กายแกร่งประจันอยู่ตรงหน้าร่างเล็กที่ยืนเต็มความสูง หากแต่ก็ยังอยู่ได้แค่เพียงไหล่แกร่งของเขาเท่านั้น ดวงตาสีชาดที่ฉายแววลึกซึ้งสบกับดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน ที่เวลานางกระพริบตาทีหนึ่ง... ก็ช่างชวนให้หลงใหลเหลือคณา“เช่นนั้น...” สุวรรณราพณ์ยักษาสบตามธุรสนิ่งงัน อย่างต้องการถามหาความในใจจากสาวเจ้า “เจ้าเป็นใคร”แม้แต่สรรพนามที่เปลี่ยนไปก็พาลทำให้หญิงสาวสะอึกอึ้ง มิรู้จักตอบอันใดไปเลย ทั้งที่ก่อนหน้ามีถ้อยคำมากมายที่อยากจักพูดกับเขา“หนู... ชื่อมธุรส”“บ้านเกิดเมืองนอนที่ดวงจิตเจ้าจากมาเล่า”“กะ... กรุงเทพมหานคร โลกในอนาคตหลังจากนี้อีกหลายร้อยหลายพันปีค่ะ”ท้ายประโยคนั้น กษัตริย์อสุราเม้มกลีบปากเข้าหากันแน่นขนัด เขามิรู้จักอธิบายความรู้สึกในตอนนั้นเช่นไรดี ราวกับโลกทั้งใบพังทลาย เจ้าดวงใจที่รอคอยมาตลอดนับร้อยปี จนค้นหานางพบว่าเป็นลูกสาวกษัตริย์แห่งเมืองใกล้เคียงอโยธยา ทำพิธีนำหญิงสาวที่เกี่ยวข้องจากอดีตชาติมาดูแลใกล้ตัวจนดูเหมือนชายมากเมีย แลพยายามทำความดี อดทนรอนั้น... นางจักมิอยู่ในร่างนี้เสียแล้วหรือว่าเจ้าจันทร์นั้น... จักมอดมรณาไปเมื่อยามได้พิษไข้ประหลาดนั่นเสียแล้วงั้นหรือ หากแต่ยัง
น้ำตาใสนองอาบแก้ม มือหนาที่ไปไวกว่าความคิด ทั้งที่นางมิใช่เจ้าจันทร์ที่เขารักแท้ๆ หากแต่บุรุษยักษากลับเอื้อมมือไปสัมผัสที่ผิวแก้มของมธุรสอย่างแผ่วเบาจนนางต้องหลับตาลงข้างหนึ่ง แลรู้สึกอบอุ่นเพราะมือใหญ่หยาบกร้านนั้นกำลังบรรจงปาดน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยน“... เจ้าจันทร์ คือคู่ชะตาในอดีตชาติของข้า” ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มค่อยๆ กระพริบแล้วลืมตาขึ้นมองเขาอย่างใสแป๋ว ที่ถึงจักมิใช่คนที่รัก แต่ก็อดไม่ได้ที่จักทำให้ยักษ์หนุ่มชะงักไปชั่วครู่ด้วยใจที่ไหวหวั่นในยามราตรีเช่นนี้ “อดีตชาตินางชื่อขวัญ เป็นสาวชาวบ้าน แลเก็บข้าที่เป็นอสุรกายบาดเจ็บได้ที่ริมแม่น้ำข้างหุบเขา”“...”“ขวัญกับข้าในชาตินั้นตายไปพร้อมกันด้วยฝีมือของชาวบ้านที่เกลียดที่นางขี้เหร่แลขี้โรค เลยทุบตีนางจนตาย”“... โหดร้ายจังเลยนะคะ” มธุรสเผลอตอบรับกลับไป เนื่องจากเพิ่งรู้เรื่องราวของเขาและหนูจันทร์ที่นางอยู่ในร่างเป็นครั้งแรก“ใช่... มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่โหดร้าย อดีตชาติก่อนที่จักเจออีขวัญข้าเคยคิดเช่นนั้น”“...”“ข้าเห็นการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์มานานเหลือเกิน แค่คิดว่าเจ้าจันทร์ที่ข้ารักต้องจากไปตามวัฏจักรสงสาร ข้าก็รู้สึกเจ็
