“งั้นพวกเราสามารถท้าทายสนามประลองอื่นได้หรือเปล่า?”“เรื่องไม่ได้ระบุเอาไว้อย่างชัดเจน แต่ก็น่าจะเป็นไปได้ บางทีอาจมีจ้าวสนามคนอื่นที่คิดว่า พวกเราอ่อนแอกว่าและถูกรังแกได้ง่ายกว่า ดังนั้นพวกเขาจะมาโจมตีสนามประลองของพวกเราโดยเฉพาะ” “อืม แล้วตอนแรกคุณตัดสินใจให้ใครเป็นปกป้องสนามประลองก่อน?” ฉู่เฉินถามทั้งสามคน“แผนเดิมคือให้พี่หม่าเซียงอวี่ออกไปก่อน และเป็นคำขอของพี่หม่าเองด้วย ฉู่เฉิน คุณอาจไม่รู้ว่าพี่หม่าพึ่งพาการฝึกฝนด้วยตนเอง และประสบความสำเร็จในปัจจุบัน หากเอาชนะคำท้าดวลได้ตลอด แน่นอนว่าเขาไม่กลัวความท้าทายเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม หากคุณชายฉู่ต้องการเป็นผู้ออกไปก่อน ก็ทำเช่นนั้นก็ได้”หลี่ชิงพูดด้วยความประทับใจต่อตัวหม่าเซียงหยู่อย่างเห็นได้ชัด“ไม่จำเป็นหรอก พวกคุณตัดสินใจไปแล้ว ดังนั้นมาทำตามแผนนั้นกันเถอะ”ฉู่เฉินไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ตั้งแต่แวบแรกที่เขาเห็นพวกเขาสามคน เขารู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เมื่อเป็นอย่างนั้น การที่เขาจะเอาชนะคนอื่นที่เอาชนะพวกเขาไม่ได้ก็ไม่มีความหมายอะไร หากมีใครเอาชนะพวกเขาทั้งสามคนได้ เขาก็จะยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างแน่นอน“แล้วหลังจากน
จากนั้นฉู่เฉินก็เดินไปหาเหยียนหนานเทียนเพียงคนเดียว เพื่อตรวจสอบและเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด แม้ว่าฉู่เฉินจะรู้สึกชัดเจนว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีวรยุทธ ซึ่งไม่ต่างจากคนทั่วไปบนถนน แต่เขาก็ยังตัดสินใจที่จะทดสอบ“ลุงเหยียน?ฉู่เฉินเอ่ยปากถามอย่างไม่แน่ใจชายคนที่ดูเหมือนเหยียนหนานเทียนไม่ได้ตอบเมื่อเห็นเช่นนี้ ฉู่เฉินก็ไม่ได้ถามต่อและหันหลังจะจากไปทันทีที่เขาหันหลังกลับ ก็ถูกเรียกให้หยุด“เด็กน้อย ในเมื่อนายจำได้แล้ว ทำไมนายถึงสงสัยในวิจารณญาณของตัวเอง”“เป็นคุณจริงๆ ลุงเหยียน คุณออกจากดินแดนเร้นลับของตระกูลเหยียน และมาปรากฏตัวที่นี่ได้ยังไง?”ฉู่เฉินถามด้วยความประหลาดใจปนความสับสน“ออกมาได้? ฉันไม่ได้ออกมา และฉันอยู่ที่นี่รอทำข้อตกลงกับนาย”“โอ้ ข้อตกลงอะไร?”เมื่อได้ยินคำว่าข้อตกลง ฉู่เฉินก็เริ่มสนใจ"ฉันกำลังวางแผนจะตั้งกลุ่มเดิมพันสำหรับการแข่งขัน และฉันจะเดิมพันว่านายจะชนะการแข่งขัน แต่มีเงื่อนไขคือ นายต้องออมมือไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อลดอัตราต่อรอง หลังจากนั้น พวกเราจะแบ่งกำไร 70-30 นายคิดว่าไง?" เหยียนหนานเทียนพูดข้อเสนอ“ลุงเหยี
