“คนเยอะเช่นนี้อึดอัดเสียจริง”
เป็นเฉินซีเฉิงที่เอ่ยขึ้นในขณะที่พี่สาวร่ำร้องอยู่ในใจที่น้องชายไม่มีผู้ใดสนใจสตรีรูปงาม ทว่าไม่ใช่แค่เขาที่รู้สึกเช่นนั้น
“นั่นสิ อึดอัดจริง ๆ ยืนกันเต็มไปหมด” เฉินชิงเซวียนเองก็รู้สึกเช่นกัน โอรสพระองค์รองมีสีหน้าเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาต่างก็ทิ้งคนไว้ด้านล่างเพราะอยากจะนั่งกับพี่สาวอย่างอิสระ ไม่ต้องให้ผู้ใดมองมาอย่างหวั่นเกรง แต่ดูโต๊ะข้าง ๆ สิ ผู้ติดตามแทบจะเต็มพื้นที่เช่นนั้น น่าอึดอัดยิ่ง
โต๊ะไม่ได้ห่างนัก คุณหนูทั้งสองได้ยินอย่างชัดเจน และเหมือนจะรู้ตัวโดยไม่ต้องมีผู้ใดบอก สตรีชุดชมพูอ่อนจ้องเขม็งมาทันที แต่ไม่ได้พูดสิ่งใด อันเนื่องมาจากผู้ติดตามพูดแทนเป็นที่เรียบร้อย
“บังอาจ! พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรเอ่ยเช่นนี้ให้คุณหนูของท่านแม่ทัพฟ่านได้ยิน ไม่อยากอยู่แล้วใช่หรือไม่”
“พวกเจ้ามากกว่ากระมังที่ไม่อยากอยู่” เฉินซีหานสวนกลับพร้อมกับจ้องอย่างดุดัน สาเหตุที่เขารีบพูดก็เพราะไม่ต้องการให้พี่ชายคนรองที่ดูจะ
เฉินอันหนิงมองสองพี่น้องที่ตัวสั่นเป็นลูกนกก่อนจะยิ้มขำ ดูเอาเถิดท่าทีในตอนนี้แตกต่างจนน่าใจหาย “เอาเถิด พวกเจ้าลุกขึ้นได้ ข้ามิได้ขุ่นเคืองอันใด แต่สิ่งที่ข้าบอกพวกเจ้าไป อย่าได้ลืมเล่า”“พวกเราจะจดจำและทำตามเพคะ”“เช่นนั้นก็ไปนั่งเถิด ตามสบาย”“ขอบพระทัยองค์หญิง” สองคุณหนูแห่งตระกุลฟ่านโน้มตัวคารวะเชื้อพระวงค์ทั้งสี่ก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิม และอยู่กันอย่างเงียบเชียบเฉินอันหนิงเลิกให้ความสนใจคุณหนูทั้งสอง หันกลับมามองน้อง ๆ ของตน “เสร็จจากที่นี่ พวกเจ้าไปทำธุระเป็นเพื่อนข้าหน่อย”“มิใช่จะไปร่ำสุราหรือ”“ธุระ” นางแย้งทว่าสายตาของน้องชายก็เหมือนจะไม่เชื่อ พี่สาวผู้มีน้องชายฉลาดรู้ทันส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะเอ่ย “ก็ไปคุยธุระด้วย ร่ำสุราด้วย จะเป็นไรไป”จะเป็นอันใดได้เล่า นอกจากโอรสสวรรค์ ผู้เดียวที่ใครก็ไม่กล้าต่อกรก็คือองค์หญิงใหญ่ ต่อให้นางทำเรื่องร้ายแรง ก็ไม่มีใครว่าอันใดอยู
หนึ่งก้านธูปต่อมาหอเทียนหลินคือจุดหมายของเฉินอันหนิงหลังจากที่กินบะหมี่เสร็จ ที่นั่นไม่เพียงเป็นที่ที่พี่ชายนอกสายเลือดอย่างจิวหลิงบอกว่าเกี่ยวข้องกับตน แต่ยังเป็นสถานที่นัดหมายของนางกับเว่ยหนิงด้วยตั้งแต่คบหาเป็นสหาย นางกับเว่ยหนิงก็นัดหมายกันตามหอสุราขึ้นชื่ออยู่บ่อย ๆ ครั้งนี้ก็เป็นเวลาของหอเทียนหลินไม่ทันจะได้มองหาผู้นัดหมายผู้ดูแลของหอเทียนหลินก็เข้ามาทำความเคารพแล้วเชิญไปยังห้องที่เว่ยหนิงนั่งรออยู่“เจ้าว่องไวไม่เบา”“คนทำการค้าอย่างข้า เมื่อต้องว่องไวย่อมต้องว่องไวเป็นธรรมดา...