หลูเฉิงกวงชะงัก “จับคน จับใครรึ?”เฉินฝานมองไปรอบ ๆ “ฮูหยินต้องการแป้งชาดแป้งน้ำหรือไม่? เมื่อวันก่อนมีพ่อค้าขายส่งได้ส่งแป้งชาดแป้งน้ำมาให้ภรรยาเหล่านั้นของข้า เขาบอกว่าเอามาจากเมืองหลวง”หลูเฉิงกวงตกตะลึงไปหนึ่งวินาทีแล้วกล่าวอย่างเสียงดัง “เสี่ยวฝาน เจ้ามาทันเวลาพอดีจริง ๆ ภรรยาของข้าแต่เดิมเป็นคุณหนูในเมืองหลวง นางบ่นกับข้าทุกวันว่าแป้งชาดและแป้งน้ำของอำเภอผิงอันแย่มาก”บ่ายวันนี้แขกที่มากินข้าวที่เรือนแขกสำราญสุขหลายคนเกิดอาการท้องเสีย ที่สำคัญทุกคนกินปลาย่างเหมือนกัน แขกกลุ่มนั้นตะโกนโหวกเหวกจะเรียกร้องค่าชดเชยจากเรือนแขกสำราญสุขเรือนแขกสำราญสุขยืนกรานว่าปลาย่างของตนไม่มีปัญหาและได้แจ้งต่อทางการทราบหลูเฉิงกวงนำคนไปดำเนินการทั้งสองฝ่ายต่างมีเหตุมีผล หลูเฉิงกวงจึงเรียกขุนนางชันสูตรศพให้มาตรวจดูจากการสอบพบว่ามีบางอย่างผิดปกติในปลาเป็นปลาดังกล่าวถูกส่งโดยพวกเฉินผิง พวกเขาเป็นชาวบ้านที่เพิ่งมีชีวิตที่ดีขึ้น จะมีเงินมากมายไปชดเชยได้อย่างไร หลูเฉิงกวงเลยจับกุมเฉินผิงและชาวบ้านอีกกว่าสิบคนจากหมู่บ้านซานเหอที่รับผิดชอบในการจับปลาเข้าเรือนจำหลังจากได้ยินข่าวนี้ เฉินฝานก็รู
“เจ้าหนุ่ม โอหังจริง ๆ”มังกรตาเดียวผลักหญิงสาวที่นอนอยู่บนตัวเขาออกแล้วหยิบดาบเล่มใหญ่ขึ้นมาวางบนไหล่ “ทุกคน ไปกับข้าและฆ่าไอ้หนุ่มนั่น!”“พี่ใหญ่ อย่าลืมน้องสาม ระวังไว้ดีกว่า” โจวลี่เหรินกล่าวเตือนซ้ำ ๆ“ไม่ต้องห่วง ลูกธนูของยัยนั่นยิงไม่ถูกข้าหรอก”มังกรตาเดียวกล่าวอย่างนั้นและเดินโยกเยกออกจากถ้ำพร้อมกับดาบเล่มใหญ่“โจวอวี่ รีบตามพี่ใหญ่ไป จัดการยัยผู้หญิงนั่นก่อนแล้วค่อยจัดการเฉินฝาน” โจวหลี่เหรินสั่งการโจวอวี่เมื่อเฉินฝานนำคนเลี้ยวจากทางหลวงเข้าถนนทางลัดเพื่อตรงไปยังภูเขาวิฬาร์ตัวเมืองอำเภอผิงอัน“กรับ ๆ ๆ!”“จ้า!”ม้าทางการที่สง่างามสามตัว วิ่งไปทางประตูเมืองด้วยความเร็วสูงสุดชายผู้อยู่บนหลังม้าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลูเฉิงกวง นายอำเภอของอำเภอผิงอันหลูเฉิงกวงขี่ม้าออกจากเมืองไม่นาน ก็พบกับคนขี่ม้ากลุ่มหนึ่งม้ายังไม่ทันหยุดนิ่ง หลูเฉิงกวงก็กระโดดลงและตรงไปยังรถม้าคันหรูหราของกลุ่มนั้นจางเจิ้งห้าวและเหออี๋หมินที่นั่งอยู่บนม้าสองตัวก็กระโดดลงจากหลังม้าด้วย“ข้าน้อยขอคารวะท่านเจ้าเมือง!”หลูเฉิงกวงคุกเข่าข้างรถม้า“ขอคารวะท่านเจ้าเมือง!” จางเจิ้งห้าวและเหออี๋หมิน
