“ฉัน... ฉันยังสบายดี”หลังจากที่เยว่ฟู่หลงลุกขึ้นนั่ง เขาก็กดจุดสองสามจุดบนร่างกายอย่างรวดเร็วเพื่อกระตุ้นจุดชีพจร และเร่งเร้าว่า "เร็วเข้า ตามล่านังแม่มดเฒ่าคนนั่นไป เธอถูกคุณโจมตีและอาจหนีไปได้ไม่ไกล"เว่ยอิงลั่วกัดฟันแล้วไล่ตามไปในทิศทางที่เฒ่าอสรพิษหลบหนีกว่าสิบนาทีต่อมา เว่ยอิงลั่วเดินตามรอยเลือดบนพื้นไปจนถึงริมแม่น้ำใต้ดินเธออดไม่ได้ที่จะหยุดและสำรวจสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวัง ไม่พบร่องรอยของเฒ่าอสรพิษ“นังแม่มดเฒ่านั่น!” เว่ยอิงลั่วด่าออกมาด้วยความโกรธในเวลานี้ เธอเพิ่งเห็นคนนอนอยู่บนพื้นฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเว่ยอิงลั่วกระโจนไปหลายก้าว และเห็นคนนอนอยู่บนพื้นอย่างชัดเจน เธอก็อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ: "เป็นเขาจริงๆ..."จากนั้นเธอลาดตระเวนไปมาตามแม่น้ำใต้ดินอีกต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของเฒ่าอสรพิษและหนิงชิงเสว่ เธอจึงกลับมาอุ้มฉู่เฉินเยว่ฟู่หลงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น นั่งสมาธิโดยหลับตาเพื่อระงับพิษงูในร่างกายของเขาเมื่อเห็นเว่ยอิงลั่วกลับมาพร้อมกับใครบางคนในอ้อมแขน ในตอนแรกเขาก็ตกตะลึงแล้วพูดด้วยความประหลาดใจว่า "นี่คือน้องฉู่เหรอ?"เว่ยอิงลั่วรู้สึกไม่ดีจึ
หลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่ง ในที่สุดฉู่เฉินก็ฟื้นจากอาการโคม่ามาได้เมื่อลืมตา สิ่งแรกที่เขาเห็นคือใบหน้าที่คุ้นเคยสองคน“น้องฉู่ ในที่สุดนายก็ตื่นแล้ว” เยว่ฟู่หลงพูดด้วยความดีใจอย่างเห็นได้ชัดฉู่เฉินลุกขึ้นนั่งมองไปรอบๆ สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยและถาม “พี่เยว่ ฉันอยู่ที่ไหน?”“นายอยู่ในฐานทัพของซวนหวู่ อย่าเพิ่งขยับไปไหนนะ อาการบาดเจ็บของนายยังไม่หายดี” เยว่ฟู่หลงแนะนำอย่างเร่งรีบเว่ยอิงลั่วอดไม่ได้ที่พูดอย่างแร้งน้ำใจ "ตาเยว่ ทำไมต้องไปโน้มน้าวเขาด้วยล่ะ ถ้าเขาต้องการตาย พวกเราก็ไม่อาจหยุดเขาไว้ได้เช่นกัน"ทันทีที่เห็นฉู่เฉิน เธอก็รู้สึกโกรธขึ้นมานั่นเป็นเพราะเธออุ้มฉู่เฉินกลับมาด้วยตัวเองตลอดทั้งทางนั่นคงจะไม่เป็นไร แต่สิ่งที่ทำให้เธอรำคาญจริงๆ คือตอนที่ผู้ชายคนนี้ฉวยโอกาสที่เธอหลับอยู่ระหว่างนั่งเฮลิคอปเตอร์ถ้าไม่ใช่เพราะเยว่ฟู่หลงห้ามเธอเอาไว้ เธอคงจะได้โยนฉู่เฉินออกจากเฮลิคอปเตอร์แล้วจริงๆฉู่เฉินพยักหน้า ในที่สุดเขาก็สังเกตเห็นว่าอาการบาดเจ็บของเขาเกือบจะหายดีแล้วเขาอดไม่ได้ที่จะแสดงความขอบคุณ "พี่เยว่ ขอบคุณที่ช่วยผม"“พวกเราไม่ใช่คนที่ช่วยนาย เป็นนายที่ช่วยตัวเ
