บรรดาลูกศิษย์ต่างมองไปที่หญิงสาวด้านหน้า พร้อมกับน้ำเสียงอิจฉาที่สามารถได้ยินจากระยะไกลสำนักกระบี่ซวนเทียนมีลูกศิษย์หญิงเพียงไม่กี่คน และในกลุ่มคนสิบคนอาจจะไม่ผู้หญิงเลยสักคน แต่ ในสถานการณ์เช่นนี้เอง ก็มีนักดาบหญิงอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้นเรื่องนี้ทำให้ลูกศิษย์ชายหลายคนดูอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปหญิงสาวคนที่ตกเป็นเป้าหมายของสายตาของพวกเขา ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาอย่างชัดเจนเธอลุกขึ้นและมาปรากฏตัวต่อหน้าชายทั้งสองจากการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว บังคับให้พวกเขาหยุดการต่อสู้ด้วยดาบเล่มเดียว“ศิษย์น้อง เธอทำอะไร?”ลูกศิษย์ชายมีสีหน้าโกรธเคืองหญิงสาวคนนั้นไม่ได้อธิบาย แต่กลับตอบคำถามแทน“ศิษย์พี่ สิ่งที่คุณเพิ่งพูดไปเป็นความจริงเหรอ?”“แน่นอนว่าเป็นความจริง เธอก็ต้องการท้าทายฉู่เฉินเหมือนกันเหรอ? หยุดฝันกลางวันเถอะ เจ้านิกายได้บอกไปแล้วว่ามีเพียงศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าและออกจากนิกายได้อย่างอิสระ ส่วนคนอื่นหากไม่มีธุระอะไร แต่อยากจะออกไปได้ ก็มีเพียงหนทางเดียว”“ทางไหน?”“เอาชนะศิษย์พี่ใหญ่!”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ท่าทีเย็นชาของหญิงสาวก็ไม่เปลี่ยนไป ในพริบตาเดียว เธอปร
ในขณะนั้น แรงกดดันที่เหนือธรรมชาติได้กดทับลงมาที่จัตุรัส ทำให้เหล่าบรรดาลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ ที่ต่างกำลังเข้ามาใกล้ ก็ต้องล่าถอยออกไปอย่างควบคุมไม่ได้แม้ว่าเย่ชิงชานจะไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายใคร แต่แรงกดดันนี้ ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะต้านทานได้ภายใต้แรงกดดัน บรรรดาลูกศิษย์ทำได้เพียงต้องถอยหลังกลับไป“นี่….มันเป็นไปได้ยังไง เธอเพิ่งมาที่สำนักได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ระดับความก้าวหน้าของเธอจะรวดเร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน?”“ไม่ผิด นี่ก็เพิ่งผ่านไปไม่นานเอง และระดับวรยุทธก็แซงหน้าพวกเราไปแล้ว จะเป็นไปได้ยังไงกัน”เหล่าศิษย์ของสำนักกระบี่ร้องอุทาน ออกมาด้วยความประหลาดใจพร้อมกับก้าวเท้าถอยหลัง“เธอเป็นลูกศิษย์สายตรงของเจ้าสำนัก ส่วนนายเป็นเพียงลูกศิษย์ธรรมดา ดังนั้นไม่ควรเอาตัวเองไปเทียบกับศิษย์น้องเย่หรอก”“ต้องเป็นว่าเจ้าสำนักที่ให้ของวิเศษแก่เธอแน่นอน ไม่เช่นนั้นเรื่องมันจะไม่เป็นเช่นนี้หรอก”เมื่อเห็นว่าทิศทางของความคิดเห็นของสาธารณชนเริ่มหันเห แถมบางคนพูดจาว่าร้ายกับเจ้าสำนักอีกด้วยในฐานะศิษย์พี่ใหญ่อย่าง เจี้ยนอี้จำเป็นต้องลุกขึ้นและพูด“อย่าพูดจาเหลวไหล ศิษย์น้องเย่มีกายากร
