“งั้นพวกเราสามารถท้าทายสนามประลองอื่นได้หรือเปล่า?”“เรื่องไม่ได้ระบุเอาไว้อย่างชัดเจน แต่ก็น่าจะเป็นไปได้ บางทีอาจมีจ้าวสนามคนอื่นที่คิดว่า พวกเราอ่อนแอกว่าและถูกรังแกได้ง่ายกว่า ดังนั้นพวกเขาจะมาโจมตีสนามประลองของพวกเราโดยเฉพาะ” “อืม แล้วตอนแรกคุณตัดสินใจให้ใครเป็นปกป้องสนามประลองก่อน?” ฉู่เฉินถามทั้งสามคน“แผนเดิมคือให้พี่หม่าเซียงอวี่ออกไปก่อน และเป็นคำขอของพี่หม่าเองด้วย ฉู่เฉิน คุณอาจไม่รู้ว่าพี่หม่าพึ่งพาการฝึกฝนด้วยตนเอง และประสบความสำเร็จในปัจจุบัน หากเอาชนะคำท้าดวลได้ตลอด แน่นอนว่าเขาไม่กลัวความท้าทายเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม หากคุณชายฉู่ต้องการเป็นผู้ออกไปก่อน ก็ทำเช่นนั้นก็ได้”หลี่ชิงพูดด้วยความประทับใจต่อตัวหม่าเซียงหยู่อย่างเห็นได้ชัด“ไม่จำเป็นหรอก พวกคุณตัดสินใจไปแล้ว ดังนั้นมาทำตามแผนนั้นกันเถอะ”ฉู่เฉินไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ตั้งแต่แวบแรกที่เขาเห็นพวกเขาสามคน เขารู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เมื่อเป็นอย่างนั้น การที่เขาจะเอาชนะคนอื่นที่เอาชนะพวกเขาไม่ได้ก็ไม่มีความหมายอะไร หากมีใครเอาชนะพวกเขาทั้งสามคนได้ เขาก็จะยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างแน่นอน“แล้วหลังจากน
จากนั้นฉู่เฉินก็เดินไปหาเหยียนหนานเทียนเพียงคนเดียว เพื่อตรวจสอบและเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด แม้ว่าฉู่เฉินจะรู้สึกชัดเจนว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีวรยุทธ ซึ่งไม่ต่างจากคนทั่วไปบนถนน แต่เขาก็ยังตัดสินใจที่จะทดสอบ“ลุงเหยียน?ฉู่เฉินเอ่ยปากถามอย่างไม่แน่ใจชายคนที่ดูเหมือนเหยียนหนานเทียนไม่ได้ตอบเมื่อเห็นเช่นนี้ ฉู่เฉินก็ไม่ได้ถามต่อและหันหลังจะจากไปทันทีที่เขาหันหลังกลับ ก็ถูกเรียกให้หยุด“เด็กน้อย ในเมื่อนายจำได้แล้ว ทำไมนายถึงสงสัยในวิจารณญาณของตัวเอง”“เป็นคุณจริงๆ ลุงเหยียน คุณออกจากดินแดนเร้นลับของตระกูลเหยียน และมาปรากฏตัวที่นี่ได้ยังไง?”ฉู่เฉินถามด้วยความประหลาดใจปนความสับสน“ออกมาได้? ฉันไม่ได้ออกมา และฉันอยู่ที่นี่รอทำข้อตกลงกับนาย”“โอ้ ข้อตกลงอะไร?”เมื่อได้ยินคำว่าข้อตกลง ฉู่เฉินก็เริ่มสนใจ"ฉันกำลังวางแผนจะตั้งกลุ่มเดิมพันสำหรับการแข่งขัน และฉันจะเดิมพันว่านายจะชนะการแข่งขัน แต่มีเงื่อนไขคือ นายต้องออมมือไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อลดอัตราต่อรอง หลังจากนั้น พวกเราจะแบ่งกำไร 70-30 นายคิดว่าไง?" เหยียนหนานเทียนพูดข้อเสนอ“ลุงเหยี
