เข้าสู่วันที่สี่ของการหยุดพักผ่อน พิธานใช้ชีวิตอยู่แค่ในเพนท์เฮ้าส์อย่างที่บอกกับดอกแก้วไว้จริงๆ กิจกรรมในแต่ละวันของเขามีแค่กิน ดูหนัง ว่ายน้ำ ยกเวท รังแกดอกแก้ว แล้วก็นอน เขาไม่แตะมือถือ ไม่แตะไอแพด ไม่แตะเอกสารอะไรทั้งนั้น ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิงเช้าวันนี้พิธานตื่นขึ้นมาพร้อมกับที่นอนอีกข้างที่ว่างเปล่า แทนที่จะตกใจ แต่เขากลับหัวเราะแผ่วๆ ขนาดเมื่อคืนเขารังแกจนดอกแก้วหลับคาอก แต่พอเช้ามาเธอก็ยังตื่นนอนก่อนเขาอยู่ดี ตัวก็แค่นี้ ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนอนเล่นอย่างคนว่างงานอยู่ซักพักพิธานก็ได้ฤกษ์ลุกจากที่นอน ร่างกายแกร่งที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเปลือยท่อนบน อวดสีผิวแทนและร่องรอยที่ดอกแก้วฝากเอาไว้ประปราย เขาลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจจนกล้ามหน้าท้องขึ้นเป็นลอน ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้องไปเพนท์เฮ้าส์ของพิธานมีขนาดชั้นครึ่ง กว้างกว่าสี่ร้อยตารางเมตร ใหญ่เทียบเท่ากับบ้านราคาหลายสิบล้าน แต่เพราะพิธานไม่ชอบบ้านเดี่ยว เขาจึงใช้ชั้นสูงสุดของตึกบริษัทเป็นบ้านพักแทน และเพราะที่นี่เป็นบ้านหลังเดียวที่เขามีอยู่ เขาจึงสร้างทุกอย่างที่ต้องการไว้จนครบครัน ทั้งสระว่ายน้ำ ยิมขนาดเล็ก ห้องเธีย
“เสี่ยคะ เปิดประตูให้ดอกแก้วได้ไหม?” มือเรียววางทาบลงบนประตูเนื้อดี เธอส่งเสียงอ้อนวอน แต่ก็ไร้การตอบกลับจนหัวใจวูบโหวง “ดอกแก้วขอโทษ อย่าโกรธดอกแก้วเลยนะคะ”เงียบดอกแก้วพยายามฟังเสียงจากภายในว่ามีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นบ้างหรือไม่ แต่ทุกอย่างกลับเงียบสนิท เหมือนกับว่าคนที่เธอตามหาไม่ได้อยู่ในนั้นแต่เธอรู้ว่าเขาอยู่เสี่ยอยู่ในนั้น ทั้งยังปิดประตูล็อคอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เสี่ยคงโกรธเธอมาก โกรธจนไม่อยากเห็นหน้ากัน โกรธจนไม่อยากให้เธอเข้าใกล้ หรือถ้าร้ายแรงที่สุด... เสี่ยอาจจะยกเลิกความสัมพันธ์ของเรา และถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ เธอคง...คิดถึงตรงนี้ดอกแก้วก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดปากแน่น น้ำตาที่เพิ่งบังคับให้หยุดรินไหลลงมาอีกครั้ง ดอกแก้วยอมรับว่าตอนนี้เธอกลัวจับใจ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เธอจะไม่ขัดใจเสี่ย จะยอมมาอยู่ที่นี่แม้ว่าซักวันหนึ่งจะต้องย้ายออกไป...“ฮึก!”เสียงสะอื้นดังลอดฝ่ามือที่ปิดไว้จนได้ ดอกแก้วกลั้นเสียงจนตัวสั่น เธอไม่มีแรงเดินไปที่อื่น แต่เธอก็ไม่อยากให้เสี่ยรู้ว่าเธอกำลังร้องไห้ แต่เมื่อแรงสะอื้นมันมากขึ้นจนทนไม่ไหว ร่างขาวผ่องจึงทิ้งตัวนั่งลงย
