เจ้าจันทร์ชะงักไป นางกอดร่างตนเอง ในยามค่ำคืนมืดมิดโพล้เพล้เช่นนี้ นางมีอัตลักษณ์บุปผาคลั่งที่ดึงดูดปีศาจเข้ามาใกล้อยู่แล้ว ยิ่งนางอัปสรตรงหน้าต้องการบุตรในครรภ์ ย่อมแสดงว่านางอาจเป็นปีศาจที่ต้องการทารกคิดได้กระนั้นเจ้าจันทร์ก็คลี่ยิ้มอ่อน นั่นคือความต้องการของนางมาตั้งแต่แรก“อยากได้พวกมันนักหรือ มาเอาไปเลยสิ มาเอาไป เรามิต้องการเด็กในครรภ์นี้อยู่แล้ว”“...”“เอาพวกมันไปกิน ไปฆ่าเสียได้ยิ่งดี!” นางยินดีเหลือเกินหากเอาไอ้ก้อนเนื้อน่ารังเกียจนี่ออกไปได้ นางมิได้รักอสูร แลนางมิได้รู้สึกปรีดากับทารกที่กำลังจะเกิด อันเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของกษัตริย์ยักษ์ผู้ต่ำช้าเช่นเขากรรณิกาอัปสรชะงักงันไปกับสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้ ไฉนนางถึงพูดราวกับสิ้นเยื่อสิ้นใยต่อกษัตริย์ยักษ์ผู้นั้นกัน“ข้ามิเข้าใจ มิใช่ว่าพระสุวรรณราพณ์กับท่านรักกันหรอกหรือ?” เมื่อเห็นว่านางแสนรังเกียจเดียดฉันท์ทารกที่อยู่ในครรภ์เสียเหลือเกิน อัปสรผู้หลงทางอยู่ในวังวนแห่งความรักแลโชคชะตาโพล่งถามขึ้นมาอย่างถือวิสาสะ “ท่านเป็นนางในดวงใจของเขา แลเขาผู้นั้นคลั่งไคล้ท่านเหลือเกิน”“ไอ้กษัตริย์ยักษ์นั่นมันย่ำยีชำเราข้า จักให้ไปหลงรักอสู
“ข้าจักทำพันธะสัญญากับเจ้า เพียงคลอดบุตรเท่านั้นใช่หรือไม่ เพียงคลอดไอ้ก้อนเนื้อนั้นออกมาแม้จักฝืนใจข้าเต็มทีเท่านั้นใช่หรือไม่” เจ้าจันทร์ที่ถูกร่ายมนตร์ให้กลับไปนั่งอยู่ประจำบนพระแท่นหนานุ่มนั้นถามขึ้นมาราวกับต้องการตอกย้ำตนเอง น้ำคร่ำที่เปรอะเปื้อนบนฟูกนอนถูกทำความสะอาดด้วยมนต์ของอัปสร กรรณิกานั่งคุกเข่าอยู่ใต้หัวเข่ามนสวยของนาง คลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน“ถูกที่สุดแล้วเพคะองค์มเหสี เมื่อถึงวันคลอด ดวงตา ความทรงจำของท่านจักกลายเป็นของเรา”“... ข้ามิสนดอกว่าเจ้าจักเข้ามาหาข้าเพียงเพราะกระไร แต่ถ้าข้าได้กลับบ้านแม้จักต้องแลกด้วยสิ่งสำคัญ ข้ายอมได้ ข้ารังเกียจเดียดฉันท์ยักษาตนนั้นเหลือเกิน”นางพูดพลางลูบหน้าท้องที่พองโตด้วยสีหน้าเหยเกราวกับรังเกียจสิ่งที่เต้นตุบๆ อยู่ในรังครรภ์อย่างมากล้น ส่วนอัปสรนั้นได้แต่มองท้องของนางอย่างโหยหา อยากพบเจอลูกที่นางเคยอุ้มท้องมาเหลือเกินลูกนั้นจักมีหน้าตาเป็นอย่างไร จักเหมือนเจ้าจันทร์ หรือเหมือนกับพระสุวรรณราพณ์กัน?แต่เผลอจ้องมองเท่าไหร่หากแต่เลือดเนื้อนั้นมาจากร่างกายของเด็กสาวที่เธอเคยสิงสู่ กรรณิกาแย้มยิ้มหมองเศร้า เธอหยัดกายลุกขึ้นท่ามกลางสายตาอมทุกข
