“พวกเจ้าคือทูตผู้มาร่วมไว้อาลัยต่างแคว้นหรือ?” แม้ทหารจะหยุดการกระทำของพวกเขา แต่สีหน้ายังเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ“ใช่!” เฉินฝานชี้ไปยังห่อผ้าบนโต๊ะ “ของในห่อผ้าพิสูจน์ตัวตนของพวกข้าได้!”เมื่อเปิดห่อผ้า สิ่งที่โผล่ให้เห็นอันดับแรกคือใบไม้ทองคำและถั่วทองคำกองโ ตามด้วยเสื้อผ้าที่แตกต่างจากชาวแคว้นต้าชิ่งอย่างสิ้นเชิง เสื้อผ้าเหล่านี้ล้วนปักด้วยด้ายทองคำ“ใบไม้ทองคำ ถั่วทองคำ เสื้อผ้าปักด้วยด้ายทองคำ? พวกเขาคือชาวเหมี่ยน?” คนในโรงเตี๊ยมที่รู้จักแคว้นเหมี่ยนพูดขึ้น“ลำพังเพียงใบไม้ทองคำ ถั่วทองคำและเสื้อผ้าปักด้ายทองคำเพียงไม่กี่ตัว ก็ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าพวกเขาคือทูตของแคว้นเหมี่ยน”พวกทหารปิดล้อมอีกครั้ง “ไปกับพวกข้า”“ฮ่าๆๆ!”เสียงหัวเราะดังขึ้น ร่างกำยำปรากฏตัวที่โต๊ะจ่ายเงินด้วยความเร็วสูง“ว้าว!”ชายชราในชุดสีเทาอ่อน หยิบนกหวีดออกมาจากห่อผ้าด้วยความหูตาไว ตามด้วยร้องตะโกนเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง “นี่คือปี่นาคาของราชวงศ์เหมี่ยนในตำนานนี่!”“เซียนเจี้ยนหวง เก็บของของข้ากลับที่เดิมเดี๋ยวนี้!”ฉินเย่ว์เจียวถลึงตาโตด้วยความโมโห“ของของเจ้า?” เซียนเจี้ยนหวงหยิบปี่ขึ้นมา ถามฉินเย
“คุณหนู คุณหนู!”บุรุษสวมชุดสีน้ำเงิน กระโดดลงมาจากชั้นบนเมื่อเห็นชายคนนั้น เถ้าแก่และพนักงานรีบเดินไปต้อนรับทันที เขาคือเจ้าของเรือนจินสี่บุรุษวิ่งมาตรงหน้าฉินเย่ว์เจียว “โรงเตี๊ยมของเรามีตาแต่หามีแววไม่ หวังว่าคุณหนูจะให้อภัย”ขณะพูด ก็ยกเท้าเตะพนักงานที่ของตนที่ยืนอยู่ข้างๆ “เร็วเข้า รีบพาคุณหนูและคุณชายไปพักที่ห้องชั้นสาม”“ขอรับๆ!” พนักงานโรงเตี๊ยมรีบหันไปพูดกับฉินเย่ว์เจียว “คุณหนู เชิญมาจ่ายเงินทางนี้ขอรับ เดี๋ยวข้าน้อย...”“โง่เขลาสิ้นดี!” บุรุษเตะพนักงานโรงเตี๊ยมอย่างแรงอีกครั้ง “คุณหนูท่านนี้เป็นถึงแขกคนสำคัญจากแคว้นเหมี่ยน พวกเราจะเก็บเงินคุณหนูได้อย่างไร?”ตอนนี้เป็นช่วงไว้อาลัยแคว้น ไม่อาจโฆษณาอย่างเปิดเผยหลังจบช่วงไว้อาลัยแคว้น ทำการป่าวประกาศทูตแคว้นเหมี่ยนไม่เข้าพักที่เรือนทูต แต่เลือกมาพักที่เรือนจินสี่ชื่อเสียงของเรือนจินสี่ย่อมเลื่องลือกว่าเดิมได้ประโยชน์เสียยิ่งกว่าเก็บค่าห้องจากฉินเย่ว์เจียวเฉินฝานเตือนฉินเย่ว์เจียวให้ทำแต่พอดีเจ้าของโรงเตี๊ยมจัดเตรียมทุกอย่างให้ด้วยตนเอง ระยะเวลาไม่ถึงสิบนาที พวกเฉินฝานก็ได้เข้าพักที่ห้องชั้นสามของเรือนจินสี่