"คุณฉู่มีประสบการณ์โชกโชนจริงๆ " ฉีหงมองเขาอย่างประหลาดใจมากและพยักหน้าว่า "โชคดีที่คุณเยว่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวรยุทธและมีพลังงานที่แท้จริงปกป้องอยู่ จึงอยู่รอดมาได้จนชายชราสามารถมาช่วยถอนพิษให้ได้"ใบหน้าของเยว่ฟู่หลงเต็มไปด้วยความกลัวฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดว่า “หมอเทวดาฉี เป็นไปได้ไหมที่คุณรู้จักเจ้าของพิษซีหลิงนี้”"แน่นอน"ฉีหงพยักหน้าและพูด "จากข้อมูลของฉัน คนที่เลี้ยงดูงูเขียวเป็นหญิงชราชื่อเฒ่าอสรพิษ เธอเป็นคนใจร้ายและเป็นปรมาจารย์วรยุทธ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอได้วางยาพิษให้คนไปจำนวนมากและฆ่าให้เสียชีวิต ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะบอกว่าเธอเป็นคนที่ใครใครก็หวาดกลัว”“หมอเทวดาฉีรู้ที่อยู่ของเธอหรือเปล่า?” ฉู่เฉินถามอย่างเย็นชาแม่มดเฒ่าคนนี้กล้าที่จะทำร้ายหนิงชิงเสว่ ซึ่งกระตุ้นจิตสังหารของเขา“คุณฉู่ประเมินชายชราคนนี้สูงเกินไปแล้ว” ฉีหงส่ายหัวด้วยรอยยิ้มอย่างขมขื่น “ที่อยู่ของบุคคลนี้ลึกลับอย่างไม่น่าเชื่อ และเธอก็เชี่ยวชาญในศิลปะการปลอมตัวอีกด้วย ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงฉัน แม้แต่ซวนหวู่ก็อาจพบกับความยากลำบากในการค้นหาตัวเธอในระยะเวลาสั้น
หลังจากที่ฉู่เฉินเข้ามาในห้องแล้ว ก็สั่งให้คนนำนำเครื่องครัวหม้อ และกระทะเข้ามาการเดินทางไปจิงโจวครั้งนี้ เขาประสบความสำเร็จในการค้นพบโสมโลหิตดร้อยปีและดอกเทียนหลิง ถัดไปก็คือปรุงยาปลุกชีพผลข้างเคียงที่เกิดจากร่างกายหนาวเหน็บของพี่สาวคนหกนั้น สามารถขจัดออกจนหมดได้ด้วยยาปลีพเท่านั้นเนื่องจากไม่มีเตาสำหรับการเล่นแร่แปรธาตุ เขาจึงต้องใช้หม้อและกระทะแทนแม้ว่าวิธีนี้จะมีประสิทธิภาพน้อยกว่า แต่ก็ยังสามารถประยุกต์ใช้นำมาปรุงยาได้เมื่อนำโสมโลหิตร้อยปีและดอกหลิงเทียนออกมา ก็เปิดเตาแม่เหล็กไฟฟ้าเตาแม่เหล็กไฟฟ้าไม่มีผลต่อการเล่นแร่แปรธาตุ มีเพียงแต่ให้ความร้อนเท่านั้น ผลของการเล่นแร่แปรธาตุที่แท้จริงนั้นมาจากกำลังภายในของร่างกายฉู่เฉินเขาไม่แม้แต่จะไม่ลังเล ใส่ส่วนผสมของยาปลุกชีพลงในหม้อตามลำดับที่ระบุไว้เอาในสูตรยาเมื่อหม้อเริ่มร้อน จากนั้นไม่นานส่วนผสมเหล่านี้ก็ถูกต้มจนละลายหมด กลิ่นหอมของยาเข้มข้นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้องในระหว่างนี้ พลังภายในจากร่างกายฉู่เฉินจะถ่ายทอดอย่างต่อเนื่องกับไปสู่ยาน้ำนี้เขาต้องกำจัดสิ่งสกปรกออกจากของเหลว ทำให้มันมีคุณสมบัติของยาบริสุทธิ์มากยิ่ง