เจ้าพาอาหารตามาให้ข้าด้วยหรือสหาย” เว่ยหนิงเอ่ยแล้วมองพิจารณาไปยังบุรุษรูปงามที่ติดตามสหายเข้ามาภายในห้อง จะอี้อ๋อง หานอ๋อง หรือเฉิงอ๋อง ต่างก็เป็นบุรุษรูปงามทั้งนั้น สหายของนางที่รายล้อมไปด้วยอาหารตาชั้นดีเหล่านี้ช่างโชคดียิ่งนักชายงามหอพันเซียนยังไม่อาจเทียบได้เลย...เป็นบุญตาอะไรเช่นนี้“น้องชายข้าไม่ใช่อาหารตา อย่าได้สนใจพวกเขา ถ้าเจ้าไม่อยากพบความยุ
“มาทำการค้ากับข้าซะดี ๆ เถอะ”จบคำพูดของนางทุกอย่างก็พลันเงียบลง อ๋องผู้แทบจะกลายเป็นของประดับไร้ชีวิตพากันเลิ่กลั่ก พี่ใหญ่ของพวกเขาเป็นอันใดไป จะชวนมาร่วมการค้า หรือว่าบังคับขู่เข็นกันแน่“จิวหลินขอบังอาจ...พระองค์ชวนกระหม่อม หรือว่าบังคับข่มขู่กันหรือ?”“ข่มขู่หรือชักชวน นั่นก็ขึ้นอยู่กับท่านจะตัดสิน”สายตาที่จับจ้องเว่ยหนิงตลอดมาหันมามองพิจารณาผู้ที่มีคำว่าหนิงในชื่ออีกคน ท่าทีของนางอย่างไรก็ไม่คล้ายพูดเล่น และคล้ายว่าคำตอบเดียวที่นางต้องการคือตอบตกลงจริงอยู่ว่าตรงหน้าเขาคือองค์หญิงที่กุมอำนาจของต้าเฉินเอาไว้ในมือ ทว่าคนต่างแคว้นเช่นเขา นางคิดหรือว่าจะบังคับกันได้“คล้ายองค์หญิงมั่นใจเหลือเกินว่ากระหม่อมจะไม่ปฏิเสธ”“บอกท่านตามตรง...ข้ามั่นใจ” ใช่ นางมั่นใจจริง ๆ จึงได้พูดจาราวกับบังคับกัน มากกว่าเป็นการชักชวน นางมีแต้มต่ออย่างไรเล่า“เอาความมั่นใจมาจากที่ใดกัน หรือเพราะแม่นางเว่ยร่วมกา
ตำหนักอันหนิงอากาศยามเช้าในวันหิมะตก ไม่ดีหนัก แต่ถึงแม้จะอยากซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนาสักเท่าไหร่เฉินอันหนิงก็ต้องฝืนตัวเองลุกขึ้นมา ด้วยว่าวันนี้เป็นวันที่นางมั่นใจว่าน้องชายคนที่ห้าจะมาเข้าเฝ้ากลางดึกที่ผ่านมาเค่อซินมารายงานว่าเฉินไป๋เสวี่ยเดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้วเพียงแค่ยังไม่ได้เข้าวังนั่นเท่ากับว่าเช้าวันนี้น้องชายของนางจะต้องมาเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์เป็นแน่ เช่นนั้นวันนี้ต่อให้ไม่อยากตื่นนางก็ต้องตื่น และ...นางก็จะไปเข้าประชุมด้วยก็แล้วกันขนบธรรมเนียมแคว้นอื่นเป็นอย่างไรเฉินอันหนิงไม่อาจรู้ และอาจจะเป็นเหมือนกับนิยายยุคจีนโบราณที่นางเคยอ่านที่สตรีไม่ยุ่งงานราชการ แต่ที่ต้าเฉินไม่ได้มีกฎข้อห้ามและขนบธรรมเนียมเช่นนั้น แม้ยังไม่มีขุนนางหญิงในราชสำนักแต่เหล่าขุนนางในท้องพระโรงก็ได้พบเจอนางอยู่ข้าง ๆ ฮ่องเต้เป็นประจำทว่าช่วงนี้นางไม่ได้เข้าร่วมการประชุมในท้องพระโรงบ่อยดั่งเช่นก่อนหน้า หากพูดให้ถูกคือนางไม่ได้เข้าร่วมเลยตั้งแต่หิมะตก แม้กลับจากซินอู๋แล้วก็ยังไม่ได้เข้าร่วม และจากนี้ไปก็อาจจะเข
