“ท่านแม่ทัพ เวลาประสบสถานการณ์เช่นนี้ ปกติพวกท่านโจมตีอย่างไร?” เฉินฝานถามเหอกัง“ย่อมปล่อยให้พวกเขาเข้ามาใกล้ๆ จากนั้นใช้นักยิงธนูจู่โจม คนหลบลูกธนูได้แล้วพุ่งเข้ามาจนใกล้บันได ใช้พลโยนหินโจมตี”“ใต้เท้าเฉิน มีกลยุทธ์การรบที่ดีกว่าหรือไม่?”“ไม่มีขอรับ!” เฉินฝานส่ายหัว พลวางระเบิดหญิงที่โจวอวี่นำทัพ ล้วนอยู่ข้างหลังพวกหลีเทียน ลูกระเบิดโถสุราของทหารหญิงในเมืองมีไม่มากแล้ว ยุคสมัยอาวุธเย็น จะต่อกรกับศัตรูที่โจมตีเมืองด้วยกำลังอันแข็งแกร่ง วิธีการของเหอกังนับว่าดีมากแล้วเฉินฝานเพียงเสนอคำแนะนำเล็กๆ กับพลโยนหิน ว่าให้ถูน้ำมันและจุดไฟบนก้อนหิน ทำก้อนหินให้ลูกไฟตอนนั้นที่บุกภูเขาวิฬาร์ เฉินฝานรู้สึกได้ว่าการทำลายล้างของลูกไฟของโจรป่าภูเขาวิฬาร์สูงมากถ้าไม่ใช่เพราะได้ผลิตลูกระเบิดโถสุราออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะโจรป่าวบนภูเขาวิฬาร์เหล่านั้นดูถูกทหารหญิง เฉินฝานจะไม่สามารถบุกทะลวงรังของพวกโจรด้วยเวลาสั้นๆ เพียงเท่านั้นได้แน่ทหารเตียนตูสามหมื่นของหลีเทียนห่างจากหอด้านบนประตูเมืองไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตร“พลยิงธนูเตรียมตัว!”ครั้นธงแดงเล็กในมือเหอกังร่วงลง“ยิง!”ลูกธนูประหนึ่งห่าฝน ลอยออก
“ปกป้องนายท่าน!”ยามห่าฝนลูกธนูจู่โจม ฉินเย่ว์เจียวพาเย่ว์หนูกับทหารอารักขาหญิงไม่กี่คนชูโล่ขึ้น ก่อเป็นกำแพงบังข้างหน้าเฉินฝานทหารจำนวนมากที่อยู่หอด้านบนประตูเมืองไม่สามารถปกป้องได้ง่ายเหมือนเฉินฝาน ก่อนหน้านี้ทหารลาดตระเวนต้องการหลบหนีจากการล้อมของทหารเตียนตู จึงทิ้งโล่กำบังไปจำนวนมาก ในอำเภอเหออันสถานที่เล็กๆ เช่นนี้ เติมลูกธนูได้สักหน่อยก็ถือว่าไม่เลวแล้ว แต่โล่กำบังนั้นเป็นไปไม่ได้เลย“อ๊าก!”“อ๊าก อ๊าก!”“หมอบลง หมอบลง!”ในหูของเฉินฝาน มีเสียงโอดร้องอย่างเจ็บปวดจากการถูกยิง กับเสียงออกคำสั่งอันเร่งรีบของเหล่าผู้นำทัพดังขึ้นเสียงแล้วเสียงเล่ากลุ่มพลยิงธนูหมอบลงทำให้หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บได้ชั่วขณะ แต่ข้างใต้หอด้านบนประตูเมือง เสียงของทหารเตียนตูที่พุ่งเข้ามา กลับดังขึ้นกว่าเดิมทุกครั้งเฉินฝานถึงกระทั่งเห็นบันไดของทหารเตียนตูวางไว้ตรงหอด้านบนประตูเมืองเรียบร้อย“พลลูกไฟประจำการ!”ภายใต้คำสั่งการของเหอกัง ลูกไฟนับไม่ถ้วนกลิ้งจากหอด้านบนประตูเมืองลงไปทหารเตียนตูที่ปีนป่ายบันไดชุดแรกถูกตีกลับไปทั้งหมดลูกไฟล้วนเป็นก้อนหินที่ห่อด้วยหญ้าและทาน้ำมันเอาไว้ เพียงสัมผัสถูกคนไฟ