เมื่อกลับมายังฐานซวนหวู่อยู่ ฉู่เฉินก็ได้ทราบเกี่ยวกับผู้ชนะจากสนามอื่นๆ จากจางเทาอย่างคร่าวๆเดิมทีมีทหารซวนอู่ก็เฝ้าสังเกตการประลองนี้อย่างลับๆ เช่นกันฉู่เฉินไม่เคยคาดคิดว่า การกระทำที่ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังที่หน้าโถงสมุนไพรจะทำให้เกิดการประลองที่ยิ่งใหญ่ระหว่างจอมยุทธแต่ฉู่เฉินก็รู้สึกเพลิดเพลินใจที่ได้เห็นสิ่งนี้ที่สนามประลองของตระกูลหวัง ฉู่เฉินยังได้รู้อีกว่า นอกเหนือจากหวังฮวาที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ ยังมีคนชื่อซ่งหลี่ซิงซึ่งเป็นสมาชิกของกองกำลังพยัคฆ์ขาวด้วย และอีกสองคนที่เหลือ ฉู่เฉินไม่ค่อยในใจเท่าไหร่ด้านฝั่งตำหนักอสูร พูดกันว่าสตรีคนหนึ่งจากตำหนักอสูรครองตำแหน่งผู้ชนะมีข่าวลือว่า คนที่ได้เห็นสตรีคนนี้ครั้งแรก ต่างก็ตะลึงกับความงามของเธอ และตั้งแต่เธอขึ้นไปบนลานประลอง เธอก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไร ไม่ว่าใครจะเข้ามาขอท้าทายเธอ เธอก็ยัไม่แพ้ใครหน้าไหน อย่างไรก็ตาม ในที่สุดผู้นำของตำหนักอสูรก็โน้มน้าว ให้เธออนุญาตให้อีกสามคนเข้าร่วมเป็นผู้ชนะด้วยถ้าไม่ใช่เพราะกฎการแข่งขันที่กำหนดให้ต้องมีผู้ชนะสี่คน เธออาจเป็นแชมเปี้ยนเพียงคนเดียวจากตำหนักอสูรก็ได้เป็นกฎการก็เป็นแบบนี้
“ไม่รู้อะไรเลยใช่ไหมนิ คนนี้ชื่อหม่าเซียงอวี่ ได้ยินมาว่าที่ลานประลองโถงสมุนไพร ได้เอาชนะคู่แข่งหลายคนในรอบคัดเลือก และคว้าตำแหน่งหนึ่งในสี่ผู้ชนะมา”มีบางคนสงสัย ไม่นานก็จะมีคนออกมาพูดข่าวลือต่างๆ ออกมา“โอ้ พี่ชายข่าวเด็ดมาก งั้นคุณคิดว่าใครเป็นผู้ป้องกันตำแหน่งของตระกูลหวัง”ทันทีที่ใครตอบคำถามได้ ก็มีคนอาศัยจังหวะนี้ถามเรื่องที่ตัวเองสงสัยออกมา ส่วนความถูกต้องของข่าว ใครสนใจล่ะ แค่เอามันส์เท่านั้น“ชื่อคนคนนั้นคือซ่งหลี่ซิง เหมือนกับคนจากโถงสมุนไพรที่ต่อสู้อย่างหนักหลายครั้งเพื่อคว้าตำแหน่งผู้ชนะมา พวกเขาล้วนเป็นปรมาจารย์ที่ไหมรู้โผล่ออกมาจากไหน” คนที่ตอบคำถาม ได้ระบุว่าแหล่งที่มาของข้อมูลนั้นค่อนข้างน่าเชื่อถือ“แล้วทางฝั่งตำหนักอสูรล่ะ?”มีคนถามขึ้นอีก“คนชื่อหลี่หยวนป้า ได้ยินมาว่าเขาได้รับตำแหน่งผู้ชนะ หลังจากต่อสู้ไปแค่รอบเดียว ดังนั้นไม่ควรมองข้ามความแข็งแกร่งของเขา”“พี่ชายนี่วงในสุดๆ แล้วใครเป็นคนป้องกันของฝั่งนิกายแห่งความว่างเปล่า?”“เอ่อ... นั่นไม่ค่อยแน่ใจเกี่ยวกับคนนั้น” ในที่สุดคนที่ตอบคำถามก็ไม่สามารถตอบได้“ชื่อว่าชิงหลิง มีข่าวลือว่าเป็นอัจฉริยะของนิกายแห
