ความรู้สึกแรกหลังจากรู้สึกตัวคืออุณหภูมิร่างกายที่สูงมากคล้ายคนจับไข้ ร่างกายหนักอึ้งไปจนถึงศีรษะ อาการปวดหัวจี๊ดแล่นริ้วขึ้นมาตามขมับจนต้องเผลอย่นคิ้วเมื่อคืนนี้เธอฝันประหลาด การต้องรับบทบาทในฝันเป็นเด็กผู้หญิงอายุห้าขวบที่ทางบ้านมีฐานะยากจนไม่ค่อยสนุกเท่าไรนัก ฝันนั้นเด็กผู้หญิงตัวเล็กนั่นมีน้องชาย อาหารการกินก็ไม่เพียงพอแม้แต่ปากท้องเดียว มีแค่น้ำข้าวต้มใส ๆ ไม่มีเนื้อ บ้านที่นางอยู่มีไข่ไก่ แต่ไม่เคยตกถึงท้องเทียบกับการต้องออกไปเผชิญหน้าฝูงซอมบี้เป็นสิบเป็นร้อย ฉินหลิวซีไม่แน่ใจเลยว่า อันไหนคือฝันร้ายกว่ากันกันแน่วันวันหนึ่งเด็กผู้หญิงคนนั้นต้องใช้แรงงานในบ้านร่วมกับมารดาที่ร่างกายอ่อนแอ ซักผ้าให้คนทั้งบ้าน ยามป่วยไข้กลับไม่มีใครออกเงินรักษา คิดแต่นอนพักแล้วก็หายสุดท้ายก็ตายจากไปเงียบ ๆ แค่เรื่องราวของฝันตื่นหนึ่ง ไม่นึกเลยว่ามันคือความจริงฉินหลิวซีนอนเหม่อหลังจากได้สติรับรู้คืนมา ที่เรียกว่าฝันนั้นแท้จริงคือความทรงจำ ตัวนางคือองค์ประกอบหนึ่งของครอบครัวเล็ก ๆ ในครอบครัวใหญ่แห่งนี้เรื่องบ้า ๆ แบบนี้เกิดขึ้นครั้งเดียวพอฉินหลิวซีไม่แน่ใจว่า การต้องฝ่าฟันโลกที่มีแต่ผีดิบเดินไ
อย่างที่ได้รับรู้ในความทรงจำตกค้างที่นางเข้าใจผิดไปเองว่า เป็นความฝัน ครอบครัวนี้ความเป็นอยู่ย่ำแย่ สะใภ้ถูกดูแลเหมือนเป็นคนใช้ในบ้าน ฉินหลิวซีเดินตามหลังผู้เป็นแม่ที่หอบตะกร้าสูงท่วมหัวออกไปยังแม่น้ำใกล้ ๆ ซึ่งจะบอกว่าใกล้ก็บอกได้ไม่เต็มปาก เพียงแต่มันเป็นแม่น้ำสายเดียวที่ใกล้ที่สุด และก็เดินจนปวดขา บิดาของเด็กหญิงตัวน้อยทำงานในที่นาของครอบครัว สองแม่ลูกดูแลเรื่องงานบ้านภายในและซักผ้าเป็นหลักชิวย่าหนานเห็นบุตรสาวไม่พูดก็นึกแปลกใจอยู่ แต่เห็นหน้านางซูบซีดคิดว่าคงเหนื่อย จึงไม่ได้ถามอะไร“ข้าขอตัวไปถ่ายหนักสักครู่นะเจ้าคะ”มารดาพยักหน้าไม่ได้ซักไซ้อะไร ฉินหลิวซีจึงปลีกตัวเดินออกมาไกล ๆ ได้อย่างไม่ผิดสังเกต พ้นสายตามารดามาได้นางก็มองหาต้นอ่อนพันธุ์ไม้ต่อ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่บริเวณรอบ ๆ ก็ลองใช้พลังธาตุไม้ที่ติดตัวมาดู จากที่เคยทำให้ต้นกล้างอกใบออกมาได้ไม่กี่ใบ ทำให้รากไม้ขยับได้นิดหน่อย ตอนนี้แค่เพียงใส่พลังเข้าไปต้นอ่อนนั้นก็เติบโตขึ้นเป็นลำต้นในเวลาไม่กี่อึดใจฉินหลิวซีกำลังจะฉีกยิ้มยินดี เสียงท้องนางก็ร้องประท้วงขึ้นมาขัดจังหวะ ใบหน้าเด็กหญิงแข็งค้าง นึกได้ว่าตนยังไม่ได้กิน
