รู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตบนร่างของฉู่เฉิน ขนทั้งตัวบนร่างของโจวลิ่วจื่อก็ลุกตั้งชันดาวร้ายนี้มาจากไหน ถ้าหากว่าตระกูลจ้าวทำให้เขาขุ่นเคืองมันก็จบลงโดยสิ้นเชิงทันใดนั้น เขาก็มองดูฉู่เฉินด้วยดวงตาที่เบิกกว้างแล้วพูดว่า "คุณ...คุณคือคนที่เหลืออยู่ของสถานเด็กกำพร้าชิงซานที่สังหารฉีเทียนเหอเหรอ?"ในที่สุดเขาก็เข้าใจสักที!ดาวร้ายที่อยู่ตรงหน้าฉันคือชายสวมหน้ากากทองสัมฤทธิ์ที่โด่งดังเมื่อไม่นานมานี้นี่เอง!เขาเป็นคนที่ฆ่าฉีเชาและฉีไคไทก่อน จากนั้นจึงก่อกวนงานวันเกิดของตระกูลฉี สังหารฉีเทียนเหอและเจ้าหน้าที่อาวุโสของตระกูลฉีคนอื่น ๆ ในที่สาธารณะ!เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็รู้สึกโชคดีมากที่ได้มอบบันทึกนี้ให้เขา ไม่เช่นนั้น ด้วยรูปแบบการฆาตกรรมของดาวร้ายคนนี้ เขาคงจะถึงวาระแล้ว"ถือว่านายยังไม่ถือว่าโง่"ฉู่เฉินเหลือบมองเขาอย่างไม่แยแส และหันไปหาฉู่เซี่ยงตงแล้วพูดว่า "ไปจัดการให้ครอบครัวของเขาได้ไปต่างประเทศโดยเร็วที่สุด""ครับ นายน้อย" ฉู่เซี่ยงตงพยักหน้าและกดหมายเลขโทรศัพท์ทันทีไม่นานหลังจากนั้น ครอบครัวของโจวลิ่วจื่อก็ถูกย้ายโดยคนที่ฉู่เซี่ยงตงจัดเตรียมเอาไว้ให้ และพวกเขาก็ขึ้นเรือไ
จ้าวเหยียนมองไปรอบ ๆ ฝูงชนแล้วพูดว่า "ตอนนี้มันได้จับตาดูตระกูลจ้าวของฉันเอาไว้แล้ว หากเรายังคงนั่งรอความตายกันต่อไปแบบนี้ เราก็จะจบเห่ด้วยกันหมดนี่แหละ""พี่ใหญ่ ต่อไปพวกเราจะต้องทำยังไงต่อดีล่ะ พี่ก็พูดมาตรง ๆ เถอะ พวกเราจะร่วมมือกับพี่แน่นอน" จ้าวหยางลูกคนที่สามของตระกูลจ้าวพูดทันทีจ้าวเหยียนมองไปที่ทุกคนและเห็นว่าทุกคนกำลังรอให้เขาตัดสินใจเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มเบา ๆ แล้วพูดว่า "บรรพบุรุษได้ส่งลูกศิษย์คนเล็กของเขาซึ่งกำลังเดินทางมาและจะมาถึงภายในไม่ถึงสามวัน""ด้วยความช่วยเหลือจากลูกศิษย์ของบรรพบุรุษ ไม่ว่าสัตว์เดรัจฉานจะทรงพลังแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้"ทันใดนั้นทุกคนก็มีพลังขึ้นมาเมื่อได้ยินสิ่งนี้บรรพบุรุษมีความเชื่อทางจิตวิญญาณต่อตระกูลจ้าวทั้งหมด เนื่องจากเขาได้เข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้ก็หมายความว่าปัญหาไม่ได้ใหญ่โตจ้าวเหยียนเปลี่ยนเรื่องและกล่าวเสริมไปว่า "แต่ช่วงนี้บรรพบุรุษของฉันไม่พอใจอย่างมากกับตระกูลจ้าวของฉัน แม้แต่คนตระกูลฉินก็ยังกล้าที่จะดูถูกตระกูลจ้าวของฉัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลอื่น ๆเลย""สิ่งที่บรรพบุรุษของฉันหมายถึงคือต่อจากนี้ไป มีเพียงเสี