“หมายความว่าอะไรสามารถวัดรอยเท้ากับศิษย์พี่ใหญ่ จากที่ฉันเห็น พวกเขาอยู่ในระดับเดียวกัน”“ใช่แล้ว ดูเหมือนว่าพวกเราจะเรียกเธอว่า ศิษย์น้องเล็กไม่ได้อีกต่อไปแล้ว พวกเราควรเริ่มเรียกเธอว่า ศิษย์พี่หญิงดีกว่า”จากบทสนทนาไม่กี่ประโยค ลำแสงดาบทั้งสองปะทะกันไป ไม่น้อยกว่าร้อยครั้งเสียงดาบกระทบกันดังก้องไปทั่วสำนักกระบี่ เมื่อเวลาผ่านไป ลูกศิษย์ก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และมารวมตัวกันเพื่อรับชมการดวล"ผู้อาวุโสคนไหนกำลังประลองกับศิษย์พี่ใหญ่"ลูกศิษย์ที่เพิ่งมาถึงบางคนไม่ทราบถึงสถานการณ์ จึงคิดว่าผู้อาวุโสกำลังประลองกับเจี้ยนอี้ เมื่อพวกเขาพบว่าเป็นศิษย์น้องคนเล็กที่เพิ่งเข้าร่วมสำนักไม่นาน ก็อ้างปากค้างไปตามๆ กันจากหนึ่งไปเป็นสิบ จากสิบไปเป็นร้อย เกือบทั้งสำนักกระบี่รู้ว่า เย่ชิงชาน คนที่เพิ่งเข้ามาในสำนัก มีพละกำลังเเท่ากับศิษย์พี่ใหญ่ เรื่องนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงในความว่างเปล่าที่เหล่าศิษย์สาวกมองไม่เห็นชายชราผมขาวสองสามคนก็เฝ้าดูการต่อสู้ของคนทั้งสอง“หวู่เฉิน เจ้ามีลูกศิษย์ชั้นยอดอีกคนหนึ่งแล้ว เธอได้อยู่ที่นี่เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่เธอก็มีพลังมากขนาดนี้แล้ว อีกไม่นานเธอจะตาม
เย่ชิงชานซึ่งเข้าใจอาณาเขตกระบี่ ตั้งแต่ในระดับปรมาจารย์แล้ว ตอนนี้เมื่อมาถึงระดับจอมยุทธ และอาณาเขตกระบี่ของเธอก็แข็งแกร่งขึ้นมาก แม้ว่าเธอจะไม่ได้ปลดปล่อยพลังออกมาอย่างเต็มที่ แต่แรงกดดันก็มีพละกำลังมหาศาลไม่เพียงแต่มันครอบคลุมทั้งลานจัตุรัสเท่านั้น แต่ยังสามารถดูดพื้นที่เข้ามา แล้วเปลี่ยนแปลงพื้นที่ในพริบตา ลานจัตุรัสทั้งหมดก็กลายเป็นโลกแห่งกระบี่เจี้ยนอี้ยังไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ และสันนิษฐานว่าเย่ชิงฉานเพียงแค่ปลดปล่อยอาณาเขตกระบี่ทั่วไปของจอมยุทธออกมา“ศิษย์น้อง นี่คือท่าไม้ตายของเธองั้นรึ? ก็แค่อาณาเขตของจอมยุทธ จอมยุทธทุกคนสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ เพียงอาณาเขตของเธอแค่มีขนาดใหญ่กว่าเท่านั้น ฉันจะแสดงให้เห็นเองว่า ขนาดไม่ได้บ่งบอกว่า จะแข็งแกร่งเสมอไป!”ทันทีที่เจี้ยนอี้พูด ก็ร่ายอาณาเขตกระบี่ของตัวเองออกมาด้วยในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักกระบี่ ตัวเองก็เข้าใจอาณาเขตกระบี่เช่นกันทันทีที่เจี้ยนอี้คิด ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างน่าอึดอัด และในเวลาเดียวกัน คลื่นความกลัวมากมายก็ผุดขึ้นมาในจิตใจเป็นไปได้ยังไงกัน? อาณาเขตกระบี่ของฉันไม่ตอบสนองโดยปกติแล้ว อาณาเขตจะปรากฏ