ยิ่งไปกว่านั้นการเสียสละของพวกนาง เพียงเพื่อชะลอการจู่โจมของทหารเตียนตูเท่านั้นหลังจากไม่มีพวกนางแล้ว ทหารเตียนตูจะจู่โจมต่อไม่ได้ ไม่ได้!เขาให้โจวอวี่พาทหารหญิงกลุ่มนี้มา เพื่อตัดทางหนีของหลีเทียน ไม่ได้ให้มาตายเปล่าเช่นนี้ต้องคิดหาวิธี คิดหาวิธีเฉินฝานส่ายหัวพร้อมกับคิดหาทางแก้ไข“เย่ว์เจียว เย่ว์หนู ปกป้องข้าให้ถึงด้านข้างหอด้านบนประตูเมือง!” เฉินฝานกล่าวอย่างเร่งรีบ“นายท่าน”“หัวหน้า”“ท่านไม่ควรไป!”ฉินเย่ว์เจียวกับเย่ว์หนูกล่าวห้ามพร้อมกัน“ใต้เท้าเฉิน ไม่ควรขอรับ!” เหอกังกล่าวห้ามอีกคนต่อให้ทหารลาดตระเวนเสียชีวิตทั้งหมด เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เฉินฝานเผชิญความเสี่ยงได้“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปเอง!”เฉินฝานทำการเดินไปด้านข้าง เดินจากตรงกลางระหว่างฉินเย่ว์เจียวกับเย่ว์หนูไปยังข้างๆ หอด้านบนประตูเมืองอย่างรวดเร็ว“นายท่าน ถ้าท่านยังไม่กลับมา ข้าจะใช้หน้าไม้นี้ยิงขาของท่านให้บาดเจ็บ!”หนึ่งวันก่อนออกรบ ตวนชินอ๋องมอบหน้าไม้อันหนึ่งให้ฉินเย่ว์เจียวฉินเย่ว์เจียวชอบมาก ระหว่างทางเดินทัพ นางทำการฝึกซ้อมทันทีที่มีเวลาว่าง จนตอนนี้นางใช้มันได้อย่างชำนาญหน้าไม้!เฉินฝาน
ของสีดำสิ่งนั้น ปลายหางยังมาพร้อมกับสิ่งสวยงาม…ดอกไม้ไฟ?ทหารเตียนตูสามหมื่นกว่าคน ต่างเงยหน้าขึ้นชื่นชมดอกไม้ไฟอันสวยงามนี้“ดอกไม้ไฟนี้สวยงามอย่างยิ่ง”“ทำไมถึงจุดดอกไม้ไฟในเวลานี้? ทหารลาดตระเวนคิดจะหลอกล่อพวกเราหรือ? ให้พวกเราเบนความสนใจ พวกเขาจะได้จู่โจมง่ายขึ้น?”“ทำตัวประหลาดหลอกล่อพวกเรา ให้เราเบนความสนใจ อย่าได้มองว่าเศษสวะพวกนั้นเก่งกาจนักเลย ข้ามองว่าเป็นสัญญาณของการยอมศิโรราบของพวกมันมากกว่ากระมัง?”“ข้าว่าความคิดของเจ้าน่าเชื่อถือ เห็นหรือไม่ หอด้านบนประตูเมืองบนนั้นไม่มีใครเดินออกมาสักคน”“ในเดิมทีพวกเขายังคิดจะหวังพึ่งพวกผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังพวกเรา ปรากฏว่าครั้นผู้หญิงเหล่านั้นออกมาก็ถูกพวกเรายิงตายทันที”“หวังพึ่งผู้หญิง เป็นคนไร้ประโยชน์ทั้งสิ้นอย่างแท้จริง!”ทหารเตียนตูจำนวนมากเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ แรกเริ่มมีเพียงความสงสัย ภายหลังกลายเป็นดูถูกเหยียดหยามขณะเดียวกัน สิ่งของสีดำ ใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆค่อย ๆ เห็นชัดว่าของสีดำสิ่งนั้นคือสิ่งของใด?โถสุรานับสิบขวดมัดไว้ด้วยกัน ดอกไม้ไฟที่พวกเขาเห็นเมื่อครู่นี้ คือผลลัพธ์ของเชือกเล็กตรงปลายโถสุราแต่ละอันที่ติด
“กระจายตัว กระจายตัว!”หลีเทียนไม่สนใจไหล่ถูกลูกธนูยิง ยังสั่งให้กระจายตัวอย่างต่อเนื่อง“ยิงธนู!”ทหารเตียนตูใต้หอด้านบนประตูเมืองเริ่มกระจายตัว เหอกังออกคำสั่งให้พลยิงธนูยิงธนูทันทีเมื่อไม่มีโล่กำบัง ทหารเตียนตูภายใต้หอด้านบนประตูเมืองกลายเป็นเป้าหมายการยิงของพลธนูทหารลาดตระเวนไปโดยปริยายทหารเตียนตูอยากรวมตัวเข้าด้วยกัน คล้ายกับการใช้โล่คอยปกป้องดั่งเมื่อครู่นี้ ครั้นพวกเขารวมตัวกันเสร็จ กลับถูกฉินเย่ว์เจียวถล่มด้วยหน้าไม้ยิงแตกระเบิดหน้าไม้ยิงแตกระเบิดของฉินเย่ว์เจียว ห่าฝนลูกธนูจู่โจมของทหารลาดตระเวน สลับกันจู่โจม จนทหารเตียนตูข้างล่างหอด้านบนประตูเมืองถึงกับมึนหัวไม่รู้ทิศทางเสียงร้องโหยหวนดังไม่หยุด ทหารเตียนตูล้มลงราบเป็นหน้ากลอง“ถอยทัพ!”