ทั้งมธุรส เนตรเกล้า แลตองนวลแทบจะผงะเมื่อยังไม่ทันที่เนตรเกล้าจักปรามาสมธุรสจนจบคำ ข้อมือที่เงื้อขึ้นสูงของนางก็ถูกคว้าไว้ด้วยพระสุวรรณราพณ์ที่กำลังตามหาเจ้าจันทร์อยู่จนหลงมาถึงศาลากลางสวนดอกแก้วนี้ เมื่อเห็นว่าพระสนมคนที่สองที่นำมาแผลงฤทธิ์เดชใส่สาวเจ้า จึงอดไม่ได้ต้องไปกระชากข้อมือที่แสนอวดดีนั่นไว้“คะ... คุณพี่!”เสียงของเนตรเกล้าดังขึ้นอย่างหวาดผวา พอๆ กับตองนวลที่ตัวสั่นเทาแทบหมอบลงไปเมื่อเห็นแววตาวาวโรจน์ของท่าน สุวรรณราพณ์หลุบตาลงมองข้อมือเล็กของเจ้าจันทร์ที่แดงเป็นปื้นจากแรงของเนตรเกล้า ท่านจึงหันกลับไปคาดคั้นคำตอบจากนาง“เจ้าคิดจักทำกระไรเจ้าจันทร์”“ไม่นะคะคุณพี่ แค่เพียงจักสั่งสอนที่มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง... กรี๊ด!”เพี้ยะ!ราวกับอัสสุนีบาตรฟาดลงกลางศาลา เมื่อสุวรรณราพณ์บันดาลโทสะด้วยการสะบัดหลังมือจนเนตรเกล้าหน้าหันไปอีกข้าง ปากที่อวดดีนั่น นางมักรังแกพระสนมของเขาอยู่เสมอ ทำให้ระบบที่วางไว้รวนเรไม่เหลือรูป จำเป็นต้องสั่งสอนเสียบ้าง เพื่อให้ประพฤติตัวสงบเสงี่ยมยิ่งขึ้นวิธีปราบพยศเมียแต่ละคน ก็จักต้องรุนแรงเช่นนี้มธุรสเบิกตากว้าง มองเนตรเกล้าที่ล้มลงไปนั่งพับเพียบพร้อมก
“พี่จักรักน้องให้เต็มที่ทุกวี่วันเลยดีหรือไม่ รักจนกว่าน้องจักขาดใจ” ดวงใจสาวน้อยสั่นไหว กษัตริย์อสุราที่ปกติดูเหมือนพวกแข็งกระด้าง แถมยังเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บัดนี้ร้อนแรงเหลือเกิน เขารั้งหล่อนเข้าไปชิดกับดวงหน้า กดจูบหนักๆ ที่ข้างแก้มผ่องใส เขี้ยวเย็นๆ ชนกับแก้มของเธอจนรู้สึกจั๊กจี้“อ๊ะ” เสียงหวานหวีดหวิวเมื่อถูกกดจูบตรงลาดไหล่มน ความสวยงามของนางทำให้ยักษาตาฝ้าฟาง รู้สึกเหมือนตนเองกำลังจมลึกลงไปในห้วงแห่งความปรารถนา แยกมิออกว่าเขากำลังหลงใหลใคร่ในจิตต่อใครกันแน่ แต่มั่นใจเหลือเกินว่าต้องเป็นเจ้าจันทร์ที่รักยิ่งของเขาแน่นอน เพราะมักเห็นเป็นภาพของนางซ้อนทับอยู่เสมอการหลอกตัวเองไปวันๆ นั้นทำให้จิตใจของเขาพองโต ราวกับได้ชำระล้างจากความทุกข์นางไม่ใช่ตัวจริงหรือ ลืมมันไปเสียก่อนเถิด รู้แค่ว่าในเพลานี้เขามีความสุขกับนาง แม้นมิใช่ตัวจริงก็ยินดีกายาใหญ่ปลดผ้ารัดอกขนาดพอดีตัวของนางออก เพียงไม่นานปมของมันก็ถูกปลดออกอย่างง่ายดาย อวดโฉมความงดงามของทรวงที่มิเคยเห็นจากหญิงใดมาก่อน กลิ่นหอมจากปทุมถันราวกับน้ำผึ้งรสหวาน ชักชวนให้ภมรตัวโตเช่นเขาต้องการจักลิ้มชิ้มรสอย่างมิรู้จักหยุดเคยเสวยมาหลายครา