นับตั้งแต่ที่พิธานขาดแม่ เขาก็แทบไม่รู้จักคำว่าขี้เกียจเลยซักครั้งพิธานจำได้ว่าตัวเองทั้งเรียนและทำงานไปด้วยหลังจากกลับไปอยู่ที่อิตาลี อยู่ที่ไทย ครอบครัวของเขามีฐานะพอมีพอกินไม่ขัดสน อยากได้อะไรก็ได้ อยากกินอะไรก็กิน แต่พอกลับไปอยู่อิตาลี เขาและพ่อก็เปลี่ยนสถานะเป็นยากลำบากในทันที ค่าเรียนของเขา ค่าครองชีพ ค่าอาหาร ค่าเช่าอพาร์ทเมนท์ ทุกอย่างราคาแพงกว่าที่ไทยหลายเท่า เงินจากการขายบ้านอาจจะเพียงพอสำหรับหนึ่งปี แต่ถ้ามากกว่านั้นความเป็นอยู่อาจจะเข้าขั้นขัดสนพ่อของพิธานเคยเป็นพนักงานระดับบริหารที่โรงแรมห้าดาวในไทย แต่พอกลับมาอิตาลี งานในตำแหน่งเดิมมันไม่ได้หาง่ายขนาดนั้น แต่นับว่าโชคดีที่พ่อของเขาเป็นคนหนักเอาเบาสู้ ยอมเริ่มต้นจากตำแหน่งเล็กๆ อีกครั้ง พิธานเห็นแบบนั้นก็รู้สึกนับถือและเอาเป็นแบบอย่าง เมื่อโตขึ้นมาอีกหน่อย พิธานก็หางานพาร์ทไทม์ทำ เขาทำตั้งแต่เด็กเสิร์ฟยันพนักงานส่งของ ทำทุกอย่างที่ได้เงิน และงานสุดท้ายในฐานะเด็กพาร์ทไทม์ของเขาก็คือพนักงานในร้านน้ำหอมนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาหันมาทำบริษัทน้ำหอมเป็นของตัวเอง เขาตัดสินใจกลับมาที่ไทย ติดต่ออาและญาติบางส่วนที่ยังหลงเหลื
“คุณเกว ท่านอยู่ไหมครับ?”มาร์คเลือกถามเลขาหน้าห้องของพิธานก่อนที่จะบุ่มบ่ามเข้าไปอย่างเคย วันนี้เจ้านายเขากลับมาทำงานวันแรก เขาเลยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยที่ดี ยกงานมากมายที่ค้างคาเข้าไปให้เจ้านายเซ็นต์จนเต็มโต๊ะ แต่แทนที่จะได้คำชม เขากลับถูกมองด้วยสายตาดุๆ แทนเสียอย่างนั้น และเพราะแบบนี้มาร์คจึงหนีเอาตัวรอด ไปจัดการเรื่องโรงแรมให้คุณซูฮวาตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ไม่รู้ว่าวันนี้เจ้านายเขาไปอารมณ์เสียมาจากไหน ทำอะไรก็ไม่ถูกใจ เข้าหน้าไม่ติดตั้งแต่เขายันเลขาหน้าห้องอย่างคุณเกวลิน“ท่านไม่อยู่ค่ะคุณมาร์ค”“อ้าว” มาร์คอดร้องออกมาด้วยความแปลกใจไม่ได้ คนที่งานท่วมหัวแบบเจ้านายเขาตอนนี้ต้องยังอยู่ในห้องสิ และที่สำคัญ... นี่ยังไม่ถึงช่วงพักกลางวันด้วย“เห็นว่าจะขึ้นไปที่เพนท์เฮ้าส์น่ะค่ะ”“อ้อ...” พอได้ยินคำตอบ มาร์คก็เลิกสงสัยทันที ต่อไปนี้ถ้าเจ้านายของเขาจะทำตัวแปลกๆ ก็คงไม่พ้นมีสาเหตุมาจากคนที่อยู่ข้างบนนั่นแน่ๆ“ท่านฝากเกวบอกคุณมาร์คว่าให้เอาเอกสารที่อยู่ในห้องขึ้นไปให้ด้วย วันนี้ไม่มีประชุม ไม่มีนัดกับลูกค้า ท่านจะทำงานที่เพนท์เฮ้าส์ค่ะ”“ไหงงั้นล่ะ”มาร์คเกือบจะยกมือขึ้นเกาหัวให้เสียบุคลิกภา