“ถอยทัพ!”หลีเทียนประกาศคำสั่งถอยทัพเขาอยากให้กองกำลังถอยห่างจากหอด้านบนประตูเมืองออกมาเล็กน้อย มายังสถานที่ที่ลูกธนูกับระเบิดยิงมาไม่ถึงหลังจากนั้น…โจวอวี่ผู้อยู่ไกล ๆ ได้พาทหารหญิงเข้าใกล้ทหารเตียนตูอย่างเงียบงัน ตั้งแต่หลีเทียนจะประกาศคำสั่งถอยทัพก่อนแล้วแท้จริงแล้ว หากหลีเทียนอดทนอีกเพียงครู่หนึ่ง ก็ไม่ถึงกับแหลกสลายต
เฉินฝานรู้สึกโล่งอกเช่นกันกลุ่มทหารผู้ดีกลุ่มนี้ได้กลายเป็นผู้กล้าอย่างแท้จริงแล้วเสียงตะโกนร้องของกองกำลังลาดตระเวน ดังต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน จวบจนชาวบ้านอำเภอบ้านเหออันยกอาหารมา จึงหยุดตะโกนเหอกังกำลังจะรายงานสถานการณ์สงครามให้กับเฉินฝาน“ท่านแม่ทัพ พวกเราไม่รีบร้อน ตอนนี้รับประทานอาหารก่อน รับประทานไปด้วยคุยไปด้วย”เฉินฝานลากเหอกังวิ่งไปโต๊ะอาหารที่ใกล้ที่สุดนับตั้งแต่เสี้ยววินาทีที่ออกจากเมืองหลวงครานั้น เฉินฝานก็ให้พ่อลูกตระกูลเหอและนายทหารอยู่กินร่วมกันตักข้าวเข้าปากหนึ่งคำ เหอกังทำเช่นไรก็อดกลั้นไว้ไม่อยู่ เขากล่าวอย่างฮึกเหิม “ใต้เท้า กองกำลังสามหมื่นคน ราบเป็นหน้ากองแล้ว กองกำลังข้าสูญเสียไปเพียงสามพันกว่าคนเท่านั้น”สามพันกว่าคน!เฉินฝานฟังแล้วรู้สึกโอดครวญอยู่ในใจตอนนี้ผู้ชายน้อยนิดเพียงนั้น ชั่วครู่เดียวก็หายวับไปสามพันคนทันที เป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่เชียวนะในยุคปัจจุบัน ในสถานการณ์การโจมตีกลับเช่นนี้ สูญเสียเกินห้าร้อยคน แม่ทัพผู้นั้นก็ต้องถูกกักขังแล้วทว่าเห็นเหอกังยินดีปรีดาเช่นนั้น เฉินฝานมิได้พูดอันใดกองกำลังลาดตระเวนสามารถต่อสู้ได้เช่นนี้ เกินควา
ยังไม่ทันถึงกระโจมค่ายของกองกำลังหญิง เฉินฝานก็สามารถมองเห็นกองกำลังหญิงรวมตัวกันอยู่ประตูทางเข้าค่ายจากที่ไกลๆ เขย่งเท้าชะเง้อคอรอคอยอย่างใจจดจ่อเหล่ากองกำลังหญิงจำเฉินฝานไม่ได้ ทว่าจำโจวอวี่ได้ ตอนที่พวกนางเห็นเฉินฝานที่เดินข้างกายโจวอวี่ ก็เข้าใจทันทีขุนนางที่หน้าตาขาวผ่อง สุภาพเรียบร้อยข้างกายท่านแม่ทัพโจวผู้นั้น ก็คือเฉินฝานที่มอบชีวิตที่สองให้กับพวกนาง ใต้เท้าเฉิน“ใต้เท้ามาแล้ว”“รีบจัดเรียงขบวนทัพให้เรียบร้อย!”ตอนที่เฉินฝานเดินเข้าไปในกระโจมค่าย กองกำลังหญิงหนึ่งพันห้าร้อยกว่าคน ก็ยืนตัวตรงเรียบร้อยแล้วกองกำลังหญิงเหล่านี้อายุยังน้อย ล้วนอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปีมองดูใบหน้าทุกคนที่แดงก่ำความสดใสของวัยแรกแย้ม เฉินฝานรู้สึกหดหู่ใจทันที หากเป็นยุคปัจจุบัน เด็กสาวเหล่านี้คงจะยังภายใต้การดูแลของพ่อแม่อย่างใกล้ชิด ใช้ชีวิตอย่างไร้ความกังวลทว่าเด็กสาวด้านหน้าเขาเหล่านี้ กลับเข้าสู่สนามรบแล้ว เมื่อครู่ก็ฆ่าฟันกับผู้ชายที่แข็งแกร่งกว่าพวกนางหลายเท่าในเหล่าพวกนาง ก็มีความจำนวนมากที่ลาลับโลกนี้ไปแล้วในใจหวนระลึกถึงเด็กสาวหนึ่งพันกว่าคนที่ล้มลงด้านนอกหอบนประตูเมือง เฉิ
