คนผู้นี้ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วเดินไปหาฉู่เฉิน จากนั้นก็พูดต่อ“ฉู่เฉิน สั่งให้คนจากซวนหวู่ของแกกลับไปซะ มาทางไหนก็กลับไปทางเดิม เมืองหลวงไม่อนุญาตให้แกใช้อิทธิพลของซวนหวู่!”“แล้วนายเป็นใคร?”ฉู่เฉินถามอีกครั้ง“จู่ซิงซู่ ผู้ส่งสารของหงส์เพลิง!”ชายหนุ่มคือจู่ซิงซู่ หนึ่งในสองผู้ส่งสารผู้ยิ่งใหญ่ของหงส์เพลิงเมื่อได้ยินคำพูดเหล่า ฉู่เฉินตกใจมากนี้ คนที่ขวางทางเขาคือคนของหงส์เพลิงนี่เอง นี่เป็นเรื่องที่ฉู่เฉินไม่เคยคาดคิดมาก่อน หงส์เพลิงไม่ได้ยินข่าวใดๆ เลยตั้งแต่เขาเข้ามาในเมืองหลวง และตอนนี้กลับปรากฏตัวขึ้นหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉู่เฉินก็คิดถึงความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือ อาจจะเป็นเพราะพูดเรื่องในปีนั้นออกมา“ทหารของซวนหวู่อมาที่นี่ตามคำสั่งของผู้อาวุโสเฉิน นายกล้าขัดขวางพวกเราเหรอ? อย่ามาบอกฉันว่าหงส์เพลิงก็เหมือนกับเสือขาว ที่กลายเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลหวังงั้นเหรอ?”“ตระกูลหวังเหรอ? ไอ้พวกโง่สมองทึบนั่นเหรอ? พวกมันจะควบคุมพวกเราได้ยังไง ฉู่เฉิน นายไม่เข้าใจสถานการณ์ในเมืองหลวงสักนิดเลย ฉันจะบอกให้นายให้นะ ชิงหลงและซวนหวู่อยู่ภายใต้คำสั่งของผู้อาวุโสเฉินเพียงเพราะ
“ฉู่เฉิน นายจะเลือกทำสงครามกับหงส์เพลิง เพียงเพราะตาแก่เฉิน ธรรมดาๆ คนหนึ่ง?”ใบหน้าของจูซิงซิ่วแสดงท่าทีโกรธขึ้นมา ตระหนักได้ดีว่าฉู่เฉินไม่ได้ล้อเล่นเมื่อได้ยินคำพูดของจู่ซิงซู่ ฉู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างโกรธเคือง“ฮ่าๆ แกคิดว่าผู้อาวุโสเฉินเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งจริงๆ เหรอ? ขอถามหน่อยเถอะ ถ้าเขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง แล้วนั่นหมายถึงอะไร? ผู้อาวุโสเฉินทำอะไรเพื่อต้าเซี่ยมากมายกว่าที่แกจะจินตนาการได้ เขาปกป้องประเทศแห่งนี้อย่างลับๆ มาหลายปี ถ้าไม่มีการปกป้องของเขา แกจะเติบโตขึ้นมาอย่างสงบสุข เดินบนเส้นทางแห่งวรยุทธ หรือแม้แต่ไปเลียขาหงส์เพลิงได้ยังไง”คำพูดของฉู่เฉิน ทำให้จู่ซิงซู่รู้สึกละอายใจอย่างมากหลังจากนั้นครู่หนึ่ง จู่ซิงซู่ก็ได้สติขึ้นมาตัวเองเป็นผู้ส่งสารของหงส์เพลิง จะปล่อยให้ฉู่เฉินหักหน้าแบบนี้ได้ยังไง“ถ้าไม่มีตาแก่เฉินก็คงยังมีผู้อาวุโสหลี่อยู่ อย่าคิดว่าตาแก่เฉินพิซงพิเศษอะไรขนาดนั้นไปหน่อยเลย หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว ฉู่เฉิน ถ้าแกยังดื้อรั้นขัดคำสั่งของหงส์เพลิงและยอมให้ซวนหวู่เข้าไปในเมืองหลวงอีก พวกเราก็จะมีแต่ต้องต่อสู้กันเท่านั้น”จู่ซิงซู่มองไปท
