พี่หมอเห็นใจดีแบบนั้นแต่ก็เด็ดขาดกว่าใคร บางครั้งพี่พ
เจ็ดโมงเช้า คุณหมอศิลาเดินออกมาจากโรงพยาบาลด้วยสภาพเหนื่อยล้า ใบหน้าคมอิดโรย เพราะเมื่อคืนมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ฉุกเฉินวุ่นวายไปหมด“กลับไหวไหมหิน” ญาณินถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เธอถูกโทรตามมากลางดึก แต่ศิลาเข้าเวรมาตั้งแต่เช้าเมื่อวาน เกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงเต็มแล้วที่ไม่ได้นอนหรือแอบงีบเลย เขาดูเหนื่อยมากจนน่าเป็นห่วง“ไหว เจนอยู่ได้ใช่ไหม”“ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้นะ ทุกอย่างเริ่มปกติแล้ว หินรีบกลับไปพักเถอะ หน้าซีดมากเลย”“อืม...”ศิลาพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินโงนเงนไปที่หน้าโรงพยาบาล เขาง่วงจนเดินไม่ตรง แต่เพราะเมื่อวานไม่ได้เอารถมา วันนี้เลยต้องเดินกลับบ้านที่อยู่ห่างออกไปราวสองกิโลปกติระยะทางแค่นี้มันไม่ได้ไกลมากสำหรับศิลา แต่เพราะวันนี้ร่างกายคุณหมอคนเก่งประท้วงอย่างหนัก แค่เดินออกมาหน้าโรงพยาบาลเขาก็รู้สึกเหมือนจะไม่ไหวแล้ว“คุณพ่อขา...”ในตอนที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหมดแรงนั้นเอง เสียงใสๆ ของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิลาหันกลับไปมองโดยอัตโนมัติ เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องสนใจเสียงนั้นด้วย มันไม่ใช่เรื่องของเขาเสียหน่อยแต่ร่างเล็กๆ ที่กำลังวิ่งเข้ามาก็ทำให้เขาไม่สามารถเดินจาก
ตึง! ตึง! ตึง!เสียงตึงตังจากบนบ้านทำให้สองหนุ่มน้อยที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ตกใจจนเกือบวิ่งหนี ถ้าไม่เห็นว่าคนที่เดินลงจากบันไดมาคือพี่ที่อยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิตพวกมันคงด่าไปแล้ว เสียงดังจนเหมือนว่ามีขโมยขึ้นบ้าน“พี่พู่ ตกใจหมด”“แหม พ่อคนขวัญอ่อน” ชมพู่กระแหนะกระแหนน้องรักพอเป็นพิธี เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในทุกเช้าเวลาที่ลมกับเปี๊ยกมานอนด้วยเพราะหมอศิลาเข้าเวรดึก“พี่จะรีบไปไหน ทำไมวิ่งเสียงดังแบบนั้น ถ้าคุณอรอนงค์มาเจอโดนตีขาลายแน่”“หน๊อย! เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งนะไอ้ลม ขู่ฉันด้วย ตั้งแต่สนิทกับผัวฉันนี่เก่งขึ้นเชียว”ชมพู่ชี้หน้าว่าที่คุณหมอ เดี๋ยวนี้ลมมันปีกกล้าขาแข็ง สุขุมนุ่มลึกขึ้นผิดหูผิดตา ไม่เหมือนลมที่เธอเคยรู้จักมาก่อนเลยหมอศิลาอาจจะไม่ได้ถ่ายทอดแค่ความรู้ให้น้องเธอ แต่อาจจะถ่ายทอดความเป็นผู้ใหญ่ให้ด้วย เพราะเมื่อเทียบกับเปี๊ยกที่เคยวิ่งเล่นมาด้วยกัน ตอนนี้ลมดูโตขึ้นมากจริงๆ“ไม่ได้ขู่ ฉันแค่เป็นห่วง”“เออๆ” พอพูดตรงๆ แบบนี้ชมพู่ก็รู้สึกเก้อเขินแปลกๆ เธอแสร้งพยักหน้ารับไม่สนใจทั้งๆ ที่หูกำลังขึ้นสีแดงจัด “ฉันจะไปตลาด สายแล้ว”“ไปทำไมอะพี่” เปี๊ยกรีบถาม เพราะหมอศิลาบอกกับม