มู่หรงยิ่นถูกเจียงจั่วเฟิงกับโค่วหยวนซันคุ้มครองกลับมาถึงบ้าน“ยิ่นเอ๋อร์ ลูกไม่ใช่ไปเจรจากันเฉินเทียนหาวหรือ? เกิดอะไรขึ้น?”มู่หรงจางถาม“เฉินเทียนหาวเจ้าคนต่ำช้านั่น ฉากหน้าทำเป็นรับปากจะเจรจา แต่กลับวางกับดักลอบสังหารไว้กลางทางค่ะ” มู่หรงยิ่งพูดอย่างโมโหยิ่ง“แล้วคุณหลินล่ะคะ?”มู่หรงหว่านเอ๋อร์ไม่เห็นหลินหยาง จึงรีบถาม“เฉินเทียนหาวส่งปรมาจารย์สองคนมาซุ่มโจมตีระหว่างทาง ปรมาจารย์โค่วสู้ไม่ได้จนได้รับบาดเจ็บ คุณหลินลงมือขัดขวางเพื่อถ่วงเวลา พวกเราเลยสามารถถอยออกมาได้อย่างปลอดภัย ตอนนี้ฉันก็กังวลเรื่องความปลอดภัยของคุณหลินมากเหมือนกัน”มู่หรงยิ่นกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลมู่หรงหว่านเอ๋อร์เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็รีบพูดว่า “อย่างนั้นคุณหลินจะเป็นอันตรายไหมคะ?”ในเวลานี้ โค่วหยวนซันก็พูดขึ้นมาว่า “ก่อนหน้านี้เป็นผมประเมินความสามารถของเขาต่ำไป เขาน่าจะเป็นปรมาจารย์ระดับสามเช่นกัน อายุยังน้อยกลับมีระดับขนาดนี้ หาได้ยากนัก” “แต่ว่า ผมนึกฐานะของสองพี่น้องคู่นั้นออกแล้ว เป็นมฤตยูม่วงขาว ทั้งสองคนต่างก็เป็นปรมาจารย์ขั้นสาม ในอดีตเคยร่วมมือกันสังหารปรมาจารย์ขั้นสี่ด้วย หล
“ท่านผู้ว่า แบบนี้เกรงว่าคุณหลินคงจะประสบภัยร้ายมากกว่าดีแล้ว ไม่อย่างนั้น พวกเรายังคงไปดูหน่อยดีไหมครับ?”หลินหยางเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขา เฉินเค่อหมิงจึงกังวลเป็นอย่างมาก“ฉันได้ยินว่าคนที่ชื่อหลินหยางนั่น เคยช่วยชีวิตคุณครั้งหนึ่ง?” เหยียนหรูอวี้ถามเฉาเค่อหมิงก็ไม่กล้าปิดบัง เหยียนหรูอวี้จึงกล่าวว่า “ทุกคนล้วนมีชะตาของตน เมื่อเขากล้าทำร้ายลูกชายของเฉินเทียนหาวจนบาดเจ็บ ก็ควรคิดได้แล้วว่าจะมีผลลัพธ์แบบนี้ กับเรื่องนี้ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพียงแต่ สองมฤตยูม่วงขาวฆ่าคนกลางถนน ลงมืออย่างอำมหิต สร้างผลกระทบที่เลวร้ายอย่างมาก เรื่องนี้ไม่อาจไม่สนใจ” เรื่องมาถึงขั้นนี้ เหยียนหรูอวี้แสดงออกอย่างชัดเจนว่า ไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างตระกูลเฉินและตระกูลมู่หรงเหยียนหรูอวี้กล่าวกับเลขาทันทีว่า “แจ้งหน่วยรักษาความปลอดภัยประจำเมืองให้ตรวจค้นทั่วเมือง คนร้ายฝีมือโหดเหี้ยมอำมหิต อนุญาตให้หน่วยรักษาความปลอดภัยประจำเมืองสามารถวิสามัญได้ทันที” “คนร้ายระดับปรมาจารย์ เกรงว่าหน่วยรักษาความปลอดภัยประจำเมืองคงรับมือไม่ไหวกระมังค่ะ? กลับจะเพิ่มการบาดเจ็บล้มตายด้วย จะขอความช่วยหร