“ข้าจักทานทนความกำหนัดนี้มิไหวอีกแล้ว” สุ้มเสียงแหบพร่ากระซิบเย้าข้างริมหู สุวรรณราพณ์เร่งนำสุราป้อนเข้าปากเธอ คว้าแก่นกายใหญ่โต รูดอย่างเร่งรีบเพื่อบริกรรมคาถาให้ธุลีในน้ำของตนออกเร็วกว่าปรกติเขาต้องการสอดใส่เข้าไปอบอุ่นท่อนกายในร่างน้อยๆ ของเธอให้เร็วที่สุดปลายลึงค์กระตุกถี่เมื่อถึงจุดหมาย หากแต่ยังไม่สมปรารถนา บุรุษยักษายกฝ่ามือที่ชุ่มน้ำสีขาวขุ่นตรงหน้าหล่อนที่หายใจอย่างต้องการ และให้นางงับปลายนิ้วที่ชุ่มไปด้วยน้ำปรารถนาของเขา“อึก... อะไรคะ”“ดื่มมันเถิด แล้วเจ้าจักมิรู้สึกเจ็บปวด”มธุรสกลัวในทีแรก แต่เพราะเธอเองก็อยากรู้อยากลอง จึงค่อยๆ ดูดเลียปลายนิ้วใหญ่ แลกุมฝ่ามือชุ่มน้ำคาวขุ่นของเขาลงไป แต่รสมันกลับไม่เหมือนที่เคยได้ยินมาเลย น้ำของสุวรรณราพณ์นั้นมันหอมหวาน เหมือนกับสุราฝรั่งที่เธอเคยรับประทานกับรุ่นพี่ที่ทำงานในร้านเหล้านั่งชิวก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุอร่อยจัง“อื้ม” เสียงหวานครางครวญแสดงความพึงพอใจในรสธุลีในน้ำของเขา สุวรรณราพณ์ยกร่างแน่งน้อยของนาง วางอย่างเบามือให้นอนราบลงบนพื้นหญ้าเขียว ฝ่ามือหนาคว้าเรียวขางาม ค่อยๆ แยกขาของเธอออก เพื่อสำรวจความเปียกชื้นตรงบริเวณแอ่งเก
ฝ่ามือหนายังคงกุมมือนางแนบแน่น แผ่ขยายร่างกายลงสู่เนินหญ้า หลับตาลงเคล้ากับรสจันทร์แลกองไหสุรา สัมผัสเปลือยเปล่ายังติดตรึงใจเกิดคำถามมากมายในดวงจิตของยักษ์ หลายครานึกสงสัยว่าเหตุใดจึงยอมให้สัมพันธ์แรกต่อดวงจิตที่ไม่รู้จักนี้ แต่เขาไม่สามารถให้คำตอบต่อคำถามนั้นได้ทั้งที่ควรจักเป็นน้องจันทร์แท้ๆ ที่อยู่ข้างกายเขาในเพลานี้มธุรสตื่นขึ้นมาในช่วงเช้าตรู่ ความเย็นโอ้โลมผ่านบานหน้าต่างและผ้าม่านแพรบางเบามาถึงผิวกายสาวจนรู้สึกหนาวเหน็บ เธอหยัดกายลุกขึ้นมาพร้อมกับความปวดหน่วงที่หน้าท้องแบนราบ เห็นว่าตัวเองถูกห่มด้วยผ้าแพรหนาอยู่ ภายในนั้นล่อนจ้อนเปลือยเปล่า“อะ...!” เธอผวาเอาผ้าห่มมาปิดทรวงอกเอาไว้ ทั้งที่ในห้องนี้เป็นหอนอนของเธอ ดูจากเครื่องตกแต่งภายในที่พอจำได้ปลายเท้าเปล่าที่สวมกำไลข้อเท้าสีทองวางนาบลงกับพื้นกระดานดังกรุ้งกริ้ง สาวเจ้าทอดมองร่างกายตัวเองในคันฉ่อง ไร้ร่องรอยใดๆ ที่ควรจะเป็น ร่างกายยังคงโฉมสะคราญ ขาวนวลผุดผ่อง ราวกับว่าตัวเองนั้นดูมีน้ำมีนวลขึ้นทันตา หลังจากที่ได้มีสัมพันธ์ช่วงข้ามคืนกับยักษา ซึ่งไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่านี่เรากลายเป็นของอีตายักษ์นั่นแล้วหรือ?นางค