อาจดูเป็นการเว้าวอนที่ไร้ประโยชน์ แต่การที่เธอสมยอมเขาถึงเพียงนี้ จะไม่สะกิดใจอสุราหนุ่มผู้นี้บ้างเลยหรือ“ข้าอาจผิดเองที่ตั้งข้อเสนอนั้นมาตั้งแต่ต้น” สุดท้ายสุวรรณราพณ์ก็เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป เขาพยายามวางตนด้วยถ้อยคำที่เป็นกลาง หากแต่อีกฝ่ายที่ได้ฟังก็ยังเจ็บปวดอยู่ดี “แต่เพราะเหตุใดจึงคาดคั้นจักเอาคำตอบเช่นนั้นเล่า”“... ถ้าข้าบอกว่าข้ารักท่านล่ะ” ดวงตากลมโตนั้นมีน้ำตาใสๆ เอ่อคลอ นางคงตกหลุมรักเขาแล้วจริงๆ ตอนแรกที่ถาม เพียงแค่อยากรู้ แต่จะไม่คิดโกรธหรือเสียใจใดใดเลย นั่นเพราะฐานะของเราก็แค่คู่นอนเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้นแต่ยิ่งนานวัน ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งไหวหวั่นเหลือเกินหลงรักเขาไปแล้วโดยไม่รู้ตัว นึกน้อยใจที่เขาเข้าห้องผู้หญิงคนอื่น โดยไม่รู้จักเตรียมใจสุวรรณราพณ์หยุดเล่นกลุ่มผมนุ่มของนาง มีสีหน้านิ่งสงบขึ้นมาทันที อาจจักดูเห็นแก่ได้ไปเสียหน่อย แต่ที่พร่ำบอกรัก เฝ้าทนุถนอมยิ่งกว่าหญิงใด เพียงเพราะว่าต้องการเพียงลูกที่มาจากกายตรงหน้า“ข้ามิอาจรักเจ้าได้ ข้ารักแค่เพียงกายหยาบของเจ้า”คำตอบที่ได้รับกลับมา ทำให้เด็กสาวได้แต่สะอื้นเงียบๆ กายใหญ่หยัดขึ้นนั่ง ขยับร่างกายมห
สุวรรณราพณ์ยักษานิ่งชะงักงันไปชั่วอึดใจ แววตาที่ว่างเปล่านั้นเสียดแทงดวงใจเหลือเกิน นางสบตามองเขา ไม่คุ้นเคยชายผู้นี้เลย เขาคือใครกัน รู้แค่ว่าตัวเองนั้นคือเจ้าจันทร์ ถือกำเนิดมาจากเมืองจันทร์ พระบิดาคือกษัตริย์ศรีจันบาล แลตอนนั้นตนเองก็ยังบรรทมอยู่ในห้องนอนของตนอยู่ดีๆ แท้ๆพอหรี่ตาลงมองเรือนร่างของตนเอง เนื่องจากชายตรงหน้าเปลือยท่อนบน สวมสังวาลทับทรวง แลมีเขี้ยวราวกับยักษ์ นางเห็นว่าตัวเองนั้นเปลื้องผ้า จึงผวารีบยกผ้าแพรขึ้นมาห่มบังทรวงเอาไว้ หน้าตาแตกตื่น“ทะ... ท่านคือใครกัน ไฉนข้าถึงได้เปลือยเปล่าเช่นนี้”ฝ่ายสุวรรณราพณ์ยังคงมิเข้าใจที่อยู่ดีๆ ดวงจิตแปลกหน้าที่พร่ำบอกรักเขา จักกลับกลายเป็นหญิงความจำเสื่อมได้ในข้ามคืน เขาพยายามเอื้อมมือเพื่อบริกรรมคาถาสำรวจจิตของหล่อน แต่สาวเจ้ากลับหลบหน้าหนีไม่มีท่าทียินยอม“อะ... ออกไปนะ”“น้องจำพี่มิได้หรือ เราเป็นผัวเมียกันอย่างไรเล่า” ฝ่ายกษัตริย์อสุราพยายามคืนสติให้สาวเจ้า เนื่องว่าไม่สามารถทายใจได้ว่านางในตอนนี้คือใคร ทำท่าทางราวกับมิรู้จัก มีความเรียบร้อยไว้เนื้อไว้ตัวมิต่างจากพระสนมคนอื่นๆ เหมือนว่านี่คือเจ้าจันทร์คนเก่า“ท่านคือใคร ข้ามิ
ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวด เธอชอบสุวรรณราพณ์มากขนาดนี้จนยอมพลีกายพลีใจให้ ยอมตั้งครรภ์ให้เขา แต่สุดท้ายชายคนนั้นก็เพียงแค่เห็นเธอเป็นเครื่องมือในการสร้างบุตรแฝด เผื่อเจตจำนงที่มีต่อเจ้าของร่างคนเก่าเท่านั้นใช่ เจ้าจันทร์คือคนที่เขารักแล้วเธอไม่ใช่คนหรือยังไง? ทำไมต้องทำร้ายใจเธอขนาดนี้“คุณปู่ปลา หนูจะอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหน หนูตายแล้วใช่มั้ย” เธอถาม ดวงหน้าหวานแนบอิงกับแผ่นอกของชายหนุ่มรูปงาม เธอรู้สึกสบายใจที่อีกฝ่ายมีจิตใจที่อบอุ่นจนสัมผัสได้ เขาพยายามคุ้มครองเธอ อาจจะด้วยฐานะอะไรก็ไม่รู้ได้ “หนูตายเพราะมีเซ็กซ์กับยักษ์จนตายหรือเปล่า”วลีนั้นดูติดตลกเพื่อกลบเกลื่อนความเศร้าหมองในน้ำเสียง เทพยดาหนุ่มลูบผมเธออย่างอ่อนโยน แนบปลายจมูกโด่งกับกระหม่อมสวย“น้องมิได้ตาย พี่เพียงนำดวงจิตเจ้าขึ้นไปบนสวรรค์ เพื่อที่เราจักได้ตกลงปลงใจ คุยกันอย่างเรียบร้อย”“... เรื่องอะไรเหรอคะ”“เรื่องที่พี่มีใจมั่นคงต่อเจ้า อยากให้เจ้าร่วมเสวยสุขจากเมืองสวรรค์กับพี่ พี่มาสู่ขอเจ้านะ อาจจักเป็นพิธีรีตองตามแต่ท่านจักทรงโปรด”“ท่านที่คุณปู่หมายถึงคือใครหรือคะ”“สมเด็จท่านท้าววสวัตตีเทวราช อธิบดีแห่งสรวงสวรรค์ชั้นป
“ข้ามิอยากรู้ คู่ชะตากระไรกัน ข้ามีคนที่ข้ารักอยู่แล้ว เจ้ามิมีสิทธิ์พรากข้าจากผู้ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอมนุษย์ต่ำช้าเช่นเจ้า” นางตั้งทิฐิกับชายตรงหน้า ตามที่ว่าว่านางนั้นมีคนที่นางหลงรักอยู่แล้ว นั่นคือขุนพิทักษ์เทพมิตรสหายของพระบิดาในวังอันแสนสุขุมอ่อนโยน เขาเคยเป็นแค่ชายชาวบ้านธรรมดา แต่เพราะความหาญกล้าในการรบจนชนะ จึงตีต้นขึ้นมาเป็นขุนในวัง แลหัวใจนางจักรักมั่นแค่เพียงเขาผู้เดียวเท่านั้น “พาข้ากลับไปที่เมืองจันทร์เถิด ข้ามิได้นึกใคร่รักเจ้าเลยแม้แต่นิด”สุวรรณราพณ์นั้นแสนเจ็บปวดดวงใจ เขานั้นรู้ดีว่านางมีใจใฝ่รักในขุนพิทักษ์เทพที่ในวันที่เขาพากองทัพยักษามาตีเมืองจันทร์ ชายผู้นั้นได้ไกล่เกลี่ยไพร่พลยักษ์อย่างชาญฉลาด แต่เมื่อพูดคุยกันมิได้ เลยตั้งการทำการสงครามจนมีพรรคพวกของเขาจำนวนหนึ่งล้มตายไป แม้นสุดท้ายจักชิงเจ้าจันทร์มาจากตาแก่ที่เห็นแก่ตัวนั้นได้อยู่ดี เนื่องจากมนุษย์ก็คือมนุษย์ แม้นมีคาถาอาคม ก็สู้กับคนที่มีพลังมิได้รู้ดีว่านางรักมั่นต่อชายผู้นั้น จนมิมีแม้แต่ใครในดวงใจอีกต่อไปหากแต่ในเพลานี้ นางเป็นของเขา นางตั้งครรภ์บุตรชายแลบุตรสาวของเขาคงปล่อยนางให้กลับไปมิได้“อย่างไร
มธุรสผงะไป นี่มันยูนิเวิร์สไหนกันแน่ อีกอย่างเธอไม่เข้าใจเลย สมัยที่ยังมีชีวิตในฐานะมธุรส เธอไม่เคยเชื่อเรื่องชาติก่อนหรือชาตินี้ รวมถึงนรกหรือสวรรค์ด้วย เพราะตั้งแต่เกิดมาก็มีแต่นรกที่ต้องเผชิญอยู่ทุกวันแค่ที่วาร์ปมาในยุควรรณคดีก็ว่าเชื่อยากแล้ว ยิ่งตอนนี้ถูกดึงขึ้นไปบนวิมานสวรรค์อีก“ได้อย่างไรคะ” เธอถามออกไป ใจหนึ่งก็อยากรู้ แต่อีกใจก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดี“ชาตินั้นเราครองรักกันบนสวรรค์ชั้นฟ้า นามน้องคือนางอัปสรนามว่ามธุรสวดี ส่วนพี่นั้นครองรักน้อง เสพสุขมาช้านาน จนกระทั่งมีอสุราน่าเกลียดน่ากลัวตนหนึ่งลากเจ้าไปย่ำยี”“...”