พระพักตร์ใหญ่มิได้ผุดรอยยิ้มออกมา เจ้าจันทร์คลี่ยิ้มจางๆ เหลียวมองเด็กทั้งสอง พร้อมกับเหลือบมองไปนอกบานหน้าต่าง พบนกการเวกตัวหนึ่งร่ำร้องเสียงแหลม มันจ้องมองนาง ก่อนที่จักบินจากไปไกลแสนไกลนางยังคงทรมาน แต่กลับรู้สึกแปลกประหลาดหลังจากได้เห็นบุตร หมอตำแยในพระราชวังว่าว่าคือคู่แฝดบุตรชายบุตรสาว เด็กทั้งสองเมื่อเข้าอ้อมอกเธอ กลับกระจองอแงออกมาเนื่องจากทรวงอกไม่คัดน้ำนม เหมือนเด็กทั้งสองจักรู้ความว่านี่มิใช่มารดาของตนทั้งสองเจ้าจันทร์แสร้งเป็นเจ็บเต้ามิกล้าให้นมลูก ดีที่บ่าวยักษีตนหนึ่งอยู่ในช่วงเพิ่งคลอดบุตรสาวเช่นกันแลคัดน้ำนมออกมาก บ่าวอื่นจึงเอาเครื่องถ้วยทองรองน้ำนมจากเต้าบ่าวยักษีตนนั้น เพื่อนำเป็นน้ำนมไปป้อนให้พระโอรสแลพระธิดาทั้งสองแทนน้ำนมของพระมเหสีพระสุวรรณราพณ์รู้เรื่องนี้หากแต่มิได้สงสัย เพราะมิรู้ว่าหญิงสาวจักคัดน้ำนมหลังจากคลอดลูกได้อย่างไร เขาเป็นเพียงกษัตริย์อสุราผู้ไม่เคยผ่านการตบแต่งหรือมีบุตรมาก่อน จึงไม่ได้นึกสงสัยกับเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่เป็นข่าวซุบซิบกันทั่วราชวังเนื่องจากมิใช่เจ้าจันทร์ตัวจริงจึงใช้เวลาพักฟื้นมินานนัก สามสี่วันต่อมานางก็เดินเหินได้เกือบเป็นปกติ อิง
เขาคิดเช่นนั้น ปล่อยร่างกายใหญ่โตให้เป็นของนางทั้งกายแลใจ เมื่อปลายลิ้นงามนั้นแตะลงบนท่อนเนื้อใหญ่ที่ชูชัน พระสุวรรณราพณ์ก็เปลี่ยนสีหน้านางพยายามมากจริงๆพยายามที่จักปรนเปรอเขาให้เป็นดั่งใจนางหมายมาด ปลายลิ้นเลียโลมเล้าลึงค์โตอย่างตั้งใจเป็นที่สุด นางห่อแก้มกลมดูดปลายหัวเพื่อให้เขาได้เสียวซ่าน ยักษ์หนุ่มเผลอครางครวญออกมาด้วยเสียงที่หนักแน่น พาลให้เด็กสาวรู้สึกได้ใจที่ทำให้อีกฝ่ายแสดงสีหน้าที่เปรมปรีดิ์ออกมานางต้องการให้เขาถึงสวรรค์ก็เพราะนาง นางต้องการให้พระสุวรรณราพณ์ยักษ์โง่หลงใหลนางยิ่งกว่าสนมคนใด เมื่อถึงเวลาที่นางจำเป็นต้องจากไป เขาจักคิดถึงนางต่อไปหากแต่นางมิรู้เลยว่านั่นเป็นเพทุบายของพระสุวรรณราพณ์ทั้งหมดตั้งแต่ที่ดวงจิตมธุรสข้ามภพมาเกิดใหม่ในร่างของเจ้าจันทร์ ตั้งแต่เขาที่ทำเป็นมิรู้ว่าไม่ใช่นาง ที่ทำเป็นมิสนใจ มิรักนางเหตุผลที่ทำนั่นช่างลึกลับนัก แต่แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าร่างนี้ที่เคล้าคลึงเขาอยู่ หาใช่ร่างของภาชนะอย่างธิดาเมืองจันทร์กรรณิกาอัปสรแปลงกายเป็นนางนางหลงรักเขาเข้าแล้วเขาฉีกยิ้มอย่างแนบเนียน ยักษ์ตนนี้ถึงจักโง่ให้มันหลอกมาหลายภพหลายชาติ แต่ก็มิโง่เรื่องควา