เมื่อได้ยินเสียงนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของจ้าวไท่ก็แข็งทื่อเขาหันกลับไปอย่างรวดเร็ว เห็นแต่ชายหนุ่มในชุดสีดำก็ได้ปรากฏตัวในห้องโดยไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ชายหนุ่มกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะในขณะนี้ กำลังจิบชาหนึ่งถ้วยแล้วมองเขาด้วยสายตาที่มองคนที่ตายแล้วอย่างน่าสมเพชชายหนุ่มที่ว่าคือฉู่เฉิน"ไอ้หนุ่มนี่ นายเป็นใคร? นาย...นายเข้ามาได้ยังไง?" จ้าวไท่พูดด้วยความตกใจเขาจำได้ชัดเจนว่ามีบอดี้การ์ดหลายสิบคนในคฤหาสน์ของเขา และแต่ละคนก็มีสุนัขตำรวจอยู่ในมือแต่ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแม้แต่น้อย"ฉันเป็นใครน่ะหรอ?"ฉู่เฉินค่อย ๆ จิบชาของเขาแล้วพูดว่า "นั่นเป็นคำถามที่ดีเลยนะ ฉันคือฝันร้ายของตระกูลจ้าวของนาย เป็นซูโรมาเอาชีวิตจากนรก ทวงหนี้จากตระกูลจ้าวของพวกนายทุกคนยังไงล่ะ!""สำหรับเรื่องที่ว่าฉันเข้ามาได้ยังไง? ง่าย ๆ เลย ฉันเดินเข้ามาอย่างโจ่งแจ้ง"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ จ้าวไท่ก็ดูเหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้ ลูกตาหดตัวลงอย่างรุนแรงและร้องว่า "นาย... นายคือสัตว์เดรัจฉานที่เหลือจากสถานเด็กกำพร้าชิงซานงั้นเหรอ?"เขาคิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดจริงทำจริง จะมาฆ่าคนตระกูลจ้าวและคนแรก
“อะไรนะ” หนิงฉิงเสวี่ยตื่นตกใจหลังจากที่เย่จิงสูดหายใจเข้าแล้วก็รีบพูดเรื่องที่ตัวเองรู้ในคืนนี้ออกมาทั้งหมดหลังจากที่หนิงฉิงเสวี่ยได้ฟังก็ทั้งตกใจทั้งดีใจเธอตกใจก็เพราะนึกไม่ถึงว่าน้องเสี่ยวสือโถวของเธอจะฆ่าคนอีกแล้ว อีกทั้งคนที่ถูกฆ่าก็ยังเป็นคนของตระกูลจ้าวอีกต่างหากก่อนอื่นเลย ตระกูลจ้าวเป็นถึงตระกูลเศรษฐีใหญ่อันดับหนึ่งในหนานเจียงที่ตระกูลฉียากจะเทียบเทียมได้ อำนาจเหนือกว่าที่คนธรรมดาจะจินตนาการได้เลยและสิ่งที่เธอดีใจนั้นก็คือ นับตั้งแต่เรื่องของตระกูลฉีได้จบลง เธอก็ไม่วันไหนเลยที่จะไม่คิดถึงน้องเสี่ยวสือโถว แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่ได้ข่าวคราวอะไรของเขาเลยจนมาถึง วันนี้น้องเสี่ยวสือโถวได้ไปลงมือสังหารคนของตระกูลจ้าว นั่นก็แสดงว่าตอนนี้เขายังปลอดภัยดี“ฉิงเสวี่ย น้องเสี่ยวสือโถวของเธอครั้งนี้นับว่าก่อเรื่องใหญ่เข้าแล้วนะ”เย่จิงสูดหายใจเข้าแล้วพูดว่า “คนที่เขาฆ่าคือจ้าวไท่ ลูกชายคนที่สี่ของตระกูลจ้าว ตอนนี้ทั้งตระกูลจ้าวต่างก็โกรธแค้นอย่างหนัก และตามหาตัวเขาอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับตั้งค่าหัวเขาอีก 25 ล้าน เพื่อล่าตัวเขา”ร่างกายที่บอบบางของหนิงฉิงเสวี่ยสั่นสะท้านไปทั้งตัวเมื่อเธอไ