ร่างเงาที่สูงใหญ่ตรงตระหง่านนั้น ยืนปะทะกับแรงลมไม่รู้ด้วยเหตุใดกัน เฉินฝานรู้สึกว่าร่างเงานั้นรู้สึกหงอยเหงาเศร้าสร้อยอย่างมากเฉินฝานกำลังจะถามว่านั้นคือผู้ใด ได้ยินคนพูดว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ ลมหนาวแล้ว พวกเราลงไปกันเถอะ”คำพูดเฉินฝานหยุดชะงักเล็กน้อยที่แท้ก็เป็นเหอกังเหอกังยกมือขึ้นมาเล็กน้อย สื่อความหมายให้องครักษ์ข้างกายลงจากหอบนประตูเมืองไปก่อนตอนที่องครักษ์หันกายลงจากหอบนประตูเมือง เห็นเฉินฝาน กำลังจะปริปากพูด เฉินฝานทำท่าไม่ให้เขาพูดลมยามค่ำคืนของเหมันตฤดู แหลมคมราวกับใบมีดเฉินฝานกระชับเสื้อผ้บนร่างตนเองให้แน่นขึ้น ก็ยังคงรู้สึกความเหน็บหนาวรุกล้ำเข้ามาสู่เรือนร่างอยู่ดีเหอกังที่อยู่ด้านข้างหอบนประตูเมือง กลับถอดหมวกบนศีรษะออกผมของเขาเป็นสีดอกเลาแล้ว เวลาที่ลมพัด ผมสีเงินสองสามเส้นสะท้อนแสงสีขาวเงินจากสัญญาณไฟแจ้งเหตุเฉินฝานตกใจเล็กน้อยเมื่อวาน ผมของเหอกังยังไม่ได้ขาวเพียงนี้ไยผ่านไปเพียงวันเดียว ผมก็ขาวจนเป็นเช่นนี้แล้วล่ะ?สายตาของเฉินฝาน จับจ้องไปที่ทิศทางเมืองฝูตูเป็นเวลานานไม่เคลื่อนย้ายไปที่อื่นโอ้...นี่จึงทำให้เฉินฝานนึกขึ้นได้เหอจื่อนำทหารห
“ผู้จัดสรร มิสามารถแบ่งให้คนนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ถูกต้องแล้ว แบ่งให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามิได้!”คนรับใช้สองสามคนข้างกายเหลยหย่งอัน พูดเสริมทันที“เช่นนั้นนายน้อยเหลยคิดว่าผู้ใดเป็นผู้จัดสรรจึงจะเหมาะสม?”มีคนตะโกนถามท่ามกลางผู้เหลือรอดเหลยหย่งอันเลิกคิ้วขึ้นทันที ประโยคที่เขารอก็คือประโยคนี้ผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบ เหลยหย่งอันก็ส่งสายตาไปที่คนรับใช้ข้างกายทันที“ร้านค้าตระกูลเหลยมากมายมหาศาล นายน้อยของพวกเราก็มีส่วนร่วมดูแล ไปตรวจสอบที่ร้านค้าทุกเดือน”ตรวจสอบแบบใดกัน ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในร้านเสียมากกว่าเรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนตูทราบดี เพียงแต่มิอยากให้เหลยหย่งอันมิพอใจ จึงมิมีผู้ใดกล้าพูดเปิดโปง“ดังนั้น...” คนใช้ผู้นั้นกล่าวต่อ “ผู้จัดสรรนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด “ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเจ้า...” เหลยหย่งอันยกมือขึ้นทำท่าทางแบกรับรับความผิดชอบไว้เพียงผู้เดียว “คนที่ร่วมทุกข์กับข้าทุกคน ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ก็สามารถไปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ที่ตระกูลเหลยของพวกเรา”เพื่อที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดสรรนี้ เหลยห
