“นายไม่ได้บอกว่าเขาไร้นิกาย แล้วทำไมเขาถึงอยู่ในพื้นที่ของนิกายเมียวหยิน?”“ท่านอาจารย์ เขาพูดจริงๆ ว่าเขาไม่มีนิกาย ผมไม่ได้โกหกท่าน” ฮวาหลางเยว่พูด พร้อมลูบหัวด้วยหน้าตาที่แสดงออกถึงความเสียใจ“เจ้านี่ ใครพูดอะไรก็เชื่อหมดเลยเหรอ ไม่คิดจะหาทางตรวจสอบหน่อย?” ชายชราพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง“ท่านอาจารย์ เป็นไปได้ไหมที่เพราะท่านช้า จึงมีคนอื่นแย่งเขาไปก่อน?” ฮวาหลางเยว่ยังคงเถียงคำไม่ตกฟาก“แก... ช่างมันเถอะ หลังจากดูการต่อสู้แล้ว ฉันจะกลับไปคิดบัญชีกับแก” ชายชราเอามือไว้ข้างหลังและไม่ได้สนใจฮวาหลางเยว่อีกต่อไปบนยอดเขานี้ไม่มีเสียงรบกวนมากนัก และใครก็ตามที่ตั้งใจฟังก็จะได้ยินอย่างชัดเจนฉู่เฉินได้ยินเข้า ก็เข้าใจทันทีว่าชายชราคนนี้น่าจะเป็นปรมาจารย์ของนิกายแพทย์ซวนเทียนที่เคยชักชวนเขา แต่ในขณะที่การต่อสู้ชี้ชะตา ฉู่เฉินไม่ได้อธิบายอะไร เรื่องทุกอย่างจะเอาไว้พูดคุยกันหลังการต่อสู้ฉู่เฉินกวาดสายตาไปรอบๆ สังเกตเห็นหลายบริเวณมีปรมาจารย์ระดับมหากาฬอยู่ด้วย และมีแม้กระทั่งสิ่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้เขาเห็นจางหนิงที่กำลังจะเข้ามาทักทายทันใดนั้นท้องฟ้าทั้งหมดก็มืดลง เมื่อท้องฟ้าแจ
"อะไรนะ?"หลินหยิงหยินอุทานด้วยความประหลาดใจเมื่อมองไปที่ฉู่เฉินที่ค่อยๆหายไป ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตกใจและพูดว่า "เขา... เขาคือปรมาจารย์ฉู่งั้นเหรอ?"จากสายตาของผู้ชมนับไม่ถ้วน ร่างหนึ่งค่อยๆ ลอยสูงขึ้นจนอยู่ในระดับเดียวกับเซี่ยจื่อเต้าบนท้องฟ้า ฉู่เฉินได้จึงหยุดเพียงเท่านั้น“ในที่สุดแกก็ตัดสินใจที่จะเผยตัวเองออกมาแล้ว ทำไมกัน ตอนที่แกได้ยินว่าฉันกำลังจะลงมือกับอารามสวรรค์ แกก็ทนไม่ไหวแล้วเหรอ?” เซี่ยจื่อเต้าแม้จะพบกับฉู่เฉินเป็นครั้งแรก แต่ก็รู้ว่าเป็นเขาได้ทันทีและพูดจาเย้ยหยัน“เป็นแค่ปรมาจารย์ระดับมหากาฬขั้นห้า แกกล้ายืนต่อหน้าฉันงั้นเหรอ? แกคงอยากจะตายสินะ การยั่วยุวิหารวรยุทธนั้น จะทำให้แกมีชะตากรรมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือต้องตาย!” เซี่ยจื่อเต้ายิ้มเยาะ เพราะรู้ว่าฉู่เฉินมีระดับวรยุทธที่ต่ำกว่าหนึ่งขั้น และรู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้นนี่เป็นผลลัพธ์ที่ต้องการ ฆ่าคนที่กล้ามากพอจะท้าทายวิหารวรยุทธท่ามกลางสายตาประชาชี เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับวิหารวรยุทธที่จะกลับมาผง่าบนโลกอีกครั้งการปรากฏตัวของฉู่เฉินนั้น ทำให้เกิดเสียงดังขึ้นที่ยอดเขาหลงหูทันที“เขาคือปรมาจารย์ฉู่อย่าง
