"กรี๊ด" "จะกรี๊ดให้มันได้อะไรขึ้นมารุ้ง ในเมื่อขุนเขาไม่มาหาเธอ" "หุบปากไปเลยนะนิต้า เธอจะไปรู้อะไร ขุนต้องมาหาฉันสิที่เขาไม่มาต้องเป็นเพราะถูกแม่ของเขาบังคับให้ไปอยู่กับนางนั่นแน่ ๆ" สองมือเล็กกำเข้าหากันแน่น ด้วยความคับแค้นใจต่อผู้เป็นครอบครัวของคนรักที่คอยแต่จะขัดขวางความรักของขุนเขาและเธอ "บางทีคุณขุนเขาอาจจะเบื่อนิสัยแบบนี้ของแกแล้วก็ได้นะ" "นี่ นังนิต้า" "เอ้า ก็มันจริงไหมล่ะ แกน่ะ ไม่พอใจอะไรก็เหวี่ยง ไม่พอใจอะไรก็วีนคุณขุนเขาอยู่ตลอด"นิสัยที่แท้จริงของม่านรุ้งนั้นคือ เจ้าอารมณ์ ชอบเหวี่ยงชอบวีนเวลาที่ไม่ได้ดั่งใจ ซึ่งขุนเขาเองก็เคยโดนม่านรุ้งเหวี่ยงวีนอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ไม่อะไรคิดไปในอีกทางว่ามันคืออารมณ์ของผู้หญิง "เลิกได้ก็ดีนะไอ้นิสัยขี้วีนของแกเนี้ย อะเนี่ยของแก" "อะไรของแก"ม่านรุ้งมองการ์ดสีชมพูที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยสายตาสงสัย ก่อนที่จะเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาเปิดอ่านก่อนที่เธอจะร้องกรี๊ดออกมาพร้อมกับปาการ์ดสีชมพูที่อยู่ในมือทิ้ง "กรี๊ด"เสียงกรีดร้องลากเป็นทางยาวทำเอานิต้าต้องยกมือขึ้นมาปิดหู เสียงกรีดร้องของม่านรุ้งทำเอาแก้วหูของเธอแตกจนนิต้าทนไม่ไหวตะเบ่งเ
ขุนเขาเบิกตากว้างเมื่อเห็นแฟนสาวของเขาดเดินเฉิดฉายมาหยุดอยู่ตรงหน้า แว่นตาที่ม่านรุ้งสวมใส่ถูกถอดออก ดวงดาเฉียวคมตวัดมองผู้คนที่อยู่ภายในงาน รวมถึงพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายด้วยความไม่พอใจ ในใจร้อนรุ่มเมื่อเห็นแฟนหนุ่มกุมมือของหญิงอื่นโดยที่นิ้วนางข้างซ้ายของทั้งคู่มีแหวนเพชรสวมใส่อยู่ "ว่าไงคะขุนแต่งานทั้งทีไม่คิดที่จะบอกรุ้งซักหน่อยเหรอคะ" "แล้วเธอมีความสำคัญอะไรกับลูกชายของฉันอย่างนั้นเหรอที่ไม่ว่าตาขุนเขาจะทำอะไรต้องรายงานเธออยู่เสมอ"น้ำเสียงเรียบนิ่งเฉือนคมเข้าไปในเนื้ออย่างเจ็บแสบ คุณหญิงกิ่งกาญจน์มองผู้หญิงไร้ยางอายที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาคมกริบ ริมฝีปากที่แต่งเติมด้วยลิปสติกขยับยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ "แหม คุณแม่ก็หน้าจะรู้อยู่แกใจนะคะว่ารุ้งกับขุน'เราสองคนสนิท'กันมากขนาดไหน"คำพูดของม่านรุ้งมีความหมายแอบแฝงอยู่ด้านใน สายตาของเธอมองไปที่ปิ่นมุกอย่างคนที่อยู่เหนือกว่า "เอ๊ะ คุณรังสิมันต์คะ เราสองคนมีลูกสาวด้วยอย่างงั้นเหรอคะทำไมแม่นางแบบคนนี้ถึงได้เรียกฉันว่าแม่" "ไม่นะ ผมไม่เคยมีลูกสาว" "นั่นสิคะ แล้วทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้มาเรียกดิฉันว่าแม่? ขาดความอบอุ่นเหรอจ๊ะหนู"คิ้วทั้งสอ