“ไม่หรอก ไม่เป็นไรเลย ฉันเข้าใจ”ทั้งสองคนที่ก้มลงคุกเข่าขอขมานางถึงกับเงยหน้าขึ้นมามอง เมื่อเห็นว่ามธุรสเองแม้มีสีหน้าตกใจนัก แต่ก็ไม่ได้คิดจะถือโทษอะไรพวกเขา ศิรบาลและบุศยาหันมามองหน้ากัน ปรี่ผละออกห่างจากกันโดยเร็วไว ในขณะที่มธุรสเองก็รู้สึกว่าไม่ว่าใครที่โดนลักพามาที่นี่ ก็ล้วนต้องมีสนมบางคนที่ไม่ได้รักชอบพอกับสุวรรณราพณ์อยู่แล้ว ความรักนั้นควรจะให้เราเลือกเองสิ ไม่ใช่จะมาบังคับขู่ใจกันแต่จะไปว่าใครก็ไม่ได้ เพราะเราเองก็ไหวหวั่นให้กับเขา“แม่หญิง... จักมิไปบอกท่านสุวรรณราพณ์ใช่หรือไม่” จนศิรบาลที่นิ่งอึ้งไปนานตัดสินใจโพล่งขึ้นมาแทนความรู้สึกของทั้งตนแลบุศยาหญิงที่รัก ว่ากันว่าแม่หญิงเจ้าจันทร์ผู้นี้คือคนที่นายเหนือหัวต้องใจจนถึงกับเมินเฉยพระสนมคนอื่นๆ เพราะนาง แลเพราะท่านเอาแต่วิ่งเร่หาเธอ เขาจึงหาโอกาสเข้าใกล้พระสนมบุศยา หวังเพียงอยู่เคียงข้างนาง จนเลยเถิดเป็นสัมพันธ์ผูกกันเช่นนี้มธุรสพยักหน้ารับ“อื้อ ใช่แล้ว”“ขอบพระคุณขอรับพระสนม!” เขาแทบจะกราบเธอเลยทีเดียวหลังจากที่มธุรสให้คำมั่น คนตัวเล็กรีบยกมือห้าม พลางเดินไปย่อตัวลงตรงหน้าบุศยาสาวตัวจ้อยที่ก้มลงคุกเข่าสั่นสะอื้นอยู่“เธ
คำตอบนั้นทำเอายักษ์หนุ่มเคร่งเครียดหนักหนา เขายอมรับกับตนเองว่าสับสนเหลือคณา เพราะมธุรสนั้นเป็นดวงจิตที่ประดับร่างเจ้าจันทร์ มิใช่เจ้าจันทร์ที่เขารักแม้นโหรฯ กลับไปแล้ว ก็ยังต้องการคำตอบว่าเขาจักให้มธุรสมาแทนที่เจ้าจันทร์หรืออีขวัญได้อย่างไร ในเมื่อนางมิมีส่วนเกี่ยวข้องใดใดกับหญิงสาวผู้เป็นที่รักของเขาเป็นการมีสัมพันธ์คราแรกที่พลาดพลั้งเหลือเกินแล้วมึงจักรู้ได้เยี่ยงไร ว่ายามเมื่อกูครองกายมึง จักมิเคยมีสัมพันธ์สวาทกับสนมคนอื่น?เสียงสะท้อนในดวงจิตลึกล้ำดังขึ้นภายในจิตใจ สุวรรณราพณ์นิ่งงันกลางตั่งทอง สดับรับฟังเสียงอาฆาตมาดร้ายนั่นอย่างร้อนอกร้อนใจ‘เจ้าหมายความว่าอย่างไร’กูก็หมายความว่า กูได้ร่วมหอลงโลงกับอีตองนวล เนตรเกล้า แลเกสรแก้วน่ะสิ นางจันทร์มิใช่ผู้หญิงคนแรกของมึง แลกูมิเคยพลาดทำใครตั้งครรภ์ให้มึง ทำได้เพียงแค่สูบพลังชีวีเท่านั้น‘ไอ้ระยำชั่วช้า แต่กูจักมินับดอกว่าเป็นกู เราเป็นดวงจิตคนละดวงกัน แลเจ้าเป็นเพียงดวงจิตส่วนที่เหลือของท่านพี่ของกู’พี่มึงตายห่าไปเสียนานแล้วไอ้สุวรรณราพณ์ ยอมรับสักทีว่ากูมิใช่ท่านพี่ของมึง กูคือดวงจิตลึกภายในก้นบึ้งของมึง ที่ต้องการกระทำชั่ว เข่
“ออกไปก่อน” เขาเลือกที่จักหันไปพูดกับทหารอารักขาทั้งสองนายที่ยืนมองหน้ากันไปมาอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่กระอั่กกระอ่วน พวกเขาปิดประตูให้ตามรับสั่ง แลเหลือเพียงเขาแลนางอยู่ในห้องนี้เพียงสองคน“หนูมีเรื่องจะคุยกับคุณ” ด้านมธุรสเองก็เก้ๆ กังๆ เหลือเกิน ยิ่งเห็นชายคนแรกในชีวิตอย่างเขาอยู่ตรงหน้า กลับทำให้ใจสั่นจนไม่กล้าสบตา “ระ... เรื่องเมื่อคืน”กษัตริย์ยักษานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจักถอนหายใจ พาลทำให้สาวเจ้าหวั่นใจยิ่งกว่าเก่า ด้วยกลัวคำตอบของเขา“ถ้าเป็นเรื่องนั้น... ข้าขอลุแก่โทษเจ้าจริงๆ ข้าเพียงแค่เมามายจนเผลอพลั้งกระทำมิถูกมิควรกับเจ้า” ฝ่ายอสุราหนุ่มเองก็พูดไปตามความจริง ที่แม้มธุรสจะรู้ความจริงข้อนี้อยู่แล้ว แต่เมื่อชายตรงหน้ายอมรับมันออกมาตรงๆ ใจนางก็ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มเลยสินะ“มะ... มันคือครั้งแรกของหนู”“...”“จะไม่ให้มารับผิดชอบหรอก แต่แค่อยากรู้ว่าคุณ... คิดยังไงกับเรื่องเมื่อคืนเหรอคะ”สุวรรณราพณ์มิเข้าใจว่านางต้องการจักสื่อกระไรถึงถามเช่นนี้ แต่ถ้าตามที่โหรหลวงทำนายทายทักนั้นเป็นความจริง เขาก็คงจักต้องเลี้ยงดูนางเอาไว้อยู่แล้วมิสามารถทิ้งร่างกายของเ
พอคิดได้แบบนั้นก็ขมวดคิ้ว ครวญเสียงหวานทั้งที่ยังขุ่นในใจ เมื่อปลายลิ้นหนาฉกชิมปทุมถันจากดอกบัวตูมงาม ความเสียวซ่านนั้นทำให้นางต้องแหงนหน้าขึ้นมองเพดาน พลางสั่นระริกด้วยความปรารถนาเรียวขางามหนีบเข้าหากันแน่นเมื่อสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้น เรียวนิ้วใหญ่แตะลงที่กลางลำตัวของเธอ แทรกผ่านระหว่างเรียวขาทั้งสองข้าง เพื่อสัมผัสกับแกนเกสรของดอกบัวบานด้านล่าง“พี่รักเจ้า”“...”“รักเจ้าเหลือเกินน้องจันทร์”ความเจ็บที่ไม่มีเสียง แถมยังพูดอะไรไม่ได้... มันเป็นแบบนี้เองสินะ“ศิรบาล ข้าควรจักบอกพี่จันทร์ดีหรือไม่ ว่าตามจริงแล้วข้ามิได้มีสัมพันธ์กระไรกับท่านสุวรรณราพณ์”ตัดมาทางฝั่งของบุศยา นางกำลังทาบฝ่ามือเล็กลงบนบานหน้าต่างที่ถูกเปิดออกยามค่ำคืน สูรย์เสียงที่เฝ้าหน้าประตูหลับไปแล้ว ศิรบาลที่แวะเวียนมาเฝ้ายามที่หน้าหอนอนของนางจึงมาเคาะบานหน้าต่างของเด็กสาวยอดดวงใจ เนื่องจากอีกฝ่ายนั้นตัวใหญ่จนเกือบถึงบานหน้าต่างเลยนี่กระไร“แม่จักบอกนางทำไมกันหรือ” ศิรบาลมีสีหน้าแปลกใจ ที่นานๆ ทีเด็กสาวตัวน้อยของเขาจักมีสัมพันธ์ฉันท์มิตรจนนึกถึงใจของอีกฝ่าย แรกๆ นางนั้นหวาดกลัวมากนักเชียว เนื่องจากพระสนมแต่ละคนนั้
เมื่อปล่อยร่างนั้นลงพื้น ผีขุนแสนคำถามขึ้นมา เขานึกสงสัยนักว่าทำไมดวงจิตของผู้หญิงคนนี้ถึงมาอยู่ในร่างของเมียใจชั่วของเขา“จะให้บอกชื่อร่างที่มาสิงหรือบอกชื่อจริง?” หมั่นไส้ความเป็นผียังเต๊ะท่าบาตรใหญ่เลยยียวนไปที อย่าคิดว่าอีบีคนนี้จะไม่กล้ากวนประสาทผีนะ‘คิดว่ากูเป็นเพื่อนมึงหรือไร อีผีเร่ร่อน บอกชื่อมาเสีย... ก่อนที่กูจักจับมึงมาเป็นบริวารอีกตัว’จบประโยคนั้นก็มีเสียงหัวเราะคิกคักลอยเคว้งอยู่รอบตัว ดูเหมือนว่าหมอนี่จะเป็นผีที่มีพลังวิญญาณมาก ถึงขนาดจับผีเร่ร่อนมาเป็นพวกได้เลยหรือนี่“บี หนูชื่อบี! แล้วก็ไม่ใช่ผีเร่ร่อนด้วย” เป็นวิญญาณเฉยๆเอ้ะ หรือมันก็เหมือนๆ กันวะ?