เธอซึ่งเป็นพี่หก มองดูเขาอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรกในรอบสิบสองปี ต้องบอกว่าหนุ่มน้อยคนนี้ค่อนข้างหน้าตาหล่อเหลายิ่งกว่าพวดดาราหนุ่มในทีวีเสียอีก และที่สำคัญคือไม่สูญเสียความเป็นชายชาตรีสงสัยว่าผู้หญิงคนไหนกัน ที่จะโชคดีที่จะได้อยู่กับเขาในอนาคตฉู่เมิ่งเหยาพึมพำกับตัวเองทันใดนั้นราวกับว่าเธอนึกอะไรบางอย่างได้ แก้มก็แดงระเรื่อเพราะตอนที่พวกเธอยังเด็ก พี่สาวทั้งเจ็ดรวมถึงตัวเธอเองต่างก็โวยวายว่า ถ้าโตมาพวกเธอจะแต่งงานกับฉู่เฉินและให้กำเนิดลูกมากมายแก่เขาในเวลานั้นจะเป็นเพียงการพูดเล่นกันแบบเด็ก ๆ โดยไม่เข้าใจความหมายก็ตามเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ มันทำให้หัวใจของฉู่เมิ่งเหยากลับเต้นแรงจนควบคุมไม่ได้เธอจ้องไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของฉู่เฉิน จากนั้นก็ก้มศีรษะลง ริมฝีปากสีแดงเย้ายวนของเธอแทบจะสัมผัสกับใบหน้าของฉู่เฉินตอนนั้นเอง ฉู่เฉินก็ลืมตาขึ้นทันทีการเคลื่อนไหวของฉู่เมิ่งเหยาก็แข็งนิ่งเหมือนหินทันทีรดวงตาของพวกเขาประสานกันแก้มของฉู่เมิ่งเหยาเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีเหมือนกับมะเขือเทศสีแดง และหัวใจของเธอก็เต้นรัวแทบจะหลุดออกมาม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไป เธอกลับเห็นฉู่เฉินหลับตาลงอ
ตอนที่ทุกคนได้ยินเสียงก็เดินออกจากคฤหาสน์ เห็นรถจี๊ปทหาร 2 คันจอดอยู่ที่ทางเข้าหน้าคฤหาสน์หน้ารถจี๊ปมีชายฉกรรจ์สองสามคนเดินนำหน้าชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งกำลังตะโกนโหวกเหวกอยู่ในขณะนี้เมื่อเห็นชายหนุ่ม ใบหน้าที่สวยงามของฉู่เมิ่งเหยาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา“คุณฉู่ พวกเขา…” แม่บ้านเฉินเหมยหรูมองไปที่ฉู่เฉินราวกับเห็นผู้ช่วยชีวิต“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณอีกแล้วครับ”ฉู่เฉินส่ายหัวก่อนหันไปหาชายหนุ่ม: "นายเป็นใครกัน? นายไม่รู้เหรอว่าไม่มีสิทธิ์มาก่อความวุ่นวายหน้าคนอื่น"“ไอ้หนู แกคิดว่าตัวเองป็นใครถึงต้องรู้ว่าฉันคือใคร?”ชายหนุ่มยิ้มอย่างเหยียดหยามก่อน หันไปมองฉู่เมิ่งเหยาที่อยู่ข้างหลังเขา: "ฉู่เมิ่งเหยา เธอคิดว่าซ่อนตัวจากฉันจะได้ผลเหรอ? รีบตามฉันกลับไปเพื่อแต่งงานกันเถอะ"ฉู่เมิ่งเหยาตัวแข็งทื่อแล้วพูดตอบกลับอย่างเย็นชา: "หานเล่ย ฉันไม่เคยตอบตกลงที่จะแต่งงานกับนายเลย ตอนที่ฉันยืมตะกรุดเสือจากพ่อนาย ฉันแค่บอกว่าจะพิจารณานายดู""ไร้สาระ!"ชายหนุ่มชื่อหานเล่ยโต้กลับอย่างฉุนเฉียว: "ฉันไม่ต้องการโอกาสบ้าๆ ฉันแค่อยากแต่งงานกับเธอ!"“รออะไรกันอยู่ล่ะ? พาคุณหนูฉู่กลับไป”เขาโบกมือให้ชาย