หลังจากเสร็จพิธีในช่วงเช้าสินสอดทั้งหมดถูกขนเข้ามาไว้ภายในห้องนอนของเจ้าสาว ปิ่นมุกได้แต่นั่งถอนหายใจ สายตามองไปยังทรัพย์สินมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงนอน เธอไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิดที่ตัวเองมีราคาค่าสินสอดมากมายขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะครอบครัวขอร้องและเห็นแก่ความเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่าหวังว่าเธอจะช่วยคนอย่างขุนเขา ปั้ง แกร๊ก เสียงประตูเปิดออกก่อนที่จะปิดลง ตรงหน้าประตูปรากฎร่างของขุนเขาที่ยืนหน้าบึ้งตึงแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองมาที่เธอแทบจะฉีกร่างกายของเธอออกเป็นชิ้น ๆ "คุณขุนเขา คุณเข้ามาทำไมใครอนุญาตให้คุณเข้ามา"ปิ่นมุกที่นั่งอยู่รีบลุกขึ้นยืนโดยทันที สีหน้าของเขามันทำให้เธอไม่ไว้ใจ "ทำไมพูดแบบนี้กับผัวล่ะครับเมีย ผัวจะเข้าห้องนอนของเมียทั้งทีทำไมต้องขออนุญาตใครด้วย"ขุนเขาเดินเข้ามาด้วยท่าทีคุกคามจนปิ่นมุกต้องขยับตัวถอยหนี "หยุดอยู่ตรงนั้นนะ ถ้ามีธุระอะไรก็ออกไปคุยกันข้างนอก" "ทำไม กลัวคนอื่นเขาจะมาเห็นหรือไงว่าเราทั้งคู่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง นี่ฉันจะบอกอะไรให้เธอรู้เอาไว้นะคนอื่นเขาไม่มาสนใจเราสองคนหรอก มาม๊ะ เสียค่าสินสอดไปตั้งหลายบาทขอเ
พิธีในช่วงค่ำจัดขึ้นที่คฤหาสน์ของเจ้าสัวรังสิมันต์อย่างยิ่งใหญ่ แขกมากมายต่างทยอยกันเข้ามายินดีกับคู่บ่าวสาวแห่งปี วันนี้ปิ่นมุกอยู่ในชุดเจ้าสาวกระโปรงฟูฟ่องสีขาวยาวลากพื้นแบบเกาะอก บนคอของเธอไประดับด้วยสร้อยเพชรเส้นใหญ่ที่แม่เจ้าบ่าวเป็นคนมอบให้ ไม่รวมสร้อยข้อมือที่ประดับไปด้วยเพชรน้ำงามนั่นอีก ความสวยของเจ้าสาวทำเอาผู้ชายมองกันแทบเหลียวหลังทั้งโสดและแม้แต่คนที่มีภรรยาอยู่แล้วยังคงมองไปที่ร่างกายอันเย้ายวนตาเป็นมัน จนปิ่นมุกนั้นถึงกับมีอาการเกร็งยามเมื่อถูกจับจ้องจากเหล่าผู้คนมากมาย "เป็นอะไรทำไมถึงได้ยืนแบบนั้น"ขุนเขาที่ยืนอยู่ด้านข้างสัมผัสได้ถึงอาการตัวสั่นของภรรยา ร่างกายของเธอขยับเข้ามาใกล้ชิดเขามากขึ้น ความหนาวของบรรยากาศในค่ำคืนแห่งนี้ทำให้ปิ่นมุกต้องยกมือขึ้นมาลูบแขนทั้งสองข้าง สายตามองไปยังผู้คนบริเวณโดยรอบพร้อมกับขยับกายให้เข้าไปใกล้ชินชายหนุ่มขึ้นไปอีก "เป็นอะไร" "เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไร"ทั้งที่ปากบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรแต่สายตาของเธอกับมองไปยังผู้คนที่นั่งสังสรรค์ที่โต๊ะอาหาร ถ้าสังเกตดี ๆ มีผู้ชายหลายต่อหลายคนมองมายังที่เธอด้วยสายตาของเสือร้ายผู้หิวโหย "อวดเก่ง บอกว่ากล