‘เช่นใดผีเร่ร่อนจึงมาสิงสู่ร่างกายอีบัวงาม มันตายไปแล้วหรือ!’ สิ้นคำถามส่อแววพยาบาทนั้น นางสาวบีเองก็หยุดคิดอยู่ครู่ใหญ่“ไม่มั่นใจ หรือตายแล้วแหละ” ก็ถ้าตามที่เรียนมาเมื่อกายหยาบมีวิญญาณอื่นมาสิงสู่ได้ แสดงว่าจิตในร่างก็ต้องหลุดออกจากกายหยาบแล้วใช่ไหมนะ‘ยังมิทันได้ชดใช้บาปกรรม ก็ตายห่าเสียแล้วหรือ’ ร่างกำยำที่มีรังสีความเฮี้ยนอยู่มากยืนครุ่นคิด ขุนแสนคำเชื่อว่าวิญญาณนังหญิงชั่วนั่นยังไปไหนได้ไม่ไกล เมื่อยังมีชีวิตเขา
“มันมีฤทธิ์ห้ามการสร้างครรภ์น่ะ”“...”“เท่านี้... ก็สามารถเสร็จสมภายในเจ้าไม่ว่ากี่คราได้แล้วใช่หรือไม่” อีกฝ่ายเว้าวอนถาม แม้หล่อนมิเชื่อใจแต่จักสามารถปฏิเสธการร่วมรักนี้ได้จริงๆ หรือ ทั้งๆ ที่มันยังค้างคาอยู่เช่นนี้ เขาเสร็จสมตามใจหมายไปแล้ว แต่อัปสรสาวยังมิถึงแก่นลึกของจุดเลยด้วยซ้ำมิแปลกที่อีกฝ่ายจักยังมิเคยมีหญิงใด เขายังไร้ประสบการณ์นัก“ข้าจักควบคุมกิจนี้เองเจ้าค่ะ” เสียงหวานเอ่ยอาสา พลางรั้งท้าวไกรสิงห์ลงไปเป็นฝ่ายอยู่เบื้องล่างแทนโดยมิรอขอคำอนุญาตจากเขา บทรักเร่าร้อนนี้หล่อนเพียงแค่อยากเป็นฝ่ายควบคุมเองเพื่อมิให้อีกฝ่ายเล่นกลตุกติกสร้างเด็กในครรภ์ให้หล่อนโดยมิเต็มใจ อัปสราจึงยกกายเล็กขึ้นทาบทับ ปลดปล่อยกามารมณ์แลสรีระเรือนกายอันงดงามให้ปรากฎตรงหน้าครุฑหนุ่มสีชาดที่มีดวงตาคมเปล่งประกายเขามิรู้ว่าควรจักต้องรู้สึกเช่นใด เมื่อหญิงที่ต้องการนั้นขึ้นสมสวาทด้วยตนเอง ราวกับนางกำลังมีอารมณ์ร่วมให้กับรสรักของเขา“อ่า... อัปสร” เสียงทุ้มแหบพร่า เมื่อร่องเกสรดอกกรรณิการ์นั้นรวบรัดท่อนจันทน์ของเขาไปจนสุด มันทั้งลึกแลตอดรัดยั่วเย้าใจชาย พาให้เขาผงาดเต็มภายในเรือนกายของนาง ปล่อยให้อีกฝ่า
“กรรณิกา... ยั้งก่อนได้หรือไม่” ฝ่ายนั้นอ้อนวอน กรรณิกาอัปสรบังเกิดความรู้สึกแปลกพิกลขึ้นในใจ หล่อนเงยหน้าขึ้นสบตาท้าวไกรสิงห์ สีหน้าของเขาในยามที่หล่อนปรนเปรอนั้นดูไม่เหมือนท่าทีในยามปรกติ ดวงตาสีชาดนั้นจดจ้องดวงหน้าแลทุกอากัปกิริยาของนางอย่างคลั่งไคล้“... เหตุใดถึงมองด้วยสายตาเช่นนั้น” เพราะอดีตเคยอยู่ในโลกสมัยใหม่ กรรณิกาอัปสรโพล่งถามออกมาตามตรง หล่อนเพียงต้องการความคิดเห็นกับการบำเรอในคราวนี้ “มิพึงใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือเจ้าคะ?”