หลินหยางคำรามเสียงต่ำออกมาครั้งหนึ่ง ส่วนโฉวเยี่ยจื่อนั้นหมดสติไปนานแล้ว ราวกับได้ตายไปแล้วในตอนนี้ หลินหยางก็ค่อยๆ คืนสติกลับมาเช่นกัน เขาจับชีพจรของโฉวเยี่ยจื่อครั้งหนึ่ง จึงได้มั่นใจว่าเธอยังไม่ตาย เพียงแต่สลบไปเท่านั้นแม้แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่า เขาจะสูญเสียการควบคุมตนเองไปอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้แต่สำหรับโฉวเยี่ยนจื่อ เขากลับไม่มีความรู้สึกผิดในใจแม้แต่น้อยหลินหยางไม่ได้ลงมือสังหารโฉวเยี่ยจือ รอให้หน่วยรักษาความปลอดภัยของเมืองมาจับไปจัดการก็พอ“เห็นแก่ที่เธอช่วยชีวิตฉินโม่หนงไว้ครั้งหนึ่ง ตอนนี้ฉันจะไม่ฆ่าเธอ” โฉวเยี่ยจื่อที่เป็นปรมาจารย์ระดับสามยังหมดสติแทบตายไปครึ่งหนึ่ง หลินหยางเดาได้ว่า หากเป็นฉินโม่หนง ผลลัพธ์คงเลวร้ายเกินจินตนาการโฉวเยี่ยจื่อจึงเท่ากับได้ช่วยชีวิตฉินโม่หนงไปครั้งหนึ่งหลินหยางเก็บกวาดที่เกิดเหตุจนสะอาด ถอดเสื้อตัวนอกคลุมลงบนร่างโฉวเยี่ยจื่อ แล้วจากศาลเจ้าลั่วไปอย่างรวดเร็ว“ดูท่าวันหลังไม่อาจร้อนใจในความสำเร็จ จนดูดซับพลังของหญ้าน้ำลายมังกรมากเกินไปในครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นพลังหยางมากเกินไป จะทำให้ยากที่จะควบคุม” หลินหยางได้ตระหนักถึงผลลัพธ์ของการฝึ
“เธอบังอาจนัก!”โค่วหยวนซันโมโหอย่างมาก“เธอเป็นแค่คนในสาขาย่อยของตระกูลเท่านั้น ถึงกับกล้าไม่ให้เกียรติแขกพิเศษของตระกูลเช่นนี้!”“ก็ดี มฤตยูม่วงขาวนั้นฆ่าหลินหยางไปแล้ว เกรงว่าคงตามฆ่ามาถึงที่บ้านเช่นกัน พวกเธอก็รอความตายเถอะ ปรมาจารย์อย่างฉันจะจากไปเดี๋ยวนี้” โค่วหยวนซันหัวเราะเยาะหยันครั้งหนึ่ง เตรียมจะสะบัดแขนเสื้อจากไป“ปรมาจารย์โค่วโปรดระงับโทสะเถิดครับ! ยิ่นเอ๋อร์เพราะเป็นห่วงคุณหลิน จึงได้เสียมารยาทไปชั่วขณะ”มู่หรงจางก็กังวลว่าเฉินเทียนหาวจะนำคนบุกมาถึงบ้านเช่นกัน โค่วหยวนซันเป็นปรมาจารย์ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวแล้ว“พ่อคะ พ่อปล่อยเขาไปเถอะค่ะ! ถ้ามฤตยูขาวม่วงบุกฆ่ามาถึงบ้านจริงๆ เขาจะอยู่หรือไม่ ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน”“พี่สาวของหนูพูดถูก! หนูว่าเขาก็แค่กลัวตาย กลัวว่าเฉินเทียนหาวจะบุกมา ถึงได้หาข้ออ้างเพื่อหนีไป”มู่หรงหว่านเอ๋อร์แค่นเสียงเย็น“เด็กสาวที่ยังไม่โตสองคน ถึงกับกล้าเสียมารยาทต่อปรมาจารย์อย่างฉัน!”“ก่อนปรมาจารย์อย่างฉันจะจากไป จะสั่งสอนเด็กสาวแบบพวกเธอเสียก่อน ให้พวกเธอได้รู้ว่า อะไรเรียกว่าไม่อาจดูหมิ่นปรมาจารย์!”โค่วหยวนซันต้องการจะหนีจริงๆ ต่อให