ทำเป็นไม่รู้ต่อไป เพื่อรักษานางไว้ รวมถึงรักษาสัมพันต่อสรวงสวรรค์ มิเช่นนั้นทุกอย่างจักยากขึ้นเกือบเท่าตน ทั้งการสัญจร รวมถึงพันธะสงบศึกที่มีมาตั้งแต่อดีตชาติระหว่างสรวงสวรรค์แลโลกอสูรเป็นเพียงอสูร มีอำนาจมากมายเพียงไหน สุดท้ายยังถูกชิงไปได้ด้วยเทวดาอยู่ดีส่วนเด็กสาวผู้มิรู้ประสากระไรทั้งนั้น ได้แต่สั่นสะเทือนอยู่บนกายใหญ่เนื่องจากร่างกายเล็กจ้อยแสนเปราะบาง นางครางครวญเสียงสะท้านหวามไหว กอบโกยอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด ท่าทางนี้มองเห็นดวงหน้าของยักษาได้ถนัด เขากำลังจ้องมองหล่อนอย่างเปรมปรีดิ์ รบกวนจิตใจเหลือเกินทำมาเป็นจ้องมองเหมือนรักเหมือนหลงยิ่งนัก จักทำให้ร่างน้อยๆ นี่เป็นของโปรดของเจ้าให้ได้เลยเชียวว่าพลางก็พยายามขยับบั้นเอวน้อยเพื่อคลึงความใหญ่โต แต่กลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจ ถึงร่างกายจะแปลงตนเป็นอัปสร แต่ก็รับความรู้สึกได้ทุกอณูไม่ต่างกับร่างกายมนุษย์จนเริ่มชักไม่แน่ใจ ว่าตนเองเป็นอัปสร หรือมนุษย์กันแน่หรือนางหลอมรวมกับร่างเจ้าจันทร์ไปแล้ว?คิดเพ้อฝันพลางส่ายหัว ร่างนั้นจำแลงเป็นการเวกกลับสู่เมืองจันทร์ไปแล้ว สุวรรณราพณ์ตกเป็นของนางแทนที่เจ้าจันทร์แล้ว นี่ล่ะค
แต่พระมเหสีเจ้าจันทร์กลับต่างออกไป ตลอดสามวันหลังคลอดเด็ก นางแวะมาแอบดูเด็กทั้งสองแลพยายามเข้าหาอยู่หลายครา แต่เด็กแฝดปฏิเสธการเข้าหาของแม่ สูรย์วันคิดว่าวันเดียวเธอคงล้มเลิกแล้ว เพราะคงมิมีใครอยากมีลูกกับยักษ์ สนมทุกคนที่ท่านนำพา ก็ล้วนแต่มิเต็มใจตกเป็นเมียทั้งสิ้นแต่นางกลับไม่เคยยอมแพ้ ยังแวะมาขอกอดขออุ้มอยู่ทุกวันแม้จักรู้ว่าเด็กทั้งสองจักต้องกระจองอแงแลผลักไสนางด้วยเดียดฉันท์เลือดมนุษย์“พระมเหสีทรงอยากอุ้มบุตรธิดาหรือเพคะ”“อะ... อื้อ” สาวเจ้าพยักหน้าหงึกหงัก ดวงหน้าซีดเซียว อาจเพราะยังป่วยอยู่“ท่านอินมุกแลท่านจันทร์ดายังมิคุ้นชินนัก แต่สักวันคงจักคุ้นได้แน่” นางว่าด้วยความหวังดี ฝ่ายกรรณิกาเองก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่จากทุกวันที่โดนลูกปฏิเสธ มันออกจักฝังใจมิน้อยแต่อย่าหวังว่าสัญชาตญาณความเป็นแม่ของเธอจักมีเพียงแค่นี้หญิงสาวค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้เด็กหัวจุกทั้งสอง ค่อยๆ ยกจันทร์ดาขึ้นมาก่อนเพราะลูกหญิงมักอ่อนโยนกว่าคนพี่เล็กน้อย พร้อมกับยกบุตรสาวที่ทำตาโตมาแนบอกอิ่ม“จันทร์ดา... นี่แม่เองนะ”“...”“จันทร์ดา แม่รักหนู... แม้จักเป็นช่วงเพลาเพียงสั้นๆ ก็ตาม”หมับ!“อึก...!” แต่ยั
“มิมีสาส์นตอบรับส่งมาจากเมืองครุฑเลยพะย่ะค่ะฝ่าบาท... จนบัดนี้แล้ว”เหล่าทหารกราบทูลกับพระสุวรรณราพณ์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่มหึมา ได้ความว่าสาส์นท้ารบนั้นอาจส่งไปถึงเมืองครุฑ แต่ฝ่ายไอ้ท้าวไกรสิงห์อาจยังเล่นตุกติกมิยอมส่งสาส์นกลับมา