“ก็มิเท่าใดนัก” หากแต่เพราะเป็นบุตรชายคนเดียวเลยถูกเลี้ยงดูมาให้เป็นนักรบ ไม่อาจบอกความรู้สึกหวั่นไหวของตนเองไปตามตรง ท้าวไกรสิงห์หลบสายตาหล่อนพลางพูดจารอนใจสาวโดยมิรู้ตัว“ท่านมิชอบ... กระนั้นหรือเจ้าคะ?” สายตาของนางหลุบมองต่ำอย่างละอาย เป็นเมียที่สุวรรณราพณ์มิรักยังมิพอ พอจักปรนเปรอใครใหม่ ก็ช่างทำได้ห่วยบรมจนอีกฝ่ายต้องบอกว่าไม่เท่าใดนัก“มิใช่มิชอบใจ หากแต่...” เมื่อเห็นว่าดวงหน้าหวานหมองเศร้า ดวงใจครุฑหนุ่มก็อ่อนยวบ เขาติดนิสัยชอบใจอ่อนกับสิ่งสวยงามที่หมายตาครอบครอง กายกำยำค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้นมา เอื้อมฝ่ามือหนาสัมผัสผิวแก้มขาวผสมชมพูอย่างคนหน้าขึ้นส
อ้อมกอดแห่งครุฑสีชาตินั้นทำให้นางยากจักถอนกายออก ความอบอุ่นที่ไม่ทราบเหตุผลว่าเพราะเหตุใดชายผู้นี้ถึงได้เลือกนางเป็นมารดาผู้ให้กำเนิด กรรณิกาอัปสรไม่คิดหวังให้ท้าวไกรสิงห์ใฝ่รักใฝ่หานาง หล่อนหมดหวังไปตั้งแต่พระสวามีคนก่อนแล้วสุวรรณราพณ์มองกรรณิกาที่อยู่ในร่างของเจ้าจันทร์เป็นเพียงแค่ตัวแทนหญิงที่ห่างกายเขาไปเมื่อนานมาแล้ว เขามักตัดพ้อรำพันทุกค่ำคืนว่าหญิงในอดีตชาตินั้นร้างรักเขาเนื่องจากเป็นอสูรรูปชั่ว แม้นมียศถาบรรดาศักดิ์มากมาย ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจนางได้หารู้ไม่ว่าทุกอย่างนั้นคือบ่วงกรรมที่ทำให้ทุกฝ่ายต้องเผชิญ ฝ่ายท้าวไกรสิงห์นั้นไม่สามารถระลึกชาติก่อนได้ แต่เขามีสะพานกรรมที่ต้องวนเวียนชดใช้ อดีตชาติของท้าวไกรสิงห์ก่อนจักมาเกิดเป็นครุฑนั้น คืออดีตพรานบุญที่หลงรักมธุรสวดี อัปสราสาวที่ลงมาล้อเล่นน้ำอาบแสงจันทร์กลางป่าหิมพานต์ในสระอโนดาต แลเสพสมกับหล่อนกลางสระงาม โดยที่หล่อนเมามายรสน้ำเงาจันทร์ ทำให้หลงลืมคิดว่าพรานบุญนั้นคือสามีของตนเฉกเช่นทศกุมภัณฑ์เมื่อทศกุมภัณฑ์มาพบการก่อกบถเข้า จึงทำการฆ่าพรานบุญคนนั้นจนตายในชาติก่อน ชิงเมียรักกลับมาสู่อ้อมอก พรานบุญนั้นสาปแช่งก่อนตายตกว่าชาติ
ก่อนพบรักกับอัปสรมธุรสวดี ทศกุมภัณฑ์เคยมีภรรยาเป็นยักษีรูปร่างงดงามสะสวย นางเสวยทิพย์มิกินเนื้อคนต่างจากเขาผู้เป็นสวามี นางถูกตบแต่งกับเขาเพียงเพื่อสานไมตรี ทศกุมภัณฑ์อัปลักษณ์หากแต่มียศศักดิ์บริวารมาก ตระกูลยักษ์ฝั่งนั้นจึงส่งนางปารตีเป็นเมียกำนัล การตบแต่งที่มิได้เริ่มต้นด้วยความรัก สุดท้ายทศกุมภัณฑ์กลับหลงรูปโฉมอัปสราจนทิ้งนางน้ำตาตกในตลอดมานางยักษ์ปารตีเองก็มิได้เหลียวแลเนื่องจากสวามีนั้นโหดเหี้ยมทานแต่เนื้อสัตว์ ทั้งเนื้อสัตว์เนื้อมนุษย์ไม่ขาดปาก นางที่เป็นยักษ์เสวยทิพย์ชั้นสูง จึงตีตนออกห่าง จนเป็นช่องโหว่ให้อีกฝ่ายนั้นไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย อยู่ของนางดีๆ ก็ต้องมารับรู้ว่าสวามีของตนนั้นได้ลิ้มรสเชยชมนางอัปสรชั้นสูง พร้อมกับเอานางอัปสรมธุรสวดีเข้ามากกกอดถึงในรังนอนนิมมานเทพเองต้องการดวงตาของนางยักษ์ปารตี เนื่องจากดวงตาของนางเป็นดวงตาที่สาม สามารถเปิดโลกแห่งความตายทั้งปวงได้ การมีดวงตาของนางเอาไว้ในครอบครอง มิว่าจักเป็นนรกภูมิหรือสรวงสวรรค์ เขาจักเป็นชายผู้มากศักดาจนมีแต่คนอยากคบหาพาที เขาจึงส่งนางอัปสรมธุรสวดีเข้าหาทศกุมภัณฑ์หวังยั่วยวนหาโอกาสฆ่าชิงดวงตาที่สามของนางปารตี แต่นางอั