“ต่อให้เสบียงอาหารทั้งหมดต้องถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นไฉนอำนาจในการจัดการจัดแบ่งต้องเป็นเจ้าคนเดียวงั้นหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”ชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมอย่างดี ศีรษะสวมหมวกสีทองประดับด้วยไข่มุกเดินเข้ามากล่าวถามเฉินฝานด้วยท่าทีโอหังบุคคลนี้คือลูกชายคนโตของตระกูลเหลยเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองเซียนตู เหลยหย่งอันด้วยความที่ชาติตระกูลมีเงินและอำนาจ เหลยหย่งอันได้รับสมญานามให้เป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองเซียนตู ปกติก็มักจะรังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง กระทำชั่วทุกรูปแบบสำหรับวีรกรรมของเหลยหย่งอันแล้ว เจ้าเมืองซื่อต้าเผิงต้องยอมปล่อยผ่านไปเหลยหย่งอันรู้สึกว่ามิถูกชะตาเฉินฝานอยู่ก่อนแล้วเรือนเซียนผาสุกมีกฎว่านอกจากผู้ฟังโชคดี่ถูกเมี่ยวอวี่สุ่มเลือกมา บุคคลที่ให้เงินรางวัลจำนวนมากที่สุด เมี่ยวอวี่ก็จะบรรเลงพิณเป็นการส่วนตัวเช่นกันทว่า ทุกปีจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นต้นปีเหลยหย่งอันก็เริ่มให้เงินรางวัลจำนวนมหาศาล ในที่สุดเมื่อมาถึงเดือนท้ายปีก็ได้ลำดับที่หนึ่งมาครองเห็นว่าตนเองสามารถเข้าไปในกระท่อมหิมะพบกับเมี่ยวอวี่ ได้ฟังพิณที่นางบรรเลงให้ตนเองโดยเฉพาะ กลับคาดมิถึงว่าอย
เรือนเซียนผาสุกมีชื่อเสียงเงินทองมหาศาลดังคาด จำนวนเสบียงที่กักตุนไว้ตอนฤดูหนาว มากกว่าเสบียงครึ่งปีของครอบครัวสามัญชนเสียอีกตรงข้ามกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น เฉินฝานยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดหนักขึ้นเรื่อย ๆน้อยไป น้อยเกินไปแล้วคนสามร้อยกว่าคน ต่อให้กินอาหารวันละหนึ่งมื้อ เสบียงอาหารเหล่านี้ก็หมดเกลี้ยงเพียงในพริบตาเดียว“เสบียงอาหารของกระท่อมหิมะนำออกมาไว้ที่แห่งนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” เฉินฝานหันหน้ากล่าวถามเมี่ยวอวี่“กระท่อมหิมะแห่งนี้ของข้ามิได้ใหญ่โตเสียหน่อย ตุนไว้จำนวนมากเพียงนั้น ยังมินับว่าเยอะอีกหรือ?” เมี่ยวอวี่ย้อนถามเฉินฝาน“ก็จริง” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเองในส่วนลึกของหัวใจ หวังว่าจะมีเยอะกว่านี้“ตอนนี้นับเสบียงเรียบร้อยแล้ว รีบแบ่งให้ทุกคนเถอะ”มีคนเร่งเร้าหิวจนทนมิไหวแล้วจริง ๆ“แบ่งมิได้!” เฉินฝานกล่าว“มิแบ่งงั้นหรือ?”สายตาสามร้อยกว่าคนจับจ้องไปที่เฉินฝานอย่างพร้อมเพียงมิเข้าใจ มิเชื่อเสบียงอาหารทั้งหมดถูกขนย้ายออกมานับจำนวนแล้ว ไม่เพียงแต่จำนวนเสบียงเท่านั้น จำนวนคนก็นับแล้วเช่นกันทำถึงเพียงนี้แล้ว เฉินฝานกลับกล่าวว่ามิแบ่งแล้ว“เจ้าหมายความว่าอย