ระหว่างที่กำลังใจลอยหนีความบัดซบของชีวิตก็พบว่าได้เวลากินข้าว ฉินหลิวซีมองแผ่นแป้งเล็กของตนเองด้วยความแค้นใจ เมื่อเช้านางไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากแผ่นแป้งแห้ง ๆ แข็ง ๆ รสชาติเหมือนเทียนไขเวลาทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาในครอบครัวคือช่วงเวลาที่เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความแตกต่างและความลำเอียง ฝั่งอาหารของบ้านใหญ่ สำรับของหลานชายทั้งสองที่มีอายุมากกว่านางสองสามปีล้วนมีไข่ไก่ ข้าวพูนจาน ไม่มีน้ำส่วนของบ้านนางมีเพียงน้ำต้มข้าวไร้รสชาติ และแผ่นแป้งแข็ง ๆ ฉินหลิวซียกน้ำข้าวต้มให้น้องชายที่ได้รับส่วนแบ่งเพียงช้อนเดียว เพราะพวกเขาคิดว่าน้องชายนางยังเล็ก อีกทั้งยังไม่ได้ทำงาน ให้กินแค่นี้ก็เพียงพอเพียงพอแบบไหน อะไร ยังไง อยากจะเปิดโต๊ะให้อภิปรายเหลือเกิน เพียงพอแบบขี้ข้าหรือไงถ้าหากฟันของมนุษย์แข็งแรงน้อยกว่านี้ วันนี้นางคงได้เคี้ยวฟันตัวเองจนแตกแน่ เด็กหญิงนับหนึ่งถึงสิบในใจเป็นร้อยรอบ เจอสถานการณ์แบบนี้ นี่นางใจเย็นที่สุดในชีวิตแล้ว ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในร่างเด็กห้าขวบคงมีคนซี่โครงหักกันบ้าง อะไรมันจะขนาดนี้“ชิวย่าหนาน พักนี้ทำงานอืดอาดไปหรือเปล่า” ท่านย่าเอ่ยตำหนิมารดาของนาง พอมีคน
“อาหยวน” นางตะโกนเรียกน้องชาย พอได้ยินเสียงพี่สาวเขาก็ยกมือขึ้นสูง ๆ ให้รู้ว่าตนเองอยู่ตรงไหนฉินหลิวซีเดินมาหาน้องชายกลางทาง เขาเห็นพี่สาวก่อไฟเสร็จแล้วจึงจูงมือนางมาหาจุดที่มีพวกลูกไม้ที่ตนเจอ นางลูบศีรษะน้องชาย กล่าวชมทั้งรอยยิ้ม“เก่งมาก”เพียงคำสั้น ๆ แต่ดวงตาคู่น้อยนั้นก็เริ่มมีประกายขึ้นมา เป็นฉินหลิวซีที่ชะงักไปเสียเอง ต้องใช้ชีวิตมาแบบไหนที่ทำให้เด็กสามขวบห้าขวบมีแววตาหม่นหมองได้ขนาดนี้ ทั้งที่เป็นวัยที่แต่งแต้มเติมสีเข้าไปได้ง่ายที่สุด แต่ครอบครัวสกุลฉินกลับเลือกที่จะเติมสีดำให้บ้านรองอย่างพวกนาง“อาหยวนเก่งมาก ๆ เลย ไปเก็บผลไม้ด้วยกันเถอะ”ฉินหลิวซีให้น้องขี่คอ แม้จะทุลักทุเลไปสักหน่อย แต่ก็เอื้อมไปถึงผลไม้บนต้นได้ พอได้ทำอะไรด้วยตัวเองฉินซือหยวนก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมานางกับน้องชายได้ลูกพลับมาสี่ผล จึงแบ่งกันคนละสองผล ฉินหลิวซีจูงมือน้องมานั่งตรงที่นางก่อไฟไว้แล้วให้เขานั่งเฝ้าปลา ส่วนตนเองก็เดินไปดูต้นไม้อีกต้นที่เห็นตอนเดินลงมาเมื่อครู่ เมื่อเดินมาใกล้ ๆ จึงเห็นว่าเป็นกล้วยหอมที่ยังโตไม่เต็มที่ ฉินหลิวซีไม่ลังเลที่จะใช้พลังธาตุเร่งการเจริญเติบโตของมันนางหันมองน้องชา
จนวันนี้อาหารของนางต่อหน้าครอบครัวก็ยังมีแต่แผ่นแป้งแห้ง ๆ ในแต่ละวันนางจะพาน้องชายเข้าป่าเพื่อหาของกิน สองสามวันมานี้มารดาชอบถามพวกนางว่าไปเล่นกับใครที่ไหน ไม่รู้ว่าด้วยความเป็นห่วงเพียงอย่างเดียวหรืออยากรู้อยากเห็นเรื่องของลูกด้วยกันแน่ แต่เพื่อไม่ให้ระแคะระคายไปมากกว่านี้ ฉินหลิวซีจึงไม่ได้พาน้องชายออกไปอีก แล้วอีกปัญหาหนึ่งที่ตามมาก็คือท่านย่าเริ่มระแคะระคายที่มีฟืนหายไปวันละสี่ห้าท่อนจึงอยู่บ้านเพื่อหาทางจับผิดวันนี้นางตามมารดาออกมาซักผ้า