ฉู่เฉินยังคงสงสัยว่างูเก้าหางหมายถึงอะไรฉู่เฉินรู้สึกว่าดวงตาสีดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นข้างหลัง และในภาพสะท้อนของดวงตาสีดำ ร่างกายของเขามีขนาดเล็กและดูน่าสงสาร ก่อนที่ฉู่เฉินจะทันได้โต้ตอบ แรงอันทรงพลังและไม่อาจต้านทาน ก็ได้ดึงเขาเข้าสู่ความว่างเปล่าสีดำในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ริมถนนของเมืองโบราณทางทิศตะวันตก มีต้นไม้เก่าแก่สองต้นที่มีความเขียวขจีเป็นพิเศษสายลมยามค่ำคืนพัดมา และยังได้ยินเสียงร้องไห้ดังออกมาจากกิ่งไม้และใบไม้ราวกับเสียงสะอื้นมีร้านหัตถกรรมงานฝีมืออายุร่วมศตวรรษอยู่ใต้ต้นไม้เก่าแก่ปู่และหลานชายได้เปิดร้าน และเป็นร้านที่มีชื่อเสียงดังก้องไกลในขณะนี้ มีร่างหลายร่างยืนอยู่บนยอดตึกระฟ้าตรงข้ามกับร้าน และร่างที่อยู่ด้านหน้าเป็นนักพรตเต๋าสูงอายุมีกลิ่นอายอมตะจแผ่กระจายออกมาจากตัวเขา แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเย็นชา“ท่านอาจารย์ การฟื้นฟูพลังวิญญาณเป็นการปลุกวิญญาณร้ายจริงหรือ? “ชายวัยกลางคนแต่งตัวเรียบร้อยและมีผมหงอกอยู่ด้านหลังนักพรต ถามขึ้นมานี่คือประธานกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังในเมืองหลวง และรายล้อมไปด้วยลูกน้องหลายคน“ถูกต้อง! นี่เป็นโอกาสครั้งเดียวในชาตินี้
ช่างน่าตื่นตาตื่นใจมาก ที่เห็นกล่องเงินอยู่ตรงหน้า ในนั้นเต็มไปด้วยธนบัตรหลายร้อยหยวน กองซ้อน ๆ กัน มูลค่ารวมกันหลายล้านเมื่อมองดูคนที่อยู่หลังกล่องเงิน พวกเขาต่างก็มีฐานะที่ดีในสายตาของฉู่เฉิน เงินนี้เป็นเพียงเงินจำนวนเล็กน้อย แต่ในสายตาของฉินเฟิน มันเป็นความมั่งคั่งมหาศาลจริง ๆฉินเฟินสับสนไปชั่วขณะและถามด้วยความงุนงง"พวกคุณต้องการอะไร?""พวกเรามาที่นี่เพื่อซื้อร้านของแก! ย้ายออกไปในวันนี้ซะ!" ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นผู้จัดการก้าวไปข้างหน้า พูดด้วยน้ำเสียงที่หยิ่งผยอง“ทำไมล่ะ? ฉันไม่เคยบอกว่าจะขายสักหน่อย!” ฉินเฟินผงะทันที"พวกเรามาจากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง และชอบที่พื้นนี้มาก ถ้าแกรู้ว่าอะไรดีสำหรับแก ก็รับเงินแล้วไสหัวออกไปซะ!"“อ่า!” ฉินเฟินเข้าใจและคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมา “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เจอเรื่องแบบนี้ นี่เป็นร้านเก่าที่สืบทอดมาในตระกูลของฉัน มันไม่ได้มีไว้ขาย”นี่เป็นร้านค้าของบรรพบุรุษ และเป็นสถานที่ที่มีฮวงจุ้ยที่ดีเยี่ยม ตามที่ปู่ของเขาภูมิใจนักหนา แล้วจะขายได้อย่างไร?“ไอ้สารเลว! นี่เป็นสองเท่าของราคาตลาด แกใ