ทันทีที่ขุนเขาขับรถมาถึงคอนโดมิเนียมของแฟนสาว เขาก็รีบเปิดประตูลงจากรถเดินก้าวเข้าไปด้านใน ในใจรู้สึกร้อนรนเมื่อก้าวเข้ามาอยู่ในลิฟต์ มือถือของเขามีสายเข้าจากมารดา แต่ตอนนี้เขาไม่คิดที่จะสนใจมัน กดตัดสายก่อนที่จะเปิดเครื่องโทรศัพท์ไป ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกเขาก็รีบเดินไปตามทาง สองเท้าก้าวเดินอย่างมั่นคงจนมาถึงห้องพักของแฟนสาว "รุ้ง"ขุนเขาเอ่ยเรียกชื่อของคนที่นั่งเมาอยู่บนโซฟา เมื่อเขาเปิดประตูเข้ามาก็เห็นร่างของแฟนสาวที่ใส่ชุดคลุมอาบน้ำกำลังนั่งดื่มไวน์เพียงคนเดียวอยู่บนโซฟาตรงหน้าทีวี "รุ้ง ทำไมคุณถึงได้เมาแบบนี้"เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็ยิ่งได้เห็นสภาพเมามายของแฟนสาวอย่างถนัดตา ขวดไวน์รวมถึงขวดเหล้าเบียร์มากมายวางเกลื่อนอยู่บนพื้น "หึ ที่รุ้งเป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะใครล่ะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ" "แต่ผมอธิบายทุกอย่างให้คุณฟังได้นะ" "อธิบายว่าอะไรเหรอคะ แค่นี้รุ้งยังดูเป็นคนโง่ไม่พอในสายตาของคุณใช่ไหม"ร่างโอนเอนพยุงตัวลุกขึ้นยื่นตวาดเสียงใส่ ร่างเมามายของม่านรุ้งพยายามพยุงตัวเดินเข้าไปในห้องนอน แต่แรงกอดรัดจากทางด้านหลังทำให้เธอต้องหยุดยืนนิ่ง "รุ้งคุณอย่าเดินหันหลังให้ผมแบบนี้ คุณจะด่
"จะกลับแล้วเหรอคะขุน นี่มันยังเช้าอยู่เลยนะคะ อยู่กับรุ้งอีกสักหน่อยจะได้ไหม"เสียงออดอ้อนที่ดังมาจากด้านหลังพร้อมกับแขนเรียวเล็กทั้งสองข้างโอบกอดร่างใหญ่เอาไว้ ร่างเปลือยเปล่าของม่านรุ้งโอบกอดแฟนหนุ่มเอาไว้จากทางด้านหลัง ใบหน้านวลซบลงบนแผ่นหลังอย่างออดอ้อน "วันนี้ขุนต้องกลับก่อน เอาไว้ขุนจะมาหารุ้งบ่อย ๆ ก็แล้วกันนะ" "ขุนต้องมาหารุ้งบ่อย ๆ นะคะห้ามโกหกให้รุ้งดีใจเก้อเข้าใจไหมคะ"ถึงเขาไม่มาเธอก็จะเข้าไปหาเขาเอง บอกแล้วไงเธอจะไม่ปล่อยให้ขุนเขาออกไปจากชีวิตของเธอ "ผมสัญญาครับ ว่าผมจะมาหารุ้งบ่อย ๆ จุ๊บ ผมไปก่อนนะครับ"ริมฝีปากอุ่นร้อนจูบลงบนหน้าผากของแฟนสาวก่อนจะก้าวเดินออกไปจากห้องพักของเธอ รถซูเปอร์คาร์คันหรูที่วิ่งเข้ามาจอดตรงหน้าประตูคฤหาสน์ ร่างของขุนเขาเดินลงมาจากรถด้วยสภาพอ่อนแรง ขอบตาดำคล้ำเหมือนกับคนที่ไม่ได้หลับนอน เขาเดินเข้าไปภายในบ้าน กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยโชยมาแตะจมูกทำให้สองขาเปลี่ยนทิศทางไปยังห้องรับประทานอาหาร จากที่ตอนแรกคิดว่าจะรีบเดินขึ้นไปยังห้องนอนที่อยู่บนชั้นสอง อาหารหน้าตาน่ารับประทานเรียงรายวางอยู่บนโต๊ะอาหาร กลิ่นหอมของมันทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำงาน ขอ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูขออนุญาตดังขึ้นทำให้ปิ่นมุกที่กำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าต้องวางดินสอก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมอง ลูกน้องอีกคนที่พึ่งรับเข้ามาทำงานใหม่อย่างแยมส้มที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดี "คุณปิ่นค่ะ มีคนมาหาค่ะ" "ใครกัน