เขายืนกรานไม่ยอมนำเสบียงออกมามิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ต้องการเอาออกมา และยังต้องนำออกมาทั้งหมดอีกด้วยเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?“ทำไมล่ะ? แม่นางเมี่ยวอวี่มิเห็นด้วยงั้นหรือ?” เฉินฝานกล่าวถาม“โอ้ ไม่ใช่หรอก!” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างรีบร้อน “แน่นอนว่าข้าต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว เจ้ารีบพาคนไปนำเสบียงอาหารในคลังออกมาทั้งหมด”“ช้าก่อน!” เฉินฝานเรียกยายจ้าวไว้ “เพื่อให้มั่นใจว่าเสบียงอาหารทั้งหมดจะถูกขนย้ายออกมา เย่ว์เจียวเจ้าไปตามยายจ้าวไปด้วย พวกเจ้า... ”เฉินฝานหันไปกล่าวกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น “ก็ส่งหนึ่งคนตามไปด้วย”ผ่านไปครู่เดียว เสบียงอาหารทั้งหมดในกระท่อมหิมะถูกขนมาไว้ด้านหน้าฝูงชนเฉินฝานมองดูเสบียงอาหารที่กองเป็นพะเนินด้านหน้า กล่าวอย่างเนิบนาบ “โอ้ จำนวนมิน้อยเลยนะเนี่ย”“อากาศเย็น คร้านออกไปจับจ่าย ดังนั้นจึงซื้อจำนวนมากในคราวเดียว” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างมิใส่ใจมากนักเสบียงอาหารเหล่านั้นมีจำนวนมากก็จริงทว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนจำนวนมากเพียงนี้อยู่รอด!ท้ายที่สุด ก็ยังคงต้องตายอยู่ดีเหล่าผู้เหลือรอด มิได้มองการณ์ไกลเช่นนั้น พวกเขาที่หิวมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว มองเสบียงอาห
เมื่อมีคนเปิดประเด็นแล้วคนอื่นก็พากันทำตาม คนกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานเฉินฝานมิได้กล่าวอันใด เมี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้างชิงพูดก่อน“เหอะ!” เมี่ยวอวี่เยาะเย้ยออกมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่างเป็นชายที่ใจดำอำมหิตเสียจริง คิดว่าตนเองมีผู้มากฝีมือที่เก่งกาจอยู่ข้างกาย ก็สามารถมิสนใจชีวิตของผู้คนรอบตัว แม้กระทั่งเด็กและคนชราก็ยังมิยอมช่วย”เมี่ยวอวี่จงใจกล่าวเช่นนี้จงใจที่พัดความโมโหของฝูงชนให้ลุกฮือดังคาด...“เขาใจดำอำมหิตเพียงนั้น แม้กระทั่งเด็กน้อยคนแก่ก็ยังมิยอมให้อาหารกินแม้แต่น้อย เช่นนั้นเรายังต้องกลัวสิ่งใดอีก?”เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม“ถูกต้อง อย่างไรเสียก็ถูกขังจนตายอยู่ที่นี้อยู่ดี ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ทุกคนต้องได้กินให้อิ่มท้อง!”“พวกเรามิต้องมาอ้อนวอนอยู่ตรงนี้และ ไปสืบเสาะ ไปค้นหา กระท่อมหิมะอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะจะหาที่ซ่อนของเสบียงอาหารมิได้เชียวหรือ?”กลุ่มคนจำนวนมหาศาลในกระท่อมแต่เดิม รีบออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำลงของมหาสมุทร“เจี้ยนฮวง!” เฉินฝานกล่าวเกรงว่าเซียนเจี้ยนหวงจะเข้าใจผิด เฉินฝานจึงพูดเสริมอีกห