สีหน้าของโค่วหยวนซันไม่น่ามอง กล่าวว่า “ปรมาจารย์หลิน ตอนบ่ายผมไม่รู้ถึงความสามารถของคุณ จึงได้ล่วงเกินไปมาก ผมขอโทษคุณ ทุกคนล้วนเป็นปรมาจารย์เช่นเดียวกัน ไว้หน้าผมสักครั้ง” “หน้าของฉันใช้ได้ดี แต่หน้าของนาย ที่ฉันนี่ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย” หลินหยางกล่าวจบ ร่างกายก็ขยับ พุ่งเข้าหาโค่วหยวนซันทันทีโค่วหยวนซันเมื่อเห็นเช่นนั้นก็คิดจะโต้ตอบ แต่กลับถูกหลินหยางหยุดหมัดไว้ จากนั้น ตบใส่ใบหน้าของโค่วหยวนซันไปหนึ่งครั้ง ฝ่ามือนี้ของหลินหยางตบไปไม่เบา ทำเอาโค่วหยวนซันถูกซัดจนลอยไปกระแทกลงกับพื้น แล้วกลิ้งไปสองตลบโค่วหยวนซันอ้าปากกระอักเลือดออกมา ยังมีฟันกรามในซี่หนึ่งที่ถูกตบจนหักด้วย“คนแซ่หลิน ฉันเป็นปรมาจารย์ที่เป็นแขกพิเศษ นายถึงกลับกล้าตบฉัน!”โค่วหยวนซันด่าทออย่างโกรธเคืองเพี๊ยะ!หลินหยางก้าวไปเบื้องหน้าอีกครั้ง และก็เป็นอีกหนึ่งฝ่ามือ ตบโค่วหยวนซันจนลอยออกไป“แขกพิเศษ? กับฉันแล้ว นายไม่ใช่อะไรทั้งนั้น ที่จะตีก็คือนายนี่แหละ”หลินหยางพูดอย่างเย็นชาหน้าของโค่วหยวนซันบวมจนเหมือนหัวหมู บนใบหน้าปรากฏรอยนิ้วสีแดงสด เจ็บจนเขาพูดไม่คล่องแล้ว“โปรดอย่าตีอีกเลย! ขอโทษด้วย ผมขอโ
คุณหลินอายุยังน้อยแบบนี้ ช้าเร็วจะต้องล้ำหน้าปรมาจารย์ทั้งสี่ ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของปรมาจารย์ทั้งห้า และกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองลั่วอย่างแน่นอนค่ะ” มู่หรงหว่านเอ๋อร์ยังคงยกยอต่อไป"พวกคุณอย่างได้ยกยอผมอีกเลย ผมเหมือนจะลืมตัวขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว"หลินหยางก็พูดจาหยอกล้อด้วยเช่นกันในเวลานี้ เจียงจั่วเฟิงที่อยู่ด้านข้างเดินเข้ามา คุกเข่าลงเบื้องหน้าของหลินหยางดังตึง“พี่เจียง นี่คุณทำอะไรกัน?”“คุณหลิน คุณเป็นอัจฉริยะในการฝึกยุทธ์ คุณรับผมเป็นศิษย์แล้วถ่ายทอดวิชาให้ผมได้ไหมครับ? ผมอยากกราบคุณเป็นอาจารย์”เจียงจั่วเฟิงกล่าวด้วยความจริงใจ“เอ่อ…คุณลุกขึ้นมาเถอะ ผมไม่มีแผนเรื่องรับศิษย์เลย” หลินหยางกล่าว“หรือคุณรังเกียจที่พรสวรรค์ของผมมีจำกัด? ผมจะต้องตั้งใจฝึกฝนอย่างหนักแน่นอน โปรดมอบโอกาสให้ด้วยเถอะครับ”เจียงจั่วเฟิงก็หลงใหลในการฝึกวิชายุทธ์เช่นกัน ยากนักที่จะมีโอกาสแบบนี้ เขาไม่อยากพลาดโอกาสนี้ไป“คุณหลิน ไม่อย่างนั้นคุณก็รับปากพี่จั่วเฟิงเถอะค่ะ?” มู่หรงหว่านเอ๋อร์พูดอยู่ด้านข้าง“หว่านเอ๋อร์ คุณหลินย่อมมีความคิดของตัวเอง เธออย่าได้พูดมาก” มู่หรงยิ่นกล่าว“ไม่ใ
