หนึ่งก้านธูปต่อมา
หอเทียนหลินคือจุดหมายของเฉินอันหนิงหลังจากที่กินบะหมี่เสร็จ ที่นั่นไม่เพียงเป็นที่ที่พี่ชายนอกสายเลือดอย่างจิวหลิงบอกว่าเกี่ยวข้องกับตน แต่ยังเป็นสถานที่นัดหมายของนางกับเว่ยหนิงด้วย
ตั้งแต่คบหาเป็นสหาย นางกับเว่ยหนิงก็นัดหมายกันตามหอสุราขึ้นชื่ออยู่บ่อย ๆ ครั้งนี้ก็เป็นเวลาของหอเทียนหลิน
ไม่ทันจะได้มองหาผู้นัดหมายผู้ดูแลของหอเทียนหลินก็เข้ามาทำความเคารพแล้วเชิญไปยังห้องที่เว่ยหนิงนั่งรออยู่
“เจ้าว่องไวไม่เบา”
“คนทำการค้าอย่างข้า เมื่อต้องว่องไวย่อมต้องว่องไวเป็นธรรมดา...เจ้าพาอาหารตามาให้ข้าด้วยหรือสหาย” เว่ยหนิงเอ่ยแล้วมองพิจารณาไปยังบุรุษรูปงามที่ติดตามสหายเข้ามาภายในห้อง จะอี้อ๋อง หานอ๋อง หรือเฉิงอ๋อง ต่างก็เป็นบุรุษรูปงามทั้งนั้น สหายของนางที่รายล้อมไปด้วยอาหารตาชั้นดีเหล่านี้ช่างโชคดียิ่งนัก
ชายงามหอพันเซียนยังไม่อาจเทียบได้เลย...เป็นบุญตาอะไรเช่นนี้
“น้องชายข้าไม่ใช่อาหารตา อย่าได้สนใจพวกเขา ถ้าเจ้าไม่อยากพบความยุ
“มาทำการค้ากับข้าซะดี ๆ เถอะ”จบคำพูดของนางทุกอย่างก็พลันเงียบลง อ๋องผู้แทบจะกลายเป็นของประดับไร้ชีวิตพากันเลิ่กลั่ก พี่ใหญ่ของพวกเขาเป็นอันใดไป จะชวนมาร่วมการค้า หรือว่าบังคับขู่เข็นกันแน่“จิวหลินขอบังอาจ...พระองค์ชวนกระหม่อม หรือว่าบังคับข่มขู่กันหรือ?”“ข่มขู่หรือชักชวน นั่นก็ขึ้นอยู่กับท่านจะตัดสิน”สายตาที่จับจ้องเว่ยหนิงตลอดมาหันมามองพิจารณาผู้ที่มีคำว่าหนิงในชื่ออีกคน ท่าทีของนางอย่างไรก็ไม่คล้ายพูดเล่น และคล้ายว่าคำตอบเดียวที่นางต้องการคือตอบตกลงจริงอยู่ว่าตรงหน้าเขาคือองค์หญิงที่กุมอำนาจของต้าเฉินเอาไว้ในมือ ทว่าคนต่างแคว้นเช่นเขา นางคิดหรือว่าจะบังคับกันได้“คล้ายองค์หญิงมั่นใจเหลือเกินว่ากระหม่อมจะไม่ปฏิเสธ”“บอกท่านตามตรง...ข้ามั่นใจ” ใช่ นางมั่นใจจริง ๆ จึงได้พูดจาราวกับบังคับกัน มากกว่าเป็นการชักชวน นางมีแต้มต่ออย่างไรเล่า“เอาความมั่นใจมาจากที่ใดกัน หรือเพราะแม่นางเว่ยร่วมกา
ตำหนักอันหนิงอากาศยามเช้าในวันหิมะตก ไม่ดีหนัก แต่ถึงแม้จะอยากซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนาสักเท่าไหร่เฉินอันหนิงก็ต้องฝืนตัวเองลุกขึ้นมา ด้วยว่าวันนี้เป็นวันที่นางมั่นใจว่าน้องชายคนที่ห้าจะมาเข้าเฝ้ากลางดึกที่ผ่านมาเค่อซินมารายงานว่าเฉินไป๋เสวี่ยเดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้วเพียงแค่ยังไม่ได้เข้าวังนั่นเท่ากับว่าเช้าวันนี้น้องชายของนางจะต้องมาเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์เป็นแน่ เช่นนั้นวันนี้ต่อให้ไม่อยากตื่นนางก็ต้องตื่น และ...