เซียนเจี้ยนหวงมิลงมือทำร้ายสามัญชน ชายรอยบาดแผลคิดว่าชื่อเสียงของเซียนเจี้ยนหวงเป็นสิ่งจอมปลอม และเขาคิดว่าตนเองมีจำนวนมากมาย ต่อให้เซียนเจี้ยนหวงจะเก่งกาจเพียงใดก็มิสามารถลุยเดี่ยวกับคนหนึ่งร้อยคนได้และเฉินฝานก็ดูจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดังนั้นชายรอยบาดแผลมิได้รู้สึกเกรงกลัวอันใด ท่าทียโสโอหังยิ่งเขาต้องการเสบียงอาหารในกระท่อมหิมะทั้งหมด และประสงค์ที่จะคุมชะตาคนหลายคนไว้ในกำมือ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเมี่ยวอวี่ให้หลุดพ้นได้ด้วยอำนาจ สาวงาม เสบียงอาหารเขาต้องการทั้งหมดเฉินฝานเงยหน้าขึ้น เหลือบมองชายรอยบาดแผลอย่างเรียบนิ่ง “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้าเก่งกาจมากสินะ”“เยี่ยนหลิ่งผู้ยิ่งใหญ่!” ชายรอยบาดแผลวางท่าทีใหญ่โต“ว้าว!” เฉินฝานยกนิ้วโป้ง “ชื่อนี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง!”สุดยอด!เซียนเจี้ยนหวงต้องเก็บอาการอยู่ด้านข้างนี่คงจะเป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวตอนที่ถูกกักขังอยู่ที่แห่งนี้ดูคนโง่ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก“เพียงแต่...” เฉินฝานเปลี่ยนเรื่องทันที “มิทราบว่าชื่อที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะชำนาญในการต่อสู้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานหันไปด้านข้างเล็กน้อย “
“ตุ้บ ๆ ๆ ๆ!”เสียงทุบประตูหน้าต่างด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ เซียนเจี้ยนหวงฝึกวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว สถานการณ์ฝั่งเขานั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีฝั่งฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูนี้ค่อนข้างลำบาก“เย่ว์หนู เจ้ากันไว้ก่อน ข้าจะไปย้ายเตียงมากันไว้!”“มิจำเป็นหรอก!” เฉินฝานโบกมือเล็กน้อย เขาให้ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูเปิดประตูออก“เปิดประตูงั้นหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าทันที “ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่าน”คนด้านนอกทุกคนล้วนโกรธเฉินฝานจนกัดฟันกรอด ตะโกนอย่างดุเดือดเพื่อให้ต้องการพวกเขาผ่านเข้าไป เฉินฝานเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว“พวกเจ้าสามารถกันไว้ได้หนึ่งชั่วยาม จะสามารถกันได้ถึงสองชั่วยามงั้นหรือ?”เมื่อคนตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย มิว่าสิ่งใดก็สามารถทำได้ความเลวทรามของมนุษย์ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโลกใบนี้“นายท่าน ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าก็จะยังคงกันต่อไปเรื่อย ๆ จะมิยอมให้คนด้านนอกเหล่านั้นทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ”ฉินเย่ว์เจียวกำหมัดไว้แน่นขนัดเฉินฝานมองท่าทีที่เศร้าสลดทว่าเข้มแข็งของฉินเย่ว์เจียว รู้สึกซาบซึ้งและหงุดหงิด“นายท่าน บ่าวก็เช่นกันเจ้าค่ะ”เย่ว์หนูเพิ่มแรงในการกันประต