“เมื่อเจ้าเติบใหญ่กว่านี้ พ่อจักบอกทุกอย่าง อดทนรอแล้วทำตามที่พ่อเอ่ยได้หรือไม่” แน่นอนว่าพระสุวรรณราพณ์รู้ดีถึงพลังที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดของบุตรแฝด แต่เนื่องจากอินมุกแลจันทร์ดายังมิมีวุฒิภาวะหรือการเผชิญหน้ากับโลกภายนอกมากพอที่จะเข้าใจเรื่องราวในอดีตชาติของตน เขาจึงอยากรอให้ลูกทั้งสองเติบโตมากกว่านี้ก่อน“ไม่! ท่านควักดวงตาแม่แท้ๆ ของข้า แลยังขับไสไล่ส่งแม่ที่แท้จริงของพวกเราไปไกลบ้านไกลเมือง หากมิรักใคร่เนื่องจากพวกเราเป็นสายเลือดมนุษย์ ท่านพ่อก็บอกข้ามาตามตรงเถิด!” จันทร์ดาได้ฟังพี่ชายว่าเช่นนั้นก็ใจตกไปอยู่แทบตาตุ่ม ยืนร่ำไห้กอดอินมุกที่หยัดยืนสู้ตัวน้อยๆ ประจันหน้ากับกษัตริย์เมืองยักษ์ที่ถือเป็นบิดาแท้ๆ ของตน ตั้งแต่เกิดมาบิดาไม่เคยพูดดีด้วยนอกเสียจากมองเขาเป็นตัวปัญหา แม้นจักเป็นลูกของสตรีที่มิได้รัก แต่ก็มีหัวจิตหัวใจเช่นกัน“ควักดวงตา? หมายความว่าเช่นไร” สีหน้าของพระสุวรรณราพณ์นั้นสับสน ชวนให้สองเด็กแฝดชะงักไป“พระมารดาของเจ้านั้นอยู่ที่เมืองจันทร์ นางตาบอดเพราะถูกควักลูกตาไปด้วยฝีมือของพระบิดาของพวกเจ้า เนื่องด้วยนางมิเป็นที่โปรดปรานเท่ากับสนมคนที่สิบสองอย่างนางอัปสรที่นามว
“ไสหัวไปเสีย ก่อนที่กูจักบั่นคอมึงให้ดับดิ้นอยู่ตรงนี้” พอได้ยินอีกฝ่ายตีฝีปากกลับอย่างมั่นอกมั่นใจเช่นนั้นอสุราหนุ่มยิ่งพิโรธเหลือ เขารู้เรื่องราวทุกอย่างที่หล่อนลงมาแลแปลงกายเป็นอัปสรเพื่อเข้ามาเป็นสนมคนที่สิบสาม แต่เขาไม่สามารถล่วงรู้ได้ถึงช่วงที่นางดำรงอยู่บนสรวงสวรรค์กับนิมมานเทพ มิอาจรู้ได้ว่ามันได้เป่าหูกระไรนางไว้บ้าง“อย่าลืมเสีย สุวรรณราพณ์... ไม่สิ ไอ้ทศกุมภัณฑ์เอ๋ย”“...!”“มธุรสวดีจักไม่มีวันตกเป็นของมึง แม้นชาตินี้หรือชาติไหน กูจักตามราวีมึงทุกชาติไป เพื่อให้ได้มาซึ่งหญิงที่กูหมายครอง”ไวกว่าความคิด พระสุวรรณราพณ์เขวี้ยงดาบทมิฬตรงไปยังร่างตรงหน้าหวังฟาดฟันด้วยความเกรี้ยวโกรธสุดกำลัง แต่ร่างนั้นกลับสลายหายไปเป็นเพียงไอหมอกเย็นเยียบโอบล้อมรอบดาบดำมืดก่อนที่จักถึงตัว พระสุวรรณราพณ์เรียกดาบทมิฬกลับมาสู่ฝ่ามือใหญ่ กวาดสายตามองไปรอบๆ พลางขบฟันกรอดอย่างขัดเคืองมาทั้งที ก็ทิ้งเพลิงกัลป์ไว้เลยสิหนา“ทะ... ท่านพ่อ ข้า...” อินมุกมีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อผู้เป็นพ่อหมุนตัวใหญ่โตหันกลับมา ดวงตาสีชาดหรี่ลงมองบุตรชายที่ยืนตัวสั่น พระสุวรรณราพณ์ทำได้เพียงเดินนำหน้าลูกไปเท่านั้น“ตามพ่อมา อิ
