หลี่ซางต้องการไล่คนทั้งสองออกไปจริงๆ“พวกเขาเป็นพี่สาวของฉัน ผู้อาวุโส ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดออกมาเถอะ”ฉู่เฉินพูดอย่างชัดเจนว่า พี่สาวทั้งสองของเขาไม่ใช่คนนอกเมื่อได้ยินคำพูดของฉู่เฉินหลี่ซางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดในที่สุด“ฉันไม่คาดคิดว่าคนที่มีสายเลือดมังกรที่แท้จริงจะเป็นนาย ดูเหมือนว่านายจะสืบเชื้อสายมาจากตระกูลฉู่”“ผู้อาวุโสรู้จักตระกูลฉู่ของผมเหรอ และผมเป็นใคร?”ฉู่เฉินอดสงสัยไม่ได้“ฉู่เฉิน สมาชิกคนสุดท้ายของตระกูลชู่ที่รอดชีวิตในเมืองหลวง ฉันจะไม่รู้ได้ยังไง ฉันเคยอุ้มนายไว้ตั้งแต่แรกเกิด ฉันไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่าในพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปกว่ายี่สิบปี และนายก็จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว” หลี่ซางพูดด้วยน้ำเสียงที่หวนคิดถึงอดีต“คุณรู้จักพ่อของผมเหรอ?”ฉู่เฉินถามด้วยความกระตือรือร้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้“ฉันไม่ได้รู้จักแค่พ่อของนายเท่านั้น ฉันรู้จักคนในตระกูลฉู่เกือบทั้งหมดด้วย”หลี่ซางตอบอย่างใจเย็น ขณะที่เขามองไปที่ฉู่เฉิน“ได้โปรดเล่าให้ผมฟังอีกหน่อยเถอะ ผู้อาวุโส”ฉู่เฉินเร่งเร้า“พ่อของนาย ฉู่ฮ่าวเทียน และฉันได้รู้จักกันตั้งแต่เขายังเด็ก เนื่องจากนิสัยของเขาที
“กลายเป็นมังกรที่แท้จริง? ผู้อาวุโส คุณหมายความว่าตราบใดที่ผมยังคงดูดซับเลือดของมังกรที่แท้จริง ผมจะกลายเป็นมังกรในที่สุดเหรอ?”ฉู่เฉินถามด้วยความไม่เชื่อ“ถูกต้อง นี่คือความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกายามังกรขับขาน และอีกเหตุผลพื้นฐานสำหรับการล่มสลายของตระกูลฉู่ของนาย”หลี่ซางเปิดเผยความลับอันยิ่งใหญ่ฉู่เฉินยังคงไม่เข้าใจ“ผู้อาวุโส เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการล่มสลายของตระกูลฉู่เหรอ?”“เมื่อก่อน มังกรที่แท้จริงสถิตอยู่ในดินแดนเร้นลับของตระกูลฉู่และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ฉันไม่รู้ว่าได้ยินข่าวว่ามังกรที่แท้จริงได้รับบาดเจ็บมา ดังนั้นจึงมีคนบางคนที่มีเจตนาร้ายและร่วมมือกับกองกำลังจำนวนมาก เพื่อบังคับให้พ่อของนายส่งมอบมังกรที่แท้จริงมา ซึ่งพ่อของนายไม่เห็นด้วย และในท้ายที่สุด พวกเขาก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด การต่อสู้ครั้งนั้นส่งผลกระทบต่อทั้งโลก ทำให้ตอนนี้ จักรพรรดิวรยุทธก็ไม่สามารถย่างเท้าเดินในโลกได้อีก และนั่นก็เป็นเพราะการต่อสู้ในครั้งนั้น แม้ว่าพ่อของนายจะต่อสู้จนถึงที่สุด แต่ตระกูลฉู่ก็ถูกทำลาย ส่วนมังกรที่แท้จริงก็สลายไป รวมถึงพ่อของนายและดินแดนเร้นลับทั้งหมดก็หายไปด้วย”“อะไรนะ
ตอนนี้เหลือแค่วิหารวรยุทธเพียงแห่งเดียวฉู่เฉินตัดสินใจอย่างลับๆ ว่า ตราบใดที่หาที่ตั้งของวิหารวรยุทธ จะไม่ใจอ่อนเด็ดขาด“ไอ้หนู การหาวิหารวรยุทธนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ทั้งยังมีตำหนักอสูรอยู่เบื้องหลังด้วย”เมื่อเห็นว่าฉู่เฉินตัดสินใจแล้ว หลี่ซางก็รู้สึกไม่สบายใจและยังเตือนเขาอีกตำหนักอสูร!แม้ว่าฉู่เฉินจะไม่คุ้นเคยกับนิกายต่างๆ ของโลกยุทธภพ แต่ก็เคยได้ยินชื่อนี้ในบรรดา "สองนิกาย สามตระกูล และสี่ตำหนัก" ตำหนักอสูรเป็นหนึ่งในสี่ตำหนัก แต่ชื่อเสียงของที่นี่ยังเหนือกว่านิกายและตระกูลอื่นๆ ด้วยอีกหนึ่งเหตุผลหนึ่งเพราะตำหนักอสูรนี้เป็นองค์กรนักฆ่าจากระดับล่างไปจนถึงระดับสูง ทั้งหมดล้วนเป็นนักฆ่า ตราบใดที่สามารถจ่ายค่าจ้างได้ แม้แต่หัวหน้าตำหนักอสูรเอง ก็สามารถจ้างมาทำภารกิจได้ด้วยเช่นกัน“ตำหนักอสูรก็เลยลงมือในตอนนั้น?”ฉู่เฉินตั้งคำถาม“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้น อย่าด่วนสรุปนะไปไอ้หนู”หลี่ซางปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเขาเกรงว่าจะโดนลากเข้าไปยุ่งฉู่เฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนั้น“นายยังเด็ก แต่นายมุ่งมั่นกับการแก้แค้นมากเกินไป นี่คือคำเชิญเข้าร่วม
โรงแรมเยว่ลั่วเป็นโรงแรมที่ขึ้นชื่อในเรื่องการออกแบบที่หรูหราและอลังการ ซึ่งเป็นที่นิยมในชนชั้นสูงในขณะนี้ โรงแรมทั้งหมดถูกจองจนเต็ม ทำให้คนภายนอกไม่สามารถเข้าไปได้หากต้องการเข้าไป วิธีเดียวคือผ่านบัตรเชิญและแค่บัตรเชิญฉบับนั้นก็มีค่ามากแล้วณ ภายในโรงแรมมีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกัน และจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างเป็นกันเองและจะพบว่าแต่ละคนมีฐานะที่ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นทายาทจากตระกูลใหญ่หรือคนที่มีวรยุทธระดับสูงในขณะนี้ มีคนเดินเข้ามาจากประตูมีร่างหนึ่งเดินเข้ามา ทันทีที่เข้ามา ก็ถูกสายตาจับจ้อง“ซิวหลัวจื่อ ในที่สุดคุณก็มาถึง” คนที่พูดคือฉีอันปัง นายน้อยของตระกูลฉี เป็นการยากที่จะจินตนาการว่านายน้อยผู้เย่อหยิ่งของตระกูลฉีจะมีน้ำเสียงเหมือนนอบน้อมเหมือนคนรับใช้ต่อหน้าชายคนนี้“ฮ่าๆ ในฐานะผู้จัดงานรวมตัวครั้งนี้ ฉันก็ต้องมาสิ นายไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับฉันหรอก แค่กินและดื่มให้หนำใจก็พอ” ซิวหลัวจื่อพูดอย่างใจดีราวกับว่าตำแหน่งของเขาเป็นเพียงชื่อและไม่สำคัญอะไรแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น ก็ไม่มีใครกล้าที่จะไม่คิดจริงจังและไม่สนใจซิวหลัวจื่อทุกคนรู้ว่าในตำหนักอสูร ซิวหลัวจื่อคนนี้ไม่เพ