นางก็จะไปเข้าประชุมด้วยก็แล้วกันขนบธรรมเนียมแคว้นอื่นเป็นอย่างไรเฉินอันหนิงไม่อาจรู้ และอาจจะเป็นเหมือนกับนิยายยุคจีนโบราณที่นางเคยอ่านที่สตรีไม่ยุ่งงานราชการ แต่ที่ต้าเฉินไม่ได้มีกฎข้อห้ามและขนบธรรมเนียมเช่นนั้น แม้ยังไม่มีขุนนางหญิงในราชสำนักแต่เหล่าขุนนางในท้องพระโรงก็ได้พบเจอนางอยู่ข้าง ๆ ฮ่องเต้เป็นประจำทว่าช่วงนี้นางไม่ได้เข้าร่วมการประชุมในท้องพระโรงบ่อยดั่งเช่นก่อนหน้า หากพูดให้ถูกคือนางไม่ได้เข้าร่วมเลยตั้งแต่หิมะตก แม้กลับจากซินอู๋แล้วก็ยังไม่ได้เข้าร่วม และจากนี้ไปก็อาจจะเข
หอเทียนหลินเมื่อการประชุมหารือราชการจบลง เหล่าขุนนางก็กลับไปทำงานในหน้าที่ บ้างก็กลับจวน ส่วนเหล่าอ๋อง...ถูกพี่สาวเรียกมาหอเทียนหลินเฉินอันหนิงยิ้มกว้างเมื่อกวาดตามองเหล่าน้องชายทีละคน วันนี้ช่างเป็นวันดี เจ้าลูกเจี๊ยบของนางมากันครบถ้วน ขาดเพียงน้อง ๆ ที่ยังไม่ได้สวมกว้านเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เท่านั้น พอได้มองดูแต่ละคน ก็มองเห็นความแตกต่าง ทว่าน้อง ๆ ของนางต่างก็หล่อเหลาด้วยกันทั้งสิ้นลูกเจี๊ยบเหล่านี้ไม่เพียงได้ความหล่อเหลาจากเสด็จพ่อที่สมัยยังหนุ่มหรือแม้แต่ตอนนี้ก็ยังดูหล่อเหลาแต่ยังได้รับจากฝั่งมารดาที่งดงามสมกับเป็นสตรีวังหลังอีกด้วย“พี่ห้า ครั้งก่อนท่านยังไม่ได้เล่าเลยว่าท่านติดตามท่านหมอเทวดาไปที่ใดบ้าง” เป็นเฉินซูหนี่ อดีตองค์หญิงเจ็ดที่ได้เลื่อนมาเป็นองค์หญิงหกที่ส่งเสียงถามขึ้น นอกจากเหล่าน้องชายจะมาครบแล้ว วันนี้ยังมีองค์หญิงหกและองค์หญิงเก้าที่หนีออกมาเที่ยวเล่นมาร่วมด้วยน้องสาวทั้งสอง จะว่าเดินตามรอยพี่สาวคนโตก็ว่าได้ พวกนางมักจะลอบออกมาเที่ยวเล่นอยู่เป็นประจำ แต่
หอสุราเทียนหลินคือหอสุราหนึ่งในสามอันดับต้น ๆ ของต้าเฉิน ยิ่งฟ้ามืดก็ยิ่งคึกคัก ด้านล่างเต็มไปด้วยเสียงเจือยแจ้วของคอสุราที่มาดื่มกินสังสรรค์โดยไม่รับรู้เลยว่าด้านบนได้มีการเปิดต้อนรับเหล่าเชื้อพระวงค์ถึงเก้าพระองค์ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครล่วงรู้เลยจริง ๆพลึบ!