หลี่หงโห่วเหลือบมองชายชราที่ไม่โดดเด่นในหมู่ทหารชายชราผู้นั้นก็คือจอมพลเสถียรภาพของแคว้นต้าชิ่งช่วงเวลานี้จอมพลเสถียรภาพนำกองทัพจำนวนหมื่นนายตั้งทัพอยู่ที่เมืองอวี๋ตู เพื่อป้องกันการรุกรานของแคว้นเหอถงที่อยู่ทางตอนใต้เมืองอวี๋ตูกับเมืองหรงตูอยู่ใกล้กัน นายพลเดินทางจากเมืองหลวงเพื่อกลับไปรายงานผล ตอนที่เดินทางผ่านเมืองหรงตู เขาได้ยินว่าพวกโจรภูเขาวิฬาร์กำเริบเสิบสานมากจึงอยากมาดูสักหน่อย“อย่ามัวแต่ชะงัก ลุกขึ้นแล้วตามมาซะ โจรพวกนี้ข้าจะไปปราบมันเอง”หลูเฉิงกวงมองหลี่หงโหวอย่างตื่นตะลึง “ใต้เท้าจะไปปราบพวกโจรด้วยตนเอง?”หลี่หงโห่วกวาดตามองหลูเฉิงกวงโดยไม่กล่าวสิ่งใด เขายกมือขึ้นเล็กน้อยจางหย่งชุนนายกองทหารผู้เฝ้าระวังเมืองหรงตูที่นั่งบนหลังม้า อ้าปากกล่าว “ทุกคนจงฟังคำสั่ง เคลื่อนตัวและซ่อนตัวไปข้างหน้า ตามสภาพของพื้นที่!”หลังจากจางหย่งชุนกล่าวจบ หลูเฉิงกวงก็เห็นคนจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังรุกคืบหน้าในความมืดหลูเฉิงกวงที่เคยอยู่ในกองทัพ สามารถประมาณการจำนวนคนได้ในครู่เดียวไม่น้อยกว่าสามพัน!หลูเฉิงกวงอุทานในใจลับ ๆ แม้จะรู้ว่าใต้เท้าเจ้าเมืองไปปราบพวกโจรด้วยตนเอง จำนวนคนไม่ม
ทหารหลายคนเดินเข้าหาเฉินฝานและฉินเย่ว์เจียว...…“ใต้เท้าจาง พูดกันได้ขอรับ ๆ!”หลูเฉิงกวงวิ่งมาอยู่ตรงหน้าเฉินฝานแล้วดึงเขาออกไป“เสี่ยวฝาน เจ้าเมืองจะไปปราบพวกโจรด้วยตนเอง”“ท่านเจ้าเมืองมาด้วย?” เฉินฝานรู้สึกประหลาดใจมากที่ท่านเจ้าเมืองมา“ใช่!” หลูเฉิงกวงขยับริมฝีปากและมองไปที่โพรงหญ้าสองข้างเฉินฝานมองตามท่าทางของหลูเฉิงกวงโพรงหญ้าสองข้างเห็นเป็นเงาตะคุ่ม“ดูเหมือนว่า คนมาไม่น้อยนะ”“ก็ใช่น่ะสิ? ตั้งสามพันคน” หลูเฉิงกวงยังคงดึงเฉินฝานไปด้านข้าง“คนเยอะขนาดเลยรึ เช่นนั้นข้าไม่ต้องทำอะไรแล้วสิ”การปราบโจรเป็นงานที่แลกด้วยชีวิต ท่านเจ้าเมืองพาคนมามากขนาดนี้ เขาก็ไม่ต้องเสียสละโดยไม่มีความจำเป็นเหมือนกัน“เย่ว์เจียว เจ้าแจ้งเหล่าหญิงสาวให้ถอยไปด้านข้างแล้วพักผ่อนที่นั่น!”หลังจากกล่าวจบ เฉินฝานปัดมือแล้วนั่งบนก้อนหินริมทาง“เสี่ยวฝาน ใต้เท้ายังอยู่ตรงนี้ อย่ามัวแต่นั่งนิ่ง” หลูเฉิงกวงรีบดึงเฉินฝานขึ้นมาจากก้อนหิน“ขอรับ”เฉินฝานเพิ่งรู้สึกตัว เขาเกือบลืมไปแล้วว่าที่นี่คือสังคมศักดินาที่มีชนชั้นที่เข้มงวดอย่างยิ่งเมื่อมาถึงแล้วก็ต้องเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามเฉ
“พึ่บ!”“พึ่บ ๆ ๆ!”คบเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนสว่างขึ้นในเวลาเดียวกัน ส่องสว่างทั่วทั้งภูเขาวิฬาร์จนเป็นสีแดง“ท่านเจ้าเมืองหลี่พาคนสามพันคนมาที่นี่ด้วยตนเอง จางหย่งชุนก็ดูมั่นใจมากเช่นกัน ไป!” หลูเฉิงกวงดึงเฉินฝาน “ไปดูว่าพวกเขาสู้กันอย่างไร”เมื่อเทียบกับการปกครองอำเภอ หลูเฉิงกวงสนใจการทำสงครามมากกว่า“โถ ใต้เท้า ทำไมท่านถึงยังคิดจะดูว่านายกองทหารปราบโจรอย่างไรอีกเล่า