เมื่อกลับมายังฐานซวนหวู่อยู่ ฉู่เฉินก็ได้ทราบเกี่ยวกับผู้ชนะจากสนามอื่นๆ จากจางเทาอย่างคร่าวๆเดิมทีมีทหารซวนอู่ก็เฝ้าสังเกตการประลองนี้อย่างลับๆ เช่นกันฉู่เฉินไม่เคยคาดคิดว่า การกระทำที่ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังที่หน้าโถงสมุนไพรจะทำให้เกิดการประลองที่ยิ่งใหญ่ระหว่างจอมยุทธแต่ฉู่เฉินก็รู้สึกเพลิดเพลินใจที่ได้เห็นสิ่งนี้ที่สนามประลองของตระกูลหวัง ฉู่เฉินยังได้รู้อีกว่า นอกเหนือจากหวังฮวาที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ ยังมีคนชื่อซ่งหลี่ซิงซึ่งเป็นสมาชิกของกองกำลังพยัคฆ์ขาวด้วย และอีกสองคนที่เหลือ ฉู่เฉินไม่ค่อยในใจเท่าไหร่ด้านฝั่งตำหนักอสูร พูดกันว่าสตรีคนหนึ่งจากตำหนักอสูรครองตำแหน่งผู้ชนะมีข่าวลือว่า คนที่ได้เห็นสตรีคนนี้ครั้งแรก ต่างก็ตะลึงกับความงามของเธอ และตั้งแต่เธอขึ้นไปบนลานประลอง เธอก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไร ไม่ว่าใครจะเข้ามาขอท้าทายเธอ เธอก็ยัไม่แพ้ใครหน้าไหน อย่างไรก็ตาม ในที่สุดผู้นำของตำหนักอสูรก็โน้มน้าว ให้เธออนุญาตให้อีกสามคนเข้าร่วมเป็นผู้ชนะด้วยถ้าไม่ใช่เพราะกฎการแข่งขันที่กำหนดให้ต้องมีผู้ชนะสี่คน เธออาจเป็นแชมเปี้ยนเพียงคนเดียวจากตำหนักอสูรก็ได้เป็นกฎการก็เป็นแบบนี้
“ไม่รู้อะไรเลยใช่ไหมนิ คนนี้ชื่อหม่าเซียงอวี่ ได้ยินมาว่าที่ลานประลองโถงสมุนไพร ได้เอาชนะคู่แข่งหลายคนในรอบคัดเลือก และคว้าตำแหน่งหนึ่งในสี่ผู้ชนะมา”มีบางคนสงสัย ไม่นานก็จะมีคนออกมาพูดข่าวลือต่างๆ ออกมา“โอ้ พี่ชายข่าวเด็ดมาก งั้นคุณคิดว่าใครเป็นผู้ป้องกันตำแหน่งของตระกูลหวัง”ทันทีที่ใครตอบคำถามได้ ก็มีคนอาศัยจังหวะนี้ถามเรื่องที่ตัวเองสงสัยออกมา ส่วนความถูกต้องของข่าว ใครสนใจล่ะ แค่เอามันส์เท่านั้น“ชื่อคนคนนั้นคือซ่งหลี่ซิง เหมือนกับคนจากโถงสมุนไพรที่ต่อสู้อย่างหนักหลายครั้งเพื่อคว้าตำแหน่งผู้ชนะมา พวกเขาล้วนเป็นปรมาจารย์ที่ไหมรู้โผล่ออกมาจากไหน” คนที่ตอบคำถาม ได้ระบุว่าแหล่งที่มาของข้อมูลนั้นค่อนข้างน่าเชื่อถือ“แล้วทางฝั่งตำหนักอสูรล่ะ?”มีคนถามขึ้นอีก“คนชื่อหลี่หยวนป้า ได้ยินมาว่าเขาได้รับตำแหน่งผู้ชนะ หลังจากต่อสู้ไปแค่รอบเดียว ดังนั้นไม่ควรมองข้ามความแข็งแกร่งของเขา”“พี่ชายนี่วงในสุดๆ แล้วใครเป็นคนป้องกันของฝั่งนิกายแห่งความว่างเปล่า?”“เอ่อ... นั่นไม่ค่อยแน่ใจเกี่ยวกับคนนั้น” ในที่สุดคนที่ตอบคำถามก็ไม่สามารถตอบได้“ชื่อว่าชิงหลิง มีข่าวลือว่าเป็นอัจฉริยะของนิกายแห