หอเทียนหลินเมื่อการประชุมหารือราชการจบลง เหล่าขุนนางก็กลับไปทำงานในหน้าที่ บ้างก็กลับจวน ส่วนเหล่าอ๋อง...ถูกพี่สาวเรียกมาหอเทียนหลินเฉินอันหนิงยิ้มกว้างเมื่อกวาดตามองเหล่าน้องชายทีละคน วันนี้ช่างเป็นวันดี เจ้าลูกเจี๊ยบของนางมากันครบถ้วน ขาดเพียงน้อง ๆ ที่ยังไม่ได้สวมกว้านเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เท่านั้น พอได้มองดูแต่ละคน ก็มองเห็นความแตกต่าง ทว่าน้อง ๆ ของนางต่างก็หล่อเหลาด้วยกันทั้งสิ้นลูกเจี๊ยบเหล่านี้ไม่เพียงได้ความหล่อเหลาจากเสด็จพ่อที่สมัยยังหนุ่มหรือแม้แต่ตอนนี้ก็ยังดูหล่อเหลาแต่ยังได้รับจากฝั่งมารดาที่งดงามสมกับเป็นสตรีวังหลังอีกด้วย“พี่ห้า ครั้งก่อนท่านยังไม่ได้เล่าเลยว่าท่านติดตามท่านหมอเทวดาไปที่ใดบ้าง” เป็นเฉินซูหนี่ อดีตองค์หญิงเจ็ดที่ได้เลื่อนมาเป็นองค์หญิงหกที่ส่งเสียงถามขึ้น นอกจากเหล่าน้องชายจะมาครบแล้ว วันนี้ยังมีองค์หญิงหกและองค์หญิงเก้าที่หนีออกมาเที่ยวเล่นมาร่วมด้วยน้องสาวทั้งสอง จะว่าเดินตามรอยพี่สาวคนโตก็ว่าได้ พวกนางมักจะลอบออกมาเที่ยวเล่นอยู่เป็นประจำ แต่
นัยน์ตาโศกทอดมองประตูตำหนักที่เปิดกว้างออกหลังจากที่ถูกปิดตายมานานนับเดือนก่อนจะเบือนหน้าหนียามที่บุรุษในชุดสีเหลืองอร่ามลายมังกรก้าวผ่านประตูนั้นมาพร้อมกับสตรีอาภรณ์สีแดงชาดประดับลายมังกร คนทั้งคู่ก็คือฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ปัจจุบันแห่งแคว้นเฉินทว่าสำหรับเฉินอันหนิงองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเฉินแล้วคนทั้งคู่เป็นเพียงแค่ชายโฉด หญิงชั่วที่ปล้นบัลลังก์ของผู้อื่นเท่านั้น“ยังจองหองได้อีกเช่นนั้นหรือพี่หญิงของข้า” น้ำเสียงเย้ยหยันมากกว่าจะเป็นมิตรส่งมาก่อนที่ฮองเฮาผู้สูงศักดิ์อย่างเฉินซูเหมยจะกรีดกรายเข้ามาใกล้พี่สาวต่างมารดาที่สถานะยามนี้คืออดีตองค์หญิงแห่งราชวงค์ก่อนสายตาวาวโรจน์จ้องเขม็งไม่ปกปิดความอาฆาตแค้นพร้อม ๆ กับร้องตวาดเสียงดังลั่น “ออกไปให้ห่างจากข้า นังอสรพิษ”ยามที่น้องสาวต่างมารดาเข้ามาใกล้เฉินอันหนิงให้รู้สึกสะอิดสะเอียดจนแทบจะอาเจียน ยิ่งภาพเหตุการณ์นองเลือดที่ผ่านพ้นมาไม่นานผุดขึ้นมาในหัวนางก็ยิ่งเคียดแค้นคนตรงหน้านังงูพิษผู้นี้กับสามีชั่วข้าของมันร่วมมือกันสังหารได้กระทั่งพี่น้องสายเลือดเดียวกัน วางยาสังหารได้กระทั่งบิดา ฆ่าล้างตระกูลขุนนางไปนับสิบโดยไม่รู้สึกรู้สา นางมิใช่คน