“ฉินเย่ว์เจียวตั้งใจยิงธนูไปที่น่องของหญิงวัยกลางคนทว่าหัวลูกธนูนี้ค่อนข้างทื่อ ทำให้คนล้มลง แต่ไม่ทำให้คนบาดเจ็บสาเหตุที่ฉินเย่ว์เจียวทำเช่นนี้ เพราะอยากจะทดสอบดูว่า หญิงวัยกลางคนคนนี้มีวรยุทธ์หรือไม่ยามคับขัน ระมัดระวังหน่อยย่อมเป็นเรื่องที่ดีฉินเย่ว์เจียวใช้สายตาส่งสัญญาณให้เย่ว์หนู เย่ว์หนูเข้าใจทันที รีบไปพยุงหญิงวัยกลางคน พร้อมกับขอโทษนางเย่ว์หนูที่เดินกลับมาหาฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าหญิงวัยกลางคนนั้นเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลห้องพักเท่านั้น...ณ จวนเจ้าเมืองของซื่อต้าเผิง เมืองเซียนตูห้องนอนใหญ่กลางจวน เดิมทีห้องนี้เป็นห้องของซื่อต้าเผิงแต่ว่า ตอนนี้ซื่อต้าเผิงกำลังก้มหน้าโค้งคำนับ ยืนอยู่ข้างประตู ไม่อาจเข้าไปได้ และไม่มีสิทธิ์เข้าไปเสิ่นหมิงหยวนกลับเข้ามาด้วยความรีบร้อนเพิ่งก้าวข้ามธรณีประตู สีหน้าของเขาฉายความกังวลทันทีเขาเดินมาที่หน้าเตียง มองคนบนเตียงคนบนเตียง ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ทว่าซีดขาวคิ้วของเสิ่นหมิงหยวนขยับไปมาอย่างรวดเร็ว ตามด้วยถามชายชราที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงด้วยความเป็นห่วง “หมอหลวงสวี เมื่อไหร่ฝ่าบาทจะฟื้น?”หมอหลวงสวีส่ายหน้า
”ที่ว่าแย่มากนั้นแย่เพียงใด”“นับตั้งแต่ข่าวการเสียชีวิตไปถึงเมืองหลวง ฮูหยินเย่ว์โหรวก็กินไม่ได้เลยเพคะ”ฉินเย่ว์เหมยขมวดคิ้วเป็นปม “หงอิง สั่งพวกหมัวมัว ให้พวกนางอุ้มจิน เหยียน ไช เป่าไปที่ห้องของเย่ว์โหรว ให้พวกเด็กๆ ในกับเย่ว์โหรว ห้ามไปไหนแม้แต่วินาทีหนึ่ง”สตรีคนหนึ่งสูญเสียสามีอันเป็นที่รัก สิ่งเดียวที่ทำให้นางมีชีวิตต่อไปได้ คือลูก...ในฐานะอัครเสนาบดีเบื้องขวา เสิ่นหมิงหยวนก็พักที่จวนเจ้าเมืองเช่นเดียวกันเขาพักอยู่ในเรือนทางทิศเหนือของจวน เรือนนี้ค่อนข้างไกลจากเรือนหลักเสิ่นหมิงหยวนยังเดินไปไม่ถึงเรือนเหนือ ก็เห็นหลี่ชิ่งยืนรอเขาจากที่ไกลๆ แล้ว“ใต้เท้า!”ทันทีที่เจอเสิ่นหมิงหยวน หลี่ชิ่งรีบเดินมาหาทันทีเสิ่นหมิงหยวนยกมือขึ้นบอกหลี่ชิ่งว่ายังไม่ต้องพูด ตามเขาเข้าไปในเรือนก่อน“ใต้เท้า อาการของฝ่าบาทตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ? ฟื้นหรือยัง?”เสิ่นหมิงหยวนที่กำลังดื่มน้ำชาอยู่นั้นชะงักเล็กน้อย แววตาของเขาฉายความไม่สบอารมณ์ “แค่หุ่นเชิดตัวหนึ่งเท่านั้น เจ้าเป็นห่วงมันทำไม?”“ขอรับ ใต้เท้า!” หลี่ชิ่งรีบก้มหน้าลงทันที“ยังไม่เจอตัวอีกหรือ?” เสิ่นหมิงหยวนถามหลี่ชิ