ท่านไม่คิดหรือว่าใต้เท้าเจ้าเมืองจะจัดการท่านอย่างไรหลังจากปราบโจรเสร็จแล้ว หากท่านมีเวลาแบบนี้ ท่านไปคิดดีกว่าว่าจะขออภัยโทษจากใต้เท้าเจ้าเมืองอย่างไร บางทีใต้เท้าเจ้าเมืองอาจจะไม่ลงโทษท่านเพราะปราบโจรสำเร็จก็เป็นได้”อาจารย์ของหลูเฉิงกวงคำแนะนำอยู่ข้าง ๆ อย่างจริงจัง“ข้ารู้แล้ว หลังจากเห็นวิธีโจมตีแล้ว ข้าจะไปคิดทันที” หลูเฉิงกวงพยักหน้าพร้อมดึงเฉินฝานขึ้นไปบนภูเขา“เฮ้อ!”อาจารย์ปู่มองแผ่นหลังของหลูเฉิงกวงแล้วส่ายหัวซ้ำ ๆหลูเฉิงกวงเป็นคนเที่ยงตรง ใส่ใจพลเมืองเสมอ อะไรก็ดี แค่ไม่มีไหวพริบเพียงพอ จึงได้ถูกลวี่เหลียงเจ๋อกดขี่อยู่เสมออย่างสถานการณ์ตอนนี้ หากเป็นลวี่เหลียงเจ๋อ เขามีเวลาคิดไปปราบพวกโจรอย่างไรอีก
ค่ายชิงหลงไม่กี่นาทีก่อนที่จางหย่งชุนจะออกคำสั่งบุก“มีคบเพลิงมากขนาดนี้เชียวรึ? เจ้าพูดไม่ใช่หรือว่าคราวนี้เฉินฝานไม่ได้นำหุ่นไล่กามาด้วย?”เมื่อเห็นคบเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตีนเขา มังกรตาเดียวหันไปถามโจรน้อยผู้ส่งข่าวทันที“เมื่อครู่นี้ข้าเห็นว่าไม่มีจริง ๆ นะขอรับ” โจรน้อยหวั่นกลัวมากจนไม่กล้าเงยหน้า“ไม่เป็นไร!” มังกรตาเดียวปัดมือใหญ่ของเขา เขามองหัวเพลิงที่สั่นไหวตรงเชิงเขาแล้วพลันยิ้ม “เจ้าหนุ่มคนนั้นคงลำบากไม่น้อย เอาหุ่นไล่กามาให้กำลังใจข้ามากถึงเพียงนี้”“ฮ่า ๆ พี่ใหญ่พูดถูก!” ถูซิงซุนหัวเราะเสียงดัง “ดูไฟข้างล่างนั่นสิ ทอดยาวจากไหล่เขาลงไปถึงตีนเขา ราวกับมังกรไฟ งามยิ่งนัก”“ข้าคิดว่า…...” โจวอวี่แบกธนูของเขาและโน้มศีรษะมองลงไปข้างล่างภูเขา สีหน้าของเขาเปลี่ยนจากเฉยเมยเป็นสงสัย เขากล่าวพึมพำ “ทำไมข้ารู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ?”“ไม่ใช่หุ่นไล่กา พี่ใหญ่ เร็วเข้า!” โจวลี่เหรินวิ่งลงมาจากหอสังเกตการณ์ “พวกที่ขึ้นมาจากตีนเขาล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ของทางการขอรับ ที่สำคัญมีอย่างน้อยสามพันคน พวกเขากำลังจะยิงธนูแล้ว ซ่อนตัว ซ่อนตัว!”“ซวบ!”“ซวบ ๆ ๆ!”ทันทีที่โจวหรี่เหรินก
ขณะที่หลี่หงโห่วพูดกับจางหย่งชุน สายตาของเขามองทหารผ่านศึกที่กำลังต้มน้ำอย่างสนใจและไม่สนใจสิ่งที่พวกเขาพูดกัน จริง ๆ แล้วพูดให้ ‘ทหารผ่านศึก’ ผู้นี้ฟังทหารผ่านศึกไม่เงยหน้าขึ้นและก้มหน้ารดน้ำตลอดเวลาจากมุมที่หลี่หงโห่วและจางหย่งชุนมองไม่เห็น มีรอยยิ้มที่เมินเฉยปรากฏบนใบหน้าของทหารผ่านศึกวิธีการโจมตีของจางหย่งชุนทำให้มังกรตาเดียวตั้งรับไม่ถูกจริง ๆในค่ายชิงหลง สูญเสียอย่างมาก คนเสียชีวิตเกือบเท่ากับจำนวนคนที่เหลือทั่วทั้งค่ายชิงหลงมีคนเพียงสามร้อยกว่าคนเท่านั้นสิ่งที่หนักหน่วงที่สุดคือก้อนหินที่ถูกโยนเข้ามา ทำให้เกิดช่องโหว่มากมายบนกำแพงค่ายหากปราศจากกำแพงฐานที่มั่น ก็เหมือนกับการสูญเสียชุดเกราะในสนามรบ และชีวิตก็ตกอยู่ในอันตรายตลอดเวลา“ซวบ ๆ!”