เผลอกระพริบตาแค่ครั้งเดียว ดอกแก้วก็กลายมาเป็น ผู้หญิงของพิธาน ได้ครบอาทิตย์แล้วตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาดอกแก้วไม่ได้รู้สึกว่ามันมีอะไรเปลี่ยนไปมากมายเท่าไหร่ เสี่ยยังคงทำตัวเหมือนเดิม ตื่นไปทำงานแต่เช้า เลิกงานเมื่อไหร่ก็มาหาเธอ มีบางครั้งที่หอบงานขึ้นมาทำระหว่างวันบ้างซึ่งเธอคิดว่ามันคงเป็นเรื่องปกติ ถ้าจะต่าง... ก็คงจะต่างกันตรงที่เสี่ยมีเวลาให้เธอมากขึ้น เพราะที่ทำงานและเพนท์เฮ้าส์ที่เธออยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ชั้น เสี่ยไม่ต้องฝ่าการจราจรที่หนาแน่นในกรุงเทพฯ ไปหาเธอที่ชานเมืองเหมือนเมื่อก่อน และเมื่อมีเวลามากขึ้น กิจกรรมระหว่างเธอและเขาก็เพิ่มขึ้นตาม ทั้งได้ดูหนังด้วยกัน ทานมื้อเย็นที่เธอเป็นคนลงมือทำเองทุกวัน และการออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำที่เป็นกิจกรรมโปรดของเธอไปแล้ว เพราะเสี่ยคอยสอนจนเธอว่ายน้ำเป็นในที่สุดดอกแก้วไม่เคยเบื่อที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนตึกสูงแบบนี้ แต่ละวันเธอมีกิจกรรมให้ทำมากมาย หรือถ้าว่างจริงๆ เธอก็หัดทำขนมไปเรื่อยเปื่อย โดยมีคนชิมเป็นเจ้าของเพนท์เฮ้าส์ที่เธออยู่นั่นเองเธอสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าตอนนี้เธอมีความสุขที่สุดในชีวิต มีความสุขจนอยากให้เวลามันผ่านไปช
ขายาวรีบก้าวเร็วๆ ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก เขาเดินดุ่มๆ ไปที่เป้าหมายไม่สนใจสิ่งรอบข้าง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นโบว์ แววตาเต็มไปด้วยความกังวลไอแพดในมือถูกบีบจนแน่น เหงื่อไหลออกมาจนเปียกชื้นแต่เขาไม่สนใจ เขาเพิ่งรู้ข่าวนี้เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า แต่พอเช็กเวลาดู ข่าวนี้ถูกเขียนลงเว็บตั้งแต่เช้ามืดแล้ว“คุณมาร์ค” เลขาสาวอัธยาศัยดีรีบเอ่ยทัก เมื่อเห็นคนคุ้นเคยเดินดุ่มๆ เข้ามาหา “ทานคุกกี้ไหมคะ.. อ้าว?”เกวลินหน้าเหวอไปเมื่อมาร์คไม่แม้แต่หยุดทักทาย เธอมองตามแผ่นหลังกว้างที่ผลุบหายเข้าไปในห้องทำงานของท่านประธานด้วยความงุนงง ก่อนจะหันกลับมามองกระปุกคุกกี้ในมือด้วยแววตาเสียดาย“ไม่เป็นไรนะเจ้าคุกกี้ ผู้ชายก็ไม่ค่อยชอบขนมแบบนี้แหละ แต่ไม่ต้องห่วง เพราะฉันจะจัดการเธอให้เรียบเลยเชียว”พลั่ก!เสียงเปิดประตูดังขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ร่างสองร่างรีบผละออกจากกัน ฝ่ายหญิงหน้าแดงก่ำ ขยับหนีเจ้าของจูบหวานๆ ไปชิดโซฟาอีกฝั่ง ก้มหน้าเงียบไม่ยอมสบตาผู้มาใหม่ ต่างจากฝ่ายชายที่ส่งสายตาอาฆาตมาให้จนคนที่รีบร้อนรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ“มีอะไร?”เสียงเข้มถามอย่างไม่สบอารมณ์ มองลูกน้องคนสนิทด้วยสายตา