การเห็นหลิวคังถอนตัวออกจากลานประลองโดยสมัครใจนั้น เป็นสิ่งที่หม่าเซียงอวี้หวังเอาไว้“ถ้ามีใครต้องการอยากท้าดวล ก็ออกมาได้เลย ไม่ต้องอาย ถึงแม้ว่ากฎจะระบุให้พักครึ่งชั่วโมงระหว่างการแข่งขันรอบต่อไป แต่ฉันเพิ่งวอร์มร่างกายเสร็จ ดังนั้นใครก็ตามที่อยากท้าดวล ก็ออกมาเลย” คำประกาศของหม่าเซียงอวี้ บวกกับผลจากการแข่งขันล่าสุดนั้น มีวัถตุประสงค์เพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจ อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีผู้ท้าดวลกล้าออกมาท้าดวลเขาเมื่อเห็นเช่นนี้ ฉู่เฉินก็เบื่อหน่ายที่จะดูการประลองต่อ และอีกลานประลองที่อยู่ใกล้กัน ก็ไม่มีคนออกมาท้า คาดว่าในวันแรก ทุกคนไม่รีบร้อนและไม่พร้อมที่จะเอาเปรียบผู้ที่มาทีหลัง ฉู่เฉินตัดสินใจให้จางเทาจับตาเอาไว้ จากนั้นจึงกลับไปที่ฐาน เพื่อพักฟื้นตามที่คาดไว้ วันแรกเป็นวันที่ค่อนข้างเงียบสงบ ลานประลองทั้งสี่แห่ง มีการท้าดวลเพียงไม่กี่ครั้ง ที่ลานโถงสมุนไพร หม่าเซียงอวี้ต่อสู้กับหลิวคังและต่อมาก็เผชิญหน้ากับผู้ท้าชิงอีกคนในรอบที่สองหม่าเซียงอวี้ยังคงตั้งรับการโจมตี ปล่อยให้คู่ต่อสู้ของเขาหมดแรง จนพวกเขายอมแพ้ไปเอง หลังจากนั้นก็ไม่มีใครท้าดวลเขาอีกเลย และเขาก็สามารถป้องกันลานป
เมื่อเห็นว่า ยังไม่สามารถเอาชนะหลี่ชิงได้ ชิงมู่ก็เริ่มรวมพลัง เตรียมใช้ท่าไม้ตาย เพื่อตั้งใจที่จะยุติการต่อสู้และโค่นหลี่ชิงในคราวเดียว ส่งผลให้โถงสมุนไรแพ้ตั้งแต่เริ่มต้น ทางที่ดีไม่ควรเก็บเอาไว้สักคนและต้องทำให้เรื่องจบลงที่นี่ แม้ว่าหลี่ชิงจะเป็นความภาคภูมิใจของคฤหาสน์หลี่หยาง แต่เธอก็ยังเป็นผู้หญิงที่มีเทคนิคที่อ่อนหวาน และเน้นไปที่การตั้งรับ นอกจากนี้ คู่ต่อสู้ยังเป็นลูกศิษย์ระดับแนวหน้าของนิกายหนึ่ง ซึ่งนั้น ทำให้หลี่ชิงรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องแม้ว่าคู่ต่อสู้จะแค่โจมตีอย่างส่งๆ แต่ก็ยากรับการโจมตีด้วยตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางของคู่ต่อสู้ ก็รู้ทันทีว่าเขากำลังเตรียมใช้ท่าไม้ตาย และทำให้อดไม่ได้ที่จะคิดในใจ“จบแล้ว... ฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้ว นี่อาจจะลงเอยเหมือนกับหม่าเซียงอวี้ก็ได้ ไม่ก็ตายก็เลี้ยงไม่โต” “ดูเหมือนว่าคุณหนูหลี่ชิงจะไม่สามารถรักษาสนามประลองในครั้งนี้ได้ และกำลังจะแพ้ น่าสงสารครอบครัวของคุณหนูจริงๆ หวังว่าชิงมู่จะเมตตาสักนิด”ผู้ชมก็ไม่ได้ตาบอด พร้อมกับวิเคราะห์สถานการณ์ในสนาม“แต่ทำไมคนจากนิกายแห่งความว่างเปล่า จึงมาต่อสู้ในสนามประลองของโถงสมุนไพร นิกายแห่งความว่าง