ตอนนั้นเอง เซี่ยจื่อเต้าไม่สามารถรักษาท่าทางสงบนิ่งเหมือนก่อนหน้านี้ได้ หมัดสั่นสะเทือนความว่างเปล่า ราวกับว่าแม้แต่มิติที่มองไม่เห็นก็ไม่สามารถต้านทานพลังจากแรงหมัดได้คนทั้งบริเวณต่างอ้าปากค้าง และลูกศิษย์ของนิกายต่างๆ ต่างขยี้ตาอย่างไม่เชื่อ“ปรมาจารย์ฉู่คนนี้ไม่ใช่อยู่ขั้นห้าระดับมหากาฬหรอกหรือ? จะกดดันมหากาฬขั้นหกแบบนั้นได้ยังไงกัน เป็นไปได้ไหมที่ฉู่เฉินมีพลังที่สามารถท้าทายคู่ต่อสู้ที่อยู่เหนือระดับของเขา แม้แต่ในนิกายซ่อนเร้น ความแข็งแกร่งแบบนี้ก็ไม่มีใครเทียบได้ ในฐานะปรมาจารย์ป่าเถื่อนอย่างเขาจะบรรลุสิ่งนี้ได้ยังไงกัน”“ท้าทายคนเหนือระดับของตัวเองเหรอ อย่าไร้สาระไปหน่อยเลย เจ้าวิหารของวิหารวรยุทธยังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่เลยนะ สิ่งที่เห็นตอนนี้เป็นเพียงเขากำลังหยอกล้อกับฉู่เฉินเอง”“บางทีเซี่ยจื่อเต้าอาจกำลังรอช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสที่จะโจมตีให้ตายภายในครั้งเดียว”หลายคนที่มีสายตาเฉียบแหลม และสามารถมองได้อย่างทะลุปรุโปร่งอันที่จริงตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ เซี่ยจื่อเต้ายังไม่ได้เริ่มโจมตี เขากำลังประเมินถึงขีดจำกัดของฉู่เฉินอย่างใจเย็น ซึ่งรอโอกาสที่จะโจมต
“มันจบแล้ว ปรมาจารย์ของวิหารวรยุทธท่าจะเอาจริงแล้ว ว่ากันว่าจริงๆ แล้ววิหารวรยุทธเป็นสมาคมนักฆ่าลับ”“ใช่ ตำนานเล่าว่า หากวิชาไท่ซู่เจว่ ได้รับการฝึกฝนจนถึงระดับสูงสุด และมิติที่อยู่ตรงหน้าก็เหมือนกับปลาติดเบ็ด เมื่อเห็นในวันนี้ ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อรวมเข้าร่วมกับทักษะการสังหารแล้ว ฉู่เฉินมีแนวโน้มที่จะถูกฆ่าตายที่นี่”“คุณพูดถูก จากระดับวรยุทธของเซี่ยจื่อเต้าและวิชานี้ แม้แต่ฉันเองก็ยังต้องสู้จนเหงื่อตก เพื่อโค่นกับเขา”บนยอดเขาหลงหู่ ผู้คนเริ่มพูดคุยกันอีกครั้งเมื่อเห็นภาพตรงหน้านี้ ผู้อาวุโสจากนิกายหนึ่งเตือนลูกศิษย์ "เมื่อเธอท่องโลกยุทธภพในอนาคต อย่าไปเหยียบหางพวกคนจากวิหารวรยุทธ"……บนท้องฟ้า ร่างกายของเซี่ยจื่อเต้ากลืนเข้ากับความว่างเปล่า โดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยไว้ฉู่เฉินแผ่จิตสัมผัสออกไป แต่ไม่ตรวจพบความผิดปกติใดๆ ขณะนั้นเอง จวินหวู่หมิงก็ตะโกนเตือนออกมา: "ทางซ้าย!"ฉู่เฉินตอบสนอตามสัญชาตญาณ และใช้ดาบตัดวิญญาณเพื่อสกัดกั้นที่ด้านซ้าย“ชิ้ง!”ทันใดนั้น ดาบเงาสีดำก็ปรากฏขึ้นทางด้านซ้าย และปะทะกับดาบตัดวิญญาณของฉู่เฉิน ทำให้เกิดเสียปะทะของโลหะ ดาบทั้งสองแยกย้ายกันไป