ฉู่เฉินซึ่งเดิมทีไม่ได้ให้ความสำคัญกับงานเลี้ยงนี้มากนัก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะระมัดระวังงานเลี้ยงแบบไหนกัน ที่จะทำให้นักสู้ผู้แข็งแกร่งในระดับมหากาฬมายืนเฝ้าที่หน้าประตูและตัวตนเช่นนี้ แม้แต่ในเมืองหลวงเอง ก็มักจะได้รับการปฏิบัติเหมือนแขกผู้มีเกียรติจากตระกูลที่มั่งคั่ง เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะมาเป็นยามเฝ้าประตู“พวกเรามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยง”ฉู่เฉินพูดอย่างสบายๆโดยไม่คาดคิด ชายคนนั้นไม่ได้ปล่อยพวกเขาเข้าไป แต่กลับถามคำถามแทน“โปรดแสดงบัตรเชิญคุณให้ฉันเห็นด้วย”เมื่อเห็นเช่นนี้ ฉู่เฉินก็ล้วงกระเป๋าและหยิบบัตรเชิญออกมา“ตอนนี้ พวกเราเข้าไปกันได้หรือยัง?”เขาโบกบัตรเชิญต่อหน้าชายคนนั้นชายคนนั้นก้าวหลบไปข้างๆ ทันทีและเปิดประตูห้องโถงให้พวกเขา ปล่อยให้พวกเขาเดินผ่านไปสถานที่จัดงานด้านในไม่ใหญ่นัก แต่ก็ไม่รู้สึกว่าแออัด การที่ฉู่เฉินเข้ามาพร้อมกับผู้หญิงสองคนไม่ได้ดึงดูดความสนใจมากนัก แต่เมื่อเขาเหลือบมองไปรอบๆ เขาก็สังเกตเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยสองสามคนแต่นี่ไม่ใช่เวลาสำหรับการทักทาย“พี่สาม อาจารย์ของคุณบอกไหมว่าคุณต้องไปพบใครที่นี่” ฉู่เฉินถามเฉียวหานอวี้เนื่องจาก
หานปิงพูดด้วยรอยยิ้ม คิดว่าฉู่เฉินจะมาเอาใจตนหลังจากที่รู้ว่าเขาเป็นคนในตระกูลหาน“แนะนำพวกเธอสองคนเหรอ? ไม่ต้องรีบร้อน ฉันขอถามอะไรนายหน่อย เมื่อฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะบอกนาย”ฉู่เฉินพูดอีกครั้งด้วยรอยยิ้มที่อธิบายไม่ถูกบนใบหน้าแม้ว่าหานปิงจะสับสน แต่เขาก็ไม่ได้คิดมากเกินไปและคิดไปเองว่าฉู่เฉินต้องการใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เพื่อเรียกร้องผลประโยชน์“ตระกูลหานควรซ่อนตัวอยู่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมนายถึงมาที่นี่ได้?”“ไร้สาระ ซ่อนตัวหมายความอะไร นั่นคือการเก็บตัว การเก็บตัวฝึกฝนอย่างสันโดษเข้าใจไหม?”หานปิงราวกับว่าถูกบีบคอ น้ำเสียงของเขาก็สูงขึ้นเล็กน้อยอย่างกะทันหัน จะพูดถึงมันขึ้นมาทำไม ถ้ามีใครกล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขาที่อื่น เขาคงต้องสั่งสอนบทเรียนให้อีกฝ่ายแล้วเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของหานปิง ก็ดึงดูดความสนใจของใครบางคนไปแล้ว“โอเค เก็บตัว เมื่อนายพูดว่าการเก็บตัวอย่างสันโดษ มันหมายถึงการสันโดษ แล้วตอนนี้นายไปเก็บตัวที่ไหน?”ฉู่เฉินพูดต่อตามคำพูดของหานปิง“แน่นอน ตระกูลหานของเราทั้งหมดอยู่ในที่เก็บตัวอย่างสันโดษที่….”หานปิงตอบตามสัญชาตญาณ เพราะยังไงเขาก็เป็นนักสู้ระดับมหากาฬ แม้เข