ก้อนหินหยุดขว้างแล้ว แต่ลูกธนูยังไม่หยุด มันลอยลงมาจากท้องฟ้าสู่ค่ายชิงหลงราวกับเทพธิดาที่โปรยดอกไม้“แย่แล้ว!” โจวหลี่เหรินตะโกน “หินหยุดขว้างแล้ว แต่ลูกธนูยังไม่หยุด พวกทหารกำลังจะโจมตีเข้ามา!”“ฆ่ามัน!”ทันทีที่โจวหลี่เหรินกล่าวจบ เสียงการไล่ฆ่าก็ดังมาจากด้านล่างฐานที่มั่นของค่ายประหนึ่งภัยพิบัติน้ำท่วม“หมอหลิว พาคนของ
นายกองทหารพิทักษ์เมืองอย่างเขาไม่ได้แย่ไปกว่าทหารในกองทัพของนายพล“ใต้เท้า!”จางหย่งชุนยังไม่ทันตอบหลี่หงโห่ว รองนายกองทหารของเขาก็วิ่งเข้ามา รองนายกองทหารผู้นั้นเนื้อตัวดำปี๋จากหมอกควัน ท่าทางดูแล้วทุลักทุเลมาก“คราวนี้โจรพวกนั้นไม่ได้ยิงธนูหรือผลักก้อนหินขอรับ พวกมันกลิ้งลูกไฟที่ลุกโชนจากประตูค่ายลงมาขอรับ ทหารที่อยู่แนวหน้าต่างก็ลุกเป็นไฟ พวกเราสูญเสียอย่างหนักและไม่สามารถโจมตีได้ขอรับ!”“ลูกไฟ?” จางหย่งชุนขมวดคิ้ว เขากัดฟันและกล่าว “ไอ้พวกโจรบัดซบ เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!”สองสามครั้งล่าสุดที่จางหย่งชุนมาปราบโจร โจวลี่เหรินไม่เคยใช้ไฟโจมตี เหตุฉะนั้นจางหย่งชุนจึงไม่เคยเห็นวิธีการแบบนี้“อ๊าก!”“อ๊าก ๆ!”เสียงกรีดร้องบนภูเขายังดังอย่างต่อเนื่อง“จางหย่งชุน เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เจ้าไม่ได้บอกข้าหรือว่าครั้งนี้จะไม่มีอะไรผิดพลาด?” หลี่หงโห่วโกรธมากนายพลกำลังเฝ้าดูอยู่ด้านข้าง ครั้งนี้จางหย่งชุนทำได้เพียงประสบความสำเร็จ ห้ามล้มเหลว“ใต้เท้า อย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าน้อยยังมีวิธีขอรับ!”จางหย่งชุนพูดและหันไปออกคำสั่งกับรองนายกองทหาร “ให้พี่น้องแนวหน้าถอยกลับมาทันที ให้ฝ่ายยิงธนูเปลี่ยนลู
เฉินฝานที่พักสายตาโดยตลอดลืมตาขึ้น “ครอบครัวผู้เฒ่ามีหลานสาวสิบคนที่ยังมิได้ออกเรือนงั้นหรือ?”“เฮ้อ หากจะกล่าวให้ถูกต้องคือมีทั้งหมดสิบห้าคน มีห้าคนที่คิดว่าตนเองอายุมากแล้ว กลายเป็นภาระของคนในบ้านจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย”เสียงของผู้เฒ่าตาบอดตะกุกตะกักเป็นอย่างมาก “ปีที่แล้วผูกคอตาย เดือนที่แล้ว ก็มีอีกสองคนที่จวนจะ...โชคดีที่ยายเฒ่าไปเจอเสียก่อน มิเช่นนั้นก็คง...”