เฉินฝานเข้าเมืองวันที่สอง ก็คือวันที่สองในการจัด ‘พิธีไว้อาลัย’ ของเขาเช่นเดียวกันฟ้ายังไม่สว่าง เฉินฝานก็ตื่นเพราะเสียงร้องไห้ครวญครางด้านนอกเสียงร้องไห้ของชาวบ้าน ยิ่งฟังก็ยิ่งร้องไห้ด้วยความเสียใจเมื่อถาม จึงได้รู้ว่าต้องเสียใจมากๆ เท่านั้นนักการในศาลาว่าการมาตรวจตราได้ทุกเมื่อ หากร้องไห้ไม่เสียใจมากพอ ภาษีปีนี้ จะต้องจ่ายเพิ่มหนึ่งเท่าตัวหนึ่งเท่าตัวทุกคนล้วนร้องไห้ครวญครางเฉินฝานและพวกฉินเย่ว์เจียวแฝงตัวในกลุ่มชาวบ้านที่กำลังร้องไห้ พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดพิธีไว้อาลัย แท่นบูชาสวรรค์ของเมืองเซียนตู“ถอยไป ถอยไป!”ขณะที่พวกเขาอยู่ห่างจากแท่นบูชาหลายร้อยเมตร ทันใดนั้นเองด้านหน้าก็มีเสียงตะโกนด้วยความรีบร้อนคาดเดาจากประสบการณ์ น่าจะเป็นคนสำคัญสักคนหนึ่งออกมาจากแท่นบูชาคนแรกที่ปรากฏในสายตาของเฉินฝาน คือขุนนางหนวดเคราขาวโพลนสี่ห้าคนคนพวกนั้น เฉินฝานรู้จักพวกเขาไม่ใช่ขุนนาง แต่เป็นหมอหลวงในวังหลวง พวกเขาดูรีบร้อนยิ่งนัก คนสุดท้ายนั่งเกี้ยวไร้หลังคาตามไป“ได้ยินว่าฮูหยินนามเย่ว์โหรวของท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายสลบไปอีกแล้ว”ด้านข้างมีเสียงคนกระซิบกระซาบ
“สวรรค์ แคว้นต้าชิ่งของเราเพิ่งสูญเสียท่านใต้เท้าอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ตอนนี้ไฟไหม้เรือนที่พักของท่านอัครเสนาบดีเบื้องขวาอีก สวรรค์กำลังลงโทษหรือ”“ก็ใช่น่ะสิ ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายสิ้นใจแล้ว ภรรยาและลูกของท่านยังอยู่ท่ามกลางเปลวไฟลุกโชนอีก”“นายท่าน!”ฉินเย่ว์เจียวทราบดีว่าเฉินฝานฝีมือไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะวิ่งเร็วเช่นนี้ นางไล่อย่างไรก็ไล่ตามไม่ทันวันนี้ลมแรงยิ่งนักเรือนเหนือและเรือนข้างเคียงภายในจวนเจ้าเมืองเซียนตู ไฟลุกโชนเปลวไฟลุกโชน ภายใต้ลมพัดกระหน่ำที่ช่วยโหมให้เปลวไฟรุนแรงมากขึ้น เสียงลมกลืนกินสรรพสิ่ง ควันโขมงปกคลุมทั่วทั้งจวน เปลวไฟที่แผดเผาทำให้คนหายใจไม่ออก เสียงเพลิงไฟ กรีดร้องและคำรามดังก้อง ราวกับเปลวไฟกำลังจะกลืนกินทุกชีวิตพื้นที่ไฟไหม้ชุลมุนวุ่นวาย ภายใต้เปลวไฟ คนมากมายกำลังร่ำไห้ กำลังวิ่ง แววตากังวลและหวาดกลัว รวมถึงเสียงร้องที่กรีดหัวใจเปลวไฟยังคงลุกโชนรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คล้ายกำลังหัวเราะเยาะความพยายามอันไร้ค่าของมนุษย์ตัวเล็กๆ“เร็ว เร็วเข้า ช่วยคนเร็วเข้า!”ฉินเย่ว์เหมยที่ร่างกายอ่อนแอ กระโดดลงจากเกี้ยว ผลักขันทีและนางกำนัลข้างกาย
ภายใต้เสียงร้องเรียกของคนมากมาย เสิ่นหมิงหยวนปรากฏตัวตรงหน้าฉินเย่ว์เหมย คุกเข่าบนพื้น“ฝ่าบาท ในที่สุดฝ่าบาทก็ฟื้นแล้ว”เสิ่นหมิงหยวนในสภาพหน้าเปื้อนไปด้วยฝุ่นควัน คล้ายเพิ่งหนีตายเห็นฉินเย่ว์เหมยมองเรือนที่พักของฉินเย่ว์โหรวด้วยสีหน้ากังวล เขารีบพูดขึ้นทันที “ฝ่าบาท โปรดวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำสุดความสามารถ แม้กระหม่อมจะเหลือเพียงเถ้ากระดูก ก็จะช่วยพวกฮูหยินตระกูลเฉินออกมาจากเพลิงไหม้”“แล้วเจ้าจะยืนนิ่งอยู่ทำไม? ยังไม่รีบไปช่วยอีก!” ฉินเย่ว์เหมยตะคอกเสียงดังกล่าวว่าทำสุดความสามารถ กล่าวว่าแม้จะเหลือเพียงเถ้ากระดูก ทั้งหมดเป็นเพียงข้ออ้างที่เสิ่นหมิงหยวนใช้สำหรับถ่วงเวลาก็เท่านั้นหลายวันมานี้ ฉินเย่ว์เหมยไม่ได้กินข้าวและไม่ได้ดื่มน้ำ เมื่อตะคอกเสียงดัง นางรู้สึกคล้ายดาวลอยอยู่ตรงหน้า“ฝ่าบาท!”หงอิงรีบพยุงฉินเย่ว์เหมยที่กำลังจะล้มลง“ฝ่าบาท” ทันใดนั้นเองเสิ่นหมิงหยวนก็ลุกขึ้นยืน “สิ่งที่ฝ่าบาทต้องทำตอนนี้คือพักผ่อน ที่เหลือให้กระหม่อมจัดการเองพ่ะย่ะค่ะ!”พูดจบ ไม่สนใจว่าฉินเย่ว์เหมยเห็นด้วยหรือไม่ เขาสั่งให้หลี่ชิ่งเอาตัวฉินเย่ว์เหมยออกไปเวลานี้ทหารรักษาพระองค์ท
ภายในคฤหาสน์ที่มีเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นฟ้า“แค่ก แค่ก แค่ก!”“แง้ แค่ก แง้!”เสียงไอของผู้ใหญ่และเสียงไอผสมร้องไห้ของเด็กดังสลับกันไปมา อีกทั้งยังมีเสียงร้องโหยหวนมากมายปะปนอยู่ในนี้ด้วยมีคนถูกคานที่หล่นลงมาจากหลังคาและประตูหน้าต่างที่โดนถูกเผา ร่วงทับใส่ไม่หยุด “จินเหยียนไชเป่า พวกเจ้าไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว แม่อยู่นี่ ๆ” ฉินเย่ว์โหรวกอดบุตรชายทั้งสี่คนไว้ในอ้อมแขนแน่น ๆ เด็กน้อยที่น่าเวทนาทั้งสี่คนเพิ่งจะอายุได้หนึ่งขวบกว่า แต่ละคนหน้าแดงก่ำเพราะไฟที่เผาไหม้ ฤดูเหมันต์ ทั่วทั้งร่างกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ เหยียนเป่ากับไชเป่าร่างกายอ่อนแอกว่าเล็กน้อย เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของฉินเย่ว์โหรว พวกเขาก็แทบจะไม่มีสติแล้ว“เหยียนเป่า ไชเป่า พวกเจ้าฟื้นสิ พวกเจ้าฟื้นขึ้นมาสิ!” ฉินเย่ว์โหรวร้องเรียกชื่อของบุตรชายสองคนด้วยความกังวลใจแต่เหยียนเป่ากับไชเป่าไม่มีการตอบสนองเลย“ช่วยด้วย หมัวมัว หมัวมัว”“แค่ก ๆๆ” ฉินเย่ว์โหรวร้องขอความช่วยเหลือแววตาตื่นตระหนก ตะโกนหาหมัวหมัวที่ดูแลข้างกายนางมาโดยตลอด เมื่อเอ่ยปากก็มีควันเข้ามาในปาก ทำให้นางสำลักจนแทบจะทรงตัวนั่งไม่ได้ไม่มีผู้ใดตอบรับฉิน
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