ไม่คาดคิด จู่ซิงซู่ตบคนที่พูดด้วยหลังมือ“เงียบปากซะ! ฆ่าพวกมันให้หมด! ถ้าไม่มีใครพูดอะไร แล้วจะมีใครรู้ นอกจากนี้ นี่คือคำสั่งของหงส์เพลิง! พวกแกจะขัดคำสั่งงั้นเหรอ? จัดการมันซะ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ฉันจะรับผิดชอบเอง!”ทันทีที่พูดจบ คนของหงส์เพลิงก็ไม่ลังเลอีกต่อไป และคนมากกว่าสี่สิบคนก็โจมตีกลุ่มคนจากซวนหวู่อย่างพร้อมเพรียงแต่การทำลายล้างอยู่แค่ฝ่ายเดียว อย่างที่คาดหวังไม่ได้เกิดขึ้นการโจมตีพร้อมกันจากคนสี่สิบคน กลับถูกต้านทานอย่างง่ายดาย โดยคนยี่สิบคนจากซวนหวู่ ไม่เพียงแค่นั้น ซวนหวู่ยังโจมตีสวนกลับอีกด้วยเว่ยอิงลั่วและเยว่ฟู่หลงเป็นผู้นำ ดาบแสงขนาดใหญ่สองเล่มก็ก่อตัวขึ้นและฟันตรงเข้าไปท่ามกลางกลุ่มคนจากหงส์เพลิงนี่มัน!จู่ซิงซู่ที่ยืนอยู่แถวหน้ารู้สึกถึงความน่ากลัวของดาบแสงทั้งสองเล่มโดยสัญชาตญาณจะเป็นไปได้ยังไง!จู่ซิงซู่จึงรู้ดีว่า หากดาบแสงทั้งสองเล่มนี้ ได้โจมตีโดนเป้าหมาย ก็จะไม่มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว รวมถึงตัวเขาเองด้วยจู่ซิงซู่ไม่เข้าใจว่า ทำไมกลุ่มทหารซวนหวู่ธรรมดาๆ ถึงสามารถเปิดฉากโจมตีอย่างรุนแรงเช่นนี้ได้ เมื่อพวกเขารวมพลังกัน แต่ไม่มีเวลาให้เขาได้คิดวิเคร
ขณะที่จูต้าเผิงเห็นทหารซวนหวู่ปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็พูดขึ้นมาอย่างขี้ขลาดเมื่อเห็นว่ามีจอมยุทธอยู่ท่ามกลางฝูงชน จู่ ๆ ก็เกิดความกลัวขึ้น และฉู่เฉินเองก็หมดคำที่จะพูดไอ้บ้านั่นไม่น่าจะโง่ แถมยังถามตัวเขาอีกว่าจะทำยังไงต่อในฐานะจอมยุทธระดับสูงสุด หากจูต้าเผิงต้องการจากไปจริง ๆ ฉู่เฉินก็คงไม่สามารถหยุดเขาได้และการคาดเดาของฉู่เฉินก็กลายเป็นจริงจูต้าเผิงเป็นคนซื่อบื้อ แม้ว่าจะเป็นจอมยุทธระดับสูงสุด แต่ในหงส์เพลิง เขาเป็นเพียงสมาชิกธรรมดาๆ นั่นเป็นเพราะจูต้าเผิงรู้เพียงวิธีการฝึกฝนเท่านั้น และไม่รู้เรื่องอะไรมากไปกว่านั้น“ช่างเถอะ นายไปได้แล้ว”ฉู่เฉินบอกจูต้าเผิงให้จากไป ในที่สุดสถานการณ์น่าขำนี้ก็จบลงจะให้พูดตามตรง ในตอนแรกที่เห็นซวนหวู่รวมพลังกันโจมตี แม้แต่ฉู่เฉินเองก็ตกใจเช่นกันดาบแสงสองเล่มจากก่อนหน้านี้ ฉู่เฉินสามารถรับรู้ได้ ถึงมีความแข็งแกร่งเกินกว่าที่จอมยุทธควรมีแม้แต่ตัวฉู่เฉินเอง ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมปรมาจารย์ยุคแรก ๆ ถึงมารวมตัวกันและใช้ท่าไม้ตายอันเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ได้ดังนั้นทุกอย่างล้วนต้องยกความดีความชอบให้กับวิชาซวนหยางเจว่แต่ฉู่เฉินก็ไม่ได้พูด