ผู้เฒ่าตาบอดพูดมิออกแล้ว มีเพียงดวงตาที่ขาวโพลนมิมีตาดำพรั่งพรูน้ำตาอุ่นๆออกมามิหยุดอากาศหนาวจนถึงจุดเยือกแข็ง มินานนักน้ำตาก็แข็งตัวเป็นน้ำแข็งคำพูดของผู้เฒ่าตาบอดแทงใจดำของเย่ว์หนูในตอนแรกที่นางอยู่ในครอบครัว ก็มีพี่น้องสิบคนเช่นกัน รายชื่อล้วนถูกแจ้งไปที่จวนอำเภอแล้ว ทว่าต่อให้ถูกส่งตัวไปแล้ว ท้ายที่สุดก็ถูกส่งตัวคืนมาอยู่ดีหากมิใช่ตอนนั้นเห็นว่าเฉินฝานกำลังรับกองกำลังหญิงพอดี ตอนนี้นางก็คงจะเป็นวิญญาณสาวเร่ร่อนตนหนึ่งในอำเภอผิงอันไปเรียบร้อยแล้ว“เช่นนั้นพ่อแม่เหล่าหลานสาวของท่านล่ะ? พวกเขามิสนใจพวกนางเลยหรือ?”ถึงแม้จะยากลำบาก พ่อแม่ของเย่ว์หนู ก็ยังดูแลพวกนางอย่างดีที่สุด“เฮ้อ~”เมื่อได้ยินคำพูดของเย่ว์ห
“ตอบคำถามข้ามา!”“คำถามของเจ้างั้นรึ? คำถามอันใดกัน?”“อย่ามาแกล้งโง่!”“นี่ ๆ ข้ามิได้แกล้งเสียหน่อย!” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของเซียนเจี้ยนหวงทำเหมือนกับว่ามิมีความผิด “เมื่อครู่ข้าเผลอหลับไป ได้ยินมิชัดเจนจริง ๆ เจ้ากล่าวว่าตำหนักเซียวเหยารึ? ตำหนักเซียวเหยาคืออะไรกัน?”“จุดประสงค์ที่ตำหนักเซียวเหยายังคงอยู่คืออันใด เจ้าก็รู้แก่ใจดีมิใช่รึ หรือว่าเจ้าจะรอให้ผู้ชายจำนวนมากต้องถูกสังหารโดยที่เจ้ามิทำอันใดเลยงั้นรึ”“เพื่อนของซูซิวฉีเป็นเช่นนี้งั้นรึ?”เฉินฝานมองซียนเจี้ยนหวงอย่างมิละสายตา“ข้า ข้า...” ในท้ายที่สุดเสียงของเซียนเจี้ยนหวงก็ขาดหายไป “ข้าทำได้เพียงรับปากเจ้าว่าจะมิยอมให้คนของตำหนักเซียวเหยาสังหารชายผู้บริสุทธิ์ไม่เลือกหน้าอย่างเด็ดขาด”“เรื่องอื่นข้าก็มิรู้แล้ว เจ้ามิต้องถามข้าแล้ว” เซียนเจี้ยนหวงวิ่งหายไปในกลีบเมฆทันทีตอนที่เฉินฝานเดินออกจากหลุมศพของเมี่ยวอวี่แล้วเดินมาตรงถนน เห็น...“เย่ว์หนู ไฉนเจ้ายืนอยู่คนเดียว? รถม้าล่ะ?”เฉินฝานกล่าวถามเย่ว์หนูสีหน้าคับข้องใจยืนอยู่บนถนนโดยลำพังนิสัยของเย่ว์หนูค่อนข้างคล้ายคลึงกับผู้ชาย น้อยครั้งที่จะเป็นเช่นน
ความเย็นที่หัวไหล่ปลุกฉินเย่ว์เหมยที่กำลังเคลิบเคลิ้มให้ตื่นจากภวังค์“ชายมักมาก!”ฉินเย่ว์เหมยที่อับอายจนโมโหถีบเฉินฝานออกไปทันที“โอ๊ย ๆ ๆ!”เฉินฝานกุมท้องที่ถูกถีบจนเจ็บปวดกลิ้งตัวไปมา ครั้งนี้เป็นความเจ็บของจริงทว่าครั้งนี้ ฉินเย่ว์เหมยเพิกเฉยอย่างจริงจัง มิว่าเฉินฝานจะร้องอย่างไร นางก็จะมิเดินเข้าไปหาอีกนางพร่ำบอกตนเองเสมอนางเป็นจักรพรรดินีของต้าชิ่ง ๆชีวิตของนางถูกลิขิตให้อุทิศแก่ราชวงศ์ต้าชิ่ง นางจะอภิเษกสมรสมิได้“ตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว เจ้ายังมีเรื่องอันใดจะกราบทูลอีกหรือไม่? หากมิมีก็กลับไปเถอะ”ความเจ็บตรงท้องของเฉินฝานเพิ่งจะจางหายไป โสตประสาทก็ได้ยินเสียงอันเยือกเย็นของฉินเย่ว์เหมยเมื่อเงยหน้ามอง เห็นว่าฉินเย่ว์เหมยที่นั่งตรงข้ามกับเขาได้กลับสู่ท่าทางเย่อหยิ่งเยือกเย็นดังเดิมแล้วเฉินฝานยักไหล่หากต้องการพิชิตจักรพรรดินีท่านนี้ ดูแล้วหนทางด้านยังอีกยาวไกลสินะ“ข้ามิได้มีเรื่องอันใดเป็นพิเศษ เดิมทีก็แค่อยากเจอเจ้า”เฉินฝานจัดเสื้อผ้าตนเองเล็กน้อย เขาก็เตรียมตัวที่จะจากไปแล้วเช่นกันหลังจากที่กลับมาพบกับพวกฉินเย่ว์โหรวอีกครั้ง ก็อยู่ในสถานการณ์เสี่ย
