ในทางตรงกันข้าม โจวเล่ยนั่งอยู่คนเดียวบนเนินเขาอย่างเงียบๆ รู้สึกถึงความอ้างว้างและเงียบงัน เมื่อมองไปรอบๆ มันต่างเต็มไปด้วยการนองเลือด ทำให้ภาพเบื้องหน้านี้น่าเศร้ายิ่งขึ้นฉู่เฉินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองโจวเล่ยเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้ปกปิดตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ และยอมอดทนคำสาปแช่งที่หยาบคายเพียงเพื่อปกปิดความจริงไว้ในใจ จริงๆ แล้วเธอเป็นคนมีจิตใจเข้มแข็งขณะที่ฉู่เฉินยังคงสังเกตภาพลวงตาของโจวเล่ยต่อไป ทุ่งหญ้าสีเขียวก็ค่อยๆ หดตัวลง ไม่นานนัก ทุ่งหญ้าก็หายไปทั้งหมด ถูกแทนที่ด้วยกำแพงปราสาท โถงปราสาท และในที่สุด ตัวปราสาทก็หายไป มีคนห้าคนปรากฏตัวขึ้นที่ท่ามกลางทรายสีเหลืองอันไร้ขอบเขตทั้งห้าคนค่อยๆ ตื่นขึ้น โดยที่ฉู่เฉินเป็นคนแรกที่ตื่น เมื่อเห็นตัวเองและคนอื่นๆ เปลือยกายอยู่ในทรายสีเหลืองอันกว้างใหญ่ และไม่มีร่องรอยทุ่งหญ้าเขียวขจีและปราสาท ฉู่เฉินก็ตระหนักได้เช่นเดียวกับที่ชายชราเคราหงอกพูดไว้ และตอนนี้ชายชราได้หายตัวไปเรียบร้อยแล้วในขณะที่อีกสี่คนยังไม่ตื่นเต็มที่ ฉู่เฉินรีบนำสิ่งที่เรียกว่าผลึกประกายศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในเมืองลับแลมังกรโจวเล่ยเป็นคนแรกที่ตื่นขึ้นมา เมื่อเห็นกา
นึกถึงเรื่องนี้ หลายคนก็เหงื่อแตกพลั่ก“ใครเป็นคนตื่นคนแรก?” ฉินหยวนไถไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้จึงถามอีกครั้ง“ดูเหมือนว่าจะเป็นเขา” โจวเล่ยไม่ได้ปิดบังและชี้ไปที่ฉู่เฉินนี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถปกปิดได้ แม้ว่าเธอจะไม่พูด เพราะเดี๋ยวก็จะมีคนเดาออกมาได้“ฉู่เฉิน แกอีกแล้ว บอกมาตามตรงซะ แกได้อะไรเข้ามาจากข้างในปราสาทโบราณนี้บ้าง?” ฉินหยวนไถข้อสงสัยอย่างชัดเจน“ฉินหยวนไถ อย่ามาล้ำเส้น ฉันแค่เป็นคนแรกที่ตื่นขึ้นมา”“ฉันจะเอาอะไรได้ ถ้าเจออะไรจริง ๆ ถึงฉันจะตื่นมาคนแรก แล้วฉันก็ได้ทำอะไรพวกนายเลยหรือยัง?”“หรือฉันจะออกไปก่อนก็ย่อมได้ นายมีสมองไว้กั้นหูอย่างนั้นเหรอ?” ฉู่เฉินโต้กลับด้วยความรู้สึกพูดไม่ออกในใจ ชายคนนี้ฉลาดเป็นกรดจริงๆ แถมยังสงสัยตัวเขาเร็วมาก“นั่นเป็นเพราะความฉลาดของแก ถ้าแกออกไปก่อน พวกเราคงจะตามไล่แกแน่ เพื่อคลี่คลายข้อสงสัยให้ตัวเอง ดังนั้นนายจึงอยู่ที่นี่ เอามันออกมาซะ เอาออกมาให้ฉันดู” ฉินหยวนไถยืนกราน ไม่ว่าจะจากการสังหรณ์ใจหรือเดา แต่เขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างอีกสามคนที่ไม่ได้สนใจกับเรื่องนี้มากนัก แต่กลับค่อยๆ เชื่อคำพูดของฉินหยวนไถและล้อมรอบฉู่เฉินเอาไว้ตรงกล