“เจ้าตรอมใจมิแสวงบุญอีกต่อไป เลยตกระกำลงมาเกิดเป็นมนุษย์หน้าตาอัปลักษณ์ แลตายตกไปตามยักษ์ตนนั้น มิว่าเกิดมากี่ภพ พี่ก็จักถูกแย่งน้องอยู่ร่ำไป”“...”“จนภพชาตินี้ มันก็ยังมาแย่งน้องไปจากพี่ แลเสพสุขจากกายน้องต่อหน้าพี่ในบึงอีกต่างหาก”“...”“หยามเกียรติกันเช่นนี้ พี่จักมิปล่อยน้องให้กลับไปหาไอ้ยักษาชั่วช้าผู้นั้นอีกต่อไป”แรกเริ่มเดิมทีนั้น มธุรสเป็นนางอัปสรสวรรค์นามว่ามธุรสวดีที่อยู่เคียงกายเทวดาองค์นี้ แต่มักต้องมีชะตาให้พลัดพรากกันอยู่เรื่อยไป เนื่อง
“... มาหาพี่ถึงที่ มิกลัวหรือ” เสียงทุ้มทวนถาม ดวงตาสีครามราวกับท้องฟ้ายามเช้าสบตากับหล่อน พาลให้หัวใจสั่นระรัว เทวดาหนุ่มหยัดกายลุกขึ้น เมื่อขยับมาก็ชิดใกล้กันเกินจำเป็น“คะ... คุณปู่” เสียงหวานสั่นระริก ทำไมต้องหน้าตาดีขนาดนี้ก็ไม่รู้ ถึงไม่รักก็จริง แต่ใกล้ขนาดนี้เป็นใครก็หวั่นไหว“เลิกเรียกว่าคุณปู่ได้หรือไม่ ถึงอายุอานามกว่าพันปี แต่พี่ก็มีรูปกายดังหนุ่มสาว”“...”“ลืมมันผู้นั้นได้แล้วหรือ” เธอกลั้นก้อนสะอึกลงคอ พลางสั่นหน้าไหวๆ“ถึงลืมไม่ได้ ก็ต้องลืมไม่ใช่หรือคะ”“แล้วหากมิว่าทำเช่นไรน้องก็ยังลืมมิได้ จักทำอย่างไรต่อ” เทพยดาหนุ่มต้องการล่วงรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของมธุรสของเขา หากแต่นางกลับสั่นหน้าไปมาอีกครั้ง เธอตกหลุมรักสุวรรณราพณ์ไปเต็มใจอย่างมิต้องสงสัย “จักมิมีคำตอบให้พี่เลยหรือ”หยาดน้ำตาใสรื้นขึ้นบนดวงตากลมโต มธุรสสะอื้นออกมาอย่างสุดกลั้น“หนูไม่รู้ว่ารักเขาขนาดนี้ได้อย่างไรเลยค่ะ”“...”“มันตลกร้ายดีนะคะ ทั้งที่คุณปู่ปลาดีกับหนูทุกอย่าง แต่ใจหนูกลับเรียกหาแต่คนที่ใจร้ายกับตัวเอง” เธอว่าอย่างอดสู ทั้งๆ ที่คนตรงหน้าเพียบพร้อมเสียขนาดนี้ แต่หัวใจเจ้ากรรมกลับนึกถึงแต่หน้ายั
เมื่อปล่อยร่างนั้นลงพื้น ผีขุนแสนคำถามขึ้นมา เขานึกสงสัยนักว่าทำไมดวงจิตของผู้หญิงคนนี้ถึงมาอยู่ในร่างของเมียใจชั่วของเขา“จะให้บอกชื่อร่างที่มาสิงหรือบอกชื่อจริง?” หมั่นไส้ความเป็นผียังเต๊ะท่าบาตรใหญ่เลยยียวนไปที อย่าคิดว่าอีบีคนนี้จะไม่กล้ากวนประสาทผีนะ‘คิดว่ากูเป็นเพื่อนมึงหรือไร อีผีเร่ร่อน บอกชื่อมาเสีย... ก่อนที่กูจักจับมึงมาเป็นบริวารอีกตัว’จบประโยคนั้นก็มีเสียงหัวเราะคิกคักลอยเคว้งอยู่รอบตัว ดูเหมือนว่าหมอนี่จะเป็นผีที่มีพลังวิญญาณมาก ถึงขนาดจับผีเร่ร่อนมาเป็นพวกได้เลยหรือนี่“บี หนูชื่อบี! แล้วก็ไม่ใช่ผีเร่ร่อนด้วย” เป็นวิญญาณเฉยๆเอ้ะ หรือมันก็เหมือนๆ กันวะ?