“ก็จะดูว่านายจะทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องได้อย่างไร”“ศิษย์ของฉัน ชิงชานตอนที่อยู่ในระดับปรมาจารย์ก็สามารถเข้าใจอาณาเขตกระบี่ของจอมยุทธได้แล้ว และตอนนี้เธออยู่ในระดับจอมยุทธแล้ว ซึ่งคิดว่านั่นหมายถึงอะไร?”เจี้ยนหวู่เฉินหัวเราะเบาๆ “นายกำลังบอกว่า….”ผู้อาวุโสหลายคนตกใจเมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ จากนั้นปากก็เปิดกว้าง“โอเค ฉันไม่อยากเปลืองน้ำลายกับพวกนายแล้ว ฉันจะตามลูกศิษย์ เพื่อดูว่าเธอรีบร้อนที่จะออกจากสำนัก เพื่อไปทำอะไร”“ไม่ได้ เจี้ยนหวู่เฉิน นายเป็นเจ้าสำนักกระบี่ นายจะหายตัวไปจากสำนักได้ยังไง และนอกจากนี้ การสร้างร่างจุติซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันสิ้นเปลืองทรัพยากรของสำนัก และเป็นการฟุ่มเฟือยเกินไป” ผู้อาวุโสคนหนึ่งคัดค้าน“หากนายมีลูกศิษย์เช่นนี้ นายจะไว้ใจให้เธอออกไปคนเดียว? ทรัพยากรที่ใช้สร้างสร้างร่างจุติ เมื่อเทียบกับลูกศิษย์ของฉันแล้ว พวกนายคงรู้ว่าอะไรสำคัญกว่ากันใช่ไหม”ผู้อาวุโสเงียบไปเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้นออกมา และไม่มีใครโต้แย้งเหตุผลของเขาแม้ว่าตัวตนที่เหนือกว่าจอมยุทธ จะไม่สามารถย่างก้าวบนพื้นโลกได้ แต่นักสู้ที่ทรงพลังก็มีวิธีแก้ปัญหาเช่นนั้น ซึ่งก็คือการรวมร่างจุ
สิ่งเหล่านี้ได้ ปรากฏขึ้นหลังจากที่พลังจิตวิญญาณของสวรรค์และโลกสลายไป แม้แต่ในฐานะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซวนหวู่ จวินอู๋ซี ซึ่งติดอยู่ในเมืองลับแลมังกร และเหยาหลิงเฉินก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำมีเพียงตัวตนที่ทรงพลังในยุคปัจจุบันเท่านั้นที่ทราบหากหลี่ชางไม่ได้อธิบายเรื่องนี้ให้ฉู่เฉินฟัง และฉู่เฉินเองก็ไม่รู้ความจริงเรื่องนี้แม้แต่น้อยฉู่เฉินได้ไปเยี่ยมนิกายแพทย์ซวนเทียนและได้พบกับเจ้าสำนักกระบี่ ในตอนนั้น ฉู่เฉินคิดว่าแปลกมากแม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้นำของนิกายชั้นนำ แต่ความแข็งแกร่งที่พวกเขาแสดงออกมานั้นแทบจะพอๆกับตัวเขาเอง และตอนนี้ ฉู่เฉินก็ได้รู้ความจริงข้อนั้นแล้วเดาว่าในเวลานั้น สิ่งที่ตัวเขาเห็นล้วนเป็นร่างจุติ และร่างกายจริงๆ ของพวกเขาไม่ได้เดินอยู่ในโลกนี้“ฉู่ซวนหวู่ มีใครบางคนอยู่ข้างนอกประตู ต้องการท้าดวลคุณ”ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสี่ยวเหลียนก็ตะโกนขึ้นมา จึงทำให้ฉู่เฉินได้สติกลับมาฉู่เฉินมีท่าทางงุนงง“ใครกัน? ทำไมถึงมาท้าดวลฉันล่ะ?”ฉู่เฉินไม่รู้เลยว่า คำพูดของเขาได้แพร่กระจายไปทั่วโลกยุทธภพแล้ว ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาฟ้ามืดแล้ว และเป็นเวลาที่คนทั่วไปควรจะรับประ