หลังจากช่วยจนผ้าใกล้หมดตะกร้าแล้วนางก็ทำทีขอไปเดินเล่น ผู้เป็นแม่เห็นว่านางช่วยซักผ้าจนมือเปื่อยมือเย็นจึงพยักหน้าอนุญาต หากผ้าไม่ใช่ตะกร้าใหญ่อย่างวันนี้นางทำคนเดียวก็ได้ แต่เมื่อไหร่ที่ได้ผ้ามาจนล้น นางทำจนเย็นก็ยังซักไม่เสร็จบุตรสาวจึงต้องมาช่วยฉินหลิวซีมุดเข้าไปหลังม่านเถาวัลย์เหมือนครั้งก่อน โชคดีที่นางตัวเล็กจึงไม่มีปัญหา แต่หากโตไปกว่านี้คงต้องมองหาที่ลับตาคนใหม่แล้ว เด็กหญิงเข้าไปในห้วงมิติของตน นางยังไม่มีเวลาสำรวจกระท่อมนี้เลยจนกระทั่งวันนี้หลังจากเข้ามาได้นางก็เริ่มทำการสำรวจภายในกระท่อม ด้านในกระท่อมมีตั่งไม้ยกสูงขึ้นมาสำหรับเป็
ฉินหลิวซีแง้มประตูยื่นหน้าออกไป ห้องนอนของนางอยู่ไม่ห่างจากห้องใช้งานส่วนอื่น ๆ ของบ้านเท่าไรนัก จึงได้ยินเสียงป้ากับมารดาพูดคุยกันชัดเจน“ผ้า เป็นหน้าที่ของเจ้าต้องซัก ทำไมจึงไม่ยอมเอาเสื้อผ้าของข้าไปซัก!”“แต่พี่หญิงไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาให้ข้านี่เจ้าคะ”“ไม่ได้เอามาก็ไม่รู้จักถามอย่างนั้นหรือ เป็นหน้าที่ของเจ้าแท้ ๆ”ชิวย่าหนานถูกตะคอกใส่ก็ยิ่งไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสู้ ที่ตรงนั้นยังมีท่านย่าของนางอีกคนที่ยืนอยู่ด้วย อยู่ต่อหน้าแม่สามีชิวย่าหนานยิ่งไม่กล้ามีปากมีเสียง เพราะรู้ว่าแม่สามีไม่ชอบตนเป็นทุนเดิม“ท่านแม่ดูสิเจ้าคะ นางไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง” ป้าสะใภ้เดินเข้าไปเอาอกเอาใจท่านย่าเขา บีบนวดไปพลาง ฟ้องเรื่องมารดาของนางไปด้วยประจบประแจงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ขั้นเซียนเลยนะนั่น“ท่านแม่ คนแบบนี้เลี้ยงไปก็เสียข้าวสุก หน้าที่ตัวเองไม่ยอมทำ ต้องให้คอยสั่งอยู่ตลอดทั้ง ๆ ที่ทำมาตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เย็นนี้ไม่ต้องทำอาหารสำหรับพวกนางหรอกเจ้าค่ะ”“เดี๋ยวสิเจ้าคะ&rd
“ท่านแม่ทำงานหนัก ซักผ้าเกือบทุกวัน ไม่เสื้อผ้าก็เป็นที่นอนปลอกหมอนมุ้ง ไม่มีวันไหนที่นางได้หยุดพัก ข้าเห็นพี่น้องบ้านใหญ่อาหารการกินมีเนื้อไข่ ข้ากับน้องได้กินแต่แผ่นแป้งแข็ง ๆ ทั้งที่ข้าก็ทำงาน น้องก็ทำงานจะเล็กน้อยอย่างไรก็ทำ ท่านพ่อไม่รู้สึกว่าแปลกหรือเจ้าคะ”เด็กหญิงทำหน้าตาใสซื่อตั้งคำถามเหมือนไม่รู้ความหมายจริง ๆ ดวงตากลมโตบริสุทธิ์จ้องมองไปยังบุรุษตรงหน้า“ข้าน้อยใจเหลือเกินเจ้าค่ะ วันนี้ท่านแม่ก็จะเอาผ้าไปซักตามปกติ แต่ท่านป้าไม่ยอมเอาผ้าของนางมาให้ กลายเป็นว่าท่านแม่ของข้าเป็นคนผิด หรือนี่เป็นความถูกต้องเจ้าคะ”ยิ่งฟังบุตรสาวพูด ผู้เป็นพ่อยิ่งรู้สึกหนักอึ้งในใจมีความไม่พอใจคุกรุ่นอยู่ในนั้น“ท่านพ่อเจ้าคะ หากวันนี้ข้าไม่เชื่อฟัง ข้าไม่ไปซักผ้า ไม่ทำอย่างที่ข้าเคยทำ ท่านจะผิดหวังในตัวข้าหรือไม่”นางกล่าวถามเสียงใส ปั้นหน้าดุจเทพธิดาตัวน้อยนั่นทำให้ฉินก่วงนึกย้อนไปถึงวัยเด็กของตัวเองขึ้นมา เขาเคยเชื่อว่าหากทำตามที่มารดาบอก นางก็จะรักเขาบ้าง ตั้งแต่เกิดมามีเพียงบิดาให้ความอบอุ่น&n