วันนี้ปิ่นไม่ได้นัดใครเอาไว้นี่จ้ะ" "คุณม่านรุ้งค่ะ"คิ้วที่โค้งดั่งคันศรขมวดเข้าหา ผู้หญิงคนนั้นมาหาเธอทำไมกัน แต่ถึงอย่างไรก็เอาเถอะในเมื่อม่านรุ้งกล้าที่จะเข้ามาหา เธอก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องกลัว ร่างสูงร้อยเจ็ดสิบสี่ลุกขึ้นยืนก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไปดั่งมาดนางพญา สร้อยเพชรที่มีราคาที่แม่สามีเป็นคนมอบให้ส่องแสงแวววาวยามเมื่อกระทบกับแสงไฟที่อยู่ภายในร้าน "สวัสดีค่ะคุณม่านรุ้ง"น้ำเสียงอ่อนหวานเอ่ยทักทายผู้หญิงที่ใส่ชุดสีดำนั่งไขว้ข้าอยู่บนโซฟา สายตาคมกริบดั่งราวกับใบมีดมองมาที่เธอเหมือนกับต้องการกรีดไปบนตามร่างกายให้เกิดแผลเหวอะหวะ "สวัสดีค่ะ คุณปิ่นมุกไม่ทราบว่ารุ้งมากวนอะไรคุณหรือเปล่าคะ" "เปล่าหรอกค่ะ ว่าแต่คุณรุ้งมาหาปิ่นถึงที่นี่มีธุระอะไรกับปิ่นหรือเปล่าคะ" "เชิญคุณปิ่นนั่งลงก่อนเถอะค่ะ"แว่นกันแดดสีชาถูกถอดออก แววตาไม่เป็นมิตรของม่านรุ้
"รุ้งเอากล่องบ้า ๆ นี่ไปให้เธอที่ทำงานอย่างนั้นเหรอ" "ใช่ค่ะ เธอตั้งใจที่จะเอามาให้ปิ่นเพื่อเป็นของขวัญวันแต่งงานของเรา" "แล้วเธอไปรับมันมาทำไม ทำไมไม่ทิ้งมันไปซะ"อารมณ์ฉุนเฉียวทำให้ขุนเขาปากล่องของขวัญที่ลงบนพื้น ไม่น่าฟ้าประทานแดงกลับไปด้วยความโกรธ "แล้วทำไมปิ่นจะต้องปฏิเสธคุณรุ้งด้วยคะ ในเมื่อคุณรุ้งเธอตั้งใจจะเอามาให้ปิ่น แถมยังฝากฝังเป็นอย่างดีให้ดูแลของขวัญชิ้นนี้ให้ดีที่สุด เพราะเขาคงจะไม่มีโอกาสที่จะได้ดูแลมันแล้ว" "แต่ถึงยังไงเธอก็ไม่ควรที่จะไปรับมัน" "เอาเป็นว่าเรื่องนี้คุณไปเคลียร์กับคนของคุณดีกว่านะคะ เพื่อว่าปิ่นก็อยู่ของปิ่นดี ๆ ไม่ได้ก้าวข้ามเส้นไปหาคนของคุณเลย"เธอขี้เกียจที่จะเถียงกับคนอย่างขุนเขา เพราะเถียงยังไงไปก็คงจะไม่มีวันชนะ "เสียงดังอะไรกัน ไอ้ขุนเขา หนูปิ่น"คุณหญิงของบ้านเดินออกมาจากห้องรับแขกเมื่อได้ยินเสียงลูกชายกับลูกสะใภ้ถกเถียงเหมือนกำลังทะเลาะอะไรกันบางอย่าง ก่อนที่คุณหญิงเจ้าของบ้านจะเดินมาหยุดอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งคู่ "มีเรื่องอะไรกันหนูปิ่น เสียงดังกันไปถึงข้างใน" "ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณแม่ ปิ่นก็แค่คุยกับคุณขุนเขาเท่านั้นเองค่ะ" "จริงเหรอตาขุนเ
"พี่จัดการตามที่เห็นสมควรได้เลยครับ" "แกไม่ติดใจอะไรกับผู้หญิงคนนั้นแล้วแน่นะ"ปลายสายถามอย่างต้องการความแน่ใจ "หึ ไม่แล้วล่ะครับ ผู้หญิงแบบนั้นผมคงไม่เหลือแม้แต่ความเป็นเพื่อนร่วมโลกแล้วล่ะครับ"นัยน์ตาอ่อนแสงมองแผ่นหลังขาวนวลของผู้เป็นภรรยา ริมฝีปากหยักหนาขยับพูดกับคนในที่อยู่ในสายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก "แกใจเด็ดมากเลยรู้ไหมขุนเขา ฉันล่ะยอมรับในตัวของแกจริง ๆ " "อะไรที่ทำให้พี่คิดแบบนั้นครับ"ดวงตาคมกริบยังคงทอดมองไปยังร่างอุ้ยอ้ายของภรรยาที่กำลังอุ้มท้องลูกชายวัยเจ็ดเดือนของเขาอยู่ ใบหน้าสวยของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวานเมื่อได้ออกมาเที่ยวพักผ่อนหลังจากนอนอุดอู้อยู่แต่บ้านเพราะด้วยอาการแพ้ท้องมาหลายเดือน สองเท้าเรียวเล็กถูกสวมด้วยรองเท้าแตะสีเดียวเข้ากับชุดคลุมสีขาวเดินก้าวไปตามหาดทายสีขาว ด้านหน้าของเธอนั้นคือท้องทะเลสีครามกับบรรยากาศในช่วงเย็น และอีกไม่กี่นาทีดวงตะวันก็คงจะลาลับขอบฟ้าก่อนจะเปลี่ยนท้องฟ้าให้เป็นแสงจันทราแทน "ไม่รู้สิ แต่ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นก็คงยังมีความรู้สึกดี ๆ หลงเหลือให้กับแฟนเก่าอยู่บ้าง" "ความรู้สึกพวกนั้นมันตายจากผมไปหมดแล้วครับ ตั้งแต่เรื่องที่เ
ความเงียบยังคงปกคลุมภายในห้องรับแขกเมื่อทั้งสองครอบครัวต่างนั่งมองหน้าสบตากันด้วยความหนักใจ เห็นแต่จะมีเพียงขุนเขาคนเดียวที่นั่งกระสับกระส่ายอย่างคนร้อนรุ่มอยู่ในใจ "ทุกคนเงียบกันทำไมครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่มีความคิดที่จะหย่ากับปิ่นเลยสักนิด ทุกคนก็รู้ ปิ่นเองก็รู้ดีว่าผมรักปิ่น"แววตาของเขาฉายแววแน่วแน่ยามเมื่อลอบมองเธอ "ขุนเขา ใจเย็น ๆ แล้วฟังหนูปิ่นพูดก่อนนะลูก" "เมียกำลังจะขอหย่าจะให้ผมใจเย็นได้ยังไงครับแม่"คุณหญิงกิ่งกาญจน์ถึงกับมีสีหน้าหนักใจ ไม่รู้วันนี้ลูกชายของตัวเองไปกินอะไรผิดสำแดงมา ถึงค้านหัวชนฝาไม่ฟังความอะไรเลย "ไอ้ขุน พ่อว่าแกใจเย็น ๆ ตามที่แม่แกบอกก่อนนะ แกเงียบปากให้หนูปิ่นได้พูดอะไรบ้าง แกเอาแต่แหกปากโวยวายแล้วหนูปิ่นจะมีโอกาสพูดได้อย่างไร" "พ่อไม่เป็นผมพ่อไม่เข้าใจหรอกว่าการที่จะต้องถูกเมียทิ้งมันเจ็บปวดขนาดไหน" "เห้อ อาการหนักแล้วลูกกู"เจ้าสัวรังสิมันต์ถึงกับถอนหายใจออกมาพร้อมกับส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับการคิดเองเออเองของเจ้าลูกชาย "ขุนเขาลูก นั่งลงก่อนนะคะเด็กดี"คำพูดเปรียบดั่งสายน้ำเย็นเฉียบของคุณหญิงเพียงเพ็ญทำเอาคนเจ้าอารมณ์เริ่มสงบนิ่งลง เธอรู้ดีว่าการ
คำบอกรักในคืนวันนั้นก่อเกิดเป็นความรักอันแสนเปี่ยมล้นในวันนี้ ช่วงเวลาชั่งพัดผ่านไปเร็วเสียจริง ๆ แต่ก็นั่นเถอะความรักของทั้งเขาและเธอก็ยังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ความกังวลหายไปจากใจเมื่อความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายถูกเปิดเผยกันออกมาอย่างหมดเปลือก ความรู้สึกของทั้งคู่ที่คิดตรงต่อกันนั้นมันทำให้ทั้งสองเปิดใจศึกษาเรียนรู้การใช้ชีวิตคู่มากยิ่งขึ้น ดวงตากลมโตมองแท่งสีขาวที่อยู่ในมือ ไออุ่นไร้รูปร่างที่ไม่อาจจะบรรยายได้เอ่อล้นขึ้นมาเติมหัวใจทีละเล็ก ขีดสีแดงสองขีดนั้นมันทำให้คนที่กำลังจะได้เป็นแม่ถึงกับน้ำตาเอ่อคลอ ฝ่ามือเรียวเล็กอันสั่นเทาค่อย ๆ ยกขึ้นมาวางนาบบนหน้าท้องแบบราบซึ่งตอนนี้กำลังมีเจ้าก้อนความรักของเธออยู่ในนั้น หลังจากความเลวร้ายผ่านพ้นไป ชีวิตเธอก็เปรียบเหมือนเจ้าหญิงในนิยายที่มีเจ้าชายคอยดูแลเป็นอย่างดี ใครเล่าจะคิดว่าผู้ชายไม่เอาไหนอย่างขุนเขา จะเข้าไปบริหารงานในบริษัทจนทำให้ตอนนี้ตนเองเป็นที่ยอมรับของคณะกรรมการและผู้บริหารคนอื่น ๆ เมื่อเขาสามารถทำให้มูลค่าของกำไรไตรมาสของปีนี้เพิ่มขึ้นได้อีกเท่าตัว นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง สร้างความภูมิใจให้กับเจ้าสัวรังสิมันต์แ
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ห้ะ แล้วนี่พี่มาเมืองไทยเมื่อไหร่ทำไมไม่บอกผม"ฝ่ามือหนายกขึ้นมาเท้าสะเอว น้ำเสียงติดเข้มเอ่ยถามลูกพี่ลูกน้องของตัวเองที่ยืนเก๊กหล่อจิบเหล้าอย่างสบายใจ "ก็แค่มาพักผ่อน อีกสองสามวันเดี๋ยวก็กลับ" "อย่ามาโกหก คนที่มีงานกองเป็นภูเขาจนท่วมหัวอย่างพี่น่ะหรือจะมีเวลามาพักผ่อน"ดวงตาคมกริบมองพี่ชายด้วยสายตาจับผิด คนอย่างเซบาสเตียนเจ้าพ่อมาเฟียนะหรือมีเวลาว่างมาพักผ่อนถึงเมืองไทย ใครจะไปเชื่อลง "ตั้งแต่มีเมียรู้สึกว่าแกฉลาดมากขึ้นเลยนะขุนเขา" "นี่พี่คงไม่กำลังหลอกด่าผมอยู่ใช่หรือเปล่า" "ก็แล้วแต่แกจะคิด"เซบาสเตียนยกไหล่ทั้งสองข้าง ฝ่าเท้าใหญ่ก้าวมายังโซฟาสีขาวตรงกลางห้อง ร่างกำยำกระแทกตัวนั่งลงจิบเหล้าในแก้วอย่างสบายใจ ต่างจากน้องชายอีกคนที่ยืนมองเขาหน้าตูม "พี่ใช่ไหมที่เป็นคนส่งข้อความบ้า ๆ นั่นไปหาผม" "ใช่ ฉันเป็นคนส่งไปเอง"คำตอบของเซบาสเตียนทำเอาอารมณ์ของขุนเขาเดือดพล่าน ขายาว ๆ ทั้งสองข้างก้าวมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าด้วยสายตาโกรธเคืองอย่างถึงขีดสุด มือที่ถือปืนถึงกับเกิดอาการสั่นจนทำเขาต้องควบคุมมันเอาไว้ "แล้วตอนนี้เมียผมอยู่ที่ไหน พี่ได้ทำอะไรเธอหรือเปล่า" "แ
"พวกโง่ แค่เมียกูคนเดียวยังไม่มีปัญญาหาเจอ"ใบหน้าสง่างามของขุนเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย แววตาเกรี้ยวกราดกวาดมองลูกน้องของตัวเองที่เรียงแถวยืนก้มหน้าไม่กล้าสบสายตา ภายในห้องรับแขกชั่งร้อนระอุดังกับมีเปลวเพลิงสุมอยู่ เหล่าลูกน้องแทบจะก้มหน้าจนติดกับพื้น เมื่อเจ้านายตัวเองมองพวกเขาราวกับจะฉีกออกเป็นชิ้น ๆ "พวกผมขอโทษครับนาย แต่แถวนั้นมืดมากเราไม่สามารถเห็นรถต้องสงสัยหรือว่าสิ่งที่น่าเป็นพิรุธได้เลยครับ" "ดึกแบบนั้นมันจะมีรถกี่คันวิ่งออกจากโรงแรมล่ะไอ้พวกโง่ ไปเลยนะพวกมึงไปตามหาตัวของเมียกูให้เจอ ถ้าพวกมึงไม่เจอก็อย่ากลับมาให้กูเห็นหน้าอีก"สีหน้าดุร้ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของเราลูกน้อง ทำเอาการ์ดนับสิบต้องรีบวิ่งออกไปจากห้องรับแขก "ไอ้พวกโง่"ร่างหนาใหญ่กระแทกตัวลงนั่งลงบนโซฟาอย่างกลัดกลุ้มใจ เพราะไม่รู้ว่าเมียของเขาหายตัวไปไหน เดินกลับมาที่รถก็เห็นข้าวของมากมายหล่นกระจายอยู่ข้างรถ ไร้วี่แววของคนเป็นภรรยา ในใจมันร้อนรุ่มกลัวว่าอีกคนจะเป็นอะไรหรือจะได้รับอันตราย จนต้องเกณฑ์ลูกน้องออกตามหา แต่มันก็ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน เพราะมุมจอดรถของเขากล้องวงจรปิดดันมาเสีย แถมลานจอดรถตอนนั้นยังไร้