“เจ้า...เจ้าผู้ชายมักมาก ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”ฉินเย่ว์เหมยที่สูญเสียการทรงตัวไถลเข้าไปในอ้อมอกของเฉินฝาน ใบหน้าขึ้นสี ใช้มือผลักเฉินฝานออกไป“มิปล่อย!”เฉินฝานกอดรัดแน่นกว่าเดิม“เจ้าตัวหอมนุ่มนิ่มเช่นนี้ ข้าจะตัดใจยอมปล่อยได้อย่างไรกัน”“เจ้า!” ฉินเย่ว์เหมยโกรธจนตัวสั่น “หน้าด้านไร้ยางอาย!”“ถูกต้อง!” เฉินฝานทำท่าทีหน้าด้านหน้าทน “ข้าก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ฝ่าบาทท่านเพิ่งมารู้ตัวตอนนี้งั้นหรือ?”“เจ้า...”ฉินเย่ว์เหมยยื่นมือออกไปคิดที่จะผลักเฉินฝานออกอีกครั้ง“ห้ามขยับตัว!” เฉินฝานจับมือสองข้างของฉินเย่ว์เหมยไว้ “เจ้าให้ข้านอนพักสักครู่ได้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานก็ปล่อยมือของฉินเย่ว์เหมย หยิบหมอนมาไว้บนตักของนางสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ หากเขามิได้อยู่ในเส้นทางการสู้รบกำจัดกบฏ ก็เผชิญความยากลำบากที่คาบเกี่ยวกับความตายห้องของฉินเย่ว์เหมยอบอุ่น เรือนร่างของฉินเย่ว์เหมยกลิ่นช่างหอมหวนยิ่งนัก ทำให้เฉินฝานได้สัมผัสกับความอบอุ่นและความปลอดภัยที่มิเคยรู้สึกมาก่อน“อยากนอน เจ้าไยมิกลับห้องตนเอง...”ฉินเย่ว์เหมยหยุดพูดทันที เพราะนางเห็นว่าเฉินฝานที่นอนหนุนตักของนางได้หลับไ
ยามค่ำคืนสำนักบัณฑิตเมืองเซียนตูตอนนี้เป็นที่พำนักของฉินเย่ว์เหมยชั่วคราวณ เรือนหลักลานกลางฉินเย่ว์เหมยสวมชุดบรรทมสีเหลือง ก้มหน้าก้มตาอ่านสาสน์กราบทูล“นี่โกรธข้าอยู่งั้นหรือ มิใช่ว่าข้ามิอยากพบเจ้าในทันทีเสียหน่อย กองกำลังทหารหลวงของหลี่ชิ่งปิดล้อมจวนเจ้าเมืองอย่างแน่นหนา เข้าได้ไปยากยิ่งนัก!”เฉินฝานพูดอธิบายกับฉินเย่ว์เหมย ฉินเย่ว์เหมยกลับเพิกเฉยมิได้สนใจเขาแม้แต่น้อยเฉินฝานเดินไปทางซ้าย นางก็จะหันหน้าไปทางขวาเฉินฝานเดินไปทางขวา นางก็จะหันหน้าไปทางซ้ายอย่างไรเสียมิว่าเฉินฝานจะพยายามเพียงใด นางก็จะมิสบตากับเฉินฝานหมดหนทางแล้วจริง ๆ เฉินฝานจึงแย่งสาสน์กราบทูลในมือฉินเย่ว์เหมยมา จากนั้นมิพูดมิจาดึงฉินเย่ว์เหมยเข้ามาในอ้อมอกทันที“เจ้า เจ้าผู้ชายมักมาก!”ฉินเย่ว์เหมยมีวรยุทธ์ต่อสู้ติดตัว และฝีมือยอดเยี่ยมอีกด้วยตบสองสามทีก็สามารถทำให้เฉินฝานลงไปนอนกับพื้นได้“โอ๊ย ๆ ๆ เจ็บเหลือเกิน เจ็บจะตายแล้ว!”เฉินฝานกุมท้องตนเอง กลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น“เจ้าอย่ามาแสร้ง...”ราวกับเฉินฝานมิได้ยินคำพูดของฉินเย่ว์เหมย ยังคงกุมท้องกลิ้งไปกลิ้งมา สีหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดสุดขีด“เจ