พิธานเดินออกมาด้านนอก สายลมพัดสัมผัสกับเรือนร่างอย่างรุนแรงเหมือนพายุเข้า ท้องฟ้าที่เริ่มดำมืดบ่งบอกว่าอีกไม่นานฝนคงเทลงมาเขาหันไปมองคนด้านในที่ยังหลับอยู่อีกครั้ง ก่อนจะยอมกดรับสายที่ลำบากใจในที่สุด“ครับ” พิธานทักทายแค่นั้น ภายในของเขาหนักอึ้ง ไม่ใช่ว่าเขาไร้ทางออก แต่เขาไม่คิดว่าซูฮวาจะติดต่อมาเร็วขนาดนี้เร็วเกินไป เร็วจนเขากลัวว่าทุกอย่างจะผิดแผนไปหมด‘ธานคะ’“ครับ”‘ฉันเห็นข่าว...’“ครับ” พิธานยังคงตอบสั้นๆ เหมือนเดิม เขาไม่ได้อยากกวนประสาทเธอ แต่เขาแค่เหนื่อยทั้งเหนื่อย ทั้งกลัวว่าจะเผลอทำอะไรผิดพลาดลงไปจนคนที่เขารักต้องเสียใจ‘ฝีมือคุณพ่อ’“คุณรู้?” พิธานยอมรับว่าแปลกใจอยู่ไม่น้อย ซูฮวาเหมือนเป็นเด็กหัวอ่อน ใครชักจูงไปทางไหนเธอก็เดินตามไม่อิดออด เขาจึงไม่คิดว่าเธอจะพูดแบบนี้ออกมา‘ฉันรู้ค่ะ รู้ทุกอย่าง’ และเหมือนว่าพิธานจะประเมินผู้หญิงคนนี้ผิดไปหลายจุด ซูฮวาไม่ได้ไร้พิษสงอย่างที่เขาเข้าใจมาตลอด แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป และตั้งใจฟังว่าปลายสายจะพูดอะไรออกมาอีก ‘อาทิตย์ก่อนฉันกลับกรุงเทพฯ ฉันเห็นคุณอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง ดูท่าทางว่าจะเป็นมากกว่าคนรู้จัก’“.....”พิธา
แผนที่วางไว้ล้มไม่เป็นท่าพิธานพับหน้าจอโน๊ตบุ๊คลง เขาเอนหลังพิงเก้าอี้ตัวนุ่ม นิ้วเรียวยกขึ้นบีบขมับของตัวเองแรงๆเขาได้รับเมลตอบกลับจากมิสเตอร์คาร์ลแล้ว อีกฝ่ายไม่ได้ปฏิเสธในทันที นักธุรกิจใหญ่จากฝรั่งเศสตอบมาเพียงว่าขอเวลาพิจารณาอีกครั้งแต่เขารอไม่ได้แล้วบอร์ดบริหารในตอนนี้กำลังกดดันให้เขาประกาศหมั้นกับซูฮวา เพื่อให้ทางมิสเตอร์หวังต่อสัญญากับทางบริษัทโดยเร็ว เพราะโปรเจกต์ใหม่ที่วางไว้ต้องใช้เงินทุนจากผู้ร่วมลงทุน ซึ่งปกติแล้วมิสเตอร์หวังจะเป็นคนช่วยในด้านนี้ทว่าพอสัญญาที่มีจบลง มิสเตอร์หวังก็เริ่มตั้งแง่มากขึ้น เขาไม่ยอมต่อสัญญาง่ายๆ และเอาซูฮวามาเป็นข้อตกลง พิธานไม่ชอบการทำธุรกิจแบบนี้ ที่ผ่านมาเขาและมิสเตอร์หวังเข้ากันได้ดีมาโดยตลอด ไม่จำเป็นต้องมีซูฮวาก็ไม่เคยมีปัญหาแต่ตอนนี้คนมากเล่ห์คนนั้นเริ่มโลภมาก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการดองกับเขา เพื่อที่ตัวเองจะได้เข้ามาหากินในประเทศไทยได้สะดวก มิสเตอร์หวังมองทุกอย่างเป็นเงินและธุรกิจไปหมดจนเขานึกขยาดพิธานรู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองกำลังถึงทางตัน ถ้าหาผู้ร่วมลงทุนที่เม็ดเงินเท่ามิสเตอร์หวังแทนไม่ได้ เขาก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มิสเตอ
ฤกษ์ส่งตัวเข้าหอของพิธานกับดอกแก้วคือสองทุ่มตรง ที่จริงแล้วดาวเรืองหาฤกษ์ที่ดีกว่านี้ได้ แต่เพราะมันดึกเกินไปและพิธานไม่อยากให้คนท้องอ่อนๆ ต้องเข้านอนดึก เขาจึงขอแม่ยายให้หาฤกษ์ใหม่ให้เป็นช่วงหัวค่ำแทน ดังนั้นหลังจากพูดคุยบนเวทีเสร็จแขกที่มาร่วมงานก็ไม่ได้เห็นหน้าบ่าวสาวอีก รวมถึงเด็กๆ ทั้งสองก็มีพี่เลี้ยงพาไปอาบน้ำนอน กลายเป็นว่างานเลี้ยงฉลองงานแต่งที่ยิ่งใหญ่จบลงภายในระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ฝังอยู่ในใจแขกเหรื่อทุกคนไม่รู้ลืมห้องสวีทราคาคืนละสองหมื่นคือห้องหอในค่ำคืนนี้ พิธานกับดอกแก้วนั่งอยู่บนพื้น รอคอยให้ญาติผู้ใหญ่เข้ามาอวยพรก่อนส่งตัวตามพิธี อดีตเสี่ยหนุ่มตื่นเต้นจนมือชื้นเหงื่อ ถ้าตามพฤตินัยพิธานเข้าหอกับภรรยามานับครั้งไม่ถ้วนจนมีตัวน้อยคนที่สามแล้ว แต่ถ้าตามพิธีจริงๆ นี่เป็นครั้งแรก“ตื่นเต้นหรือคะ?” เสียงหวานเอ่ยถามสามี พิธานดูลุกลี้ลุกลนไม่เป็นตัวเองเหมือนเคย ลบภาพนักธุรกิจหนุ่มมาดขรึมไปจนหมด“ตื่นเต้นสิ ดอกแก้วไม่ตื่นเต้นเหรอ?”“ตื่นเต้นค่ะ”พิธานมองภรรยาที่ส่งยิ้มหวานมาให้ เธอบอกว่าตื่นเต้น แต่ท่าทางของดอกแก้วกลับดูปกติ “คงมีแค่คุณพิธานสินะที่อยู่ไม่สุข”
เสียงเปิดประตูห้องน้ำเรียกสายตาจากคนบนเตียงให้หันไปมอง พิธานวางหนังสือที่อ่านอยู่ลง ก่อนจะเดินเข้าไปโอบกอดภรรยาที่ดูอ่อนล้ากว่าปกติหลวมๆ“เหนื่อยมากไหม?”ช่วงนี้เป็นช่วงเตรียมตัวสำหรับงานแต่ง และเพราะงานแต่งที่จะจัดขึ้นไม่ใช่งานเล็กๆ เหมือนที่เชียงใหม่ เพื่อหน้าตาของเจ้าของบริษัทอย่างพิธานจึงทำให้งานที่ควรจะสบายๆ กลับจริงจังขึ้น ข่าวการแต่งงานแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว สื่อหลายสื่อให้ความสนใจทั้งยังขอสัมภาษณ์ราวกับพิธานเป็นดาราดัง แม้จะไม่ชอบใจแต่พิธานก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะการได้พื้นที่สื่อก็มีประโยชน์กับบริษัทของเขามากพอสมควรพิธานเลยจัดการนัดสื่อทั้งหลายให้มาสัมภาษณ์ที่เพนท์เฮ้าส์ โดยมีข้อแม้ว่าเขาอนุญาตให้แต่จะสำนักส่งทีมงานมาได้ไม่เกินสองคนเท่านั้น เพราะกลัวว่าเด็กๆ จะตื่นเพราะเจอคนเยอะเด็กๆ ที่ว่าหมายถึงลูกชายและลูกสาวของพิธานกับดอกแก้ว ส่วนหนึ่งที่สื่ออยากสัมภาษณ์เป็นเพราะเด็กปริศนาสองคนนี้ด้วย พิธานไม่ค่อยพาลูกออกงานที่ไหน และการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ก็จะเป็นการเปิดตัวอย่างจริงจังครั้งแรก“เหนื่อยค่ะ”ดอกแก้วไม่โกหก เธอเหนื่อยเหมือนตัวจะขาด วันนี้เธอต้องไปลองชุดเจ้าสาวที่จะใช้ในงานทั้งห
สามปีต่อมา.“พี่ดล ไหนกระเป๋าที่คุณยายให้คับ?”“นี่คับ!”“น้องดาว ชุดที่คุณปู่ซื้อให้ไม่อึดอัดเกินไปใช่ไหมคะลูก?”“ม่ายค่า”“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นเราไปรอแด๊ดดี้กับคุณแม่ที่รถกัน”“เย้ๆ”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของสองเด็กและสองผู้ใหญ่เงียบหายไป แทนที่ด้วยเสียงหัวเราะของคนเป็นพ่อและแม่ ดอกแก้วที่กำลังเก็บของชิ้นสุดท้ายใส่กระเป๋าส่ายหน้าไปมาด้วยความเอ็นดู ส่วนพิธานเองก็อมยิ้มเพราะเสียงสดใสของลูกๆ ที่เป็นเหมือนยาวิเศษช่วยเติมเต็มพลังชีวิตให้กับเขาแค่ตื่นมาแล้วได้ยินเสียงลูกทุกวัน แค่นี้คนเป็นพ่อก็มีความสุข มีแรงทำงานได้ทั้งวันแล้ว“คุณลืมอะไรหรือเปล่าคะ?” เสียงหวานของดอกแก้วเอ่ยขึ้น