ย้อนกลับไป ยามรุ่งเช้าของวันเดียวกัน ณ โกดังท่าเรือส่งสินค้า ของ ตระกูล สุริยะศิวา ซ่า น้ำสีขุนถังใหญ่ถูกสาดลงไปบนร่างเย้ายวนของคนหลับใหลอยู่บนพื้น ความเย็นบวกกับกลิ่นเหม็นทำให้คนที่นอนหลับอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ กรี๊ด "อ๊าย นี่มันอะไรกับเนี่ย ไอ้พวกบ้าพวกแกเล่นอะไรกัน"เสียงกรีดร้องโวยวายตามเมื่อได้ลืมตาตื่น ร่างเปียกปอนลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลำบากเพราะว่ามือทั้งสองข้างถูกจับไขว้หลังมัดติดกันเอาไว้ กรี๊ด "นี่มันอะไรกัน พวกแกมันฉันไว้ทำไม แก้มัดฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ"น้ำเสียงเกรี้ยวกราดตวาดใส่ชายชุดดำร่างใหญ่ ซึ่งเธอจำได้ว่าคนพวกนี้เป็นลูกน้องของเซบาสเตียน "เซบาสเตียน คุณอยู่ที่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ"นี่เขาต้องการเล่นบ้าอะไรกันทั้งที่ตกลงกันไว้แล้วว่าหลังจากได้ตัวของปิ่นมุกก็จะปล่อยเธอไป "จะเสียงดังไปทำไมกัน ไม่เจ็บคอหรือไง" "นี่คุณกำลังเล่นตลกอะไรกับฉันอยู่ แก้มัดฉันเดี๋ยวนี้เลยนะเซบาสเตียน"ดวงตาดุร้ายจ้องมองไปยังชายร่างกำยำที่เดินออกมาจากมุมมืด แววตาดุร้ายแฝงไปด้วยความอำมหิตโหดเหี้ยมมันทำให้คนแหกปากร้องในตอนแรกสะดุ้งด้วยความหวาดกลัว แววตานี้มันเหมือนกับแววตาที่เขาให้มอ
เปลือกตาอันแสนหนักอึ้งค่อย ๆ เปิดขึ้นหลังจากหลับใหลมาร่วมหลายชั่วโมง ความเจ็บตรงบริเวณท้ายทอยทำให้เปลือกตาบางต้องปิดลงอีกครั้งก่อนจะเปิดขึ้น เพดานขาวสะอาดตา คือสิ่งแรกยามเมื่อเปิดเปลือกตาเห็น กลิ่นอายภายในห้องนอนของบุรุษเพศมันทำให้เธอต้องดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ภายในห้องนอนตกแต่งด้วยสีขาวสะอาดตาแต่ยังคงแฝงไปด้วยความหรูหราชนิดที่ว่าเธอต้องอ้าปากค้าง ริมฝีปากเรียวเล็กขบเม้มเข้าหาสายตากวาดมองไปทั่วทั้งห้อง ที่นี่มันไม่ใช่ห้องของเธอ และมันก็ไม่ใช่ห้องของขุนเขา แล้วนี่มันเป็นห้องของใครกัน ดวงตากลมโตฉายแววสงสัยอย่างปิดไม่มิด เธอจำได้ว่าหลังจากเสร็จงานเธอกำลังเอาของมาเก็บที่รถของขุนเขา แล้วก็โดนชายชุดดำพร้อมกับร่างของม่านรุ้งเข้ามากระชากแขนแล้วหลังจากนั้นก็ไม่สามารถจำอะไรได้อีกเลยทุกอย่างมันดับมืด รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ในห้องนอนของใครก็ไม่รู้ แกร๊ก แอด "ตื่นแล้วเหรอคะคุณผู้หญิง"ผู้หญิงในชุดแม่บ้านเดินเข้ามาในห้องนอนอย่างที่ปิ่นมุกไม่ได้ทันตั้งตัว ความกลัวมันทำให้เธอต้องขยับตัวถอนหนีจนแผ่นหลังแนบชิดติดกับหัวเตียง ดวงตากลมโตมองแม่บ้านสาวด้วยความหวาดระแวง "ไม่ต้องกลัวดิฉันหรอกค่ะ ดิฉันไม่มีวันคิ