ทำตัวยั่วโมโหเก่งจริงๆพระสุวรรณราพณ์เข้าใจว่ามันนึกแค้นเคืองที่ในอดีตชาติต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์ยักษ์เช่นทศกุมภัณฑ์ (ซึ่งก็คือตัวเขาเองนั่นแล) นั้นเข่นฆ่าฉีกเนื้อเทือหนังครุฑอย่างโหดร้ายเพียงเพื่อชิงเมียรักกลับมาสู่อ้อมอก แม้นจักมาเจอเมียในร่างไร้วิญญาณก็ตาม แถมในอดีตก่อนเจอคู่ชะตา สังวรีราพณ์ก็ได้ไปบุกเมืองครุฑด้วยความหิวกระหายเนื้อสดหลังจากจำศีลไม่กินเนื้อมาเกือบห้าสิบปีจนตบะแตกด้วยดวงจิตทมิฬที่สอง สุดท้ายก็ฆ่าพวกครุฑแลครุฑีไปเกินครึ่ง แถมยังกินจนเหลือแต่กองกระดูกนกให้ดูต่างหน้าอีกด้วยเรียกได้ว่าเขาเองก็เป็นตัวการที่ทำให้ฝั่งไอ้ท้าวครุฑนั้นมีความอาฆาตแค้นจนต้องชิงสิ่งสำคัญออกไปอย่างเช่นภาชนะอย่างธิดาเมืองจันทร์ที่มีดวงจิตมธุรสวดีอยู่ในนั้น แม้นสุดท้ายจะสู้พลังวังชาของพระสุวรรณราพณ์ไม่ได้ก็ตามที่ส่งสาส์นท้ารบไป เพื่อจักให้มันจบมันสิ้นไป ให้มันได้ระบายอาร
มิรู้ดอกว่าแปลงกายมาหลอกพ่อด้วยเหตุอันใด แต่จักมิยอมญาติดีกับแม่อัปสรสวรรค์นั่นเด็ดขาด“ข้ามิพูดคุยหรือทำดีต่อนาง ยัยนั่นมิใช่แม่ของข้า แม่ของข้าชื่อเจ้าจันทร์ ข้าจำกลิ่นไอของแม่ข้าได้ดี!”“อินมุก จริงๆ แล้วแม่ของเจ้า...”“เลิกพยายามจักโป้ปดข้า หาความดีความชอบมาสู่นังอัปสรนั่นเสียที ท่านพ่อรักหลงนางจนมิเห็นหัวข้าแลน้องจันทร์ดาเลยด้วยซ้ำ!” ว่าพลางก็กัดฟันข่มความรู้สึกโกรธแค้นนางอัปสรนั่น ฉุดแขนจันทร์ดาที่ยืนมองท่านพ่อกับพี่ชายต่อล้อต่อเถียงกันและวิ่งตามแรงจับจูงของพระเชษฐาไปอย่างว่าง่ายอินมุกวิ่งมาจนถึงบึงบัว กำหมัดแน่นในข้างที่ไม่ได้จูงฝ่ามือเล็กของน้องสาว จันทร์ดาเอียงคอมองพี่ชายฝาแฝดที่บัดนี้น้ำตาหยดลงสู่ผิวแก้มสุกปลั่ง“พี่อินมุก โอ๋ โอ๋ พี่อินมุกอย่าร่ำไห้เลยเจ้าค่ะ” เสียงหวานปลอบประโลมพี่ชายเพียงแผ่วเบา ตระกองกอดพี่ชายแนบแน่นเท่าที่จำความได้ อินมุกกับจันทร์ดามีสูรย์วันบ่าวยักษีตนหนึ่งคอยดูแลเป็นแม่นมให้ตั้งแต่เล็ก สายใยอบอุ่นระหว่างพวกเขาและพระมารดาแน่นแฟ้น อินมุกและจันทร์ดาเชื่อว่ามารดาคลอดตนด้วยความรักใคร่ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็ถามถึงแม่ของตนที่มีนามว่าเจ้าจันทร์นางสูรย์
เมื่อปล่อยร่างนั้นลงพื้น ผีขุนแสนคำถามขึ้นมา เขานึกสงสัยนักว่าทำไมดวงจิตของผู้หญิงคนนี้ถึงมาอยู่ในร่างของเมียใจชั่วของเขา“จะให้บอกชื่อร่างที่มาสิงหรือบอกชื่อจริง?” หมั่นไส้ความเป็นผียังเต๊ะท่าบาตรใหญ่เลยยียวนไปที อย่าคิดว่าอีบีคนนี้จะไม่กล้ากวนประสาทผีนะ‘คิดว่ากูเป็นเพื่อนมึงหรือไร อีผีเร่ร่อน บอกชื่อมาเสีย... ก่อนที่กูจักจับมึงมาเป็นบริวารอีกตัว’จบประโยคนั้นก็มีเสียงหัวเราะคิกคักลอยเคว้งอยู่รอบตัว ดูเหมือนว่าหมอนี่จะเป็นผีที่มีพลังวิญญาณมาก ถึงขนาดจับผีเร่ร่อนมาเป็นพวกได้เลยหรือนี่“บี หนูชื่อบี! แล้วก็ไม่ใช่ผีเร่ร่อนด้วย” เป็นวิญญาณเฉยๆเอ้ะ หรือมันก็เหมือนๆ กันวะ?