“ปัง!”เสียงที่ดังสนั่นพร้อมกับแสงที่สว่างวาบออกมา ทำให้ผู้ชมเบียนหน้าหนีแสงนั่น“เฮ้อ อัจฉริยะอีกคนมาได้แค่นี้ล่ะ น่าเสียดาย แถมยังเป็นผู้หญิงด้วย”มีบางคนพูดด้วยความเสียใจ และไม่สามารถทนดูได้“คนจากนิกายแห่งความว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่ความเป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย!”“นายคงไม่รู้อะไรเลยสินะ คนจากนิกายแห่งความว่างเปล่าไม่สนใจเรื่องพรรคนี้หรอก ชิงหลิงของพวกเขาเองก็น่าเก่งกาจไม่แพ้หลี่ชิง”คนคนนี้ดูถูกคฤหาสน์หลี่หยางอย่างเห็นได้ชัดแสงสว่างจางหายไป และชิงมู่กำลังจะเยาะเย้ยคู่ต่อสู้ แต่ทันใดนั้น ก็อ้าปากกว้างราวกับว่าเห็นผี แต่กลับไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา“เธอยอมแพ้ไปแล้ว ทำไมนายถึงยังโจมตีอีก!” ฉู่เฉินพูดอย่างใจเย็น และยืนอยู่ตรงหน้าหลี่ชิงในเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินตัวยาว มือที่ยื่นออกไปค่อยๆ ดึงกลับมามืออีกข้างโอบหลังของหลี่ชิงไว้ และเสื้อผ้าที่ปลิวไสวไปกับสายลมนั้น แสดงถึงท่าทีสง่างาม“แกเป็นใคร? แกมีคุณสมบัติอะไรถึงได้ปรากฏตัวในสนามประลอง!” ชิงมู่มีสีหน้าไม่เชื่อชิงมู่รู้ดีว่าท่าไม้ตายของตัวเอง ร้ายแรงเพียงใดแต่คนตรงหน้าเขาสามารถป้องกันได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ซึ่งทำให้ชิงมู่ประหลาด
“ชิงมู่ใช่ไหม? ที่นายพูดมันก็ไม่ถูก นายหมายความว่ายังไงที่ว่าฉันช่วยโถงสมุนไพร? ฉันเป็นหนึ่งในผู้ชนะของโถงสมุนไพรไม่ได้เหรอ? และก็ฉันจะช่วยโถงสมุนไพรไม่ได้เหรอ? "ฉู่เฉินยิ้มเยาะ“แต่... แต่โถงสมุนไพรไม่ใช่หนึ่งในสามนิกายหรือสี่สำนักสักหน่อย และไม่ใช่ตระกูลที่มีเกียรติจากเมืองหลวงด้วย ดังนั้นจะสมควรได้รับตำแหน่งหนึ่งในสี่สนามประลองได้ยังไง!” ชิงมู่ยังคงไม่เชื่อ แม้ว่าจะไม่สามารถกล่าวหาฉู่เฉินว่า พยายามยกระดับสถานะของโถงสมุนไพรอย่างไม่ยุติธรรมก็ตาม“เอาล่ะ ไม่ใช่ว่าอยากท้าดวลก็ผู้ป้องกันตำแหน่งคนที่สามของโถงสมุนไพรหรอกเหรอ? ก็ฉันเองนี่ไง เข้ามาเลย ถ้านายไม่ลงมือ ฉันจะลงมือล่ะนะ" ฉู่เฉินไม่สนใจว่าชิงมู่จะเชื่อหรือไม่ และเร่งเร้าให้เขาลงมือทำ“ช้าก่อน ฉันไม่ขอท้าดวลแล้ว ฉันต้องการพักผ่อน” ชิงมู่พูดขัดทันทีที่เห็นฉู่เฉินกำลังจะลงมือ เห็นได้ชัดว่าฉากที่ฉู่เฉินสกัดท่าไม้ตายของเขาด้วยมือข้างเดียวเมื่อกี้นั้น ทำให้ชิงมู่รู้สึกต้องยอมถอยไปตั้งหลักก่อนต้องทำใจยอมรับความพ่ายแพ้ต่อสายตาประชาชี“มันไม่ใช่เรื่องที่นายจะตัดสินใจได้ อยากจะท้าก็ท้า ไม่อยากท้าก็ไม่ท้าแล้ว เห็นฉันฉู่เฉินคนนี้เป็นต