“ท่านแม่ ก่อนหน้านี้ข้าเจอต้นพลับด้วย ตากผ้าแล้วข้าจะไปหามาให้ท่านนะเจ้าคะ”“ต้นพลับหรือ ไปเจอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”“ก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นในป่าบังเอิญเจอเข้าน่ะเจ้าค่ะ” นางบอกไม่ได้หรอกว่า พาน้องชายมาเล่นแถวนี้ ไม่อย่างนั้นคงโดนซักไซ้มากกว่านี้เป็นแน่หลังจากนำผ้าขึ้นตากจนหมดแล้ว ชิวย่าหนานก็ได้พักหายใจหายคอบ้าง นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาเดียวที่นางได้พักผ่อนนอกจากตอนนอน เมื่อมีเวลาผ่อนคลายฉินหลิวซีก็รีบมาบีบนวดให้มารดา เอาอกเอาใจสารพัดให้รู้สึกสบายเวลาที่ได้พักผ่อนจริง ๆก่อนหน้านี้ชิวย่าหนานไม่เคยถูกทำแบบนี้ให้ทั้งประหลาดใจและเข้าใจเวลาเดียวกัน นางยอมเออออตามใจลูกไม่เอาผ้าของบ้านใหญ่มานอกจากของพ่อแม่สามี คิดดูแล้วนี่อาจเป็นผลดีกว่าที่คิดก็ได้เมื่อผึ่งลมผึ่งแดดจนแห้งแล้วก็ได้เวลากลับชิวย่าหนานรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อยที่ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับคนในบ้าน รู้สึกได้เลยว่าจะต้องโดนต่อว่าอย่างหนักแน่พอคิดถึงตอนนั้นตัวก็สั่นขึ้นมา สีหน้าของนางดูวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด กระทั่ง
"ไปไหน""สถานที่ล่าสัตว์วันนั้น"ถ้าเป็นเรื่องนี้ละก็นางไม่ปฏิเสธแน่อยู่แล้ว"เอาสิ"การล่าสัตว์ขององค์ชายรองกับองค์ชายรัชทายาทนั้นเกิดขึ้นระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎร ระหว่างรับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน วันหนึ่งพวกเขาก็ชวนกันไปล่าสัตว์ฆ่าเวลาป่านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองเหวินทางตะวันออก ป่าหนาทึบเป็นอันดับสองจากป่ารอบเมืองทั้งหมดหลี่เจิ้นหัวออกมากับนางสองคน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้าหรือพาหนะใดเพราะไม่อยากสะดุดตา แม้จะมีคนเชื่อว่าเป็นฝีมือองค์ชายรองแต่พระองค์ยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง หากอยากให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้"เจ้าคิดไว้ในใจแล้วหรือยัง!""เรื่องอะไร!" เขาตะโกนถามกลับ การวิ่งฝ่าสายลมทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกันและกัน"จะสืบอย่างไร…" พูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยคฉินหลิวซีก็ส่ายหน้า ทำมือเป็นสัญญาได้ไปคุยกันหลังถึงที่หมาย คุยกันตอนนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องเดินทางกันอยู่นานในที่สุดก็ถึงป่าระหว่างสองเมืองเสียที พวกเขาตามร่องรอยมาถึงจุดเกิดเหตุ ทั้งรอยเท้าและของตกหายไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก
โจวเมิ่งอิ๋งคร่ำครวญถึงความน่าสงสารราวโชคชะตากลั่นแกล้งของบุตรสาว ไม่มีแก่ใจมารับรองแขกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดีที่มีอนุคนสนิทอยู่ข้างกายคอยปลอบใจฟังจากน้ำเสียงคงทุกข์ใจเหลือประมาณ หลี่เจิ้นหัวรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว"ทีนี้ข้าจะลงมืออย่างไรดีนะ…"บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับชื้น พี่หญิงต้อนรับนางเป็นอย่างดีแม้จะหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ตาม"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หญิงดูผอมลงไปหรือไม่ กินข้าวไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ""อยากที่เจ้าเห็น ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นเลยเชื่อว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น"แต่ดูเหมือนความเชื่อของนางจะทรยศนางทีละนิด แต่ละวันที่ผ่านไปขื่นขมนักสีหน้าของหลี่เมิ่งเหยาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน ถึงจะบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไร แต่สถานการณ์แบบนี้คงยิ้มไม่ออก"เรื่องนี้จัดการไม่ได้ง่าย ๆ แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรพี่หญิงอย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ""ฉินหลิวซี ถ้าซาบซึ้งน้ำใจเจ้าจริง ๆ" หลี่เมิ่งเหยาน้ำตารื้น พอรู้ว่านางอาจต้องโทษเหล่ามิตรสหายก็พากันหนีหน้า ส่วนหนึ่งก็คงเพราะคำสั่งของบิดามารดามิให้มาข้อง
เหตุการณ์นี้ทั้งสองนัดแนะกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ติดตามพวกเขาจึงไม่ได้ถูกลงโทษที่ละเลยหน้าที่ และโชคดีที่แม่ทัพหลี่ซึ่งเดินทางไปด้วยมาช่วยไว้ทันด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในหมู่ชาวเมือง ว่าเป็นฉากที่ถูกจัดไว้หรือเปล่า"เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครสนใจเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมแล้วสินะ…"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเห็น ๆ ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจมากนักในตอนนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ยังวางใจไม่ได้"ต้องไปหาเจิ้นหัวหน่อยแล้ว"ฉินหลิวซีไปที่หอกระจายข่าวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ นางรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลกระทบถึงสกุลหลี่มากกว่าที่คิด"เพราะพี่หญิงเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ…?"