ฉินเย่ว์เจียวง้างมือขึ้นทันที เดิมทีต้องการจะตบหน้าเมี่ยวอวี่เป็นครั้งที่สองพลันยั้งมือกะทันหันกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบของเมี่ยวอวี่ด้วยความกังวลเฉินฝานก็อดมิได้ที่จะเงี่ยหูฟังจะรู้ร่องรอยของเย่ว์ฉินแล้ว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หยกห้อยเอวชิ้นนี้...”“ตุ้บ!”อยู่ ๆ ก็มีก้อนหิมะลอยก้อนหนึ่งลอยทะลุหน้าต่างเข้ามา“โอ๊ย!”เมี่ยวอวี่อยู่ใกล้หน้าต่างอย่างมาก ก้อนหิมะขว้างโดนหัวหน้า ทำให้นางตกใจจึงร้องออกมาทันที“ตุ้บ”ครั้งนี้สิ่งที่ขว้างมาคือก้อนหิน“ระวัง!”เมี่ยวอวี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายทรงตัวมิอยู่ ตัวไปชนกับอ้อมอกที่ล่ำสันหัวสมองว่างเปล่าราวกับถูกจี้จุด เมี่ยวอวี่มองเฉินฝานด้วยความมึนงงดวงตากลมโตที่เปล่งประกายแวววับดังดวงดารา สภาพอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วหาคำตอบมิได้ มิเชื่อ มิเข้าใจ“เจ้า...” เมี่ยวอวี่กลอกตาไปมา “ไยเจ้าจึงช่วยข้า?”หากมิใช่เฉินฝานดึงนางหลบได้ทัน ตอนนี้นางก็คงหัวแตกเลือดไหลนองไปนานแล้วเฉินฝานผลักเมี่ยวอวี่ในอ้อมอกออก เขาที่พลังภายในยังฟื้นฟูมิสมบูรณ์เอนตัวล้มพิงเรือนร่างของฉินเย่ว์เจียว น้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าคิดเข้าตัวเอง ข้าทำไปตามสัญชาตญาณเท
ถึงแม้ในทุกวันนางมักจะรับคำเยินยอจากบุรุษเพศอยู่แล้ว ทว่าท่าทางที่รักใคร่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งราวภาพวาดนี้ นางมิเคยพบเห็นมาก่อนเมี่ยวอวี่ที่สงสัยว่าตัวเองมองผิดไป จึงตั้งใจหันกลับไปดูอีกครั้งภาพที่เฉินฝานช่วยปัดไรผมบนหน้าผากของฉินเย่ว์เจียวออก และฉินเย่ว์เจียวยิ้มตอบกลับให้เฉินฝานอย่างหวานหยาดเยิ้ม เมี่ยวอวี่เหลือบไปเห็นพอดีไม่จริงหรอก!เมี่ยวอวี่รีบหันหน้ากลับไปด้วยความรวดเร็ว ตีหน้าอกตนเองเบา ๆสองสามทีคาดมิถึงว่าจะเป็นเรื่องจริงใต้หล้านี้มีสามีภรรยาที่รักใคร่กันเช่นนี้จริงหรือ ? เป็นเรื่องจริงหรือว่าผู้ชายจะอ่อนโยนกับภรรยาตนเองได้เพียงนั้น?เฉินฝานเป็นชายที่เลวทรามต่ำช้ามิใช่หรือ?เย่ว์หนูชะเง้อมองมาจากทางเข้าเห็นว่าเฉินฝานตื่นแล้ว รีบวิ่งกลับไปที่ในห้อง ยกโจ๊กครึ่งชามที่วางไว้ในห้องไปอุ่นที่ห้องครัว หลังจากที่อุ่นจนร้อนแล้วก็วิ่งกลับมา“โจ๊กมาแล้วเจ้าค่ะ”“เอามาให้ข้า!” ฉินเย่ว์เจียวรับโจ๊กในมือเย่ว์หนูมาทันที“ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินฝานหันไปพยักหน้ากับเย่ว์หนู“บ่าวมิลำบากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านหายดีก็เพียงพอแล้ว” เย่ว์หนูหน้าแดง ส่ายหน้าอย่างแรงกล่าวว่าตนเองมิลำ