ความอบอุ่นอันคุ้นเคยปลุกให้เฉินอันหนิงรู้สึกตัวตื่น นางลืมตาขึ้นอย่างมึนงงก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเพราะความหนักอึ้งที่เปลือกตา นี่คือโลกหลังความตายเช่นนั้นหรือ ไยดูคุ้นเคยยิ่ง…“เจ้าก้อนแป้งขี้เซาจะให้พ่อรออีกนานเพียงใดกัน” สุรเสียงอันคุ้นเคยและเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นดังขึ้นจากใกล้ ๆ เรียกให้นางต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งนั่นเสียงของเสด็จพ่อมิใช่หรือ…ไม่เพียงแค่เสียงแต่บุรุษผู้สูงศักดิ์ที่นางรักยิ่งกว่าผู้ใดยังมาอยู่ตรงหน้านางอีกด้วย ดวงตาของนางร้อนผ่าว เฉินอันหนิงแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าเสด็จพ่อในยามยังหนุ่มจะยิ้มอ่อนโยนอยู่เบื้องหน้านาง“เสด็จพ่อ อะ” ความปิติยินดีที่ได้พบบิดาอีกครั้งชะงักกึกยามที่เอื้อนเอ่ยเรียกออกไปทว่าเสียงที่ได้ยินกลับแปลกประหลาด“เป็นอันใดไปเจ้าก้อนแป้งน้อย ฝันร้ายหรือ เหตุใดจึงร้องไห้เล่า” เฉินไท่เสียน ฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉินเอ่ยถามพร้อมกับยื่นพระหัตถ์อบอุ่นมาลูบศีรษะเล็ก ๆ ของธิดาองค์โตเป็นการปลอบประโลมยามที่เห็นหยดน้ำตาเม็ดโตกำลังจะไหลอาบแก้มยามพระหัตถ์คุ้นเคยของพระบิดายื่นมาสัมผัสเฉินอันหนิงทั้งสับสนและอบอุ่นในคราเดียวกัน นี่คือความอบอุ่นที่นางคุ้นเคยอย่างแน่นอย ห
แม้จะเป็นเรื่องมหัศจรรย์เกินกว่าจะเชื่อ และสับสนว่าเป็นจริงหรือไม่ แต่สุดท้ายเฉินอันหนิงก็ยึดเอาความคิดนี้เป็นเหตุผลอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนางหวนกลับมาแล้ว… หวนกลับมาในวันวานที่ยังคงสงบสุขนอกจากเสด็จแม่ที่จากไปเพราะอาการเจ็บป่วย ทุกคนยังคงอยู่และเกมชิงอำนาจก็ยังมิได้เริ่ม…มีเพียงการช่วงชิงความโปรดปรานเพื่อตำแหน่งฮองเฮาที่ว่างอยู่เท่านั้นดีล่ะ ในเมื่อได้หวนกลับมาในวันคืนเก่า นางจะไม่ยอมให้เหตุการณ์มันเป็นเช่นเดิมอีกไม่มีวัน!!!นางขอเอาชีวิตใหม่เป็นเดิมพัน !“อะแฮ่ม” ปล่อยให้เงียบกันอยู่ไม่นานเฉินไท่เสียนฮ่องเต้ก็กระแอมขึ้นหลังจากที่เถียงไม่ออกมาครู่ใหญ่ บุรุษสูงศักดิ์กว่าคนทั้งแผ่นดินหันมาหาธิดาองค์โตก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน “พ่อยอมรับว่าพ่อผิด เจ้าก้อนแป้งยกโทษให้พ่อได้หรือไม่ พ่อสัญญาว่าจะไม่ทำผิดต่อเจ้าอีก”เจ้าก้อนแป้งของโอรสสวรรค์ลอบสูดหายใจหนัก ๆ ทันทีที่คิดได้ว่าตนควรทำสิ่งใด นางเชิดหน้าบ่ายหนีพร้อมทั้งยกมือกอดอกอย่างเอาแต่ใจก่อนจะเอ่ยอย่างแสนงอน “หนิงเอ๋อร์ไม่ยกโทษให้เสด็จพ่อหรอกเพคะ เสด็จพ่อรักน้องคนใหม่มากกว่าหนิงเอ๋อร์”“โธ่ เจ้าก้อนแป้ง พ่อจะไปรักผู้ใดมากกว่าเจ้าได้”“แ