‘เช่นใดผีเร่ร่อนจึงมาสิงสู่ร่างกายอีบัวงาม มันตายไปแล้วหรือ!’ สิ้นคำถามส่อแววพยาบาทนั้น นางสาวบีเองก็หยุดคิดอยู่ครู่ใหญ่“ไม่มั่นใจ หรือตายแล้วแหละ” ก็ถ้าตามที่เรียนมาเมื่อกายหยาบมีวิญญาณอื่นมาสิงสู่ได้ แสดงว่าจิตในร่างก็ต้องหลุดออกจากกายหยาบแล้วใช่ไหมนะ‘ยังมิทันได้ชดใช้บาปกรรม ก็ตายห่าเสียแล้วหรือ’ ร่างกำยำที่มีรังสีความเฮี้ยนอยู่มากยืนครุ่นคิด ขุนแสนคำเชื่อว่าวิญญาณนังหญิงชั่วนั่นยังไปไหนได้ไม่ไกล เมื่อยังมีชีวิตเขา
“มันมีฤทธิ์ห้ามการสร้างครรภ์น่ะ”“...”“เท่านี้... ก็สามารถเสร็จสมภายในเจ้าไม่ว่ากี่คราได้แล้วใช่หรือไม่” อีกฝ่ายเว้าวอนถาม แม้หล่อนมิเชื่อใจแต่จักสามารถปฏิเสธการร่วมรักนี้ได้จริงๆ หรือ ทั้งๆ ที่มันยังค้างคาอยู่เช่นนี้ เขาเสร็จสมตามใจหมายไปแล้ว แต่อัปสรสาวยังมิถึงแก่นลึกของจุดเลยด้วยซ้ำมิแปลกที่อีกฝ่ายจักยังมิเคยมีหญิงใด เขายังไร้ประสบการณ์นัก“ข้าจักควบคุมกิจนี้เองเจ้าค่ะ” เสียงหวานเอ่ยอาสา พลางรั้งท้าวไกรสิงห์ลงไปเป็นฝ่ายอยู่เบื้องล่างแทนโดยมิรอขอคำอนุญาตจากเขา บทรักเร่าร้อนนี้หล่อนเพียงแค่อยากเป็นฝ่ายควบคุมเองเพื่อมิให้อีกฝ่ายเล่นกลตุกติกสร้างเด็กในครรภ์ให้หล่อนโดยมิเต็มใจ อัปสราจึงยกกายเล็กขึ้นทาบทับ ปลดปล่อยกามารมณ์แลสรีระเรือนกายอันงดงามให้ปรากฎตรงหน้าครุฑหนุ่มสีชาดที่มีดวงตาคมเปล่งประกายเขามิรู้ว่าควรจักต้องรู้สึกเช่นใด เมื่อหญิงที่ต้องการนั้นขึ้นสมสวาทด้วยตนเอง ราวกับนางกำลังมีอารมณ์ร่วมให้กับรสรักของเขา“อ่า... อัปสร” เสียงทุ้มแหบพร่า เมื่อร่องเกสรดอกกรรณิการ์นั้นรวบรัดท่อนจันทน์ของเขาไปจนสุด มันทั้งลึกแลตอดรัดยั่วเย้าใจชาย พาให้เขาผงาดเต็มภายในเรือนกายของนาง ปล่อยให้อีกฝ่า
“กรรณิกา... ยั้งก่อนได้หรือไม่” ฝ่ายนั้นอ้อนวอน กรรณิกาอัปสรบังเกิดความรู้สึกแปลกพิกลขึ้นในใจ หล่อนเงยหน้าขึ้นสบตาท้าวไกรสิงห์ สีหน้าของเขาในยามที่หล่อนปรนเปรอนั้นดูไม่เหมือนท่าทีในยามปรกติ ดวงตาสีชาดนั้นจดจ้องดวงหน้าแลทุกอากัปกิริยาของนางอย่างคลั่งไคล้“... เหตุใดถึงมองด้วยสายตาเช่นนั้น” เพราะอดีตเคยอยู่ในโลกสมัยใหม่ กรรณิกาอัปสรโพล่งถามออกมาตามตรง หล่อนเพียงต้องการความคิดเห็นกับการบำเรอในคราวนี้ “มิพึงใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือเจ้าคะ?”“ก็มิเท่าใดนัก” หากแต่เพราะเป็นบุตรชายคนเดียวเลยถูกเลี้ยงดูมาให้เป็นนักรบ ไม่อาจบอกความรู้สึกหวั่นไหวของตนเองไปตามตรง ท้าวไกรสิงห์หลบสายตาหล่อนพลางพูดจารอนใจสาวโดยมิรู้ตัว“ท่านมิชอบ... กระนั้นหรือเจ้าคะ?” สายตาของนางหลุบมองต่ำอย่างละอาย เป็นเมียที่สุวรรณราพณ์มิรักยังมิพอ พอจักปรนเปรอใครใหม่ ก็ช่างทำได้ห่วยบรมจนอีกฝ่ายต้องบอกว่าไม่เท่าใดนัก“มิใช่มิชอบใจ หากแต่...” เมื่อเห็นว่าดวงหน้าหวานหมองเศร้า ดวงใจครุฑหนุ่มก็อ่อนยวบ เขาติดนิสัยชอบใจอ่อนกับสิ่งสวยงามที่หมายตาครอบครอง กายกำยำค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้นมา เอื้อมฝ่ามือหนาสัมผัสผิวแก้มขาวผสมชมพูอย่างคนหน้าขึ้นส
อ้อมกอดแห่งครุฑสีชาตินั้นทำให้นางยากจักถอนกายออก ความอบอุ่นที่ไม่ทราบเหตุผลว่าเพราะเหตุใดชายผู้นี้ถึงได้เลือกนางเป็นมารดาผู้ให้กำเนิด กรรณิกาอัปสรไม่คิดหวังให้ท้าวไกรสิงห์ใฝ่รักใฝ่หานาง หล่อนหมดหวังไปตั้งแต่พระสวามีคนก่อนแล้วสุวรรณราพณ์มองกรรณิกาที่อยู่ในร่างของเจ้าจันทร์เป็นเพียงแค่ตัวแทนหญิงที่ห่างกายเขาไปเมื่อนานมาแล้ว เขามักตัดพ้อรำพันทุกค่ำคืนว่าหญิงในอดีตชาตินั้นร้างรักเขาเนื่องจากเป็นอสูรรูปชั่ว แม้นมียศถาบรรดาศักดิ์มากมาย ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจนางได้หารู้ไม่ว่าทุกอย่างนั้นคือบ่วงกรรมที่ทำให้ทุกฝ่ายต้องเผชิญ ฝ่ายท้าวไกรสิงห์นั้นไม่สามารถระลึกชาติก่อนได้ แต่เขามีสะพานกรรมที่ต้องวนเวียนชดใช้ อดีตชาติของท้าวไกรสิงห์ก่อนจักมาเกิดเป็นครุฑนั้น คืออดีตพรานบุญที่หลงรักมธุรสวดี อัปสราสาวที่ลงมาล้อเล่นน้ำอาบแสงจันทร์กลางป่าหิมพานต์ในสระอโนดาต แลเสพสมกับหล่อนกลางสระงาม โดยที่หล่อนเมามายรสน้ำเงาจันทร์ ทำให้หลงลืมคิดว่าพรานบุญนั้นคือสามีของตนเฉกเช่นทศกุมภัณฑ์เมื่อทศกุมภัณฑ์มาพบการก่อกบถเข้า จึงทำการฆ่าพรานบุญคนนั้นจนตายในชาติก่อน ชิงเมียรักกลับมาสู่อ้อมอก พรานบุญนั้นสาปแช่งก่อนตายตกว่าชาติ
ก่อนพบรักกับอัปสรมธุรสวดี ทศกุมภัณฑ์เคยมีภรรยาเป็นยักษีรูปร่างงดงามสะสวย นางเสวยทิพย์มิกินเนื้อคนต่างจากเขาผู้เป็นสวามี นางถูกตบแต่งกับเขาเพียงเพื่อสานไมตรี ทศกุมภัณฑ์อัปลักษณ์หากแต่มียศศักดิ์บริวารมาก ตระกูลยักษ์ฝั่งนั้นจึงส่งนางปารตีเป็นเมียกำนัล การตบแต่งที่มิได้เริ่มต้นด้วยความรัก สุดท้ายทศกุมภัณฑ์กลับหลงรูปโฉมอัปสราจนทิ้งนางน้ำตาตกในตลอดมานางยักษ์ปารตีเองก็มิได้เหลียวแลเนื่องจากสวามีนั้นโหดเหี้ยมทานแต่เนื้อสัตว์ ทั้งเนื้อสัตว์เนื้อมนุษย์ไม่ขาดปาก นางที่เป็นยักษ์เสวยทิพย์ชั้นสูง จึงตีตนออกห่าง จนเป็นช่องโหว่ให้อีกฝ่ายนั้นไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย อยู่ของนางดีๆ ก็ต้องมารับรู้ว่าสวามีของตนนั้นได้ลิ้มรสเชยชมนางอัปสรชั้นสูง พร้อมกับเอานางอัปสรมธุรสวดีเข้ามากกกอดถึงในรังนอนนิมมานเทพเองต้องการดวงตาของนางยักษ์ปารตี เนื่องจากดวงตาของนางเป็นดวงตาที่สาม สามารถเปิดโลกแห่งความตายทั้งปวงได้ การมีดวงตาของนางเอาไว้ในครอบครอง มิว่าจักเป็นนรกภูมิหรือสรวงสวรรค์ เขาจักเป็นชายผู้มากศักดาจนมีแต่คนอยากคบหาพาที เขาจึงส่งนางอัปสรมธุรสวดีเข้าหาทศกุมภัณฑ์หวังยั่วยวนหาโอกาสฆ่าชิงดวงตาที่สามของนางปารตี แต่นางอั