ดวงตากวางกวาดมองไปทั่วห้องเพราะกลัวว่าจะหลงลืมอะไรวันนี้เธอและครอบครัวจะไปเที่ยวทะเลกัน เป็นครั้งแรกในรอบปีที่มีเวลามากพอจนพาลูกๆ ไปเปิดหูเปิดตาได้ ไม่ใช่ว่าเธอและพิธานงานยุ่งจนไม่มีเวลาว่าง แต่เพราะตอนนี้พนธกรใกล้ขึ้นชั้นประถมหนึ่งแล้ว ส่วนพริบพราวดาว ลูกสาวอีกคนก็เรียนเตรียมอนุบาลอยู่ คนที่ไม่มีเวลาคือเด็กๆ ทั้งสองคนต่างหาก“เหมือนจะลืมนะ”“ลืมอะไรคะ-“ ยังไม่ทันได้ถามจนจบ แก้มใสก็ถูกจมูกโด่งกดลงมาแนบแน่นฟอด!“คุณพิธ
“น้องดล ไหนเรียกแด๊ดเร็วเข้า แด๊ด”“แด๊ะ”“ไม่ใช่ลูก แด๊ด ไม่แด๊ะ”“แด๊ะ”“เฮ้อ...”พิธานหมดแรงจะสอนเจ้าตัวแสบ ร่างสูงทิ้งตัวลงนอนในคอกกั้นที่ปูด้วยพื้นนุ่มสำหรับลูก และเมื่อพนธกรเห็นพ่อนอนหมดแรงอยู่ก็คิดว่าอีกฝ่ายจะเล่นด้วย“อุ่ก! ตัวแสบ ตัวหนักแบบนี้กระโดดลงมาได้ยังไง”“คิก คิก”“หัวเราะงั้นเหรอ? มาให้แด๊ดฟัดพุงซะโดยดีเจ้าอ้วน”“มะ... คิกๆ กรี๊ด!!”เสียงหัวเราะสลับกับเสียงกรี๊ดทำให้คนเป็นแม่อดใจไม่ไหว ดอกแก้วละมือจากงานที่ทำค้างไว้ ก่อนจะเดินมาดูว่าสองพ่อลูกเขาเล่นซนอะไรกันภาพที่เธอเห็นคือร่างใหญ่ของสามีนอนหงายอยู่บนพื้น โดยที่บนตัวมีร่างอวบอ้วนของลูกชายนอนทับอยู่ ใบหน้าคมพยายามก้มลงฟัดพุงเจ้าตัวแสบ และนั่นคือสาเหตุที่พนธกรทั้งหัวเราะและกรี๊ดลั่นบ้านแบบนี้“คุณพิธาน”ดอกแก้วยืนดูซักพัก เมื่อเห็นว่าลูกเริ่มเหนื่อยแล้วจึงเรียกสามีไว้“พอแล้วค่ะ เดี๋ยวคืนนี้น้องดลเก็บเอาไปฝัน”คำเตือนของดอกแก้วทำให้พิธานหยุดชะงักแทบจะทันที ใบหน้าคมบิดเบี้ยวเล็กน้อย เมื่อนึกถึงวีกรรมของลูกชายเมื่ออาทิตย์ก่อนพิธานเป็นผู้ชาย และพนธกรเองก็เป็นลูกชาย การเล่นกับลูกของพิธานจึงค่อนข้างหวาดเสียวตามประสา พิธาน
หลังจากคลอดลูกชายคนแรกได้ห้าวัน ดอกแก้วก็ได้รับอนุญาตจากหมอน้ำให้กลับมาพักที่บ้านได้พิธานยังคงแย้งเหมือนเคย ชายหนุ่มกังวลไปสารพัด ต่างจากดอกแก้วที่อยากกลับบ้านเต็มทน เธอไม่ชอบนอนโรงพยาบาลเท่าไหร่ และเธอก็ไม่ได้เจ็บตรงไหนแล้วด้วยโต้แย้งกันอยู่นานสุดท้ายพิธานก็เป็นคนแพ้ แม้ไม่เต็มใจแต่เขาก็ขัดภรรยาไม่ได้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือขอให้คนเป็นอาช่วยงานอีกซักพัก เพราะตนอยากใช้เวลาอยู่กับลูกในช่วงแรกให้มากเท่าที่จะทำไดใครๆ ก็รู้ว่าเหตุผลที่พิธานพูดนั้นเป็นแค่ข้ออ้าง คุณพ่อมือใหม่ทำราวกับว่าที่ทำงานกับบ้านที่อยู่อาศัยไกลกันมากมาย ทั้งๆ ที่ความจริงห่างกันเพียงไม่กี่ชั้น ใช้เวลาไม่ถึงสองนาทีก็กลับมาหาลูกได้โดยไม่ต้องกระทบกับงานที่ทำ แต่เพราะพิธานกังวลมากเกินไป รวมถึงเห่อลูกชายตัวน้อยที่ยังไม่รู้ความจนไม่อยากไปทำงานก็เท่านั้น“กินเก่งจังเลยลูกชาย”ชายร่างสูงใหญ่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหนุ่ม ตาคมจ้องมองแก้มป่องๆ ที่ขยับขึ้นลงยามที่ได้ดูดกลืนน้ำนมจากมารดา ลูกชายของเขาช่างเลี้ยงง่ายเหลือเกิน นอกจากกินนมเป็นตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว ยังไม่เคยงอแงไม่มีเหตุผลนอกเสียจากเวลาที่ท้องหิวพนธกร ลูกชายของดอกแก้วแล