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ร่ำรวยและมีอำนาจดูเหมือนจะไม่กลัว บางทีพวกเขาอาจคุ้นเคยกับการทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความเย่อหยิ่งเช่นนั้น“ฉินเฟิน เกิดอะไรขึ้น? หยุดต่อสู้นะ!”ในไม่ช้า เด็กผู้หญิงชื่อจางซินซินจากร้านใกล้เคียงก็วิ่งออกไป ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวลขณะที่เธอตะโกน“น้องสะใภ้ ไม่เป็นไร คนพวกนี้มันคันไม้คันมือและอยากซ้อมมือกับฉัน!” ฉินเฟินซึ่งอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ยิ้มและหันกลับมาเพื่อตอบ โดยไม่ได้คิดจริงจังกับเรื่องนี้เลย“นี่นาย! ในเวลาแบบนี้ ยังจะมัวล้อเล่นอยู่อีก ระวังนะ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะทุบตีนายจนหมดสติ!”จางซินซินตำหนิเขาทันที โดยรู้ดีว่าแม้ฉินเฟินจะมีท่าทีไร้กังวล แต่ก็ค่อนข้างดื้อรั้น“ไม่เป็นไร แค่กลุ่มอันธพาลอ่อนหัด!”ฉินเฟินตอบโดยยังคงยิ้ม และมุ่งความสนใจไปที่การเตะต่อยอย่างดุเดือดเท่านั้นแต่ทันทีที่เขาพูดจบ อันธพาลคนหนึ่งก็ยกไม้ขึ้นโจมตีจากด้านหลังอย่างไม่คาดคิด ทำให้เขาล้มลงไปกับพื้นในคราวเดียวเพราะยังไง เขาก็ยังเป็นคนธรรมดา แม้ว่าจะมีฝีมือการต่อสู้อยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่สามารถต้านทานคนจำนวนมากได้ฉู่เฉินเคยคิดจะก้าวเข้ามา แต่เมื่อรู้ว่าการปรากฏตัวของเขานั้นผิด
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่งและเห็นคุณปู่ตื่นขึ้นมา เขาก็พูดตรงไปตรงมาว่า "คุณปู่ คุณเคยได้ยินเรื่องการฟื้นคืนชีพของวิญญาณร้ายไหม“แค่ก! อะไรนะ?“ ปู่ฉินที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ไอและลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจทันทีเมื่อเห็นภาพนี้ ฉู่เฉินก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน เขามองไปที่ชายชราธรรมดา ๆ ที่อยู่ตรงหน้าซึ่งดูเหมือนจะป่วยหนักอยู่แล้ว และในขณะที่เขาได้ยินสามคำนี้ ดูเหมือนเขาจะเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา“แกไปได้ยินเรื่องนั้นมาจากไหน?” ปู่ฉินดูกังวลและลุกขึ้นนั่ง เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้จริงจังมาก“วันนี้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์กำลังจะเข้าซื้อร้าน ตามคำสั่งของนักพรตคนหนึ่ง”“โอ้? ดูสิ เนื้อตัวแกมอมแมมไปหมด แกต่อสู้กับพวกนั้นหรือเปล่า?”ปู่ฉินลุกจากเตียง นั่งบนเก้าอี้ แล้วพูดกับฉินเฟินอย่างเคร่งขรึม“ใช่ หนึ่งในนักพรตเต๋าพูดถึง ‘การฟื้นคืนชีพของวิญญาณร้าย’ และเขาบอกว่าพวกเราจะไม่รอดในคืนนี้”เมื่อเห็นท่าทางการแสดงออกที่จริงจังของปู่ ฉินเฟินก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา จึงเล่าอย่างรวดเร็วถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้น“เอาล่ะ แกเองก็ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว วันนี้ ปู่จะบอกแกบางอย่างที่แกไม่เคยรู้มาก