“เมื่อเจ้าเติบใหญ่กว่านี้ พ่อจักบอกทุกอย่าง อดทนรอแล้วทำตามที่พ่อเอ่ยได้หรือไม่” แน่นอนว่าพระสุวรรณราพณ์รู้ดีถึงพลังที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดของบุตรแฝด แต่เนื่องจากอินมุกแลจันทร์ดายังมิมีวุฒิภาวะหรือการเผชิญหน้ากับโลกภายนอกมากพอที่จะเข้าใจเรื่องราวในอดีตชาติของตน เขาจึงอยากรอให้ลูกทั้งสองเติบโตมากกว่านี้ก่อน“ไม่! ท่านควักดวงตาแม่แท้ๆ ของข้า แลยังขับไสไล่ส่งแม่ที่แท้จริงของพวกเราไปไกลบ้านไกลเมือง หากมิรักใคร่เนื่องจากพวกเราเป็นสายเลือดมนุษย์ ท่านพ่อก็บอกข้ามาตามตรงเถิด!” จันทร์ดาได้ฟังพี่ชายว่าเช่นนั้นก็ใจตกไปอยู่แทบตาตุ่ม ยืนร่ำไห้กอดอินมุกที่หยัดยืนสู้ตัวน้อยๆ ประจันหน้ากับกษัตริย์เมืองยักษ์ที่ถือเป็นบิดาแท้ๆ ของตน ตั้งแต่เกิดมาบิดาไม่เคยพูดดีด้วยนอกเสียจากมองเขาเป็นตัวปัญหา แม้นจักเป็นลูกของสตรีที่มิได้รัก แต่ก็มีหัวจิตหัวใจเช่นกัน“ควักดวงตา? หมายความว่าเช่นไร” สีหน้าของพระสุวรรณราพณ์นั้นสับสน ชวนให้สองเด็กแฝดชะงักไป“พระมารดาของเจ้านั้นอยู่ที่เมืองจันทร์ นางตาบอดเพราะถูกควักลูกตาไปด้วยฝีมือของพระบิดาของพวกเจ้า เนื่องด้วยนางมิเป็นที่โปรดปรานเท่ากับสนมคนที่สิบสองอย่างนางอัปสรที่นามว
“ไสหัวไปเสีย ก่อนที่กูจักบั่นคอมึงให้ดับดิ้นอยู่ตรงนี้” พอได้ยินอีกฝ่ายตีฝีปากกลับอย่างมั่นอกมั่นใจเช่นนั้นอสุราหนุ่มยิ่งพิโรธเหลือ เขารู้เรื่องราวทุกอย่างที่หล่อนลงมาแลแปลงกายเป็นอัปสรเพื่อเข้ามาเป็นสนมคนที่สิบสาม แต่เขาไม่สามารถล่วงรู้ได้ถึงช่วงที่นางดำรงอยู่บนสรวงสวรรค์กับนิมมานเทพ มิอาจรู้ได้ว่ามันได้เป่าหูกระไรนางไว้บ้าง“อย่าลืมเสีย สุวรรณราพณ์... ไม่สิ ไอ้ทศกุมภัณฑ์เอ๋ย”“...!”“มธุรสวดีจักไม่มีวันตกเป็นของมึง แม้นชาตินี้หรือชาติไหน กูจักตามราวีมึงทุกชาติไป เพื่อให้ได้มาซึ่งหญิงที่กูหมายครอง”ไวกว่าความคิด พระสุวรรณราพณ์เขวี้ยงดาบทมิฬตรงไปยังร่างตรงหน้าหวังฟาดฟันด้วยความเกรี้ยวโกรธสุดกำลัง แต่ร่างนั้นกลับสลายหายไปเป็นเพียงไอหมอกเย็นเยียบโอบล้อมรอบดาบดำมืดก่อนที่จักถึงตัว พระสุวรรณราพณ์เรียกดาบทมิฬกลับมาสู่ฝ่ามือใหญ่ กวาดสายตามองไปรอบๆ พลางขบฟันกรอดอย่างขัดเคืองมาทั้งที ก็ทิ้งเพลิงกัลป์ไว้เลยสิหนา“ทะ... ท่านพ่อ ข้า...” อินมุกมีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อผู้เป็นพ่อหมุนตัวใหญ่โตหันกลับมา ดวงตาสีชาดหรี่ลงมองบุตรชายที่ยืนตัวสั่น พระสุวรรณราพณ์ทำได้เพียงเดินนำหน้าลูกไปเท่านั้น“ตามพ่อมา อิ