การเห็นหลิวคังถอนตัวออกจากลานประลองโดยสมัครใจนั้น เป็นสิ่งที่หม่าเซียงอวี้หวังเอาไว้“ถ้ามีใครต้องการอยากท้าดวล ก็ออกมาได้เลย ไม่ต้องอาย ถึงแม้ว่ากฎจะระบุให้พักครึ่งชั่วโมงระหว่างการแข่งขันรอบต่อไป แต่ฉันเพิ่งวอร์มร่างกายเสร็จ ดังนั้นใครก็ตามที่อยากท้าดวล ก็ออกมาเลย” คำประกาศของหม่าเซียงอวี้ บวกกับผลจากการแข่งขันล่าสุดนั้น มีวัถตุประสงค์เพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจ อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีผู้ท้าดวลกล้าออกมาท้าดวลเขาเมื่อเห็นเช่นนี้ ฉู่เฉินก็เบื่อหน่ายที่จะดูการประลองต่อ และอีกลานประลองที่อยู่ใกล้กัน ก็ไม่มีคนออกมาท้า คาดว่าในวันแรก ทุกคนไม่รีบร้อนและไม่พร้อมที่จะเอาเปรียบผู้ที่มาทีหลัง ฉู่เฉินตัดสินใจให้จางเทาจับตาเอาไว้ จากนั้นจึงกลับไปที่ฐาน เพื่อพักฟื้นตามที่คาดไว้ วันแรกเป็นวันที่ค่อนข้างเงียบสงบ ลานประลองทั้งสี่แห่ง มีการท้าดวลเพียงไม่กี่ครั้ง ที่ลานโถงสมุนไพร หม่าเซียงอวี้ต่อสู้กับหลิวคังและต่อมาก็เผชิญหน้ากับผู้ท้าชิงอีกคนในรอบที่สองหม่าเซียงอวี้ยังคงตั้งรับการโจมตี ปล่อยให้คู่ต่อสู้ของเขาหมดแรง จนพวกเขายอมแพ้ไปเอง หลังจากนั้นก็ไม่มีใครท้าดวลเขาอีกเลย และเขาก็สามารถป้องกันลานป
เมื่อเห็นว่า ยังไม่สามารถเอาชนะหลี่ชิงได้ ชิงมู่ก็เริ่มรวมพลัง เตรียมใช้ท่าไม้ตาย เพื่อตั้งใจที่จะยุติการต่อสู้และโค่นหลี่ชิงในคราวเดียว ส่งผลให้โถงสมุนไรแพ้ตั้งแต่เริ่มต้น ทางที่ดีไม่ควรเก็บเอาไว้สักคนและต้องทำให้เรื่องจบลงที่นี่ แม้ว่าหลี่ชิงจะเป็นความภาคภูมิใจของคฤหาสน์หลี่หยาง แต่เธอก็ยังเป็นผู้หญิงที่มีเทคนิคที่อ่อนหวาน และเน้นไปที่การตั้งรับ นอกจากนี้ คู่ต่อสู้ยังเป็นลูกศิษย์ระดับแนวหน้าของนิกายหนึ่ง ซึ่งนั้น ทำให้หลี่ชิงรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องแม้ว่าคู่ต่อสู้จะแค่โจมตีอย่างส่งๆ แต่ก็ยากรับการโจมตีด้วยตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางของคู่ต่อสู้ ก็รู้ทันทีว่าเขากำลังเตรียมใช้ท่าไม้ตาย และทำให้อดไม่ได้ที่จะคิดในใจ“จบแล้ว... ฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้ว นี่อาจจะลงเอยเหมือนกับหม่าเซียงอวี้ก็ได้ ไม่ก็ตายก็เลี้ยงไม่โต” “ดูเหมือนว่าคุณหนูหลี่ชิงจะไม่สามารถรักษาสนามประลองในครั้งนี้ได้ และกำลังจะแพ้ น่าสงสารครอบครัวของคุณหนูจริงๆ หวังว่าชิงมู่จะเมตตาสักนิด”ผู้ชมก็ไม่ได้ตาบอด พร้อมกับวิเคราะห์สถานการณ์ในสนาม“แต่ทำไมคนจากนิกายแห่งความว่างเปล่า จึงมาต่อสู้ในสนามประลองของโถงสมุนไพร นิกายแห่งความว่าง