“ซิวหลัวจื่อ ช่วยฉันด้วย!”หานปิงไม่สนใจในโอกาสและหน้าตาของตัวเอง ตะโกนขอความช่วยเหลือเสียงดังซิวหลัวจื่อและหวังซิง ซึ่งแต่เดิมกำลังดูเรื่องตลกนี้อย่างลับๆ ต่างมองหน้ากันโดยเฉพาะอย่างยิ่งซิวหลัวจื่อ เมื่อได้ยินหานปิงเรียกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสถบออกมาคิดถึงว่าหานปิงไร้ความสามารถ แต่ไม่รู้ว่า จะเกินเยี่ยวยาขนาดนี้นับตั้งแต่หานเล่ยตายไป ก็ไม่มีรุ่นเยาว์คนใดในตระกูลหานที่พอมีความสามารถไม่เห็นลูกไม้อะไรจากซิวหลัวจื่อ จากนั้นร่างก็กระพริบ และปรากฏตัวขึ้นไม่ไกลจากฉู่เฉิน“พี่ฉู่เฉิน ถ้าเขาอยู่ที่นี่ เขาก็ถือเป็นแขกของฉัน ได้โปรดปล่อยเขาไปเถอะ”ซิวหลัวจื่อปรากฏตัวต่อหน้าฉู่เฉินอย่างกะทันหันโดยไม่ได้ทำอะไร แต่เพียงพูดเบาๆ เท่านั้น“แล้วนายเป็นใคร?”“คุณมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยง และคุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันเป็นใคร?”“ขอโทษที ฉันไม่รู้จริงๆ ว่านายเป็นใคร ฉันหวังว่านายจะแนะนำตัวได้”ฉู่เฉินพูดตามความจริง ไม่ว่าจะเป็นหมอเทวดาหลี่ซางหรือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ไม่มีใครเคยบอกว่าใครเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงนี้ ฉู่เฉินไม่มีความสามารถในการทำนายล่วงหน้า ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงถามคำถามเท่านั้นแ
ขณะที่หวังซิงเดินเข้าไปหา ฉู่เฉินก็เหลือบมองอย่างเฉยเมย แต่กลับรู้สึกแปลกๆ ในใจของเขาราวกับว่ามีบางอย่างบนร่างของหวังซิงกำลังดึงดูดเขาแปลกมาก ก่อนหน้านี้เคยเจอหวังซิงที่โถงสมุนไพรมาก่อน และต่อมาก็เจอกับเขาที่คฤหาสน์ของตระกูลหยานผ่านกำแพงอีก แล้วทำไมตอนนั้นถึงไม่รู้สึกแบบนี้ตอนนี้ความรู้สึกนี้ปรากฏขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูก จะพูดยังไงดี?ฉู่เฉินมีสมมติฐานขึ้นมา แต่ก็ยังต้องกลับไปตรวจสอบกับหมอเทวดาหลี่ซางฉู่เฉินระงับความรู้สึกแปลกๆ ชั่วคราว และไม่ได้ตั้งใจจะยุ่งกับหวังซิงอย่างไรก็ตาม หวังซิงกลับไม่มีเจตนาที่จะปล่อยเรื่องนี้ไป“ฉู่เฉิน ฉันต้องบอกว่าฉันชื่นชมความกล้าหาญของแก แม้จะรู้ว่าตระกูลหวังกำลังตามล่าแกอยู่ แกก็ยังกล้าที่จะกลับมาเมืองหลวง แกรู้ไหมว่านักสู้ทุกคนในเมืองหลวงกำลังตามหาแกอยู่”“ตามหาฉัน? ล้อเล่นน่ะ ฉันคือซวนหวู่แห่งต้าเซี่ย และตระกูลหวังของแกสามารถออกตามล่าฉันตามใจชอบได้งั้นเหรอ แกยังเห็นต้าเซี่ยอยู่ในสายตาของแกอยู่ไหม”ฉู่เฉินก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สงบและสบายๆ“นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกเราชาวนักสู้ แกคิดจริงๆ เหรอว่าต้าเซี่ยจะปกป้องแกได้? ล้อเล่นหรือเปล่า ถ้ามัน
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่