ฉู่เฉินเอนหลัง และหลบการแทงที่คาดไม่ถึงในขณะที่เอนหลังลง เท้าซ้ายก็รับแรงมหาศาล และเตะผู้หญิงคนนั้นไปที่เอวผู้หญิงคนนั้นปล่อยดาบที่ขดอยู่ และร่างของเธอกระพริบไป เพื่อหลบการเตะด้วยเท้าซ้ายของฉู่เฉินในขณะที่ฉู่เฉินคิดว่า เธอจะทิ้งดาบที่พันอยู่รอบดาบดาราเจ็ดแสงดาบนั้นก็หายไปในพริบตา และปรากฏขึ้นอีกครั้งในมือของหลี่ชิงเมื่อดาบปรากฏขึ้น ก็ถูกหลี่ชิงกำไว้ในมือทันทีน่าแปลกที่เป็นของวิเศษที่สามารถหักเหความจริงได้ฉู่เฉินหรี่ตาลงเล็กน้อยตระหนักว่าดาบนี้มีความพิเศษ ไม่แพ้ดาบดาราเจ็ดแสงของเขา“สมแล้วกับชื่อเสียงของนาย ก็พอมีฝีมืออยู่บ้าง”ผู้หญิงคนนั้นพูดอย่างใจเย็น และสังเกตว่าฉู่เฉินจัดการกับการโจมตีของเธอได้อย่างสบายๆ“แต่จากนี้ไป นายควรระวังตัวไว้จะดีกว่า!”จู่ๆ เธอเก็บดาบยาวเข้าฝัก และตะโกนออกมา“หลี่หยาง!”ทันใดนั้น ร่างกายของหญิงสาวก็เปล่งประกายแสงออกมา แม้ว่าจะเป็นเวลากลางคืนแล้ว แต่ร่างเปล่งแสงของเธอส่องสว่างทุกสิ่งรอบตัวผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นลูกบอลแสงที่เปล่งประกาย เหมือนกับดวงอาทิตย์ดวงเล็ก ๆ ที่ปรากฏขึ้นที่นี่อุณหภูมิโดยรอบสูงขึ้นทันที และข้าวของที่สามารถติดไฟไ
ไปแบบนี้เลยเหรอ?ฉู่เฉินดูตกใจ แต่คนจากนิกายหลี่หยางคนนี้เป็นคนตรงไปตรงมาในตอนนี้ ฉู่เฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชอบนิกายหลี่หยางขึ้นมานิดหน่อยขณะที่เขากำลังจะเดินกลับไปที่โถงสมุนไพร โทรศัพท์ก็ดังขึ้นภายใต้อุณหภูมิที่สูงมากเมื่อสักครู่ ฉู่เฉินไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกอะไรกับตัวเอง แถมเสื้อผ้ายังคงสภาพดีและไม่เสียหายฉู่เฉินหยิบโทรศัพท์ออกมาและมองดูเป็นเยว่ฟู่หลงที่โทรมา เขาจึงกดปุ่มรับสายและทักทายอย่างไม่ใส่ใจ“มีอะไร?”"หัวหน้าผู้ฝึกสอน พวกเราถูกหยุดเอาไว้"“อีกฝ่ายเป็นใคร กล้าดียังไงมาหยุดคนของฉัน นายไม่ได้เปิดเผยตัวตนเหรอ?”ฉู่เฉินขมวดคิ้วด้วยความสับสน จากคำสั่งส่วนตัวของผู้อาวุโสเฉิน ซึ่งผลบังคับใช้ทันที แล้วใครหน้าไหนในเมืองหลวงถึงกล้าที่จะหยุดกองกำลังซวนหวู่ได้“หัวหน้าผู้ฝึกสอน เป็นเพราะพวกเราบอกว่าเป็นสมาชิกของซวนหวู่ พวกเขาจึงไม่อนุญาตให้พวกเราเข้าไปในเมืองหลวง หัวหน้าผู้ฝึกสอน ทำไมคุณไม่มาที่นี่เองล่ะ”ฉู่เฉินสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหมดหนทางในน้ำเสียงของเยว่ฟู่หลงเมื่อเห็นเช่นนี้ ฉู่เฉินจึงสอบถามเกี่ยวกับตำแหน่งโดยคราวๆ และทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า บินไปยังสถานที่นั้นไม่นา
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่