สัปดาห์ที่สามสิบสอง ดอกแก้วรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าเดิม เธอไม่สามารถเข้าครัวช่วยแม่ทำกับข้าว หรือลุกเดินเร็วๆ ได้เหมือนปกติ และนั่นทำให้จิตใจของคุณแม่อ่อนแอลงคนท้องเจ็ดเดือนลุกเข้าห้องน้ำด้วยความยากลำบาก ดอกแก้วแม้ก่อนตั้งท้องจะไม่ใช่ผู้หญิงผอมบาง ทั้งยังมีเนื้อหนังให้กอดเล่นชื่นใจ แต่ก็นับว่าเป็นผู้หญิงไซส์มินิคนหนึ่ง เมื่อตั้งท้อง ร่างกายเล็กๆ ที่ต้องมารับน้ำหนักของลูกชายที่โตได้โตดีก็พาลให้ปรับตัวไม่ทัน เธอจำได้ว่าเมื่อเดือนก่อนเธอยังใช้ชีวิตได้ตามปกติ ท้องแรกเล็กจนถ้าไม่ใส่เสื้อผ้ารัดรูปคงดูไม่ออก แต่มาเดือนนี้หน้าท้องเธอกลับขยายใหญ่อย่างรวดเร็วจนอึดอัดไปหมด“อึ่ก” ฟันขาวกัดปากตัวเองไว้แน่น ดวงตากลมฉ่ำน้ำมองไปที่ร่างสูงใหญ่ของสามีที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง อาทิตย์นี้พิธานทำงานหนัก แต่ยังต้องคอยตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อพาร่างอุ้ยอ้ายของเธอเข้าห้องน้ำทุกวัน ยิ่งท้องแก่ดอกแก้วก็ยิ่งเข้าห้องน้ำบ่อย พิธานเองก็ตื่นขึ้นมาทุกครั้งที่เธอร้องขอไม่เคยบ่น แต่ดวงตาคู่คมฉายแววเหนื่อยล้าทุกเช้าจนครั้งนี้ดอกแก้วไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลืออีก“คนเก่ง”มือบางลูบหน้าท้องที่ขยับเป็นคลื่นเมื่อคนที่อยู่ภายในป
ช่วงที่อุ้มท้องลูกคนแรก เวลาในแต่ละวันของดอกแก้วช่างผ่านไปเร็วเหลือเกินสัปดาห์ที่สิบหกของการตั้งครรภ์ นันทิดาบอกกับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ว่าช่วงนี้จะสามารถเห็นเพศของเจ้าตัวน้อยได้แล้ว ทั้งดอกแก้วและพิธานจึงลงความเห็นไปในทางเดียวกันว่าจะดูเพศลูกน้อยไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะจะได้เตรียมตัวถูก คุณปู่และคุณยายเองก็เห็นดีเห็นงามด้วยและโชคดีเหลือเกินที่เจ้าตัวน้อยไม่ขี้อายพิธานมองภาพของลูกน้อยด้วยความยินดี สายตาคมเข้มอ่อนลงจนบรรยากาศในห้องตรวจเต็มไปด้วยหมอกไอที่แสนอบอุ่น“ผู้ชาย ดูสิ... เปิดโชว์ไม่อายใครเลยหลานอา”นันทิดาชี้ให้คนเป็นพ่อและแม่ดูเพศของลูก หลานเธอคนนี้ไม่ขี้อาย พอรู้ว่าจะถูกดูเพศก็อวดโชว์สิ่งที่พ่อให้มาราวกับภาคภูมิใจนักหนา“ผู้ชายจริงๆ ด้วย”“ทำไมพูดเหมือนรู้อยู่แล้วคะ?”ดอกแก้วอดถามสามีไม่ได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาพิธานไม่เคยพูดว่าอยากมีลูกเพศไหน ไม่เคยบอกเธอว่าคิดเรื่องเพศของลูกไว้แล้ว เพราะแบบนั้นเธอเลยค่อนข้างแปลกใจ สามีเธอแอบไปคิดมาตอนไหนว่าลูกคนนี้ต้องเป็นผู้ชาย?“จำวันที่เราแต่งงานกันได้ไหม?” พิธานถามกลับ รอจนภรรยาพยักหน้าเล็กน้อยจึงเฉลยออกมา “ที่แม่เฒ่าบอกว่าผู้ชาย ฉันคิดว่าท่