“พระมารดาของเจ้านั้นอยู่ที่เมืองจันทร์ นางตาบอดเพราะถูกควักลูกตาไปด้วยฝีมือของพระบิดาของพวกเจ้า เนื่องด้วยนางมิเป็นที่โปรดปรานเท่ากับสนมคนที่สิบสองอย่างนางอัปสรที่นามว่ากรรณิกา”“!!!” ทั้งอินมุกแลจันทร์ดาเบิกตากว้าง เป็นจริงดั่งสัญชาตญาณที่ว่ามารดาของตนนั้นไม่อยู่ที่นี่ ตัวจริงนั้นอยู่เมืองจันทร์ ส่วนตัวปลอมที่แปลงเป็นมารดาของพวกเขานั้นคือหนึ่งในสนมที่เป็นนางสวรรค์แต่ยิ่งหดหู่ใจไปกว่านั้น... คือเรื่องที่บิดาเลือกที่จะควักลูกตาของพระมารดาไป เนื่องจากไม่เป็นที่โปรดปรานดั่งเช่นสนมที่เป็นนางอัปสร มันช่างน่าเศร้านัก นี่ท่านพ่อไม่มีความรักต่อแม่เราเลยหรือ“... ว่าต่อได้หรือไม่” ท้ายที่สุดเด็กชายก็อดรนทนไม่ได้ ด้วยความอยากรู้เรื่องราวของแม่ที่แท้จริงจึงเอ่ยปากถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงจากเมื่อครู่“จงมอบความเชื่อใจให้แก่ข้าเสียก่อน จึงจักเล่าต่อได้” นิมมานเทพถือโอกาสออกกลอุบายดึงบุตรของพระสุวรรณราพณ์มาเป็นพวกด้วยค่าของเรื่องราวของหญิงที่เขามินึกใส่ใจอย่างธิดาเจ้าจันทร์“ข้าแลน้องสาวจักเชื่อใจเจ้า”“อินมุก... เจ้ามิรักพระบิดาหรือ เจ้าเชื่อใจข้ามากกว่าพระบิดาหรือ ทั้งๆ ที่มันอาจจักเป็นคำโก
มิรู้ดอกว่าแปลงกายมาหลอกพ่อด้วยเหตุอันใด แต่จักมิยอมญาติดีกับแม่อัปสรสวรรค์นั่นเด็ดขาด“ข้ามิพูดคุยหรือทำดีต่อนาง ยัยนั่นมิใช่แม่ของข้า แม่ของข้าชื่อเจ้าจันทร์ ข้าจำกลิ่นไอของแม่ข้าได้ดี!”“อินมุก จริงๆ แล้วแม่ของเจ้า...”“เลิกพยายามจักโป้ปดข้า หาความดีความชอบมาสู่นังอัปสรนั่นเสียที ท่านพ่อรักหลงนางจนมิเห็นหัวข้าแลน้องจันทร์ดาเลยด้วยซ้ำ!” ว่าพลางก็กัดฟันข่มความรู้สึกโกรธแค้นนางอัปสรนั่น ฉุดแขนจันทร์ดาที่ยืนมองท่านพ่อกับพี่ชายต่อล้อต่อเถียงกันและวิ่งตามแรงจับจูงของพระเชษฐาไปอย่างว่าง่ายอินมุกวิ่งมาจนถึงบึงบัว กำหมัดแน่นในข้างที่ไม่ได้จูงฝ่ามือเล็กของน้องสาว จันทร์ดาเอียงคอมองพี่ชายฝาแฝดที่บัดนี้น้ำตาหยดลงสู่ผิวแก้มสุกปลั่ง“พี่อินมุก โอ๋ โอ๋ พี่อินมุกอย่าร่ำไห้เลยเจ้าค่ะ” เสียงหวานปลอบประโลมพี่ชายเพียงแผ่วเบา ตระกองกอดพี่ชายแนบแน่นเท่าที่จำความได้ อินมุกกับจันทร์ดามีสูรย์วันบ่าวยักษีตนหนึ่งคอยดูแลเป็นแม่นมให้ตั้งแต่เล็ก สายใยอบอุ่นระหว่างพวกเขาและพระมารดาแน่นแฟ้น อินมุกและจันทร์ดาเชื่อว่ามารดาคลอดตนด้วยความรักใคร่ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็ถามถึงแม่ของตนที่มีนามว่าเจ้าจันทร์นางสูรย์