หอเทียนหลินเมื่อการประชุมหารือราชการจบลง เหล่าขุนนางก็กลับไปทำงานในหน้าที่ บ้างก็กลับจวน ส่วนเหล่าอ๋อง...ถูกพี่สาวเรียกมาหอเทียนหลินเฉินอันหนิงยิ้มกว้างเมื่อกวาดตามองเหล่าน้องชายทีละคน วันนี้ช่างเป็นวันดี เจ้าลูกเจี๊ยบของนางมากันครบถ้วน ขาดเพียงน้อง ๆ ที่ยังไม่ได้สวมกว้านเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เท่านั้น พอได้มองดูแต่ละคน ก็มองเห็นความแตกต่าง ทว่าน้อง ๆ ของนางต่างก็หล่อเหลาด้วยกันทั้งสิ้นลูกเจี๊ยบเหล่านี้ไม่เพียงได้ความหล่อเหลาจากเสด็จพ่อที่สมัยยังหนุ่มหรือแม้แต่ตอนนี้ก็ยังดูหล่อเหลาแต่ยังได้รับจากฝั่งมารดาที่งดงามสมกับเป็นสตรีวังหลังอีกด้วย“พี่ห้า ครั้งก่อนท่านยังไม่ได้เล่าเลยว่าท่านติดตามท่านหมอเทวดาไปที่ใดบ้าง” เป็นเฉินซูหนี่ อดีตองค์หญิงเจ็ดที่ได้เลื่อนมาเป็นองค์หญิงหกที่ส่งเสียงถามขึ้น นอกจากเหล่าน้องชายจะมาครบแล้ว วันนี้ยังมีองค์หญิงหกและองค์หญิงเก้าที่หนีออกมาเที่ยวเล่นมาร่วมด้วยน้องสาวทั้งสอง จะว่าเดินตามรอยพี่สาวคนโตก็ว่าได้ พวกนางมักจะลอบออกมาเที่ยวเล่นอยู่เป็นประจำ แต่
ตำหนักอันหนิงอากาศยามเช้าในวันหิมะตก ไม่ดีหนัก แต่ถึงแม้จะอยากซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนาสักเท่าไหร่เฉินอันหนิงก็ต้องฝืนตัวเองลุกขึ้นมา ด้วยว่าวันนี้เป็นวันที่นางมั่นใจว่าน้องชายคนที่ห้าจะมาเข้าเฝ้ากลางดึกที่ผ่านมาเค่อซินมารายงานว่าเฉินไป๋เสวี่ยเดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้วเพียงแค่ยังไม่ได้เข้าวังนั่นเท่ากับว่าเช้าวันนี้น้องชายของนางจะต้องมาเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์เป็นแน่ เช่นนั้นวันนี้ต่อให้ไม่อยากตื่นนางก็ต้องตื่น และ...นางก็จะไปเข้าประชุมด้วยก็แล้วกันขนบธรรมเนียมแคว้นอื่นเป็นอย่างไรเฉินอันหนิงไม่อาจรู้ และอาจจะเป็นเหมือนกับนิยายยุคจีนโบราณที่นางเคยอ่านที่สตรีไม่ยุ่งงานราชการ แต่ที่ต้าเฉินไม่ได้มีกฎข้อห้ามและขนบธรรมเนียมเช่นนั้น แม้ยังไม่มีขุนนางหญิงในราชสำนักแต่เหล่าขุนนางในท้องพระโรงก็ได้พบเจอนางอยู่ข้าง ๆ ฮ่องเต้เป็นประจำทว่าช่วงนี้นางไม่ได้เข้าร่วมการประชุมในท้องพระโรงบ่อยดั่งเช่นก่อนหน้า หากพูดให้ถูกคือนางไม่ได้เข้าร่วมเลยตั้งแต่หิมะตก แม้กลับจากซินอู๋แล้วก็ยังไม่ได้เข้าร่วม และจากนี้ไปก็อาจจะเข