ทุกอย่างเป็นไปตามที่คุณพิธานพูดไว้ไม่มีผิด คุณพิธานบอกว่าเจ้น้ำจะไม่โกรธเธอ และเจ้น้ำก็ไม่โกรธเธอจริงๆ จะมีก็แค่ความตกใจจนพูดไม่ออกไปหลายนาทีหลังจากเธอเล่าเรื่องทุกอย่างจบก็เท่านั้นต่างจากคุณทิม เพื่อนของคุณพิธานที่ดอกแก้วเคยได้เจอมาแล้วครั้งหนึ่ง รายนั้นนอกจากจะไม่ตกใจแล้ว เขายังปรบมือเสียงดังอย่างชอบใจอีก“อะไร” พิธานตวัดสายตาเข้มๆ ไปที่เพื่อน แต่นั่นไม่ได้ทำให้รอยยิ้มของคนทะเล้นหายไป“ฉันปรบมือให้ตัวเอง”“เพื่อ?”“เพื่อชื่นชมความเก่งของตัวเองไง” หนุ่มลูกครึ่งตอบด้วยสำเนียงไทยชัดถ้อยชัดคำ ไม่ยี่หระกับสายตาเอือมระอาของเพื่อน “เดาไว้แล้วไม่มีผิดว่าคนนี้ต้องกลายเป็นตัวจริงของเสี่ยพิธาน”“เลิกเรียกว่าเสี่ยได้แล้ว” พิธานพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ทำไมคนเป็นเพื่อนจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังจริงจังแค่ไหนทีเมื่อก่อนล่ะชอบให้ผู้หญิงมาเรียกเสี่ยคะเสี่ยขา แต่พอมีเมียเป็นตัวเป็นตนเข้าก็สั่งให้เลิกเรียกเด็ดขาดเชียว...“ไม่เสี่ยก็ไม่เสี่ย” ทิมไม่อยากเถียงกับเพื่อ ชายหนุ่มหน้าตาค่อนไปทางตะวันตกหันไปมองภรรยาเพื่อนแทน “ยินดีด้วยนะดอกแก้ว”“ขอบคุณค่ะ”เรื่องที่ทิมแสดงความยินดีไม่ใช่แค่เรื่องความสัมพันธ์ของ
หลังจากจับภรรยาเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเรียบร้อยกว่าเดิมแล้ว พิธานก็จับจูงมือดอกแก้วไปที่ห้องรับประทานอาหาร เมื่อเปิดประตูเข้าไปเขาก็พบว่าทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งแด๊ดของเขาที่กำลังนั่งคุยกับอาพัลลภอย่างออกรสเพราะไม่ได้เจอหน้ากันมานาน แม่ดาวเรืองที่กำลังตักข้าวให้ทุกคน รวมถึงเกวลินที่วันนี้แปลงร่างเป็นลูกมือของแม่ดาวเรืองหนึ่งวัน“ธานมาแล้ว” อาพัลลภพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าหลานชายจูงมือผู้หญิงอีกคนเข้ามา ชายวัยกลางคนพยักหน้ารับเบาๆ เมื่อดอกแก้วยกมือขึ้นไหว้ “นี่เหรอหลานสะใภ้?”“อาครับ อย่าทำเสียงดุสิ”“อาก็พูดปกตินะธาน” พัลลภเถียง เขาสาบานว่าเขาไม่ได้ทำเสียงดุเลยแม้แต่นิดเดียว แต่แม่หนูคนนั้นกลับไม่กล้าสบตาเขา แถมยังหลบอยู่ด้านหลังของพิธานไม่ยอมโผล่หน้าโผล่ตาออกมาอีก“ช่วงนี้ฮอร์โมนของดอกแก้วเขาแปรปรวนน่ะลภ เขาอ่อนไหวง่าย” คนเป็นพี่ชายกระซิบบอกน้อง พัลลภพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะปรับเสียงให้อ่อนลงกว่าปกติ“หนูดอกแก้ว ไม่ต้องกลัวอานะ อาใจดีกว่าพิธานเยอะ ไม่เชื่อถามเกวลินสิ”“อาครับ” พิธานโอดครวญ เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็นอย่างดี รวมถึงดอกแก้วที่เริ่มหายกลัวด้วย“มานั่งนี่สิดอกแก้ว