สายตาฉ่ำหวานทอดมองไปยังชายหนุ่มรูปหล่อ ริมฝีปากกระตุกยิ้มใบหน้าหวานเชิดขึ้นเพราะคิดว่ายังไง ๆ ชายหนุ่มก็คงยังไม่หมดรักเธอ และเขาก็จะกลับมาหาเธอตามที่เคยได้สัญญาเอาไว้ ถึงจะมีข่าวในทางไม่ดีออกมาขุนเขาก็ต้องรับในตัวตนของเธอได้ ใช้มารยาหลอกล่อนิด ๆ หน่อยคนโง่งมงายก็เชื่อคำพูดหวาน ๆ ง่ายดายเหมือนกับอดีตที่แล้วมา 'แต่เธอคงจะลืมไปแล้วว่า กาลเวลาเปลี่ยนไปก็ทำให้ใจคนเปลี่ยนไปเหมือนกัน' "เราไปจากตรงนี้ดีกว่าครับปิ่น ผมได้กลิ่นไม่ค่อยจะดี"ฝ่ามือหนาเอื้อมไปคว้ามือเรียวเล็กกุมเอาไว้ นัยน์ตาสีดำสนิทสาดแววลุ่มลึกจ้องมองหน้าหญิงสาวอีกคนอย่างไร้ความรู้สึกอีกต่อไป "จะรีบไปไหนละคะขุน ไม่ดีใจหรือยังไงคะที่รุ้งกลับมา"สองเท้าบนส้นสูงขนาดห้านิ้วก้าวขายาวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาทอประกายวาววับราวกับไข่มุกกวาดมองไปทั่วทั้งร่างกายกำยำ ฝ่ามือเรียวเล็กหมายจะเอื้อมไปแตะแขนล่ำซำแต่ก็ถูกฝ่ามือใหญ่ปัดออกไป ใบหน้าหล่อเหลาแสดงท่าทีรังเกียจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาม่านรุ้งถึงกับหน้าซีกเผือก แขกในงานเริ่มหันมามอง ทำเอาม่านรุ้งต้องรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าโดยทันที "ไม่เอาสิคะขุน อย่าทำกับรุ้งแบบนี้สิคะ ไม่น่ารักเ
ห้องบอลรูมขนาดใหญ่ถูกออแกไนซ์ชื่อดังเนรมิตงานเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ออกมาได้ตามความต้องการของผู้จัดงาน ด้านหน้าของงานจะมีหุ่นจำลองโดยมีชุดเสื้อผ้าหลากหลายรูปสวมทับมันเอาไว้ เสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ของปีนี้ตอบโจทย์คุณผู้หญิงทุกช่วงวัย มีทั้งของวัยรุ่นทั่วไป วัยทำงาน และปีนี้เธอต้องการวางแผนพุ่งเป้าไปยังเหล่าคุณหญิงคุณนายที่มีอายุแค่ยังคงรักความสวยงาม ไลฟสไตล์เสื้อผ้าของปีนี้เธอจะมีทั้งแนวสาวหวาน และแนวผู้หญิงชอบแต่งตัวลุ๊คเซ็กซี่ยังคงมีความหรูหราแอบแฝง แขกทุกคนต่างมองชุดเหล่านั้นด้วยความสนใจ เพราะทุกครั้งเจ้าของแบรนด์จะออกแบบชุดออกมาอย่างไม่ซ้ำใคร และครั้งนี้เองก็เช่นกัน ปิ่นมุกถือว่าเป็นผู้นำด้านเสื้อผ้าคนหนึ่งของประเทศไทยในตอนนี้ ซึ่งกว่าเธอจะมายืนอยู่ถึง จุดจุดนี่มันไม่ได้ง่าย ต้องผ่านอะไรมามากมายจนบางครั้งเธอรู้สึกเหนื่อย แต่ด้วยใจรักจึงต้องฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้นจนได้มามีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเองดั่งทุกวันนี้ 'หนูปิ่นมุกนี่เก็งจังเลยนะ ออกแบบเสื้อผ้าได้สวยเชียว เห็นทีดิฉันต้องไปสมัครเป็นลูกค้าประจำเสียแล้วสิ' 'นั่นสิคะ ดิฉันเห็นแล้วอยากจะกวาดซื้อไปให้หมดเลยค่ะ สวยทุกชุดเลย