‘เช่นใดผีเร่ร่อนจึงมาสิงสู่ร่างกายอีบัวงาม มันตายไปแล้วหรือ!’ สิ้นคำถามส่อแววพยาบาทนั้น นางสาวบีเองก็หยุดคิดอยู่ครู่ใหญ่“ไม่มั่นใจ หรือตายแล้วแหละ” ก็ถ้าตามที่เรียนมาเมื่อกายหยาบมีวิญญาณอื่นมาสิงสู่ได้ แสดงว่าจิตในร่างก็ต้องหลุดออกจากกายหยาบแล้วใช่ไหมนะ‘ยังมิทันได้ชดใช้บาปกรรม ก็ตายห่าเสียแล้วหรือ’ ร่างกำยำที่มีรังสีความเฮี้ยนอยู่มากยืนครุ่นคิด ขุนแสนคำเชื่อว่าวิญญาณนังหญิงชั่วนั่นยังไปไหนได้ไม่ไกล เมื่อยังมีชีวิตเขา
“มันมีฤทธิ์ห้ามการสร้างครรภ์น่ะ”“...”“เท่านี้... ก็สามารถเสร็จสมภายในเจ้าไม่ว่ากี่คราได้แล้วใช่หรือไม่” อีกฝ่ายเว้าวอนถาม แม้หล่อนมิเชื่อใจแต่จักสามารถปฏิเสธการร่วมรักนี้ได้จริงๆ หรือ ทั้งๆ ที่มันยังค้างคาอยู่เช่นนี้ เขาเสร็จสมตามใจหมายไปแล้ว แต่อัปสรสาวยังมิถึงแก่นลึกของจุดเลยด้วยซ้ำมิแปลกที่อีกฝ่ายจักยังมิเคยมีหญิงใด เขายังไร้ประสบการณ์นัก“ข้าจักควบคุมกิจนี้เองเจ้าค่ะ” เสียงหวานเอ่ยอาสา พลางรั้งท้าวไกรสิงห์ลงไปเป็นฝ่ายอยู่เบื้องล่างแทนโดยมิรอขอคำอนุญาตจากเขา บทรักเร่าร้อนนี้หล่อนเพียงแค่อยากเป็นฝ่ายควบคุมเองเพื่อมิให้อีกฝ่ายเล่นกลตุกติกสร้างเด็กในครรภ์ให้หล่อนโดยมิเต็มใจ อัปสราจึงยกกายเล็กขึ้นทาบทับ ปลดปล่อยกามารมณ์แลสรีระเรือนกายอันงดงามให้ปรากฎตรงหน้าครุฑหนุ่มสีชาดที่มีดวงตาคมเปล่งประกายเขามิรู้ว่าควรจักต้องรู้สึกเช่นใด เมื่อหญิงที่ต้องการนั้นขึ้นสมสวาทด้วยตนเอง ราวกับนางกำลังมีอารมณ์ร่วมให้กับรสรักของเขา“อ่า... อัปสร” เสียงทุ้มแหบพร่า เมื่อร่องเกสรดอกกรรณิการ์นั้นรวบรัดท่อนจันทน์ของเขาไปจนสุด มันทั้งลึกแลตอดรัดยั่วเย้าใจชาย พาให้เขาผงาดเต็มภายในเรือนกายของนาง ปล่อยให้อีกฝ่า
“กรรณิกา... ยั้งก่อนได้หรือไม่” ฝ่ายนั้นอ้อนวอน กรรณิกาอัปสรบังเกิดความรู้สึกแปลกพิกลขึ้นในใจ หล่อนเงยหน้าขึ้นสบตาท้าวไกรสิงห์ สีหน้าของเขาในยามที่หล่อนปรนเปรอนั้นดูไม่เหมือนท่าทีในยามปรกติ ดวงตาสีชาดนั้นจดจ้องดวงหน้าแลทุกอากัปกิริยาของนางอย่างคลั่งไคล้“... เหตุใดถึงมองด้วยสายตาเช่นนั้น” เพราะอดีตเคยอยู่ในโลกสมัยใหม่ กรรณิกาอัปสรโพล่งถามออกมาตามตรง หล่อนเพียงต้องการความคิดเห็นกับการบำเรอในคราวนี้ “มิพึงใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือเจ้าคะ?”