“มาทำการค้ากับข้าซะดี ๆ เถอะ”จบคำพูดของนางทุกอย่างก็พลันเงียบลง อ๋องผู้แทบจะกลายเป็นของประดับไร้ชีวิตพากันเลิ่กลั่ก พี่ใหญ่ของพวกเขาเป็นอันใดไป จะชวนมาร่วมการค้า หรือว่าบังคับขู่เข็นกันแน่“จิวหลินขอบังอาจ...พระองค์ชวนกระหม่อม หรือว่าบังคับข่มขู่กันหรือ?”“ข่มขู่หรือชักชวน นั่นก็ขึ้นอยู่กับท่านจะตัดสิน”สายตาที่จับจ้องเว่ยหนิงตลอดมาหันมามองพิจารณาผู้ที่มีคำว่าหนิงในชื่ออีกคน ท่าทีของนางอย่างไรก็ไม่คล้ายพูดเล่น และคล้ายว่าคำตอบเดียวที่นางต้องการคือตอบตกลงจริงอยู่ว่าตรงหน้าเขาคือองค์หญิงที่กุมอำนาจของต้าเฉินเอาไว้ในมือ ทว่าคนต่างแคว้นเช่นเขา นางคิดหรือว่าจะบังคับกันได้“คล้ายองค์หญิงมั่นใจเหลือเกินว่ากระหม่อมจะไม่ปฏิเสธ”“บอกท่านตามตรง...ข้ามั่นใจ” ใช่ นางมั่นใจจริง ๆ จึงได้พูดจาราวกับบังคับกัน มากกว่าเป็นการชักชวน นางมีแต้มต่ออย่างไรเล่า“เอาความมั่นใจมาจากที่ใดกัน หรือเพราะแม่นางเว่ยร่วมกา
หนึ่งก้านธูปต่อมาหอเทียนหลินคือจุดหมายของเฉินอันหนิงหลังจากที่กินบะหมี่เสร็จ ที่นั่นไม่เพียงเป็นที่ที่พี่ชายนอกสายเลือดอย่างจิวหลิงบอกว่าเกี่ยวข้องกับตน แต่ยังเป็นสถานที่นัดหมายของนางกับเว่ยหนิงด้วยตั้งแต่คบหาเป็นสหาย นางกับเว่ยหนิงก็นัดหมายกันตามหอสุราขึ้นชื่ออยู่บ่อย ๆ ครั้งนี้ก็เป็นเวลาของหอเทียนหลินไม่ทันจะได้มองหาผู้นัดหมายผู้ดูแลของหอเทียนหลินก็เข้ามาทำความเคารพแล้วเชิญไปยังห้องที่เว่ยหนิงนั่งรออยู่“เจ้าว่องไวไม่เบา”“คนทำการค้าอย่างข้า เมื่อต้องว่องไวย่อมต้องว่องไวเป็นธรรมดา...เจ้าพาอาหารตามาให้ข้าด้วยหรือสหาย” เว่ยหนิงเอ่ยแล้วมองพิจารณาไปยังบุรุษรูปงามที่ติดตามสหายเข้ามาภายในห้อง จะอี้อ๋อง หานอ๋อง หรือเฉิงอ๋อง ต่างก็เป็นบุรุษรูปงามทั้งนั้น สหายของนางที่รายล้อมไปด้วยอาหารตาชั้นดีเหล่านี้ช่างโชคดียิ่งนักชายงามหอพันเซียนยังไม่อาจเทียบได้เลย...เป็นบุญตาอะไรเช่นนี้“น้องชายข้าไม่ใช่อาหารตา อย่าได้สนใจพวกเขา ถ้าเจ้าไม่อยากพบความยุ