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็หยุดพูดไร้สาระแล้วมาลุยด้วยกันดีๆดีกว่า ท้ายที่สุดแล้วการพล่ามไปก็ไม่มีประโยชน์ มันขึ้นอยู่กับพลังในกำปั้น” ฉู่เฉินเริ่มพูด“ถ้าอย่างนั้นอย่าโทษพวกเราที่รุมแก” ฉินหยวนไถเป็นคนแรกที่ลงมือ ภาพลวงตาหายไป และความแข็งแกร่งของทุกคนก็กลับคืนมา วรยุทธของฉินหยวนไถอยู่ในขั้นเก้าของอระดับมหากาฬก็ระเบิดออกมา และเขาก็พุ่งตัวไปที่ฉู่เฉิน ทันทีโปเปียว เฉินเหนิงลัว และโวเล่ยก็ไม่รอช้าเช่นกัน พวกเขาก็เคลื่อนไหวและสร้างวงล้อมสี่มุมร่วมกับฉินหยวนไถ ในขณะเดียวกันก็โจมตีฉู่เฉินด้วยนักสู้ระดับมหากาฬนั้นธรรมดาตั้งแต่เมื่อไหร่? นอกเหนือจากโปเปียวที่อ่อนแอกว่าเล็กน้อย เฉินเหนิงลัวและโจวเล่ย ต่างก็อยู่ในขั้นแปดของระดับมหากาฬ และไม่จำเป็นต้องพูดฉินหยวนไถที่อยู่ในขั้นเก้าในทางกลับกัน ฉู่เฉินซึ่งถูกล้อมไว้ตรงกลางก็ไม่ได้ตื่นตระหนกเลย แม้ว่าจะโดนการโจมตีจากทั้งสี่คนพร้อมกัน ฉู่เฉินก็ไม่ได้เอาอาวุธออกมาเพียงแค่อาศัยการเคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียวก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ หากต้องเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว และยังไงฝึกฝนกับเหยาหลิงเฉินมาก่อน ฉู่เฉินอาจจะทำอะไรไม่ถูกแต่ต่อมา จวินหวู่หมิงก็
เมื่อเห็นเช่นนี้ โปเปียวก็ตะโกน: "เป่ยเอ๋อ ช่วยพวกเราด้วย ไม่งั้นพวกเราจะไม่รอดแน่!"หากฉินหยวนไถจากตระกูลฉินตาย ดังนั้นนักสู้มหากาฬชั้นแปดที่เหลืออีกสองคนและโปเปียวต่อสู้กับฉู่เฉิน ซึ่งจะทำให้พวกเขาจะจบลงด้วยความตายเท่านั้นดังนั้นโจวเล่ยจึงรีบลงมือ แสงสีแดงกระพริบไหว ปลดปล่อยคลื่นแห่งความสับสนออกมาจนกระทั่งเฉินเหนิงลัวก็เข้าร่วมด้วย ทั้งสี่คนจึงสามารถป้องกันการโจมตีได้“ในเมื่อพวกนายทุกคนป้องกันการโจมตีของฉันได้ งั้นครั้งนี้ฉันจะไว้ชีวิตพวกนาย แล้วคราวหน้าฉันจะไม่แสดงความเมตตาอีก”หลังจากพูดเช่นนี้ ฉู่เฉินก็หันหลังกลับและหายตัวไปในทันที และจากไปโดยไม่หันกลับมามอง“ฉันไม่ได้คิดเลยว่าความแข็งแกร่งของฉู่เฉินจะน่ากลัวขนาดนี้” หลังจากที่ฉู่เฉินจากไป เห็นได้ชัดว่าโปเปียวกลัวและกังวลว่าการเดิมพันครั้งนี้จะคุ้มค่าหรือไม่ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ เขาจะไม่แปรพักตร์แน่การเผชิญหน้ากับฉู่เฉิน อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป แม้ว่าเขาจะรู้ว่าฉู่เฉินแข็งแกร่งกว่ามาก แต่เขาไม่คาดคิดว่าเขาจะมีพลังล้นหลามขนาดนี้ และความแข็งแกร่งที่รวมกันของพวกเขาทั้งสี่ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย
ตามคาด มันได้ผลเหมือนเวทมนตร์เมื่อได้ยินว่าฉู่เฉินเป็นนักล่าจากชนเผ่าที่พลัดหลงจากกลุ่มของเขา ชายคนนั้นก็ไม่ได้ถามคำถามมากเกินไป ไม่ว่าจะด้วยความเห็นอกเห็นใจหรือสงสาร เขาเพียงแต่ถามชื่อฉู่เฉินก่อนจะจัดที่นอนให้เขา และให้เขาพักผ่อนโดยเร็วเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ชายคนนั้นก็เชิญฉู่เฉินมาทานอาหารเย็นด้วยกันอย่างอบอุ่น ซึ่งมีต้นขาของสัตว์ประหลาดไม่ทราบชนิดได้ถูกย่างบนไฟฉู่เฉินไม่สามารถต้านทานความกระตือรือร้นของชายคนนั้นได้ จึงเดินตามเขาไปที่กองไฟข้างกองไฟ มีชายเจ็ดหรือแปดคนรออยู่แล้ว เมื่อพวกเขาเห็นฉู่เฉินเข้ามาใกล้ พวกเขาก็รีบจัดแจงหาที่วางให้เขานั่งเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ ฉู่เฉินจึงหยิบเหล้าสองขวดออกจากประเป๋าหลุดดำออกมาเพื่อแบ่งปันฉู่เฉินไม่เคยตระหนี่กับผู้ที่แสดงความมีน้ำใจต่อเขาเมื่อได้ฟังผู้ชายพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวที่น่าสนใจจากทั่วทุกมุมโลก ฉู่เฉินก็มีความสุขมากเช่นกัน และในไม่ช้าก็เข้าร่วมวงสนทนาด้วยและสนุกสนานอย่างกลมกลืนสักพักทุกคนก็เริ่มคุ้นเคยกันยามที่เจอกับฉู่เฉินเป็นคนแรกกกล่าวว่า "ข้าอิจฉาเจ้าจริงๆ น้องฉู่เฉิน เจ้าอายุน้อยมากและมีฝีมือมาก ช่วยเผ่าของเจ้าล
แม้จะเป็นสถานที่รกร้าง แต่พลังวิญญาณที่นี่ก็มีมากมายไม่น้อยไปกว่าในเมืองนลับแลมังกร ฉู่เฉินเริ่มดึงพลังงานเข้าสู่สภาวะสมาธิ แม้ว่าผลกระทบของการดูดซับพลังวิญญาณจะมีเพียงเล็กน้อยสำหรับเขา แต่การบำเพ็ญเพียรก็จะค่อยๆ สะสมพลังงานเอาไว้ ดังนั้นจะไม่เป็นการก้าวกระโดดไปอีกขั้นในทันทีในช่วงครึ่งหลังของคืน ฉู่เฉินตื่นขึ้นด้วยความหนาวเย็น เขาแผ่จิตสมผัสศักดิ์สิทธิ์และตรวจดูไปรอบๆ แต่ก็ยังไม่สังเกตเห็นสัญญาณแปลกๆ ใดๆอย่างไรก็ตาม ขณะที่เขากำลังจะละสายตาก็เห็นเต็นท์ด้านหลังเขา เผยให้เห็นใบหน้าซีดเซียวครึ่งหนึ่งและริมฝีปากสีแดงเลือดรูปลักษณ์ของผู้หญิงคนนั้นสะดุดตามากที่ข้างเต็นท์เหนือดินแดนรกร้างแห่งนี้ และเมื่อฉู่เฉินมองไป ผู้หญิงคนนั้นก็จ้องมองตรงมาที่เขา ดวงตาของเธอก็เปลี่ยนไป และด้วยท่าทางที่แข็งทื่อนั้น เหมือนว่ากำลังมองที่ฉู่เฉินอยู่ฉู่เฉินยืนขึ้นโดยตั้งใจที่จะเมินเฉยผู้หญิงคนนั้นขณะที่เขากำลังจะไปแจ้งเตือนคนในเต็นท์ ก็พบว่าไม่เห็นเตียงใต้เท้าแล้ว ฉู่เฉินจึงก้าวเท้าออกไปและมองลงไปตำแหน่งเดิมที่เคยเป็นเตียงหายไป ถูกแทนที่ด้วยบ่อเลือดจากนั้น โครงกระดูกก็โผล่ออกมาจากบ่อเลือด และเผยให