“พระมารดาของเจ้านั้นอยู่ที่เมืองจันทร์ นางตาบอดเพราะถูกควักลูกตาไปด้วยฝีมือของพระบิดาของพวกเจ้า เนื่องด้วยนางมิเป็นที่โปรดปรานเท่ากับสนมคนที่สิบสองอย่างนางอัปสรที่นามว่ากรรณิกา”“!!!” ทั้งอินมุกแลจันทร์ดาเบิกตากว้าง เป็นจริงดั่งสัญชาตญาณที่ว่ามารดาของตนนั้นไม่อยู่ที่นี่ ตัวจริงนั้นอยู่เมืองจันทร์ ส่วนตัวปลอมที่แปลงเป็นมารดาของพวกเขานั้นคือหนึ่งในสนมที่เป็นนางสวรรค์แต่ยิ่งหดหู่ใจไปกว่านั้น... คือเรื่องที่บิดาเลือกที่จะควักลูกตาของพระมารดาไป เนื่องจากไม่เป็นที่โปรดปรานดั่งเช่นสนมที่เป็นนางอัปสร มันช่างน่าเศร้านัก นี่ท่านพ่อไม่มีความรักต่อแม่เราเลยหรือ“... ว่าต่อได้หรือไม่” ท้ายที่สุดเด็กชายก็อดรนทนไม่ได้ ด้วยความอยากรู้เรื่องราวของแม่ที่แท้จริงจึงเอ่ยปากถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงจากเมื่อครู่“จงมอบความเชื่อใจให้แก่ข้าเสียก่อน จึงจักเล่าต่อได้” นิมมานเทพถือโอกาสออกกลอุบายดึงบุตรของพระสุวรรณราพณ์มาเป็นพวกด้วยค่าของเรื่องราวของหญิงที่เขามินึกใส่ใจอย่างธิดาเจ้าจันทร์“ข้าแลน้องสาวจักเชื่อใจเจ้า”“อินมุก... เจ้ามิรักพระบิดาหรือ เจ้าเชื่อใจข้ามากกว่าพระบิดาหรือ ทั้งๆ ที่มันอาจจักเป็นคำโก
มิรู้ดอกว่าแปลงกายมาหลอกพ่อด้วยเหตุอันใด แต่จักมิยอมญาติดีกับแม่อัปสรสวรรค์นั่นเด็ดขาด“ข้ามิพูดคุยหรือทำดีต่อนาง ยัยนั่นมิใช่แม่ของข้า แม่ของข้าชื่อเจ้าจันทร์ ข้าจำกลิ่นไอของแม่ข้าได้ดี!”“อินมุก จริงๆ แล้วแม่ของเจ้า...”“เลิกพยายามจักโป้ปดข้า หาความดีความชอบมาสู่นังอัปสรนั่นเสียที ท่านพ่อรักหลงนางจนมิเห็นหัวข้าแลน้องจันทร์ดาเลยด้วยซ้ำ!” ว่าพลางก็กัดฟันข่มความรู้สึกโกรธแค้นนางอัปสรนั่น ฉุดแขนจันทร์ดาที่ยืนมองท่านพ่อกับพี่ชายต่อล้อต่อเถียงกันและวิ่งตามแรงจับจูงของพระเชษฐาไปอย่างว่าง่ายอินมุกวิ่งมาจนถึงบึงบัว กำหมัดแน่นในข้างที่ไม่ได้จูงฝ่ามือเล็กของน้องสาว จันทร์ดาเอียงคอมองพี่ชายฝาแฝดที่บัดนี้น้ำตาหยดลงสู่ผิวแก้มสุกปลั่ง“พี่อินมุก โอ๋ โอ๋ พี่อินมุกอย่าร่ำไห้เลยเจ้าค่ะ” เสียงหวานปลอบประโลมพี่ชายเพียงแผ่วเบา ตระกองกอดพี่ชายแนบแน่นเท่าที่จำความได้ อินมุกกับจันทร์ดามีสูรย์วันบ่าวยักษีตนหนึ่งคอยดูแลเป็นแม่นมให้ตั้งแต่เล็ก สายใยอบอุ่นระหว่างพวกเขาและพระมารดาแน่นแฟ้น อินมุกและจันทร์ดาเชื่อว่ามารดาคลอดตนด้วยความรักใคร่ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็ถามถึงแม่ของตนที่มีนามว่าเจ้าจันทร์นางสูรย์