“โอเค เดี๋ยวฉันจะรีบเข้าไปที่บริษัทเดี๋ยวนี้”หลังจากที่หนิงฉิงเสวี่ยวางสายแล้ว ก็รีบอาบน้ำเพื่อที่เตรียมตัวจะออกจากบ้าน แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่ทันได้เปลี่ยนตอนที่เธอเดินผ่านชั้นหนึ่งไป ฉู่เฉินก็กำลังยกอาหารเช้าออกมาแล้วถามว่า “วันนี้วันเสาร์ไม่ใช่เหรอ”“ที่บริษัทมีธุระให้ฉันไปจัดการนิดหน่อยน่ะ” หนิงฉิงเสวี่ยพูดจบก็ออกจากบ้านไปเธอไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับจ้าวหมิงฮวย เพราะหลักๆแล้วก็กลัวว่าถ้าฉู่เฉินรู้เข้าแล้วเขาจะหุนหันพลันแล่นเหมือนเมื่อครั้งที่แล้วไม่นานหนิงฉิงเสวี่ยก็มาถึงเฟยเสวี่ยกรุ๊ป เมื่อเธอเดินไปถึงประตูห้องสำนักงานก็เห็นชายหนุ่มในชุดสูทที่มีดอกกุหลาบอยู่ในมือนั่งอยู่บนที่นั่งของเธอถ้าไม่ใช่จ้าวหมิงฮวยแล้วจะเป็นใครไปได้อีกพอจ้าวหมิงฮวยเห็นเธอก็รีบเข้ามาหาเธอพร้อมดอกไม้ในมือทันที “ฉิงเสวี่ย ในที่สุดคุณก็มาซะที ผมรอคุณมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว”“นี่คือดอกไม้ที่ผมตั้งใจนำมามอบให้คุณ คุณชอบไหมครับ”“จ้าวหมิงฮวย คุณมาทำอะไรคะ” หนิงฉิงเสวี่ยชักสีหน้าไม่ดีใส่เขาความเย็นชาปรากฎขึ้นในแววตาของจ้าวหมิงฮวยแต่แสร้งยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ฉิงเสวี่ย วันนี้ผมไม่ได้มาร้ายหรอกนะ คุณไม่จำเป็นต้องปฏิเสธผ
ต่อให้ตระกูลแพทย์แผนจีนจะยินดีขายสูตรให้ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะสู้กับหมิงฮวยกรุ๊ปได้หลังจากที่จ้าวหมิงฮวยมองไปที่ปฏิกิริยาของเธออย่างละเอียดแล้ว มุมปากของเขาก็อดไม่ได้ที่จะทำท่ายิ้มอย่างภาคภูมิใจเขาถอนหายใจเบา ๆ "ฉิงเสวี่ย อันที่จริงเราไม่ควรเป็นศัตรูกันหรอกนะ เราสามารถเป็นเพื่อนหรือเป็นหุ้นส่วนกันได้นี่นา"“ขอแค่คุณยอมหย่ากับนายแซ่ฉู่นั่นแล้วมาแต่งงานกับผม ผมสัญญาว่าในภายภาคหน้าอุตสาหกรรมเครื่องสําอางในหนานเจียง เฟยเสวี่ยกรุ๊ปจะเป็นผู้นํา และหมิงฮวยกรุ๊ปของผมก็จะไม่มีการแข่งขันกับคุณ”“อีกอย่างพอถึงตอนนั้น ผมก็ยังจะมอบสูตรเครื่องสําอางในมือให้เป็นของขวัญหมั้นเพื่อแต่งงานกับคุณอีกด้วย คุณคิดว่ายังไง” สิ่งที่เขาพูดนั้นดูจริงใจซะจนคนที่ไม่รู้อาจถูกเขาหลอกได้เลยแต่หนิงฉิงเสวี่ยไม่ได้โง่ขนาดนั้น เธอรู้ดีว่าจ้าวหมิงฮวยก็แค่ต้องการในร่างกายของเธอก็เท่านั้นอีกอย่าง ตระกูลจ้าวยังเข้าร่วมในการเผาสถานเลี้ยงเด็กกําพร้าชิงซานก็นับว่าเป็นศัตรูกับหนิงฉิงเสวี่ยแล้วเธอจะร่วมมือกับศัตรูได้ยังไงเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หนิงฉิงเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างเย็นชาว่า “จ้าวหมิงฮวย เป็นไปไม่ได้หรอกที่ฉันจะแต่งงาน