“การฟื้นพลังจิตวิญญาณคราวนี้ ได้กำลังรั่วไหลออกมาจากสุสานใต้ดินของจักรพรรดิฉิน ซึ่งเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับตระกูลของพวกเรา และพวกเราไม่สามารถปล่อยให้คนนอกใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ได้อย่างแน่นอน”ปู่ฉินอธิบายในขณะที่กำลังวางกับดักและค่ายกลฉินเฟินตั้งใจฟังและพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากนั้นปู่ไม่ได้พูดอะไรมาก ดังนั้นฉินเฟินจึงพยายามจดจำทุกคำนอกจากนี้ วันนี้ยังเป็นครั้งแรกที่เขาสังเกตเห็นว่ามีกลไกที่ซ่อนอยู่มากมายในห้องนี้“เฟินเอ๋อร์ แกอาจยังไม่รู้ ตระกูลฉินของพวกเราเป็นผู้พิทักษ์สุสานของสุสานจักรพรรดิฉินในสมัยโบราณ! ซึ่งพวกเราปฏิบัติหน้าที่ของพวกเราด้วยความภักดีอย่างแน่วแน่ และวันนี้พวกเราจะทำหน้าที่ในส่วนนั้นด้วย”คุณปู่ฉินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นวันนี้ หลังจากได้ยินเกี่ยวกับการปลุกวิญญาณปีศาจ ก็เหมือนกับว่าเขากลายเป็นคนละคน เขาไม่เพียงแต่ตื่นเต้นมาก แต่ยังพูดมากขึ้นอีกด้วยและสิ่งเขาที่พูดคือสิ่งที่ฉินเฟินไม่เคยได้ยินมาก่อนมีเพียงฉู่เฉินเท่านั้นที่ได้ยินคำพูดของชายชรา ก็รู้สึกปั่นป่วนในใจด้วยคลื่นที่น่าตกใจสถานที่แรกสำหรับการฟื้นฟูจิตวิญญาณคือสุสานจักรพรรดิฉินจริง ๆ!ในช่วงเวลาแห่งค
แม้ว่าจะยังมีเสียงดังของรถยนต์อยู่ข้างนอก แต่ก็ได้ส่งสียงรำคาญเมื่อพวกเขาได้ยินปัญหารุมเล้าทั้งภายในและภายนอกจริง ๆแต่ฉินเฟินไม่กลัว กลับระเบิดหัวพวกเราะออกมาและพูดว่า "ฮ่า ๆ นี่คือโลกวรยุทธอันน่าพิศวง ที่ฉันขวนขวายมาโดยตลอด เอาเลย ดาหน้ากันมาให้หมด!”“หยุดหัวเราะได้แล้ว! แกมีความสามารถขนาดนั้นหรือเปล่า?”ด้วยการดุจากปู่ฉิน เขาจึงพูดไม่ออกทันที“มาที่นี่และคำนับสามครั้งต่อหน้าบรรพบุรุษของพวกเรา ที่ห้องโถงบรรพบุรุษ!”"รับทราบ!"ฉินเฟินไม่ลังเลและคุกเข่าลงและคำนับแต่ปู่ฉินก้าวไปข้างหน้า และคว้ารูปปั้นชายชราคนหนึ่งจากแท่นบูชา ทุบมันลงกับพื้น“เอ่อ ปู่กำลังทำอะไรอยู่? ปู่มักจะไม่ยอมให้ผมเข้าใกล้แท่นบูชาของบรรพบุรุษ แล้วตอนนี้ล่ะ?”ฉินเฟินสับสน“ตุ้บ!” รูปปั้นแตกกระจาย ปล่อยควันสีเขียวออกมา และทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังก้องอยู่ในใจของฉินเฟิน“วิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์และโลก โปรดมอบชีวิตนิรันดร์ และด้วยฝีมือที่ไม่มีใครเทียบได้ วันนี้ข้าจะมอบถ่ายโอนของข้าให้กับทายาทคนใหม่ หนุ่มน้อย โชคลาภของเจ้ามาถึงแล้ว ตอนนี้ข้าจะสอนเทคนิคการหลอมที่ไม่มีใครเทียบได้!”เกิดอะไรขึ้น? ฉินเฟินต