"นี่คือผลของการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อประโยชน์ของนาย มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้นายทำอะไรได้สะดวกยิ่งขึ้น""ฉู่เฉิน ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ เพราะการปฏิเสธนั้นไร้ประโยชน์ นายต้องเข้าใจว่า ยิ่งมีอำนาจมากเท่าไหร่ ความรับผิดชอบก็ยิ่งมากเท่านั้น นอกจากนายแล้ว ฉันนึกไม่ออกจริง ๆ ว่ามีใครเหมาะสมที่จะรับผิดชอบเรื่องนี้อีก"ผู้อาวุโสเฉินมองฉู่เฉินด้วยสายตาคาดหวังอย่างยิ่ง"ฉันจะทำอย่างดีที่สุด!"เมื่อเห็นความจริงใจของผู้อาวุโสเฉิน ฉู่เฉินก็ตอบตกลงแม้ว่าฉู่เฉินในใจจะเข้าใจว่า การกระทำของผู้อาวุโสเฉิน ส่วนใหญ่เกิดจากการมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซวนหวู่อยู่เบื้องหลังเขาต้าเซี่ยได้ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเขา หรือพูดอีกอย่างคือ กับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซวนหวู่เมื่อเห็นฉู่เฉินตกลงแล้ว ผู้อาวุโสเฉินก็ไม่รีรอ จากนั้นจึงให้คำแนะนำเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ก่อนออกจากฐานไปหลังจากที่ฉู่เฉินไล่คนอื่น ๆ ออกไปหมดแล้ว ก็เหลือเพียงสี่ราชาสวรรค์และลูกศิษย์สองคน“พวกนายทุกคนคงได้ยิน คำพูดของผู้อาวุโสเฉินแล้ว อย่าทำให้ฉันผิดหวัง และที่สำคัญกว่านั้น อย่าทำให้ต้าเซี่ยเสียชื่อ”ฉู่เฉินเตือนสั้น ๆ โดยสั่งให้พวกเขาปฎิบั
“แค่เห็นรอยบากลึกในพื้นดิน ฉันก็รู้ว่านี่ไม่ใช่พลังที่จอมยุทธสามารถทำได้”เมื่อเห็นท่าทางวิตกกังวลของฉู่เฉิน หลี่ชางก็พูดต่อ“ไม่ต้องกังวลไป ฉันได้ลบร่องรอยนั่นไปแล้ว ตอนนี้นอกจากฉันก็ไม่มีใคร แต่สิ่งนี้สามารถปกปิดไว้ได้เพียงชั่วคราว ไม่ช้าก็เร็วราชาวรยุทธจะรู้ว่าพวกเขาสามารถย่างก้าวบนโลกได้แล้ว ฉู่เฉิน แม้ว่าความแข็งแกร่งปัจจุบันของนายจะเทียบเท่ากับระดับสูงสุดของจอมยุทธ แต่นายก็ยังเป็นแมงเม่าอยู่ดีต่อหน้าราชาวรยุทธ ดังนั้นจงฝึกฝนต่อไป อย่ายอมแพ้ สวรรค์และโลกกำลังจะเปลี่ยนแปลงแล้ว”หลังจากยืนยันว่าฉู่เฉินไม่ได้โกหก หลี่ชางก็เตือนเขาก่อนจะจากไปฉู่เฉินตระหนักดีว่าเมื่อเทียบกับตัวตนเช่นนั้นแล้ว เขายังอ่อนแอมากและด้วยแสงวาบจากร่างกาย เขาปรากฏตัวในเมืองลับแลมังกร เพื่อเริ่มบำเพ็ญเพียรเมื่อเข้าสู่เมืองลับแลมังกร ฉู่เฉินสังเกตเห็นว่าในบางจุด มีฟองอากาศคล้ายพื้นที่ใหม่ได้เปิดออกอีกหนึ่งที่อาจจะถูกปลดผนึก ตอนที่เขาก้าวผ่านจิตไปขั้นเจ็ดของจอมยุทธ แต่ฉู่เฉินไม่ได้สนใจในตอนนั้นเมื่อเห็นเช่นนี้ ฉู่เฉินก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้อย่างแน่นอน เพียงด้วยความคิด เขาปรากฏตัวขึ้นในมิติที่ถูกปลดผนึกใ