เสียงร้องโวยวายเกิดขึ้นแทนที่เสียงเฮฮาอย่างไม่มีใครทันได้ตั้งตัว เสียงการต่อสู้ดังขึ้นในเวลาต่อมาจนเป็นเหตุให้ต้องลุกออกมามอง ทว่าในทันทีที่โผล่หน้าลงมามองเบื้องล่าง คนชุดดำผู้หนึ่งก็ใช้วิชาตัวเบาหันปลายกระบี่พุ่งเจาะจงมาที่ผู้เป็นองค์หญิงลำดับที่หนึ่งอย่างไม่ลังเลแต่มีหรือเหล่าองครักษ์จะยินยอมให้นายเหนือหัวได้รับบาดเจ็บ เค่อซินใช้วิชาตัวเบาพุ่งไปขวางเอาไว้ในทันที เป็นพอดีกับที่ใครอีกคนพุ่งเข้าใส่คนร้าย ก่อนที่คนทั้งคู่จะเข้าต่อสู้กับคนร้ายท่ามกลางความแตกตื่นวิ่งหนีตายของผู้คนด้านล่างบุรุษรูปงามสองคนพุ่งเข้าต่อสู้กับกลุ่มคนร้าย ขณะที่เหล่าองครักษ์กรูกันขึ้นมาอารักขานายของตนด้วยใบหน้าดุดันเฉินอันหนิงมองความวุ่นวายเบื้องหน้าที่ใกล้จะสงบลงด้วยใบห
เมื่อเห็นเหล่าลูกน้องสลายไปต่อหน้าต่อตา สองคนร้ายที่เหลือก็ตกใจจนพลาดท่า เหลยจิ้งและเค่อซินจึงจับคนทั้งสองได้ในเวลาต่อมา เฉินอันหนิงลงมาด้านล่าง จ้องมองคนร้ายทั้งสองพร้อมกับขบคิดผู้ใดกันที่อยู่เบื้องหลังคนเหล่านี้“ทรงปลอดภัยกันหรือไม่พะย่ะค่ะ” น้ำเสียงทุ่มห้าวทว่าอ่อนลงเล็กน้อยมิได้ดุดันแข็งกร้าวมากของเหลยจิ้งเอ่ยถามหลังจากที่ปล่อยคนร้ายให้ทหารของตนจับเอาไว้“พวกเราปลอดภัยดี” องค์หญิงใหญ่ตอบก่อนจะหันกลับไปหาน้องชายคนที่ห้า “เจ้ามียาที่ทำให้พูดความจริงหรือไม่”“ข้า...”“ข้ามี” ไม่ทันที่เฉินไป๋เสวี่ยจะตอบจิวหลินก็ตอบขึ้นก่อนพร้อมกับหยิบออกมาให้ดู “หากต้องการ...ความเสียหายวันนี้ ก็ชดใช้มาสักสองเท่าก็แล้วกัน”“พี่รองจิว ท่านไม่เขี้ยวเกินไปหรือ”“ไม่เลยแม้แต่น้อยน้องสาว จะเอาหรือไม่ ตอบรับตอนนี้ ข้าแถมลูกกลอนนิทราชั่วนิรันดร์ให้” จิวหลินเจรจาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ขณะที่ผู้มีชีวิ
หอซุยฉีทั้งที่ชวนทั้งแม่ทัพบูรพาและคนของเขา ทว่าผู้ที่มานั่งร่วมโต๊ะกับนางมีเพียงแค่เหลยจิ้งและเสียนฟู่ถัง รองแม่ทัพหนึ่งในสองของเขาเท่านั้นที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับนาง ส่วนรองแม่ทัพที่มีนามว่าชิงเว่ยและทหารติดตามขอแยกไปอีกโต๊ะ การอยู่ต่อหน้าบรรดาท่านอ๋องและองค์หญิงเป็นเรื่องที่พวกเขารู้สึกลำบากใจ นางก็พอจะเข้าใจได้“แม่ทัพเหลย ข้าขอถามท่าน...ไม่ทราบว่าท่านอายุเท่าใด ท่านดูอายุมากกว่าพวกข้าไม่กี่ปีเท่านั้น” ผู้ที่ชื่นชอบการรบทัพจับศึกอย่างเฉินซีหานย่อมชื่นชอบคบค้ากับแม่ทัพนายกอง ทันทีที่นั่งลงเฉินซีหานก็ส่งคำถามให้เหลยจิ้งอย่างชวนคุยทันที“ทูลท่านอ๋อง ปีนี้กระหม่อมย่างเข้ายี่สิบเอ็ดพะย่ะค่ะ”“ยี่สิบเอ็ดเท่านั้นแต่กลับเชี่ยวชาญการรบทัพจับศึก นับถือนับถือ นอกจากเสด็จอาแล้ว ท่านเป็นอีกคนที่ข้านับถือ ข้าขอดื่มให้ท่าน”“ท่านอ๋องตรัสเกินไป กระหม่อมไม่กล้ารับพะย่ะค่ะ” นอกจากความเก่งกาจแล้ว เหลยจิ้งผู้นี้ยังมีความอ่อนน้อมอีกด้วย นับได้ว่าน่าคบหาทีเดี
เวลาต่อมา“อาหนิง เจ้าซุกซ่อนสิ่งใดไว้ภายในข่าวเสีย ๆ หาย ๆ บอกข้ามาซะดี ๆ” คำถามที่ไม่มีความอ้อมค้อมถูกถามขึ้นในทันทีที่สั่งสุราและอาหารมาเป็นที่เรียบร้อย คำถามนี้ไม่ใช่ของเว่ยหนิงแต่เป็นของเหลยเซียนหนิงที่สงสัยมาโดยตลอดการได้พูดคุยทำให้นางสัมผัสได้ว่าองค์หญิงอันหนิงที่คนเขาเล่าลือนั้นมิใช่เช่นนั้นไปเสียหมด แม้ว่าเฉินอันหนิงจะดื่มสุราแต่กลับมิได้มีท่าทีสนใจชายหนุ่มรูปงามหรือคิดปล้นชิงบุรุษของผู้อื่น ยิ่งตอนที่นายท่านของหอเทียนหลินออกมาต้อนรับ อีกฝ่ายก็ไม่ได้ถูกองค์หญิงของแคว้นแทะโลมหรือพูดจาหยอกเอิ้นทว่าชื่อเสียงที่ไปถึงชายแดนนั้น...“ชื่อเสียงของเจ้าที่ชายแดนนับว่าร้ายกาจ เป็นองค์หญิงจอมโฉด ปล้นชิง ล่อลวงบุรุษของผู้อื่น ทั้งยังลุ่มหลงในสุราเมรัย ผิดขนบธรรมเนียมสตรีในห้องหอ หากไม่พอใจผู้ใดก็ให้ฆ่าได้ทันที ชื่นชอบการกลั่นแกล้งพี่น้องและนางกำนัลอ่อนแอแม้แต่สนมนางในพบเจอยังถูกอาละวาดจนพ่ายแพ้ แต่...ตัวตนของเจ้าไม่ใช่เช่นนั้นเลย”“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ?” น
ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ...แล้วชอบบุรุษเช่นใดเล่า?“แล้วเจ้าชื่นชอบบุรุษเช่นไร” เป็นเว่ยหนิงที่สอบถามขึ้น ทว่าคำถามนั้นกลับมิได้คำตอบที่น่าพอใจเหลยเซียนหนิงกลอกตาก่อนจะเอ่ย “ข้าไม่ชอบบุรุษเช่นใดทั้งนั้น ข้าเพียงชื่นชอบมองเป็นอาหารตามิได้อยากจะครอบครอง...”“ข้าไม่อาจขัดใจพี่ใหญ่หรือทำร้ายจิตใจเขา แต่ข้าก็ไม่อยากแต่งให้เขา พวกเจ้ามีหนทางที่ทำให้ข้าไม่ต้องแต่งกับเขาหรือไม่”“หากไม่อยากแต่งกับเขาก็มีแต่แต่งกับคนอื่นด้วยเหตุสุดวิสัยตัดหน้าเขา” เว่ยหนิงเสนอแนวทางที่ไม่นับว่าดี...แต่ก็ไม่นับว่าแย่ แล้วก็หันไปยังสหายผู้สูงศักดิ์ “น้องชายนางมีหลายคน เจ้าเลือก ๆ สักคนแล้วสร้างเรื่องว่าเป็นลิขิตฟ้าอันใดเช่นนั้นดีหรือไม่”“ข้าไม่อยากแต่งเข้าราชวงค์”“เช่นนั้นก็ลูกขุนนางสักคน” เว่ยหนิงเสนอความคิดเห็นพลางยกตัวอย่างลูกหลานขุนนางตงฉินมาสามถึงสี่คนที่นางรู้จัก “บุตรชายท่านเสนาบดีก็รูปงาม ทั้งยังเป็นบัณฑิต บุตรชา
ทั้งที่ค่ำคืนนี้ภายในพระราชวังมีการแสดงแต่ผู้มีศักดิ์เป็นองค์หญิงขั้นหนึ่งกลับไม่ได้อยู่ภายในพระราชวัง วันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายนางเหนื่อยล้าเกินกว่าจะปั้นหน้ายิ้มต้อนรับผู้คน จึงได้แอบหนีออกมานัยน์ตาหงส์ภายใต้หน้ากากจิ้งจอกทอดมองสองฟากฝั่งของตลาดสายหลักในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยการประดับประดาโคมไฟก่อนจะเหลือบมองใครอีกคนที่ปกปิดใบหน้าไว้ภายใต้หน้ากากเสือที่ยืนอยู่ข้าง ๆคนผู้นี้นี่อย่างไร ทั้งที่ไม่ยอมรับและหาข้ออ้างใด ๆ มาพูดกับนาง แต่กลับยินยอมเดินตามนางมาเที่ยวเล่นในตลาด และในตอนนี้ยังมาเดินข้าง ๆ แทนการเดินตามหลัง...มิคิดว่าตนต่ำต้อยแล้วหรือ?“จะกลับไปหาพี่จิวหลินอีกหรือ” ทั้งที่ไม่อยากจะสอบถามแล้ว แต่สุดท้ายนางก็อยากจะลองถามอีกสักครั้ง เผื่อว่าบุรุษผู้นี้จะเปลี่ยนใจขึ้นมาแต่ก็...ไม่เลย“กลับพะย่ะค่ะ” จิวหูตอบอย่างฉะฉาน ไร้วี่แววลังเล ต่อให้ใจห่วงทางนี้เช่นไร ทว่าก็ไม่อาจจะเปลี่ยนความตั้งใจของตนได้ อย่างไรเขาก็จะติดตามศิษย์พี่ใหญ่จนกว่าอีกฝ่ายจะได้หวนคืนกลับสู่ที่ที่ควรอ
เฉินอันหนิงรีบก้าวไปรั้งเอาไว้ไม่ให้แม่ทัพผู้กล้าหาญคุกเข่าให้ ไม่ว่าจะเรื่องที่นี่ หรือเรื่องอีกเรือนก็เกี่ยวข้องกับเฉินซูเหมยและนาง นางหรือจะกล้ารับคำขอบคุณ นางส่ายหน้าก่อนจะเอ่ย “ไม่ต้องทำเช่นนั้น เรื่องนี้แท้จริงแล้ว เกี่ยวข้องกับข้าโดยตรง ข้าไม่ควรได้รับคำขอบคุณเลย”“บอกพวกท่านตามตรง ในห้องนี้มีธูปราคะ มีคนวางแผนเอาไว้ และผู้ที่เป็นเหยื่อที่แท้จริง...คือท่านแม่ทัพเหลย กับคุณหนูสักคนที่มาร่วมงานในครั้งนี้”“เรื่องมันเป็นเช่นใดกันแน่อาหนิง เหยื่อจริง ๆ คือพี่ใหญ่ หมายความว่าอย่างไร?” เป็นเหลยเซียนหนิงที่สอบถามขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากรู้เช่นกันเฉินอันหนิงถอนใจอีกครั้งก่อนจะบอกเล่า “เรื่องเป็นเช่นนี้...ตั้งแต่เรื่องของซูเหมยเปิดเผย สถานะของนางก็ตกต่ำลง นางจึงแค้นข้า ก่อนนี้มีข่าวลือข้ากับท่านแม่ทัพเหลย นางคิดว่าข้ามีใจให้ท่านแม่ทัพ จึงคิดทำลายวาสนา”“นางวางแผนให้ข้าพลาดท่าให้บุตรชายใต้เท้าเยี่ยซึ่งมีอนุเต็มบ้าน ขณะเดียวกันนางก็วางแผนทำให้