จางหนิงเหอวิตกกังวล“ศิษย์พี่ เราสองคนสามารถเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นแล้วได้อย่างนั้นหรือ? เพื่อเห็นแก่อารามสวรรค์ ศิษย์พี่ ได้โปรดอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม”จางหนิงผิงรีบคว้าศิษย์พี่ไว้อย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่านิสัยไม่คิดหน้าคิดหลังของศิษย์พี่ จะพาอารามสวรรค์ได้ตั๋วทัวร์ไปเที่ยวนรกด้วย“ฉู่เฉิน คุณห้ามเป็นอะไรนะ” หลินหยิงหยินก็แอบกระวนกระวายใจด้วยเช่นกัน ตอนที่คิดว่าปรมาจารย์ฉู่ในตำนานคือคนที่เพิ่งช่วยเหลือเธอ หลินหยิงหยินก็สะดุ้งและกลับมาสู่ความเป็นจริง เมื่อเห็นฉู่เฉินกระอักเลือดออกมา เธอก็เกลียดความอ่อนแอของตัวเอง ที่ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้บนยอดเขา มีนักสู้หลายคนก็กำลังมองภาพเบื้องหน้านั่นอยู่จากสักแห่งท่ามกล่างฝูงชน ใบหน้าที่หยาบกระด้างและดุร้ายเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ซึ่งก็นั่นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากจางเฉียง แม้ว่าจางเฉียงจะไม่เข้าใจเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ แต่เมื่อเห็นฉู่เฉินกระอักเลือด ก็ทำให้หัวใจรู้สึกกระชุ่มกระชวย“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแกคือฉู่เฉิน แม้ว่าฉันจะเอาชนะแกไม่ได้ แต่ตอนนี้แกก็ถือตายไปแล้ว”จางเฉียงพึมพำกับตัวเองในใจตอนนั้นเองร่างสีขาวพุ่งขึ้นไปบนท้อง
“ถ้าผมบอกว่ามีก็มี!”จากความคิดนี้ ร่างของฉู่เฉินก็หายไปทันทีต่อหน้าต่อตาทุกคน“หืม? นี่มันวิชาบ้าอะไรกันแน่? ฉู่เฉินหายตัวไปแบบนี้จริงๆ เหรอ?”“อาจเป็นปรมาจารย์ลึกลับที่เข้ามาแทรกแซงและช่วยชีวิตฉู่เฉิน?”“นั่นเป็นเพียงคำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้ ใครจะคิดว่าฉู่เฉินมีปรมาจารย์ลึกลับคอยสนับสนุนเขา ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขากล้ายั่วยุวิหารวรยุทธ”เมื่อเห็นฉู่เฉินหายตัวไปต่อหน้า ไม่เพียงแต่เซี่ยจื่อเต้าจะปรากฏตัวออกมา แต่สั่งดาบเงาหลายเล่มพุ่งไปยังจุดที่ฉู่เฉินหายตัวไปอีกด้วยแม้แต่ผู้ชมบนยอดเขาหลงหู่ ก็ยังลุกยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจ“นี่ไม่ใช่วิชาธรรมดาทั่วไป ฉู่เฉินได้หลุดออกจากช่วงเวลาปัจจุบันและเข้าสู่อีกมิติหนึ่ง วิชานี้เกินกว่าความสามารถระดับมหากาฬ แม้แต่ราชาวรยุทธก็อย่าหวังจะทำตามได้”ต้องให้ปรมาจารย์ลึกลับออกมาอธิบายเองทุกคนต่างสงสัยว่าฉู่เฉินหายไปอยู่ที่ไหนฉู่เฉินปรากฏตัวอีกครั้งในเมืองลับแลมังกรร่างนั้นได้ปรากฏตัวขึ้นใต้เงามังกร และลงเพื่อขัดสมาธิขณะที่กำลังนั่งสมาธิ พลังจิตวิญญาณจำนวนมหาศาลก็พุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขา วรยุทธของเขาไม่เพียงแต่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่ยังค่อยๆ