เฉินอันหนิงมองสองพี่น้องที่ตัวสั่นเป็นลูกนกก่อนจะยิ้มขำ ดูเอาเถิดท่าทีในตอนนี้แตกต่างจนน่าใจหาย “เอาเถิด พวกเจ้าลุกขึ้นได้ ข้ามิได้ขุ่นเคืองอันใด แต่สิ่งที่ข้าบอกพวกเจ้าไป อย่าได้ลืมเล่า”“พวกเราจะจดจำและทำตามเพคะ”“เช่นนั้นก็ไปนั่งเถิด ตามสบาย”“ขอบพระทัยองค์หญิง” สองคุณหนูแห่งตระกุลฟ่านโน้มตัวคารวะเชื้อพระวงค์ทั้งสี่ก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิม และอยู่กันอย่างเงียบเชียบเฉินอันหนิงเลิกให้ความสนใจคุณหนูทั้งสอง หันกลับมามองน้อง ๆ ของตน “เสร็จจากที่นี่ พวกเจ้าไปทำธุระเป็นเพื่อนข้าหน่อย”“มิใช่จะไปร่ำสุราหรือ”“ธุระ” นางแย้งทว่าสายตาของน้องชายก็เหมือนจะไม่เชื่อ พี่สาวผู้มีน้องชายฉลาดรู้ทันส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะเอ่ย “ก็ไปคุยธุระด้วย ร่ำสุราด้วย จะเป็นไรไป”จะเป็นอันใดได้เล่า นอกจากโอรสสวรรค์ ผู้เดียวที่ใครก็ไม่กล้าต่อกรก็คือองค์หญิงใหญ่ ต่อให้นางทำเรื่องร้ายแรง ก็ไม่มีใครว่าอันใดอยู
“คนเยอะเช่นนี้อึดอัดเสียจริง”เป็นเฉินซีเฉิงที่เอ่ยขึ้นในขณะที่พี่สาวร่ำร้องอยู่ในใจที่น้องชายไม่มีผู้ใดสนใจสตรีรูปงาม ทว่าไม่ใช่แค่เขาที่รู้สึกเช่นนั้น“นั่นสิ อึดอัดจริง ๆ ยืนกันเต็มไปหมด” เฉินชิงเซวียนเองก็รู้สึกเช่นกัน โอรสพระองค์รองมีสีหน้าเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาต่างก็ทิ้งคนไว้ด้านล่างเพราะอยากจะนั่งกับพี่สาวอย่างอิสระ ไม่ต้องให้ผู้ใดมองมาอย่างหวั่นเกรง แต่ดูโต๊ะข้าง ๆ สิ ผู้ติดตามแทบจะเต็มพื้นที่เช่นนั้น น่าอึดอัดยิ่งโต๊ะไม่ได้ห่างนัก คุณหนูทั้งสองได้ยินอย่างชัดเจน และเหมือนจะรู้ตัวโดยไม่ต้องมีผู้ใดบอก สตรีชุดชมพูอ่อนจ้องเขม็งมาทันที แต่ไม่ได้พูดสิ่งใด อันเนื่องมาจากผู้ติดตามพูดแทนเป็นที่เรียบร้อย“บังอาจ! พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรเอ่ยเช่นนี้ให้คุณหนูของท่านแม่ทัพฟ่านได้ยิน ไม่อยากอยู่แล้วใช่หรือไม่”“พวกเจ้ามากกว่ากระมังที่ไม่อยากอยู่” เฉินซีหานสวนกลับพร้อมกับจ้องอย่างดุดัน สาเหตุที่เขารีบพูดก็เพราะไม่ต้องการให้พี่ชายคนรองที่ดูจะ
เสียงตะโกนเรียกอย่างพร้อมเพรียงของน้องชายคนที่สาม น้องชายคนที่สี่รวมถึงน้องชายคนที่แปดที่ตอนนี้เลื่อนกลับมาเป็นน้องชายคนที่เจ็ดเพราะเฉินซูเหมยถูกถอดออกจากลำดับโอรสธิดาทำเอาผู้คนภายในหอซุนฉีถึงกับสะดุ้งตกใจ และหันมามองท่าทีกระหือดกระหอบของบุรุษรูปงามที่ก้าวเข้ามาภายในหอซุยฉีอย่างสนใจเฉินอันหนิงเลิกคิ้วมองก่อนจะกวักมือให้พวกเขารีบมานั่ง อย่าได้รบกวนผู้คนจนเป็นจุดสนใจ ลูกเจี๊ยบทั้งสามทำตามอย่างว่าง่าย เพียงครู่ก็มานั่งกันเต็มโต๊ะตาคู่หงส์มองไปที่น้องชายคนที่เจ็ดที่น้อยครั้งจะออกจากจวนเป็นคนแรก เฉิงอ๋อง เฉินซีเฉิง เป็นบุรุษผู้อยู่กับธรรมชาติมากกว่าผู้คน ตั้งแต่มีจวนเป็นของตัวเองเมื่อครึ่งปีก่อนก็ขลุกอยู่กับการปลูกต้นไม้ และจัดสวน นอกจากตอนที่นึกครึ้มไปหานางหรือมีการรวมตัวที่ตำหนักอันหนิงแล้วแทบไม่มีผู้ใดได้เห็นหน้านางไม่ได้ให้เค่อซินส่งคนไปเรียก เพราะรู้ดีว่าเฉินซีเฉิงจะไม่ออกนอกจวนเด็ดขาด แต่กลับผิดคาด เจ้าลูกเจี๊ยบตัวนี้ก็ออกจากจวนมาเพราะได้ข่าวสารว่าอีกสองปีนางจะออกเรือนเจ้าพวกนี้เป็นอะไรมากไปหรื