“เฉินฝาน ถึงแม้ตอนเจ้าจะเป็นอัครเสนาบดีขั้นหนึ่งระดับสูง ทว่าก็มิสามารถสังหารเลขาธิการขั้นสองระดับสูงอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ได้!”เสิ่นหมิงหยวนที่พอจะสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เริ่มประณามเฉินฝาน“ถูกต้อง ในฐานะที่หยางอวิ๋นหู่เป็นเลขาธิการกรมโยธาธิการขั้นสอง ต่อให้จะทำความผิด ก่อนที่จะสังหารก็ต้องฝ่าบาทออกคำสั่งก่อนจึงจะสังหารได้ อัครเสนาบดีเบื้องซ้ายทำเกินไปแล้ว”“เพิ่งจะได้รับตำแหน่งอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ก็กำเริบเสิบสานแล้วหรือ? คิดว่าสามารถสังหารขุนนางที่ยศน้อยกว่าเขาได้ ตามอำเภอใจงั้นหรือ?”“คนที่โหดเหี้ยม และมิให้เกียรติฝ่าบาทเช่นนี้ จะสามารถเป็นอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายเยี่ยงไร?”มีขุนนางจำนวนมากที่เดือดดาลกับการกระทำของเฉินฝานแน่นอนว่าเหล่าคนที่เดือดดาลเหล่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพรรคพวกของเสิ่นหมิงหยวน“ฝ่าบาท!” เสิ่นหยวนเลี่ยงรีบเดินออกมาจากด้านหลังเสิ่นหมิงหยวนทันที “ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย...”“ชิ้ง!”เฉินฝานตวัดกระบี่ในมือชี้ไปที่เสิ่นหยวนเลี่ยงทันที “ถ้าเจ้ายังพูดพล่ามอีก อย่าหาว่ากระบี่ในมือข้าไร้ความปรานี”น้ำเสียงเฉินฝานดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ท่าทางโหดเหี้ยมอย่างมา
“ฝ่าบาท”เฉินฝานพุ่งตัวขึ้นไป ส่ายหน้าให้กับฉินเย่ว์เหมยหลี่ชิ่งยังมีทหารหลวงประจำการอยู่ด้านนอกเมืองเซียนตูห้าหมื่นกว่าคน สามารถเคลื่อนทัพตามคำสั่งของเสิ่นหมิงหยวนได้ทุกเมื่ออำนาจของเสิ่นหมิงหยวนเป็นปึกแผ่นอย่างมาก ตอนนี้หากอยากจะโค่นล้มเสิ่นหมิงหยวนในคราเดียว ต้องบีบบังคับให้เสิ่นหมิงหยวนจนตรอกให้ได้สถานการณ์ตอนนี้ ควรปล่อยตามน้ำไปก่อนน้ำเสียงของฉินเย่ว์เหมยผ่อนคลายลงแล้ว “ทหารหลวงรวมพลมากมายอยู่ที่แห่งนี้ ข้าคิดว่าใต้เท้าเสิ่นจะก่อกบฏเสียอีก?”เสิ่นหมิงหยวนเลิกคิ้วขึ้นทันที เขารู้ว่าฉินเย่ว์เหมยยอมอ่อนข้อแล้วเหมือนกับที่เฉินฝานคาดการณ์ เสิ่นหมิงหยวนได้เตรียมการโต้กลับไว้เรียบร้อยแล้ว ขอเพียงฉินเย่ว์เหมยออกคำสั่งโจมตีเขา เขาก็จะสั่งให้กองกำลังทหารหลวงห้าหมื่นคนของหลี่ชิ่งปิดล้อมเมืองทันทีเสิ่นหมิงหยวนรีบกล่าวอย่างลนลาน “ฝ่าบาทคิดจะทำให้ข้าน้อยตกใจตายหรือกระไร ข้าน้อยเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นคนหนึ่ง ไฉนจะคิดก่อกบฏได้”คำพูดนี้เสิ่นหมิงหยวน มิเพียงแสดงความจงรักภักดีเท่านั้น และยังเป็นการพูดจาเหน็บแนมเฉินฝานอีกด้วยอำนาจในการนำทัพกองกำลังลาดตระเวนยังคงอยู่ในมือของเฉินฝาน ถึงแม้