“ไอ้เวร พ่อของฉันคือนายพลหานนะ แกลงไม้ลงมือกับฉันไม่ได้…”แม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่เขาก็ยังคงขมขู่ออกมาฉู่เฉินมองลงมาจากด้านบนแล้วพูดว่า: "ไม่สำคัญหรอกว่าพ่อของแกจะเป็นนายพลหานหรือใคร แม้แต่จะเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ก็ตาม ไม่สามารถจะรังแกคนของฉัน ฉู่เฉินคนนี้ได้!"เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉู่เมิ่งเหยาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ในใจก็รู้สึกอบอุ่นเป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่เธอไม่เคยพบกับความรู้สึกได้รับการปกป้องเช่นนี้ฉู่เฉินพูดต่อ: "ตอนนี้ ฉันให้โอกาสแกขอโทษพี่หกของฉัน ตราบใดที่เธอให้อภัยแก ชีวิตเล็กๆ ของแกก็จะได้รับการอโหสิกรรม"“แกอย่าอวด…”ก่อนที่หานเล่ยจะพูดจบประโยค ชายฉกรรจ์คนหนึงรีบเอามือปิดปากของเขา: "นายน้อย ในถิ่นของคนอื่นแบบนี้ คุณยอมขอโทษเถอะครับ"“ใช่ครับนายน้อย คุณมีสถานะสูงส่ง ทำไมคุณถึงลดระดับตัวเองลงมาไปคลุกโคลนกับเขาครับ?”ชายฉกรรจ์คนอื่น ๆ ก็โน้มน้าวให้เขาขอโทษเช่นกันความหยิ่งพยองของหานเล่ยถูกฉู่เฉินบดขยี้อย่างย่อยยับ ทำได้เพียงมองไปที่ฉู่เมิ่งเหยาและพูดอย่างไม่เต็มใจ: "ขอโทษ!"“พี่หก พี่ได้ยินไหม?” ฉู่เฉินถาม“ไม่” ฉู่เมิ่งเหยาส่ายหัวฉู่เฉินตะคอกเสียงดีง: “ดังกว
เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่เมิ่งเหยา คนอื่นๆ ก็มองไปที่ฉู่เฉินอย่างนึกสงสัยฉู่เฉินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ผมก็มีวิธีของผมน่ะ”ไม่นานหลังจากที่หานเล่ยจากไป ฉู่เมิ่งเหยาก็ได้รับสายเรียกเข้าโทรศัพท์เธอมองดูหมายเลขที่โทรเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและพูดว่า "สายจากหานฉินหู่ ผู้บัญชาการทหารแห่งไห่ซี ดูเหมือนว่าหานเล่ยจะไปฟ้องเขาแล้ว"“รับสาย!” ฉู่เฉินพูดฉู่เมิ่งเหยาสูดหายใจเข้าลึก ๆ และรับสายในที่สุดหลังจากวางสาย เธอพูดด้วยหน้าซีดเซียว "หานฉินหู่ต้องการให้ฉันขอโทษหานเล่ยที่ค่ายทหารไห่ซี ภายในสามวัน ไม่เช่นนั้นจะไม่รับประกันผลที่ตามมา!"เมื่อเธอพูดจบ ท่าทางของทุกคนก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงสิ่งที่กลัวได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆมีเพียงฉู่เฉินเท่านั้นที่ยังคงสงบและพูดว่า "พี่หก ไม่ต้องกลัวนะ หลังจากสามวันนี้ผมจะไปกับพี่ที่ ไห่ซีเอง ผมอยากจะเห็นเหมือนกันว่าอะไรทำให้ผู้บัญชาการทหารแห่งไห่ซีคนนี้ กล้าที่จะรังแกคนของฉู่เฉินคนนี้"ฉันเป็นคนของฉู่เฉิน?เมื่อได้ยินเข้าแก้มของฉู่เมิ่งเหยาก็แดงขึ้นมา เธอพยักหน้าตามหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว ฉู่เฉินพูดกับป้าหลานและฉินปิงเยว่ว่า: “ป้าหลาน พี่เจ็ด…”เ
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่