บุรุษหนุ่มส่ายหน้ากับตัวเองอีกครั้งก่อนจะบอกเล่า “ข้าไปเมืองจิ้งหลวนมา”“ที่แท้เจ้าไปหาช่องทางการค้ากับชาวโพ้นทะเล” แค่น้องชายบอกว่าไปที่ใดมา นางก็คาดเดาได้ น้องรองผู้นี้เสนอเรื่องการค้ากับชาวโพ้นทะเลที่มีของแปลกใหม่มาขายขึ้นมาในที่ประชุม การที่เขาหายไปและจุดหมายคือเมืองจิ้งหลวนที่เป็นเมืองท่าติดทะเล ย่อมเป็นไปได้ว่าเขาจะไปติดต่อกับชาวโพ้นทะเล“ใช่ ข้าไปหาช่องทางทำการค้ากับคนเหล่านั้น”“แล้วเป็นอย่างไร”“ข้ามองหาคนที่มีตาสีฟ้า ตามที่ท่านเคยบอกเล่า แล้วก็พูดภาษาที่ท่านสอนกับเขา แล้วเราคุยกันรู้เรื่อง” เฉินชิงเซวียนพูดแล้วก็ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงตอนที่ตนหาผู้ที่จะเจรจาการค้าด้วย ภาษาประหลาดที่พี่สาวสั่งสอนได้นำมาใช้ในตอนนั้น และเป็นเรื่องน่าทึ่งที่คนผู้นั้นพูดภาษาประหลาดนั้นตอบโต้กับเขาได้เฉินอันหนิงยิ้มตามน้องชายคนรองในทันที ตาคู่หวานมีประกายยินดีเป็นอย่างยิ่ง ตอนแรกที่รู้ว่าชีวิตของนางเป็นแค่ส่วนหนึ่งของนิยายที่มีน้องชายคนที่สามเป
ตามที่เฉินอันหนิงให้สัญญากับจิวหลิงเอาไว้ว่าจะส่งยอดฝีมือไปให้ นางจึงให้ท่านลุงฟู่คัดเลือกยอดฝีมือในสังกัดทั้งยังมอบหมายหน้าที่ให้เค่อซุนไปเป็นหัวหน้ากองกำลัง นัยหนึ่งก็เพราะจิวหลิงและเค่อซุนพูดคุยกันถูกคอน่าจะเข้าใจกันได้ง่าย อีกนัยหนึ่งก็เพื่อให้เค่อซุนคอยดูแลคนโง่งมให้นางวรยุทธของเขานับว่าล้ำเลิศ ใช่ว่าผู้ใดจะจัดการได้ เค่อซุนไม่อาจเทียบเคียง นางจึงไม่ได้ปรารถนาให้เค่อซุนคุ้มกันเขาจากศัตรู แต่ป้องกันจากสตรีต่างหากจะต้องไม่มีใครมาข้องแวะกับบุรุษของนาง…ไม่รู้ว่าป่านนี้คนโง่งมผู้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง แล้วคนของนางจะไปถึงแล้วหรือไม่“กราบทูลองค์หญิง องครักษ์เค่อซินขอเข้าเฝ้าเพคะ” เสียงจากนางกำนัลที่เข้ามารายงานเรียกให้คนที่เผลอขบคิดไปถึงคนห่างไกลได้สติกลับมาอยู่กับปัจจุบัน นางตอบรับในทันทีก่อนที่องครักษ์หนุ่มจะเข้ามาทำความเคารพ“เค่อซินถวายพระพรองค์หญิง” หลังจากโค้งคำนับผู้เป็นนายเป็นที่เรียบร้อย ผู้มีเรื่องมารายงานก็เอ่ยในทันทีโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายสอบถาม