แม้จะมีการพูดคุยกันมากมาย แต่ก็ไม่มีใครพูดถึงผู้หญิงเลย เห็นได้ชัดว่าหลักการเคารพผู้แข็งแกร่งจากระดับวรยุทธยังคงไม่เปลี่ยนแปลงตลอดประวัติศาสตร์ส่วนเรื่องใครถูกหรือผิดนั้นไม่สำคัญเลย“แกควรให้โอกาสนี้กับคนอื่น” ผู้หญิงคนนั้นตอบอย่างเย็นชาเพื่อตอบสนองต่อคำพูดที่เหนือกว่าของจางเฉียง“วันนี้คงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าเห็นด้วยก็ต้องตกลง ถ้าไม่เห็นด้วยก็ต้องตกลงเหมือนกัน”ต่อหน้าสาธารณชน ถ้าผู้หญิงกล้าปฏิบัติกับเขาแบบนั้น จางเฉียงไม่สามารถแบกหน้าได้อีกต่อไป จึงพร้อมที่จะลงมือผู้หญิงที่อยู่ในช่วงปลายของระดับทะลวงเส้นลมปราณจะสู้กับจางเฉียงได้อย่างไร แต่ฉู่เฉินก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและบังเอิญขวางระหว่างคนทั้งสองเมื่อเห็นฉู่เฉินปรากฏตัวขึ้น จางเฉียงก็จ้องมองเขาอย่างเย็นชา “คุณหมายความว่าอย่างไร?”ฉู่เฉินโต้กลับ “ไม่มีอะไรเลย ฉันเหม็นขี้หน้านาย”เมื่อมองดูร่างหนุ่มตรงหน้าเขา จางเฉียงก็ไม่สามารถวัดระดับวรยุทธของเขาได้ เพราะคิดว่าเขาต้องมีสมบัติซ่อนเร้นพลังของเขาอยู่ ชายหนุ่มจะแข็งแกร่งขนาดไหน? เขาสามารถก้าวข้ามปรมาจารย์ขั้นที่ห้าได้หรือไม่?จางเฉียงคิดถึงเรื่องนี้ และพูดขู่ออกไปอีกครั้ง
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คู่รักกัน แต่เมื่อหลิงหยิงหยินได้ยินแบบนี้ก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเมื่อมองย้อนกลับ เธอคิดว่าตัวเองควรจะอยู่กับอาจารย์ของเธอ แต่เพราะอาจารย์กลับไปที่นิกาย ทำให้เธอเกือบจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายที่สุด และในช่วงเวลาวิกฤตินี้เอง ฉู่เฉินก็ออกหน้าเข้ามาช่วยเหลือ เดิมทีหลิงหยิงหยินรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกที่นั่งลำบากเข้าแล้วแต่ผู้มีพระคุณของเธอไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ แค่หันหลังแล้วเดินจากไปตอนนั้นเอง ที่ใบหน้าหล่อเหลานั้นได้ เข้ามาปรากฏในใจเธออย่างเงียบ ๆนี่คงเป็นสิ่งที่เรียกว่ารักแรกพบหลินหยิงหยินตามไปอย่างรวดเร็ว และเห็นว่าผู้มีพระคุณมีผู้หญิงที่สวยกว่าตัวเธอเองอยู่ข้างๆ ในตอนแรกเธอก็เลิกหวัง แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าพวกเขาเป็นแค่พี่น้องกัน“คุณมีแซ่ฉู่เช่นเดียวกับปรมาจารย์ฉู่เฉินในเรื่องที่เล่าลือ คุณมาที่นี่เพื่อชมการต่อสู้ด้วยเหรอ?” หลินหยิงหยินถาม น้ำเสียงอย่างสนิทสนม และค่อยเข้าไปใกล้ๆ"อืม" ฉู่เฉินเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ และไม่ได้เปิดเผยตัวตนแต่อย่างใด“คุณมีบริเวณดูการท้าประลองแล้วหรือยังคะ ถ้าไม่มี สามารถไปกับฉันได้ที่พื้นที่ของนิกายเมียวหยิน ตอนแรกมีเพียงฉ
“นายไม่ได้บอกว่าเขาไร้นิกาย แล้วทำไมเขาถึงอยู่ในพื้นที่ของนิกายเมียวหยิน?”“ท่านอาจารย์ เขาพูดจริงๆ ว่าเขาไม่มีนิกาย ผมไม่ได้โกหกท่าน” ฮวาหลางเยว่พูด พร้อมลูบหัวด้วยหน้าตาที่แสดงออกถึงความเสียใจ“เจ้านี่ ใครพูดอะไรก็เชื่อหมดเลยเหรอ ไม่คิดจะหาทางตรวจสอบหน่อย?” ชายชราพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง“ท่านอาจารย์ เป็นไปได้ไหมที่เพราะท่านช้า จึงมีคนอื่นแย่งเขาไปก่อน?” ฮวาหลางเยว่ยังคงเถียงคำไม่ตกฟาก“แก... ช่างมันเถอะ หลังจากดูการต่อสู้แล้ว ฉันจะกลับไปคิดบัญชีกับแก” ชายชราเอามือไว้ข้างหลังและไม่ได้สนใจฮวาหลางเยว่อีกต่อไปบนยอดเขานี้ไม่มีเสียงรบกวนมากนัก และใครก็ตามที่ตั้งใจฟังก็จะได้ยินอย่างชัดเจนฉู่เฉินได้ยินเข้า ก็เข้าใจทันทีว่าชายชราคนนี้น่าจะเป็นปรมาจารย์ของนิกายแพทย์ซวนเทียนที่เคยชักชวนเขา แต่ในขณะที่การต่อสู้ชี้ชะตา ฉู่เฉินไม่ได้อธิบายอะไร เรื่องทุกอย่างจะเอาไว้พูดคุยกันหลังการต่อสู้ฉู่เฉินกวาดสายตาไปรอบๆ สังเกตเห็นหลายบริเวณมีปรมาจารย์ระดับมหากาฬอยู่ด้วย และมีแม้กระทั่งสิ่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้เขาเห็นจางหนิงที่กำลังจะเข้ามาทักทายทันใดนั้นท้องฟ้าทั้งหมดก็มืดลง เมื่อท้องฟ้าแจ
"อะไรนะ?"หลินหยิงหยินอุทานด้วยความประหลาดใจเมื่อมองไปที่ฉู่เฉินที่ค่อยๆหายไป ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตกใจและพูดว่า "เขา... เขาคือปรมาจารย์ฉู่งั้นเหรอ?"จากสายตาของผู้ชมนับไม่ถ้วน ร่างหนึ่งค่อยๆ ลอยสูงขึ้นจนอยู่ในระดับเดียวกับเซี่ยจื่อเต้าบนท้องฟ้า ฉู่เฉินได้จึงหยุดเพียงเท่านั้น“ในที่สุดแกก็ตัดสินใจที่จะเผยตัวเองออกมาแล้ว ทำไมกัน ตอนที่แกได้ยินว่าฉันกำลังจะลงมือกับอารามสวรรค์ แกก็ทนไม่ไหวแล้วเหรอ?” เซี่ยจื่อเต้าแม้จะพบกับฉู่เฉินเป็นครั้งแรก แต่ก็รู้ว่าเป็นเขาได้ทันทีและพูดจาเย้ยหยัน“เป็นแค่ปรมาจารย์ระดับมหากาฬขั้นห้า แกกล้ายืนต่อหน้าฉันงั้นเหรอ? แกคงอยากจะตายสินะ การยั่วยุวิหารวรยุทธนั้น จะทำให้แกมีชะตากรรมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือต้องตาย!” เซี่ยจื่อเต้ายิ้มเยาะ เพราะรู้ว่าฉู่เฉินมีระดับวรยุทธที่ต่ำกว่าหนึ่งขั้น และรู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้นนี่เป็นผลลัพธ์ที่ต้องการ ฆ่าคนที่กล้ามากพอจะท้าทายวิหารวรยุทธท่ามกลางสายตาประชาชี เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับวิหารวรยุทธที่จะกลับมาผง่าบนโลกอีกครั้งการปรากฏตัวของฉู่เฉินนั้น ทำให้เกิดเสียงดังขึ้นที่ยอดเขาหลงหูทันที“เขาคือปรมาจารย์ฉู่อย่าง
ตอนนั้นเอง เซี่ยจื่อเต้าไม่สามารถรักษาท่าทางสงบนิ่งเหมือนก่อนหน้านี้ได้ หมัดสั่นสะเทือนความว่างเปล่า ราวกับว่าแม้แต่มิติที่มองไม่เห็นก็ไม่สามารถต้านทานพลังจากแรงหมัดได้คนทั้งบริเวณต่างอ้าปากค้าง และลูกศิษย์ของนิกายต่างๆ ต่างขยี้ตาอย่างไม่เชื่อ“ปรมาจารย์ฉู่คนนี้ไม่ใช่อยู่ขั้นห้าระดับมหากาฬหรอกหรือ? จะกดดันมหากาฬขั้นหกแบบนั้นได้ยังไงกัน เป็นไปได้ไหมที่ฉู่เฉินมีพลังที่สามารถท้าทายคู่ต่อสู้ที่อยู่เหนือระดับของเขา แม้แต่ในนิกายซ่อนเร้น ความแข็งแกร่งแบบนี้ก็ไม่มีใครเทียบได้ ในฐานะปรมาจารย์ป่าเถื่อนอย่างเขาจะบรรลุสิ่งนี้ได้ยังไงกัน”“ท้าทายคนเหนือระดับของตัวเองเหรอ อย่าไร้สาระไปหน่อยเลย เจ้าวิหารของวิหารวรยุทธยังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่เลยนะ สิ่งที่เห็นตอนนี้เป็นเพียงเขากำลังหยอกล้อกับฉู่เฉินเอง”“บางทีเซี่ยจื่อเต้าอาจกำลังรอช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสที่จะโจมตีให้ตายภายในครั้งเดียว”หลายคนที่มีสายตาเฉียบแหลม และสามารถมองได้อย่างทะลุปรุโปร่งอันที่จริงตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ เซี่ยจื่อเต้ายังไม่ได้เริ่มโจมตี เขากำลังประเมินถึงขีดจำกัดของฉู่เฉินอย่างใจเย็น ซึ่งรอโอกาสที่จะโจมต
“มันจบแล้ว ปรมาจารย์ของวิหารวรยุทธท่าจะเอาจริงแล้ว ว่ากันว่าจริงๆ แล้ววิหารวรยุทธเป็นสมาคมนักฆ่าลับ”“ใช่ ตำนานเล่าว่า หากวิชาไท่ซู่เจว่ ได้รับการฝึกฝนจนถึงระดับสูงสุด และมิติที่อยู่ตรงหน้าก็เหมือนกับปลาติดเบ็ด เมื่อเห็นในวันนี้ ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อรวมเข้าร่วมกับทักษะการสังหารแล้ว ฉู่เฉินมีแนวโน้มที่จะถูกฆ่าตายที่นี่”“คุณพูดถูก จากระดับวรยุทธของเซี่ยจื่อเต้าและวิชานี้ แม้แต่ฉันเองก็ยังต้องสู้จนเหงื่อตก เพื่อโค่นกับเขา”บนยอดเขาหลงหู่ ผู้คนเริ่มพูดคุยกันอีกครั้งเมื่อเห็นภาพตรงหน้านี้ ผู้อาวุโสจากนิกายหนึ่งเตือนลูกศิษย์ "เมื่อเธอท่องโลกยุทธภพในอนาคต อย่าไปเหยียบหางพวกคนจากวิหารวรยุทธ"……บนท้องฟ้า ร่างกายของเซี่ยจื่อเต้ากลืนเข้ากับความว่างเปล่า โดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยไว้ฉู่เฉินแผ่จิตสัมผัสออกไป แต่ไม่ตรวจพบความผิดปกติใดๆ ขณะนั้นเอง จวินหวู่หมิงก็ตะโกนเตือนออกมา: "ทางซ้าย!"ฉู่เฉินตอบสนอตามสัญชาตญาณ และใช้ดาบตัดวิญญาณเพื่อสกัดกั้นที่ด้านซ้าย“ชิ้ง!”ทันใดนั้น ดาบเงาสีดำก็ปรากฏขึ้นทางด้านซ้าย และปะทะกับดาบตัดวิญญาณของฉู่เฉิน ทำให้เกิดเสียปะทะของโลหะ ดาบทั้งสองแยกย้ายกันไป
จางหนิงเหอวิตกกังวล“ศิษย์พี่ เราสองคนสามารถเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นแล้วได้อย่างนั้นหรือ? เพื่อเห็นแก่อารามสวรรค์ ศิษย์พี่ ได้โปรดอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม”จางหนิงผิงรีบคว้าศิษย์พี่ไว้อย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่านิสัยไม่คิดหน้าคิดหลังของศิษย์พี่ จะพาอารามสวรรค์ได้ตั๋วทัวร์ไปเที่ยวนรกด้วย“ฉู่เฉิน คุณห้ามเป็นอะไรนะ” หลินหยิงหยินก็แอบกระวนกระวายใจด้วยเช่นกัน ตอนที่คิดว่าปรมาจารย์ฉู่ในตำนานคือคนที่เพิ่งช่วยเหลือเธอ หลินหยิงหยินก็สะดุ้งและกลับมาสู่ความเป็นจริง เมื่อเห็นฉู่เฉินกระอักเลือดออกมา เธอก็เกลียดความอ่อนแอของตัวเอง ที่ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้บนยอดเขา มีนักสู้หลายคนก็กำลังมองภาพเบื้องหน้านั่นอยู่จากสักแห่งท่ามกล่างฝูงชน ใบหน้าที่หยาบกระด้างและดุร้ายเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ซึ่งก็นั่นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากจางเฉียง แม้ว่าจางเฉียงจะไม่เข้าใจเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ แต่เมื่อเห็นฉู่เฉินกระอักเลือด ก็ทำให้หัวใจรู้สึกกระชุ่มกระชวย“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแกคือฉู่เฉิน แม้ว่าฉันจะเอาชนะแกไม่ได้ แต่ตอนนี้แกก็ถือตายไปแล้ว”จางเฉียงพึมพำกับตัวเองในใจตอนนั้นเองร่างสีขาวพุ่งขึ้นไปบนท้อง
“ถ้าผมบอกว่ามีก็มี!”จากความคิดนี้ ร่างของฉู่เฉินก็หายไปทันทีต่อหน้าต่อตาทุกคน“หืม? นี่มันวิชาบ้าอะไรกันแน่? ฉู่เฉินหายตัวไปแบบนี้จริงๆ เหรอ?”“อาจเป็นปรมาจารย์ลึกลับที่เข้ามาแทรกแซงและช่วยชีวิตฉู่เฉิน?”“นั่นเป็นเพียงคำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้ ใครจะคิดว่าฉู่เฉินมีปรมาจารย์ลึกลับคอยสนับสนุนเขา ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขากล้ายั่วยุวิหารวรยุทธ”เมื่อเห็นฉู่เฉินหายตัวไปต่อหน้า ไม่เพียงแต่เซี่ยจื่อเต้าจะปรากฏตัวออกมา แต่สั่งดาบเงาหลายเล่มพุ่งไปยังจุดที่ฉู่เฉินหายตัวไปอีกด้วยแม้แต่ผู้ชมบนยอดเขาหลงหู่ ก็ยังลุกยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจ“นี่ไม่ใช่วิชาธรรมดาทั่วไป ฉู่เฉินได้หลุดออกจากช่วงเวลาปัจจุบันและเข้าสู่อีกมิติหนึ่ง วิชานี้เกินกว่าความสามารถระดับมหากาฬ แม้แต่ราชาวรยุทธก็อย่าหวังจะทำตามได้”ต้องให้ปรมาจารย์ลึกลับออกมาอธิบายเองทุกคนต่างสงสัยว่าฉู่เฉินหายไปอยู่ที่ไหนฉู่เฉินปรากฏตัวอีกครั้งในเมืองลับแลมังกรร่างนั้นได้ปรากฏตัวขึ้นใต้เงามังกร และลงเพื่อขัดสมาธิขณะที่กำลังนั่งสมาธิ พลังจิตวิญญาณจำนวนมหาศาลก็พุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขา วรยุทธของเขาไม่เพียงแต่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่ยังค่อยๆ