“กรี๊ด!!!”เสียงกรีดร้องดังลั่นจากภายในเรือนรับรองขุนนางเรียกให้ขุนนางรวมถึงเหล่าฮูหยินและคุณหนูคุณชายเกิดความสงสัย บ้างก็ลุกไปมองหาต้นเสียง บ้างก็พูดคุยสอบถามกันเฉินซูเหมยที่แอบมองกิริยาของผู้คนยกยิ้มอย่างเลือดเย็น คงจะเป็นไปตามแผนของนางแล้วอย่างแน่นอน อีกครู่ผู้คนก็คงจะไปมุงดูและตกตะลึงจนไร้เรี่ยวแรงกับสิ่งที่ได้พบเห็น...กู้หลุนอันหนิงกงจู่นอนเปลือยเปล่าอยู่กับบุตรชายรองเสนาบดีที่ขึ้นชื่อว่าเสเพลและมีอนุเต็มบ้านอย่างไรเล่า...“นี่มัน...”“นี่มันคุณชายเจียง” ทว่าเสียงของคนที่ไปมุงดูกลับมิใช่อย่างที่คาดคิด เฉินซูเหมยเบิกตากว้าง ว่าอย่างไรนะ คุณชายเจียงหรือ?ในใจภาวนาว่าไม่ใช่ พร้อมกับรีบเบียดเสียดฝ่าผู้คนเข้าไปภายในห้องคุณชายเจียง...หากมีคุณชายเจียงหลายคนนางคงไม่ตกใจ ทว่าคุณชายเจียงที่มีสิทธิ์เข้างานเลี้ยงในวันนี้มีเพียงเจียงเหิง คนรักของนาง ทั้งในชาตินี้และชาติที่แล้ว ผู้ที่จะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้เคียงคู่กับนางในวันหน้า
ฮ่องเต้ไท่เสียนส่งเสียงกระแอมเบา ๆ เมื่อทุกคนเงียบเสียงลงจึงตรัสต่อ “ยังไม่จบเท่านี้ ยังมีพระราชโองการฉบับที่สอง...อ่านต่อไป”“พระราชโองการฉบับที่สอง...” เหรินกงกงลากเสียงก่อนจะเอ่ยพระนามขององค์หญิงใหญ่ “องค์หญิงอันหนิงรับราชโองการ...”“เฉินอันหนิงรับราชโองการ” ร่างเล็กคุกเข่าลงทั้งที่งุนงง ยังคงคาดเดาไม่ได้ว่าราชโองการที่เกี่ยวข้องกับตนนั้นคือสิ่งใด เหรินกงกงรอให้องค์หญิงผู้เป็นที่โปรดปรานที่สุดพรั่งพร้อมจึงประกาศราชโองการด้วยเสียงดังฟังชัด“ด้วยก่อนหน้านี้ไร้ตำแหน่งรัชทายาท องค์หญิงใหญ่เฉินอันหนิงจึงต้องคอยช่วยเหลือแบ่งเบาราชกิจฮ่องเต้มาเป็นเวลานาน ผลงานเป็นที่ประจักษ์ เหล่าขุนนางมิคัดค้านและเห็นสมควร จึงมีพระบัญชาแต่งตั้งองค์หญิงใหญ่เฉินอันหนิงขึ้นเป็นกู้หลุนอันหนิงกงจู่ องค์หญิงขั้นที่หนึ่ง มอบทหารหนึ่งหมื่นนาย เหล่าองครักษ์รุ่นเยาว์อีกหนึ่งพันคน ยอดฝีมืออีกห้าร้อยคน และจวนทางทิศตะวันตกของเมืองหลวงอีกหนึ่งหลัง ทางทิศใต้ของเมืองหลวงอีกหนึ่งหลัง จบราชโองก
แคว้นเฉินเป็นหนึ่งในแคว้นใหญ่ที่เรืองอำนาจอาคันตุกะที่มาร่วมงานวันครบรอบการสถาปนาแคว้นในครั้งนี้จึงมีมากมายจากหลากหลายแคว้น แม้แต่แคว้นไห่ที่อยู่ไกลออกไปก็ยังส่งไท่จื่อและองค์หญิงมาร่วมงาน เฉินอันหนิงไม่สนใจใครเป็นพิเศษแม้แต่ไท่จื่อและองค์หญิงจากแคว้นไห่คนเหล่านั้นไม่ได้น่าสนใจเลยสักนิด...หากมีผู้ใดน่าสนใจเป็นพิเศษแล้วล่ะก็...คงจะเป็นพี่น้องสกุลเหลยอย่างแม่ทัพเหลยจิ้งและน้องสาวอย่างเหลยเซียนหนิงที่วันนี้ดูจะโดดเด่นทั้งพี่ทั้งน้องนั่นล่ะ“ท่านแม่ทัพเหลยช่างหล่อเหลาองอาจ...ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าสตรีผู้ใดจะได้ครอบครองตำแหน่งฮูหยิน จะเป็นข้าหรือไม่”และ...ฟังจากเสียงพูดคุยแล้วผู้อื่นก็ให้ความสนใจสองพี่น้องเช่นกันถึงแม้จะดูสนใจแค่ผู้พี่ก็เถิดองค์หญิงอันหนิงไม่เอ่ยสิ่งใดทำเพียงนั่งเงียบจิบชาและขนมที่ถูกนำมาถวาย ด้วยตำแหน่งที่นั่งแล้ว คงไม่มีผู้ใดคิดว่านางจะได้ยิน แต่นางก็ได้ยินอย่างชัดเจน...เช่นนั้นก็ฟังเงียบ ๆ แล้วกันเหล่าสตรีที่เพ้อถึงแม่ทัพหนุ่มยังคงพูดค
ช่วงใกล้วันสถาปนาแคว้นของทุกปีเป็นช่วงที่ภายในวังหลวงเต็มไปด้วยความยุ่งวุ่นวาย อันเนื่องมาจากต้องคอยต้อนรับอาคันตุกะจากแคว้นต่าง ๆ ที่มาร่วมเฉลิมฉลอง ช่วงเวลานี้นับเป็นช่วงเวลาที่เฉินอันหนิงรู้สึกทรมานอย่างถึงที่สุด เพราะนางต้องช่วยหรงฮองเฮาต้อนรับอาคันตุกะและเหล่าอ๋องที่เดินทางกลับมาร่วมงาน...ตั้งแต่เริ่มมีแขกมาถึง นางก็มิได้หนีออกไปเที่ยวหรือแม้แต่พบปะสหายทั้งสองเลยแม้แต่ครั้งเดียวนี่มัน...ไม่ทรมานเกินไปหรือแต่ก็ใช่ว่าจะทรมานไปซะหมด...“ท่านอา” เสียงร้องเรียกด้วยความยินดีดังขึ้นพร้อม ๆ กับที่องค์หญิงลำดับที่หนึ่งมาหยุดตรงหน้าของบุรุษวัยสามสิบต้น ๆ ที่เดินมาพร้อมกับสตรีใบหน้างดงาม เป็นชินอ๋องและชินหวางเฟยที่ในครั้งนี้ยอมมาร่วมงานสถานปนาแคว้นในรอบสิบสองปี ด้านหลังของทั้งคู่ยังมีท่านชายและท่านหญิงน้อยฝาแฝดที่เป็นโซ่ทองคล้องใจของพวกเขาติดตามมาพร้อมกับเหล่าองครักษ์ด้วยองค์หญิงอันหนิงพุ่งเข้ามาเกาะแขนผู้เป็นอาในทันทีทว่าก็ถูกตำหนิไม่จริงจังอีกเช่นทุกครั้ง“ทำตัวเป็นเด็กไป
ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ...แล้วชอบบุรุษเช่นใดเล่า?“แล้วเจ้าชื่นชอบบุรุษเช่นไร” เป็นเว่ยหนิงที่สอบถามขึ้น ทว่าคำถามนั้นกลับมิได้คำตอบที่น่าพอใจเหลยเซียนหนิงกลอกตาก่อนจะเอ่ย “ข้าไม่ชอบบุรุษเช่นใดทั้งนั้น ข้าเพียงชื่นชอบมองเป็นอาหารตามิได้อยากจะครอบครอง...”“ข้าไม่อาจขัดใจพี่ใหญ่หรือทำร้ายจิตใจเขา แต่ข้าก็ไม่อยากแต่งให้เขา พวกเจ้ามีหนทางที่ทำให้ข้าไม่ต้องแต่งกับเขาหรือไม่”“หากไม่อยากแต่งกับเขาก็มีแต่แต่งกับคนอื่นด้วยเหตุสุดวิสัยตัดหน้าเขา” เว่ยหนิงเสนอแนวทางที่ไม่นับว่าดี...แต่ก็ไม่นับว่าแย่ แล้วก็หันไปยังสหายผู้สูงศักดิ์ “น้องชายนางมีหลายคน เจ้าเลือก ๆ สักคนแล้วสร้างเรื่องว่าเป็นลิขิตฟ้าอันใดเช่นนั้นดีหรือไม่”“ข้าไม่อยากแต่งเข้าราชวงค์”“เช่นนั้นก็ลูกขุนนางสักคน” เว่ยหนิงเสนอความคิดเห็นพลางยกตัวอย่างลูกหลานขุนนางตงฉินมาสามถึงสี่คนที่นางรู้จัก “บุตรชายท่านเสนาบดีก็รูปงาม ทั้งยังเป็นบัณฑิต บุตรชา