“ก็มิเท่าใดนัก” หากแต่เพราะเป็นบุตรชายคนเดียวเลยถูกเลี้ยงดูมาให้เป็นนักรบ ไม่อาจบอกความรู้สึกหวั่นไหวของตนเองไปตามตรง ท้าวไกรสิงห์หลบสายตาหล่อนพลางพูดจารอนใจสาวโดยมิรู้ตัว“ท่านมิชอบ... กระนั้นหรือเจ้าคะ?” สายตาของนางหลุบมองต่ำอย่างละอาย เป็นเมียที่สุวรรณราพณ์มิรักยังมิพอ พอจักปรนเปรอใครใหม่ ก็ช่างทำได้ห่วยบรมจนอีกฝ่ายต้องบอกว่าไม่เท่าใดนัก“มิใช่มิชอบใจ หากแต่...” เมื่อเห็นว่าดวงหน้าหวานหมองเศร้า ดวงใจครุฑหนุ่มก็อ่อนยวบ เขาติดนิสัยชอบใจอ่อนกับสิ่งสวยงามที่หมายตาครอบครอง กายกำยำค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้นมา เอื้อมฝ่ามือหนาสัมผัสผิวแก้มขาวผสมชมพูอย่างคนหน้าขึ้นส
อ้อมกอดแห่งครุฑสีชาตินั้นทำให้นางยากจักถอนกายออก ความอบอุ่นที่ไม่ทราบเหตุผลว่าเพราะเหตุใดชายผู้นี้ถึงได้เลือกนางเป็นมารดาผู้ให้กำเนิด กรรณิกาอัปสรไม่คิดหวังให้ท้าวไกรสิงห์ใฝ่รักใฝ่หานาง หล่อนหมดหวังไปตั้งแต่พระสวามีคนก่อนแล้วสุวรรณราพณ์มองกรรณิกาที่อยู่ในร่างของเจ้าจันทร์เป็นเพียงแค่ตัวแทนหญิงที่ห่างกายเขาไปเมื่อนานมาแล้ว เขามักตัดพ้อรำพันทุกค่ำคืนว่าหญิงในอดีตชาตินั้นร้างรักเขาเนื่องจากเป็นอสูรรูปชั่ว แม้นมียศถาบรรดาศักดิ์มากมาย ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจนางได้หารู้ไม่ว่าทุกอย่างนั้นคือบ่วงกรรมที่ทำให้ทุกฝ่ายต้องเผชิญ ฝ่ายท้าวไกรสิงห์นั้นไม่สามารถระลึกชาติก่อนได้ แต่เขามีสะพานกรรมที่ต้องวนเวียนชดใช้ อดีตชาติของท้าวไกรสิงห์ก่อนจักมาเกิดเป็นครุฑนั้น คืออดีตพรานบุญที่หลงรักมธุรสวดี อัปสราสาวที่ลงมาล้อเล่นน้ำอาบแสงจันทร์กลางป่าหิมพานต์ในสระอโนดาต แลเสพสมกับหล่อนกลางสระงาม โดยที่หล่อนเมามายรสน้ำเงาจันทร์ ทำให้หลงลืมคิดว่าพรานบุญนั้นคือสามีของตนเฉกเช่นทศกุมภัณฑ์เมื่อทศกุมภัณฑ์มาพบการก่อกบถเข้า จึงทำการฆ่าพรานบุญคนนั้นจนตายในชาติก่อน ชิงเมียรักกลับมาสู่อ้อมอก พรานบุญนั้นสาปแช่งก่อนตายตกว่าชาติ
ก่อนพบรักกับอัปสรมธุรสวดี ทศกุมภัณฑ์เคยมีภรรยาเป็นยักษีรูปร่างงดงามสะสวย นางเสวยทิพย์มิกินเนื้อคนต่างจากเขาผู้เป็นสวามี นางถูกตบแต่งกับเขาเพียงเพื่อสานไมตรี ทศกุมภัณฑ์อัปลักษณ์หากแต่มียศศักดิ์บริวารมาก ตระกูลยักษ์ฝั่งนั้นจึงส่งนางปารตีเป็นเมียกำนัล การตบแต่งที่มิได้เริ่มต้นด้วยความรัก สุดท้ายทศกุมภัณฑ์กลับหลงรูปโฉมอัปสราจนทิ้งนางน้ำตาตกในตลอดมานางยักษ์ปารตีเองก็มิได้เหลียวแลเนื่องจากสวามีนั้นโหดเหี้ยมทานแต่เนื้อสัตว์ ทั้งเนื้อสัตว์เนื้อมนุษย์ไม่ขาดปาก นางที่เป็นยักษ์เสวยทิพย์ชั้นสูง จึงตีตนออกห่าง จนเป็นช่องโหว่ให้อีกฝ่ายนั้นไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย อยู่ของนางดีๆ ก็ต้องมารับรู้ว่าสวามีของตนนั้นได้ลิ้มรสเชยชมนางอัปสรชั้นสูง พร้อมกับเอานางอัปสรมธุรสวดีเข้ามากกกอดถึงในรังนอนนิมมานเทพเองต้องการดวงตาของนางยักษ์ปารตี เนื่องจากดวงตาของนางเป็นดวงตาที่สาม สามารถเปิดโลกแห่งความตายทั้งปวงได้ การมีดวงตาของนางเอาไว้ในครอบครอง มิว่าจักเป็นนรกภูมิหรือสรวงสวรรค์ เขาจักเป็นชายผู้มากศักดาจนมีแต่คนอยากคบหาพาที เขาจึงส่งนางอัปสรมธุรสวดีเข้าหาทศกุมภัณฑ์หวังยั่วยวนหาโอกาสฆ่าชิงดวงตาที่สามของนางปารตี แต่นางอั