หนิงฉิงเสวี่ยหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง แต่หลังจากได้ยินการเคลื่อนไหวที่ข้างหูของเธอเธอก็เผลอลืมตาขึ้นมาดูแล้วสีหน้าก็เต็มไปด้วยความดีใจอย่างอดไม่ได้ชายที่อยู่ๆ ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าคนนี้ นอกจากฉู่เฉินแล้วจะเป็นใครไปเสียได้ ขณะนี้หนิงฉิงเสวี่ยก็น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่ขาดสายฉู่เฉินเข้าไปพยุงเธอให้ลุกขึ้น “เธอไม่เป็นไรใช่ไหม”“ฉัน……ฉันไม่เป็นไร” หนิงฉิงเสวี่ยพูดจบก็อดไม่ได้ที่จะกอดฉู่เฉินไว้แน่น ร่างกายที่บอบบางสั่นสะท้านไปทั้งตัว ในดวงตาก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเมื่อครู่เธอเกือบที่จะเสร็จจ้าวหมิงฮวยไปซะแล้ว โชคดีที่ฉู่เฉินมาได้ทันเวลา“ท่านประธานคะ” พานอวิ๋นก็รีบพุ่งเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความร้อนรน“เธอคอยอยู่ตรงนี้ก่อน ที่เหลือให้ฉันจัดการเอง” ฉู่เฉินปลอบหนิงฉิงเสวี่ยแล้วกลับหลังหันไปมองจ้าวหมิงฮวยแววตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชาจนทำให้คนที่เห็นรู้สึกขนลุกไปทั้งตัวถ้าเมื่อครู่เขามาช้าไปอีกก้าวเดียวก็ไม่อาจจะนึกถึงผลที่ตามมาได้เลยถึงแม้ระหว่างหนิงฉิงเสวี่ยกับเขาจะไม่มีความรู้สึกต่อกัน แต่ยังไงเธอก็ยังเป็นผู้หญิงของฉู่เฉินถ้าหากแม้แต่ผู้หญิงของตัวเองก็ยังปกป้องไม่ได้ จะเรียกว่าลูกผู้
“ไม่งั้นตระกูลจ้าวก็จะไม่ปล่อยนายเอาไว้แน่ นอกจากนายจะต้องตายแล้ว แม้แต่หนิงฉิงเสวี่ย พวกเธอก็ต้องตายด้วย”พอได้ยินคำพูดของเขา ในที่สุดหนิงฉิงเสวี่ยก็ได้สติขึ้นมา เธอรีบเข้าไปดึงมือของฉู่เฉินเอาไว้แน่น “ฉู่เฉิน อย่าวู่วาม อย่าวู่วามเด็ดขาด ถ้านายฆ่าเขา นายก็จะตายเหมือนกัน”เธอร้อนรนจนน้ำตาไหลพรากฉู่เฉินทนเห็นผู้หญิงร้องไห้ไม่ได้ที่สุด ความอาฆาตเมื่อครู่ก็มลายหายไปทันที เขาจึงทำได้เพียงโยนจ้าวหมิงฮวยออกไปเหมือนสุนัขข้างถนนที่ตายแล้ว “ไสหัวไปซะ ฉันเห็นแก่หน้าของฉิงเสวี่ย ฉันจะปล่อยให้นายมีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายวัน”ไม่นาน บอดี้การ์ดของจ้าวหมิงฮวยก็รีบมาโดยเร็วแล้วหามเขาออกไปแต่สํานักงานรายล้อมไปด้วยพนักงานนับไม่ถ้วน ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ฉู่เฉินและพวกเขาไปทั่ว“ถ้าฉันดูไม่ผิดละก็ คนที่ถูกโยนออกมาเมื่อครู่คือจ้าวหมิงฮวยคุณชายของของตระกูลเศรษฐีตระกูลจ้าวใช่ไหม”“ใช่ เป็นเขานั่นแหละ”“ผู้ชายของฉิงเสวี่ยคนนี้โหดจริงๆ นึกไม่ถึงเลยว่าจะทุบตีทำร้ายคุณชายจ้าวได้ขนาดนั้น ครั้งนี้ตระกูลจ้าวต้องบ้าคลั่งแน่ๆ”“มันจะไม่ใช่แค่บ้าคลั่งน่ะสิ ถือว่าเขาเจอหายนะครั้งใหญ่เข้าแล้วล่ะ แม้แต่ประธานหนิงก็ไม่สาม