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้? ฉู่เฉินได้ก้าวผ่านจิตไปถึงขั้นหกของระดับมหากาฬ และอยู่ในระดับเดียวกับผู้นำวิหารวรยุทธสาขา”มีผู้อาวุโสตะโกนออกมา เพื่อพยายามกระตุ้นให้เกิดการอภิปรายในปรมาจารย์ระดับมหากาฬแต่การพูดคุยนี้ไม่ได้ส่งผ่านกระแสจิต แต่ถูกพูดออกมาอย่างตรงๆ ซึ่งทุกคนที่อยู่บนยอดเขาสามารถได้ยินชัด“อะไรนะ ฉู่เฉินก้าวผ่านจิตได้ระหว่างการต่อสู้ได้จริงหรือ?”“จริงเหรอ? ปรมาจารย์ระดับมหากาฬตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ ฉันไม่เชื่อ นี่คงเป็นเรื่องโกหกแน่ๆ”“เขาต้องมียาแสงสวรรค์อะไรสักอย่างติดตัวแน่ ไม่เช่นนั้นจะก้าวผ่านจิตระหว่างการต่อสู้ได้อย่างไร”พวกอัจฉริยะจากนิกายซ่อนเร้นแทบไม่เชื่อความจริงข้อนี้เลยเดิมทีระดับวรยุทธฉู่เฉินก็ล้ำหน้าอัจฉริยะหลายคนที่อยู่ที่นี่แล้ว และยังไล่ล่าผู้อาวุโสของนิกายหลักอีก แถมตอนนี้เมื่อได้ยินว่าเขาก้าวผ่านจิตไปอีกขึ้นหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องนี้สามารถหักหน้าเหล่าอัจฉริยะจากนิกายหลักๆ อย่างมาก“ท่านอาจารย์ ผมบอกท่านแล้วว่าเขาเป็นปรมาจารย์ด้านการเล่นแร่แปรธาตุ เขาคงกินยาแสงสวรรค์มาบ้าง หรือบางทีเขาอาจจะกลั่นยาเม็ดนี้ขึ้นมาเองก็ไ
หลังจากก้าวออกมาจากมิติแล้ว สายฟ้าหลายลูกฉู่เฉินก็ทำหน้าที่ทักทาย นิ้วชี้ไปในอากาศว่างเปล่า ฟ้าร้องที่รุนแรง ก็ได้กลืนร่างของเซี่ยจื่อเต้าไป“นี่คือ... วิชาห้าอสนีบาต!”“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าวิชาสายฟ้าของอารามสวรรค์จะร้ายกาจเช่นนี้ แม้กระทั่งทำให้ปรมาจารย์ระดับมหากาฬได้รับบาดเจ็บ”“แม้แต่วิชาของปรมาจารย์สวรรค์ในปัจจุบัน ก็ไม่สามารถเอาเปรียบเทียบกับวิชาของฉู่เฉินได้”บนยอดเขาหลงหู่ หลายคนจากนิกายซ่อนเร้นมองไปที่จางหนิงเหอคนที่สนิทกับอารามสวรรค์เริ่มสอบถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างฉู่เฉินกับอารามสวรรค์จางหนิงเหอมีสีหน้าแปลกๆ และไม่ได้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฉู่เฉิน แค่รู้สึกเพียงรู้สึกพึงพอใจอยู่ในใจ ด้วยสายฟ้าฟาดของฉู่เฉิน เพราะตอนนี้ไม่มีใครกล้าดูถูกอารามสวรรค์ได้!ในขณะที่กำลังพึงพอใจ ดาบที่เอวของเขา ดาบสังหารปีศาจหยินหยางก็กลายเป็นลำแสงและพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเห็นได้ชัดว่าการใช้วิชาวิชาห้าอสนีบาตของฉู่เฉิน ได้ปลุกดาบเก่าแก่ของอารามสวรรค์อีกครั้งสิ่งนี้ดึงดูดความสนใจจากฝูงชนมากยิ่งขึ้น“ดาบสังหารปีศาจหยินหยางถูกดึงดูดออกมาโดยรัศมีของฉู่เฉิน ว่ากันว่านั่นเป็นดาบของป
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่