ผู้หญิงในชุดขาวเงียบทันที จ้องมองไปที่ฉู่เฉิน ในขณะเดียวกัน บ่อเลือดก็ขยายตัวอย่างช้าๆ และมีหมอกสีแดงปกคลุมบริเวณรอบๆ ฉู่เฉิน ทำให้ดูราวกับว่ามีหมอกหนาทึบเกิดขึ้น“น้องชายฉู่เฉิน อย่าประมาทไปล่ะ ผีสาวตนนี้คือเจ้าเหนือดินแดนรกร้าง 'ผีกระหายเลือด”“มีข่าวลือว่าเดิมทีเธอเป็นนางสนมของบุคคลสำคัญในชนเผ่า แต่ต่อมาถูกละทิ้งและถูกทรมานจนตาย”เนื่องจากความขุ่นเคืองอย่างลึกซึ้ง เธอจึงกลายเป็นวิญญาณแห่งความขุ่นเคืองหลังความตาย โดยเฉพาะการค้นหาผู้ที่เดินทางคนในถิ่นทุรกันดารนี้เพื่อดูดซับพลังงานหยางและพลังวรยุทธ วันนี้ก็มีเรื่องแปลกเช่นกัน พวกเราผ่านเส้นทางนี้หลายครั้งและไม่เคยเจอมาก่อน ดูเหมือนว่ามันจะปรากฏตัวที่นี่ในวันนี้ด้วยเหตุผลบางอย่างชายหลายคนที่ถูกเหวี่ยงออกจากเต็นท์ ได้ตื่นขึ้นมา และมีชายคนหนึ่งที่กำลังคุยกับฉู่เฉินคอยเตือนเขาไหล่ของฉู่เฉินขยับเล็กน้อย และลมปราณที่แท้จริงพุ่งออกมาจากร่างของเขา กระจายหมอกเลือดรอบตัวเขาทันทีผู้หญิงในชุดขาวรู้สึกถึงอันตรายและพยายามดำดิ่งลงสู่บ่อเลือดเพื่อหลบหนี อย่างไรก็ตาม ฉู่เฉินฟาดหน้าผากของเธออย่างรวดเร็ว จับคอเธอแล้วดึงเธอออกจากบ่อเลือด โยนเธอลง
“แกกำลังพูดไร้สาระ ข้าฆ่าคนเป็นร้อยหรือหลายพันคนตั้งแต่เมื่อไหร่?” ผู้หญิงคนนั้นโต้กลับเมื่อได้ยินคนกล่าวหาเธออย่างผิดๆ“ผู้อาวุโส ท่านต้องไม่ฟังคำพูดหลอกลวงของผีร้ายตนนี้”“ใช่แล้ว ผู้อาวุโส ท่านต้องตัดสินใจแทนพวกเรา ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน พวกเราอาจตกเป็นเหยื่อของนางไปแล้ว” เมื่อเห็นฉู่เฉินยังคงนิ่งสงบ ชายสองหรือสามคนก็พูดพร้อมกันแน่นอนว่าหลายคนเชื่อข่าวลือที่พวกเขาได้ยิน“พวกเจ้าเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ก่อเหตุเข่นฆ่าสังหารด้วยตาของตัวเองหรือเปล่า?”ฉู่เฉินถามและพยายามโน้มน้าวพวกเขา ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาเคยมีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกันมาก่อน และเขาไม่อยากให้พวกเขาคิดว่าเขากำลังปกป้องผู้หญิงคนนี้โดยใช้กำลังเมื่อเห็นฉู่เฉินพูดแทนเธอ ผู้หญิงในชุดขาวก็สงบลงและก้มศีรษะลง และไม่ได้พูดอะไร“เปล่า ไม่เคยเห็นกับตา ก็แค่ข่าวลือ” ชายคนหนึ่งพูดตะกุกตะกัก“ถูกต้องแล้ว ไม่มีใครเคยเห็นกับตาตัวเองทั้งนั้น ล้วนแต่เป็นข่าวลือ พวกเราทุกคนก็รู้ดีว่าข่าวลือยิ่งแพร่กระจายไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งบิดเบือนไปจากเรื่องจริง จากการสังเกตวันนี้ ผู้หญิงคนนี้ไม่มีเจตนาร้าย เธอเพียงแต่เฝ้าดูอยู่ใกล้เต็นท์ของพวกเจ้า ไม่ได้วางแผน