ตอนที่ห่างจากเฉินฝานอย่างน้อยสิบเมตร ฉินเย่ว์เหมยก็ลงจากเกี้ยวเดินลงมาสาวเท้ามาหาเฉินฝานอย่างเร่งรีบตอนที่ห่างจากเฉินฝานประมาณสามสี่เมตร ฉินเย่ว์เหมยกลับหยุดฝีเท้าของตนเองไว้หิมะค่อยๆโปรยปรายลงมาตอนที่ห่างกันประมาณสองสามเมตร ฉินเย่ว์เหมยและเฉินฝานยืนมองหน้ากันและกันห่างกันไปเพียงเวลาสั้นๆมิกี่เดือน ทว่ารู้สึกห่างจากเฉินฝานไปสองภพชาติจึงได้กลับมาพบกันอีกครั้งน้ำตาคลอเบ้า จวนจะเอ่อล้นไหลออกมาแต่ท้ายที่สุดก็ต้องฝืนกล้ำกลืนน้ำตากลับไปแต่ไรมานางมิเคยลืมนางเป็นจักรพรรดินี เขาเป็นขุนนางนางต้องเก็บอาการไว้!“เขาคือใต้เท้าเฉินจริงๆ”“ใต้เท้าเฉินฝานยังมีชีวิตอยู่!”ท่ามกลางเหล่าขุนนาง มีคนตะโกนลั่นด้วยความดีใจคนผู้นี้คือเลขาธิการกรมยุติธรรมไป่เผยหราน“ใต้เท้าเฉินคืนชีพจากความตาย ช่างเป็นโชคดีของพวกเราต้าชิ่งเสียจริง!”เหล่าขุนนางที่ปกติมิฝักใฝ่เป็นพวกของเสิ่นหมิงหยวนพากันซาบซึ้งใจ“เฉินฝาน!”เสียงตื่นเต้นดีใจครั้งนี้ดังกว่าเสียงดีใจก่อนหน้านี้เสียอีก“ไอ้หยา!”ร่างเงาหนึ่งพุ่งผ่านเหล่าขุนนาง ข้ามผ่านฉินเย่ว์เหมยไป เดินตรงไปหาเฉินฝานทันที“เป็นเจ้าจริงๆด้วย ช่างดีเ
ตวนซินอ๋องมิอยากเชื่อสายตาของตนเอง เขายกกำปั้นไปด้านหน้าเฉินฝานทันที หลังนั้นก็ชูสามนิ้วออกไปชูสามนิ้วแล้วตะโกนพูดขึ้นหนึ่งประโยค“หนึ่งกฎเกณฑ์ สองสตรี สามเงินเหวิน!”เมื่อตะโกนจบก็จ้องไปที่เฉินฝาน สื่อความหมายว่าถึงตาเจ้าแล้วเฉินฝานรู้สึกหมดคำพูดอีกครั้ง ถูกพลทหารหนึ่งพันปิดล้อมมิสำคัญ จวนจะถูกตัดหัวประหารก็มิสำคัญเช่นกันสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...เฉินฝานก็ยกกำปั้นขึ้นมาชูนิ้วยื่นไปด้านหน้าตวนซินอ๋องเช่นกัน“สี่ฤดูกาล ห้าปรมาจารย์ หกที่นั่ง!”ทหารหลวงที่ปิดล้อมเฉินฝานและตวนซินอ๋องไว้มึนงงในบัดดลแม้กระทั่งหลี่ชิ่งที่เป็นหัวหน้าของพวกเขายังกวาดสายตามองไปรอบข้าง เขากำลังสงสัยว่านี้เป็นสัญญาณลับระหว่างเฉินฝานและตวนซินอ๋องหรือไม่“ถูกต้องทั้งหมด ๆ!”ตวนซินอ๋องดีใจออกนอกหน้าเดินไปกอดเฉินฝาน “เจ้าพูดรหัสลับของการเล่นทายตัวเลขถูกทั้งหมด เจ้าเป็นลูกเขยที่แสนดีของข้าจริงๆด้วย เจ้ายังมีชีวิตดังคาดสินะ”กำปั้นแห่งความปีติของตวนซินอ๋อง ทุบไปหลังเฉินฝานครั้งแล้วครั้งเล่าเฉินฝานรู้สึกวิงเวียนศีรษะ เขาจวนจะถูกพ่อตาของตนเองตบหลังจนแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว“ชาวบ้านใจกล้า ก่อความวุ่