มู่หรงยิ่นเงียบงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “แน่นอนว่ามีความรู้สึกดีๆ อยู่บ้างค่ะ เพียงแต่ว่าหว่านเอ๋อร์ชอบคุณหลิน หนูที่เป็นพี่จะไปแย่งกับเธอได้ยังไงคะ?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่หรงจางก็หัวเราะออกมา“ด้วยนิสัยของหว่านเอ๋อร์เกรงว่าคงยากที่จะได้รับความสนใจจากคุณหลิน ลูกยังคงต้องคว้าไว้โอกาสให้ดี” มู่หรงจางตบบ่าของมู่หรงยิ่นเบาๆ จากนั้นก็จากไปมู่หรงหว่านเอ๋อร์พาหลินหยางมาถึงห้องรับแขก เป็นเรือนเล็กๆ พร้อมลานสวนที่มีสองชั้น“คุณหลิน คุณพักที่นี่เถอะค่ะ ฉันพักอยู่ถัดจากคุณ” “ได้ ถ้าอย่างนั้นคุณกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ” หลินหยางกล่าว“คุณหลิน คุณสอนฉันได้ไหมคะ? ฉันก็ชอบฝึกวรยุทธ์มากเหมือนกัน” มู่หรงหว่านเอ๋อร์ถามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง“อาจารย์ของคุณไม่ใช่เจียงไห่เซิงหรือ? เขาร้ายกาจกว่าผมอีก ไม่จำเป็นต้องให้ผมสอนคุณเลย”หลินหยางปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมมู่หรงหว่านเอ๋อร์เบะปากว่า “ปรมาจารย์เจียงเป็นแค่อาจารย์แต่ในนามเท่านั้น ฉันเคยพบเขาเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น เขามีลูกศิษย์มาก ไม่มีทางมาสอนพวกเราด้วยตัวเอง”“ถ้าอย่างนั้นคุณลองประมือกับผม ผมจะแนะนำคุณสักครู่” หลินหยา
เธออาบน้ำ ปลุกความสดชื่นแล้วนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องรับแขก คล้ายกับกำลังรอให้เงาร่างของบางอย่างปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันเธอแหงนหน้ามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังเป็นระยะ แต่คนที่คาดหวังอยู่ในใจผู้นั้นกลับมิได้มาปรากฏตัวกระทั่งเสียงนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนดังขึ้น ฉินโม่หนงถึงได้ตระหนักว่าตอนนี้ดึกมากแล้วเธอวางหนังสือในมือลง เดินไปยืนที่สวนดอกไม้อยู่ครู่หนึ่ง“เจ้าสารเลวน้อยนั่น คืนนี้ไม่มาแล้วหรือ?”ฉินโม่หนงกลับไปถึงห้อง นอนลงบนเตียง แต่กลับพลิกไปพลิกมา ยากที่จะนอนหลับบางทีอาจเป็นเพราะเคยชินกับการที่มีอ้อมแขนอันแข็งแกร่งโอบกอดเข้านอน ตอนนี้เมื่ออยู่คนเดียว ในใจจึงมักรู้สึกไม่สงบขึ้นมาเช้าวันถัดมา ยังคงเป็นช่วงเวลาก่อนรุ่งสาง หลินหยางก็ตื่นขึ้นมาแล้ว เขาทิ้งโน้ตไว้แผ่นหนึ่งแล้วขับรถกลับหมู่บ้านตี้เหาการฝึกวรยุทธ์จะต้องมีความมุมานะ ไม่อาจขาดไปได้แม้แต่วันเดียวหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้า หลินหยางก็ปีนขึ้นไปบนภูเขาจื่อเสีย ไปถึงจุดฝึกวิชา รอเวลาที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น พลังปราณสีม่วงจะปรากฏ ณ ทิศตะวันออกในเวลานี้ เขาก็สังเกตเห็นว่า ผู้หญิงที่ใส่ชุดแดงคนเมื่อวาน ก็นั่งขัดสมาธิอยู่ไม่ไกลเช