เวลาต่อมา“อาหนิง เจ้าซุกซ่อนสิ่งใดไว้ภายในข่าวเสีย ๆ หาย ๆ บอกข้ามาซะดี ๆ” คำถามที่ไม่มีความอ้อมค้อมถูกถามขึ้นในทันทีที่สั่งสุราและอาหารมาเป็นที่เรียบร้อย คำถามนี้ไม่ใช่ของเว่ยหนิงแต่เป็นของเหลยเซียนหนิงที่สงสัยมาโดยตลอดการได้พูดคุยทำให้นางสัมผัสได้ว่าองค์หญิงอันหนิงที่คนเขาเล่าลือนั้นมิใช่เช่นนั้นไปเสียหมด แม้ว่าเฉินอันหนิงจะดื่มสุราแต่กลับมิได้มีท่าทีสนใจชายหนุ่มรูปงามหรือคิดปล้นชิงบุรุษของผู้อื่น ยิ่งตอนที่นายท่านของหอเทียนหลินออกมาต้อนรับ อีกฝ่ายก็ไม่ได้ถูกองค์หญิงของแคว้นแทะโลมหรือพูดจาหยอกเอิ้นทว่าชื่อเสียงที่ไปถึงชายแดนนั้น...“ชื่อเสียงของเจ้าที่ชายแดนนับว่าร้ายกาจ เป็นองค์หญิงจอมโฉด ปล้นชิง ล่อลวงบุรุษของผู้อื่น ทั้งยังลุ่มหลงในสุราเมรัย ผิดขนบธรรมเนียมสตรีในห้องหอ หากไม่พอใจผู้ใดก็ให้ฆ่าได้ทันที ชื่นชอบการกลั่นแกล้งพี่น้องและนางกำนัลอ่อนแอแม้แต่สนมนางในพบเจอยังถูกอาละวาดจนพ่ายแพ้ แต่...ตัวตนของเจ้าไม่ใช่เช่นนั้นเลย”“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ?” น
หอซุยฉีทั้งที่ชวนทั้งแม่ทัพบูรพาและคนของเขา ทว่าผู้ที่มานั่งร่วมโต๊ะกับนางมีเพียงแค่เหลยจิ้งและเสียนฟู่ถัง รองแม่ทัพหนึ่งในสองของเขาเท่านั้นที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับนาง ส่วนรองแม่ทัพที่มีนามว่าชิงเว่ยและทหารติดตามขอแยกไปอีกโต๊ะ การอยู่ต่อหน้าบรรดาท่านอ๋องและองค์หญิงเป็นเรื่องที่พวกเขารู้สึกลำบากใจ นางก็พอจะเข้าใจได้“แม่ทัพเหลย ข้าขอถามท่าน...ไม่ทราบว่าท่านอายุเท่าใด ท่านดูอายุมากกว่าพวกข้าไม่กี่ปีเท่านั้น” ผู้ที่ชื่นชอบการรบทัพจับศึกอย่างเฉินซีหานย่อมชื่นชอบคบค้ากับแม่ทัพนายกอง ทันทีที่นั่งลงเฉินซีหานก็ส่งคำถามให้เหลยจิ้งอย่างชวนคุยทันที“ทูลท่านอ๋อง ปีนี้กระหม่อมย่างเข้ายี่สิบเอ็ดพะย่ะค่ะ”“ยี่สิบเอ็ดเท่านั้นแต่กลับเชี่ยวชาญการรบทัพจับศึก นับถือนับถือ นอกจากเสด็จอาแล้ว ท่านเป็นอีกคนที่ข้านับถือ ข้าขอดื่มให้ท่าน”“ท่านอ๋องตรัสเกินไป กระหม่อมไม่กล้ารับพะย่ะค่ะ” นอกจากความเก่งกาจแล้ว เหลยจิ้งผู้นี้ยังมีความอ่อนน้อมอีกด้วย นับได้ว่าน่าคบหาทีเดี