“เมื่อเจ้าเติบใหญ่กว่านี้ พ่อจักบอกทุกอย่าง อดทนรอแล้วทำตามที่พ่อเอ่ยได้หรือไม่” แน่นอนว่าพระสุวรรณราพณ์รู้ดีถึงพลังที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดของบุตรแฝด แต่เนื่องจากอินมุกแลจันทร์ดายังมิมีวุฒิภาวะหรือการเผชิญหน้ากับโลกภายนอกมากพอที่จะเข้าใจเรื่องราวในอดีตชาติของตน เขาจึงอยากรอให้ลูกทั้งสองเติบโตมากกว่านี้ก่อน“ไม่! ท่านควักดวงตาแม่แท้ๆ ของข้า แลยังขับไสไล่ส่งแม่ที่แท้จริงของพวกเราไปไกลบ้านไกลเมือง หากมิรักใคร่เนื่องจากพวกเราเป็นสายเลือดมนุษย์ ท่านพ่อก็บอกข้ามาตามตรงเถิด!” จันทร์ดาได้ฟังพี่ชายว่าเช่นนั้นก็ใจตกไปอยู่แทบตาตุ่ม ยืนร่ำไห้กอดอินมุกที่หยัดยืนสู้ตัวน้อยๆ ประจันหน้ากับกษัตริย์เมืองยักษ์ที่ถือเป็นบิดาแท้ๆ ของตน ตั้งแต่เกิดมาบิดาไม่เคยพูดดีด้วยนอกเสียจากมองเขาเป็นตัวปัญหา แม้นจักเป็นลูกของสตรีที่มิได้รัก แต่ก็มีหัวจิตหัวใจเช่นกัน“ควักดวงตา? หมายความว่าเช่นไร” สีหน้าของพระสุวรรณราพณ์นั้นสับสน ชวนให้สองเด็กแฝดชะงักไป“พระมารดาของเจ้านั้นอยู่ที่เมืองจันทร์ นางตาบอดเพราะถูกควักลูกตาไปด้วยฝีมือของพระบิดาของพวกเจ้า เนื่องด้วยนางมิเป็นที่โปรดปรานเท่ากับสนมคนที่สิบสองอย่างนางอัปสรที่นามว
“ไสหัวไปเสีย ก่อนที่กูจักบั่นคอมึงให้ดับดิ้นอยู่ตรงนี้” พอได้ยินอีกฝ่ายตีฝีปากกลับอย่างมั่นอกมั่นใจเช่นนั้นอสุราหนุ่มยิ่งพิโรธเหลือ เขารู้เรื่องราวทุกอย่างที่หล่อนลงมาแลแปลงกายเป็นอัปสรเพื่อเข้ามาเป็นสนมคนที่สิบสาม แต่เขาไม่สามารถล่วงรู้ได้ถึงช่วงที่นางดำรงอยู่บนสรวงสวรรค์กับนิมมานเทพ มิอาจรู้ได้ว่ามันได้เป่าหูกระไรนางไว้บ้าง“อย่าลืมเสีย สุวรรณราพณ์... ไม่สิ ไอ้ทศกุมภัณฑ์เอ๋ย”“...!”“มธุรสวดีจักไม่มีวันตกเป็นของมึง แม้นชาตินี้หรือชาติไหน กูจักตามราวีมึงทุกชาติไป เพื่อให้ได้มาซึ่งหญิงที่กูหมายครอง”ไวกว่าความคิด พระสุวรรณราพณ์เขวี้ยงดาบทมิฬตรงไปยังร่างตรงหน้าหวังฟาดฟันด้วยความเกรี้ยวโกรธสุดกำลัง แต่ร่างนั้นกลับสลายหายไปเป็นเพียงไอหมอกเย็นเยียบโอบล้อมรอบดาบดำมืดก่อนที่จักถึงตัว พระสุวรรณราพณ์เรียกดาบทมิฬกลับมาสู่ฝ่ามือใหญ่ กวาดสายตามองไปรอบๆ พลางขบฟันกรอดอย่างขัดเคืองมาทั้งที ก็ทิ้งเพลิงกัลป์ไว้เลยสิหนา“ทะ... ท่านพ่อ ข้า...” อินมุกมีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อผู้เป็นพ่อหมุนตัวใหญ่โตหันกลับมา ดวงตาสีชาดหรี่ลงมองบุตรชายที่ยืนตัวสั่น พระสุวรรณราพณ์ทำได้เพียงเดินนำหน้าลูกไปเท่านั้น“ตามพ่อมา อิ