เมื่อเห็นปู่ของเขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ฉินเฟินก็รู้สึกสับสน“เยี่ยมมาก ท่านบรรพบุรุษ! ในที่สุดวิญญาณของท่านก็สามารถพักผ่อนอย่างสงบได้แล้ว คู่มือการสร้างสวรรค์ได้หวนกลับมาแล้ว!”หลังจากหัวเราะแล้ว ปู่ฉินก็ย่อตัวลงและเริ่มร้องไห้เสียงสะอื้นนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศกภาพตรงหน้านี้ ทำให้ฉินเฟินไม่เข้าใจ“เฟินเอ๋อร์ ผู้ก่อตั้งตระกูลฉินได้สร้างสุสานของปฐมกษัตริย์ฉินจากความช่วยเหลือของคู่มือการสร้างสวรรค์ ซึ่งเป็นผลงานอันยอดเยี่ยม ที่ไม่เคยมีอะไรมาล้มได้ ไม่คาดคิดว่ามันจะกลับมาหาแก ตอนนี้ตระกูลฉินของเราจะกลับมาผงาดอีกครั้ง!”ปู่ฉินบ้าคลั่งและไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้สักพักใหญ่อย่างไรก็ตาม ฉินเฟินก็ยังไม่พอใจเลยสักนิด“ที่แท้ผู้พิทักษ์สุสานคือช่างฝีมือที่สร้างสุสานของจิ๋นซีฮ่องเต้งั้นหรือ? ทั้งสองบทบาทนี้ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ—ฉันอยากเป็นฮ่องเต้!”แต่เขาไม่ได้พูดความคิดนี้ออกมาปู่ฉินเดินไปหาฉินเฟินพร้อมกับบ่น“ใช่ ใช่แล้ว ถูกต้องแล้ว! ดูเหมือนว่าการฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณจะปลุกวิญญาณของบรรพบุรุษให้ตื่นขึ้นด้วย! สวรรค์มีตา! ตระกูลฉินได้ถูกช่วยเหลือแล้ว”จริง ๆ แล้วมีอีกสิ่งหนึ่งที่เ
ฉินเฟินมองห้องเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ นั้น ด้วยความตื่นเต้นและสงสัยทุกคนระมัดระวังตัวด้วย ยกเว้นฉู่เฉินที่จ้องไปที่กลุ่มสิ่งมีชีวิตปีศาจที่อ่อนแอ เจ้าพวกนี้เป็นวิญญาณร้ายหรือเปล่านะ?ในขณะนั้นเอง“วูบ!”จู่ ๆ ก็มีเสียงร้องประหลาดดังขึ้น และสิ่งมีชีวิตส่งกลิ่นหม็นเน่า คล้ายกับหมาป่าก็กระโจนออกมาจากลมหมุนทันทีที่เจ้าสิ่งนี้โผล่ออกมา มันก็เปิดปากและกัดฉินเฟินโดยเผยให้เห็นเขี้ยวสีขาว“โอ้ หัวของพวกมันมีรูปร่างเหมือนกะโหลกศีรษะ น่าสนใจจริง ๆ!”ฉินเฟินทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัวเล็กน้อย เขี้ยวขนาดใหญ่ของเจ้าตัวนั้น ถ้าโดนกัดเข้า ต้นขาของเขาจะบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน และปากที่สกปรกของหมาป่าตัวนั้นต้องมีพิษเป็นแน่“ผั่วะ!” ในช่วงเวลาสำคัญ ปู่ฉินได้ฟาดกระบองหนัก ๆ ลงมาส่งเจ้าตัวนั้นให้พุ่งชนกับค่ายกลไทจี้ และทำให้มันก็ถูกกลืนหายไปในทันทีกระบองนั้นถูกสลักด้วยอักขระที่ทรงพลัง และเมื่อโจมตีใส่วิญญาณร้าย ลำแสงสีเงินก็พุ่งออกไปในทุกทิศทาง เกิดเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ"ปู่ สุดยอดไปเลย!"ฉินเฟินรู้สึกตื่นเต้น เขามักจะเรียนรู้ศิลปะการแกะสลักและจารึกจากปู่ แต่เขาไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่า มันจะมีพลัง
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่