"พูดอะไรไป?"ฉู่เฉินจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า ตัวเองพูดอะไรไป“นายไม่ได้บอกเหรอว่า นายต้องการท้าทายคนทุกคนในระดับเดียวกัน? ตอนนี้ทั้งข่าวได้แพร่กระจายไปในโลกยุทธภพทั้งหมดแล้ว โดยบอกว่า ฉู่เฉินนั้นหยิ่งผยองและต้องการท้าทายคนรุ่นใหม่ของโลกยุทธภพ เพื่อแข่งขันชิงตำแหน่งผู้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่ ดังนั้น ตอนนี้ ใครหน้าไหนก็ตามในโลกยุทธภพที่สามารถถูกเรียกขานว่า อัจฉริยะ ต่างก็เดินทางมาที่เหมืองหลวง เพื่อท้าดวลนายแล้ว”“อะไรนะ!”ฉู่เฉินตกใจเมื่อได้ยิน“ฉันบอกไปเมื่อไหร่ว่า ต้องการท้าทายคนรุ่นใหม่ทุกคน”“นายลืมไปแล้วหรือว่า นายพูดอะไรเมื่อเผชิญหน้ากับคนจากตำหนักอสูรก่อนหน้านี้?” หลี่ชางพูดเตือนสติในที่สุดฉู่เฉินก็จำได้ว่า เขาเคยพูดทำนองเดียวกันนี้เมื่อสองวันก่อน“นั่นเป็นเพียงการตอบโต้ต่อคนจากตำหนักอสูรเท่านั้นนะ!”ฉู่เฉินปกป้องตัวเอง“มามัวคุยกับฉันก็ไม่มีประโยชน์ ไปคุยกับคนที่อยู่หน้าประตูเถอะ แต่ไอ้หนู ถ้านายคิดว่าตัวเองความแข็งแกร่ง การยืนยันคำพูดนั้น ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์อะไร เพราะมีข่าวลือในโลกยุทธภพว่ากันว่า คนที่แข็งแกร่งที่สุดในทุกยุคจะสามารถครอบครองร่องรอยแห่งโชคชะตา”หลี่
“พี่ชาย นี่มันฉลาดล้ำเลิศจริง ๆ!”ในขณะที่พวกเขากำลังถกเถียงกัน สถานการณ์บนสนามรบก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันร่างทั้งสองแยกออกจากกันอีกครั้งขณะนี้ จางเทารู้สึกถึงคลื่นความเจ็บปวดจากหมัด ที่กำลังกระจายสู่ร่างกายของเขา และในความเป็นจริง เขาอดไม่ได้ที่จะเชื่อว่า ฉู่เฉินเองก็ไม่ได้ด้อยกว่าต่อหน้าหมัดอันภาคภูมิใจของเขาขณะที่จางเทากำลังจะพูดบางอย่างฉู่เฉินก็พุ่งไปข้างหน้าหมัดต่อเนื่องสวรรค์ที่ถูกฉู่เฉินสะสมไว้ห้าสิบหมัด ระเบิดพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมาซึงขีดจำกัดคือ เก้าสิบเก้าหมัดแน่นอนว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉู่เฉินสามารถปลดปล่อยได้ในตอนนี้ เพราะต้องการความแข็งแกร่งของราชาวรยุทธเป็นฐานพละกำลังไม่อย่างนั้น หากฉู่เฉินใช้วิชานี้ในระดับสูงสุด ก็กลัวแต่ร่างกายของเขาจะรับไม่ไหวก่อนและพังทลายลงและหมัดมากกว่าห้าสิบหมัดในปัจจุบัน ก็ได้เริ่มสร้างแรงกดดันกับฉู่เฉินเช่นกันหมัดของเขาเริ่มปวดขึ้นแล้วแต่ยิ่งรุนแรงขึ้นมากเท่าไร ฉู่เฉินก็ยิ่งอยากทดสอบถึงขีดจำกัดของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ว่าสามารถปล่อยหมัดไปได้กี่หมัด ด้วยพละกำลังที่มีอยู่ตอนนี้ในสถานการณ์ตอนนี้ กำลังเข้าข้างฉู่เฉินอย่างมาก
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่