“พระมารดาของเจ้านั้นอยู่ที่เมืองจันทร์ นางตาบอดเพราะถูกควักลูกตาไปด้วยฝีมือของพระบิดาของพวกเจ้า เนื่องด้วยนางมิเป็นที่โปรดปรานเท่ากับสนมคนที่สิบสองอย่างนางอัปสรที่นามว่ากรรณิกา”“!!!” ทั้งอินมุกแลจันทร์ดาเบิกตากว้าง เป็นจริงดั่งสัญชาตญาณที่ว่ามารดาของตนนั้นไม่อยู่ที่นี่ ตัวจริงนั้นอยู่เมืองจันทร์ ส่วนตัวปลอมที่แปลงเป็นมารดาของพวกเขานั้นคือหนึ่งในสนมที่เป็นนางสวรรค์แต่ยิ่งหดหู่ใจไปกว่านั้น... คือเรื่องที่บิดาเลือกที่จะควักลูกตาของพระมารดาไป เนื่องจากไม่เป็นที่โปรดปรานดั่งเช่นสนมที่เป็นนางอัปสร มันช่างน่าเศร้านัก นี่ท่านพ่อไม่มีความรักต่อแม่เราเลยหรือ“... ว่าต่อได้หรือไม่” ท้ายที่สุดเด็กชายก็อดรนทนไม่ได้ ด้วยความอยากรู้เรื่องราวของแม่ที่แท้จริงจึงเอ่ยปากถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงจากเมื่อครู่“จงมอบความเชื่อใจให้แก่ข้าเสียก่อน จึงจักเล่าต่อได้” นิมมานเทพถือโอกาสออกกลอุบายดึงบุตรของพระสุวรรณราพณ์มาเป็นพวกด้วยค่าของเรื่องราวของหญิงที่เขามินึกใส่ใจอย่างธิดาเจ้าจันทร์“ข้าแลน้องสาวจักเชื่อใจเจ้า”“อินมุก... เจ้ามิรักพระบิดาหรือ เจ้าเชื่อใจข้ามากกว่าพระบิดาหรือ ทั้งๆ ที่มันอาจจักเป็นคำโก
มิรู้ดอกว่าแปลงกายมาหลอกพ่อด้วยเหตุอันใด แต่จักมิยอมญาติดีกับแม่อัปสรสวรรค์นั่นเด็ดขาด“ข้ามิพูดคุยหรือทำดีต่อนาง ยัยนั่นมิใช่แม่ของข้า แม่ของข้าชื่อเจ้าจันทร์ ข้าจำกลิ่นไอของแม่ข้าได้ดี!”“อินมุก จริงๆ แล้วแม่ของเจ้า...”“เลิกพยายามจักโป้ปดข้า หาความดีความชอบมาสู่นังอัปสรนั่นเสียที ท่านพ่อรักหลงนางจนมิเห็นหัวข้าแลน้องจันทร์ดาเลยด้วยซ้ำ!” ว่าพลางก็กัดฟันข่มความรู้สึกโกรธแค้นนางอัปสรนั่น ฉุดแขนจันทร์ดาที่ยืนมองท่านพ่อกับพี่ชายต่อล้อต่อเถียงกันและวิ่งตามแรงจับจูงของพระเชษฐาไปอย่างว่าง่ายอินมุกวิ่งมาจนถึงบึงบัว กำหมัดแน่นในข้างที่ไม่ได้จูงฝ่ามือเล็กของน้องสาว จันทร์ดาเอียงคอมองพี่ชายฝาแฝดที่บัดนี้น้ำตาหยดลงสู่ผิวแก้มสุกปลั่ง“พี่อินมุก โอ๋ โอ๋ พี่อินมุกอย่าร่ำไห้เลยเจ้าค่ะ” เสียงหวานปลอบประโลมพี่ชายเพียงแผ่วเบา ตระกองกอดพี่ชายแนบแน่นเท่าที่จำความได้ อินมุกกับจันทร์ดามีสูรย์วันบ่าวยักษีตนหนึ่งคอยดูแลเป็นแม่นมให้ตั้งแต่เล็ก สายใยอบอุ่นระหว่างพวกเขาและพระมารดาแน่นแฟ้น อินมุกและจันทร์ดาเชื่อว่ามารดาคลอดตนด้วยความรักใคร่ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็ถามถึงแม่ของตนที่มีนามว่าเจ้าจันทร์นางสูรย์