“ปัง!”เสียงที่ดังสนั่นพร้อมกับแสงที่สว่างวาบออกมา ทำให้ผู้ชมเบียนหน้าหนีแสงนั่น“เฮ้อ อัจฉริยะอีกคนมาได้แค่นี้ล่ะ น่าเสียดาย แถมยังเป็นผู้หญิงด้วย”มีบางคนพูดด้วยความเสียใจ และไม่สามารถทนดูได้“คนจากนิกายแห่งความว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่ความเป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย!”“นายคงไม่รู้อะไรเลยสินะ คนจากนิกายแห่งความว่างเปล่าไม่สนใจเรื่องพรรคนี้หรอก ชิงหลิงของพวกเขาเองก็น่าเก่งกาจไม่แพ้หลี่ชิง”คนคนนี้ดูถูกคฤหาสน์หลี่หยางอย่างเห็นได้ชัดแสงสว่างจางหายไป และชิงมู่กำลังจะเยาะเย้ยคู่ต่อสู้ แต่ทันใดนั้น ก็อ้าปากกว้างราวกับว่าเห็นผี แต่กลับไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา“เธอยอมแพ้ไปแล้ว ทำไมนายถึงยังโจมตีอีก!” ฉู่เฉินพูดอย่างใจเย็น และยืนอยู่ตรงหน้าหลี่ชิงในเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินตัวยาว มือที่ยื่นออกไปค่อยๆ ดึงกลับมามืออีกข้างโอบหลังของหลี่ชิงไว้ และเสื้อผ้าที่ปลิวไสวไปกับสายลมนั้น แสดงถึงท่าทีสง่างาม“แกเป็นใคร? แกมีคุณสมบัติอะไรถึงได้ปรากฏตัวในสนามประลอง!” ชิงมู่มีสีหน้าไม่เชื่อชิงมู่รู้ดีว่าท่าไม้ตายของตัวเอง ร้ายแรงเพียงใดแต่คนตรงหน้าเขาสามารถป้องกันได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ซึ่งทำให้ชิงมู่ประหลาด
“ชิงมู่ใช่ไหม? ที่นายพูดมันก็ไม่ถูก นายหมายความว่ายังไงที่ว่าฉันช่วยโถงสมุนไพร? ฉันเป็นหนึ่งในผู้ชนะของโถงสมุนไพรไม่ได้เหรอ? และก็ฉันจะช่วยโถงสมุนไพรไม่ได้เหรอ? "ฉู่เฉินยิ้มเยาะ“แต่... แต่โถงสมุนไพรไม่ใช่หนึ่งในสามนิกายหรือสี่สำนักสักหน่อย และไม่ใช่ตระกูลที่มีเกียรติจากเมืองหลวงด้วย ดังนั้นจะสมควรได้รับตำแหน่งหนึ่งในสี่สนามประลองได้ยังไง!” ชิงมู่ยังคงไม่เชื่อ แม้ว่าจะไม่สามารถกล่าวหาฉู่เฉินว่า พยายามยกระดับสถานะของโถงสมุนไพรอย่างไม่ยุติธรรมก็ตาม“เอาล่ะ ไม่ใช่ว่าอยากท้าดวลก็ผู้ป้องกันตำแหน่งคนที่สามของโถงสมุนไพรหรอกเหรอ? ก็ฉันเองนี่ไง เข้ามาเลย ถ้านายไม่ลงมือ ฉันจะลงมือล่ะนะ" ฉู่เฉินไม่สนใจว่าชิงมู่จะเชื่อหรือไม่ และเร่งเร้าให้เขาลงมือทำ“ช้าก่อน ฉันไม่ขอท้าดวลแล้ว ฉันต้องการพักผ่อน” ชิงมู่พูดขัดทันทีที่เห็นฉู่เฉินกำลังจะลงมือ เห็นได้ชัดว่าฉากที่ฉู่เฉินสกัดท่าไม้ตายของเขาด้วยมือข้างเดียวเมื่อกี้นั้น ทำให้ชิงมู่รู้สึกต้องยอมถอยไปตั้งหลักก่อนต้องทำใจยอมรับความพ่ายแพ้ต่อสายตาประชาชี“มันไม่ใช่เรื่องที่นายจะตัดสินใจได้ อยากจะท้าก็ท้า ไม่อยากท้าก็ไม่ท้าแล้ว เห็นฉันฉู่เฉินคนนี้เป็นต
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่