หรือจะไม่ใช่กันนะคุยกับตัวเองยังไม่จบก็พบว่ายืนอยู่หน้าห้องทำงานของหลี่เจิ้นหัวเสียแล้ว นางเคาะประตูสองครั้งอีกฝั่งก็เอ่ยอนุญาต"หลิวซี~" พอเห็นหน้านางอีกคนก็โอดครวญเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางม้วนกระดาษสู่ท่วมหัว"ดูเหมือนเจ้าจะมี
ร้านที่ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด รู้แต่ว่าสกุลหลี่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้เสมือนคนกลางหลี่ซีเหยาเหยียดยิ้มนึกอยากขัน สินค้านี้มีอยู่ในร้านของบ้านอยู่แล้ว นางเป็นผู้เอามาให้เช่นนี้ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากสังเกตและไตร่ตรองดูสักนิดจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้ไม่ได้วางขายในปัจจุบัน มันเป็นตลับแบบใหม่ที่ยังไม่ได้วางหน้าร้านที่ไหน"นี่เป็น…สินค้าจากร้านของข้าเอง เป็นกระปุกชาดและตลับแป้งลายใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ข้ามอบมันให้พี่หญิงเป็นคนแรก"ทันทีที่ฉินหลิวซีพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย"เป็นไปไม่ได้ สามัญชนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้อย่างไร อย่ามาแอบอ้างนะ เจ้าต้องไปแอบซื้อที่ไหนมาแน่ ๆ แล้วไปแอบเปลี่ยนตลับทีหลังใช่ไหมล่ะ" หลี่ซีเหยาอย่างไม่ยอม นางเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนมารดาที่เป็นอนุสั่งให้สาวใช้มาพาตัวออกไปเพราะเริ่มจะทำขายหน้า อีกทั้งแม่ทัพยังมองนางด้วยแววตากรุ่นโกรธอีกด้วย หากไม่รีบจัดการนางก็จะโดนลงโทษหลังจบงานนี้แน่สถานการณ์สงบลงแต่เรื่องของฉินหลิวซียังเป็นที่พูดถึงตัวตนของเจ้าขอ
"บุตรสาวคนเล็กของข้าอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับคุณชายหลี่ เรียนรู้งานฝีมือตั้งแต่ยังเล็กจนชำนาญ พิณ หมาก อักษร ล้วนเป็นเลิศ…"เซียนโอสถน้อยรู้สึกกระดากใจเกินจะฟังจึงเดินหนีออกมา รู้หรอกว่าหลี่เจิ้นหัวคงไม่เอาด้วยแต่นางก็ไม่ชอบใจอยู่ดีถึงจะไม่พอใจแต่ถ้านางโวยวายหรืออาละวาดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้ฮูหยินท่านที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้นฉินหลิวซีกลับมานั่งที่โต๊ะ น้าหญิงกับน้าเขยทำตัวไม่ถูกกับงานเช่นนี้จึงเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยโดดเด่น นางเข้าใจว่าทั้งสองคงอึดอัดจึงไม่ห้าม แต่ว่านางร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ ในบัตรเชิญบอกไว้ว่าให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของงานโคมไฟแดงประดับต้นไม้สว่างวาบขึ้นจากเดิมพร้อม ๆ กัน ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองหน้าเรือนรับรองที่มีทางเดินหินอ่อนทอดยาวออกมาถึงสวน ฉินหลิวซีเห็นหลี่เมิ่งเหยาออกมาแล้วจึงขอตัวท่านหญิงหลี่ออกมาพร้อมกับสหายท่านหญิงคนอื่น ๆ ฉินหลิวซีรู้สึกคุ้นหน้าพวกนางเกือบทุกคนเพราะเคยเจอกันมาก่อนแล้ว นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าได้ร่วมโต๊ะกับคนที่คุ้นเคยกันมันดีต่อความรู้สึกนางมากกว่าที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนแ
"จริงสิ พี่หญิงเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาง เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่""งานวันคล้ายวันเกิดของพี่หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่ว่างก็จะไปแน่"ฉินหลิวซีได้รับความช่วยเหลือจากพี่หญิงของหลี่เจิ้นหัวมาไม่น้อย แค่ไปร่วมงานแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้แล้ว"ถ้าพี่หญิงได้ยินคงดีใจ""งานเริ่มวันไหน""วันมะรืนปลายยามโหย่ว นี่บัตรเชิญของเจ้า น้าหญิงกับน้าเขยเจ้าสามารถมาเข้าร่วมในฐานะผู้ติดตามได้""นางคงตื่นเต้น"ฉินหลิวซีคิดภาพออกเลยว่าชิวหลานจะพูดอะไรหรือแสดงท่าทีประมาณไหนหลังจากได้ยินเรื่องนี้ น้าหญิงของนางร่าเริงมากตั้งแต่มาเมืองหลวง คุ้มค่าแล้วที่พาทั้งคู่มาเปิดหูเปิดตาฉินหลิวซีตั้งใจสร้างชื่อเสียงและตัวตนของตนเอาไว้ที่นี่ ในอนาคตไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลชิวกับท่านพ่อท่านแม่จะย้ายมาที่เมืองหลวงหรือไม่ แต่หากพวกเขามาสิ่งที่นางสร้างไว้จะต้องเป็นประโยชน์แน่"ข้าเองก็ตั้งตารอวันนั้น"หลี่เจิ้นหัวมองนาง สายตาแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเฝ้ารออะไร แต่แววตาของเขานั้นทำให้นางอยากสร้างความประทับใจที่จะได้พบกันยามค่ำคืนให้พิเศษขึ
"ที่นี่ยอดเยี่ยมไปเลย""ดีใจที่เจ้าชอบ นี่ใบเสนอราคาที่เถ้าแก่คนก่อนเขียนมา"นางกวาดสายตาอ่านดูแล้วก็พยักหน้า "รับได้ แต่ทำไมถึงปล่อยขายล่ะ ทำเลดีมากไม่ใช่หรือ""เขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับหลานชาย กิจการนี้ไม่มีคนสานต่อแล้วเจ้าตัวก็ไม่อยากเดินทางมาเก็บค่าเช่าทุกเดือนด้วย""เข้าใจล่ะ แต่เจ้าเอามันมาได้อย่างไร ร้านทำเลดีแบบนี้ต้องมีคนแย่งกันประมูลมากมายแน่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าแอบสนับสนุนเงินเพิ่มให้ข้าหรอกนะ"พอเห็นนางมองตาขวางเขาก็รีบปฏิเสธ"เปล่า ๆ เถ้าแก่เป็นคนรู้จักของข้า เคยมีบุญคุณต่อกันนิดหน่อยเท่านั้น ข้ามาขอร้องให้เขาช่วยหาเพราะเส้นสายก็ไม่น้อย แล้วเขาก็เสนอร้านที่นี่มา ซึ่งก็เป็นร้านของตัวเองนั่นแหละ"ฉินหลิวซีเคยสำรวจราคาตลาดมาบ้างแล้ว ที่นี่ก็ให้ราคาที่ถูกมากกว่าที่อื่นจริง ๆเมื่อได้คำตอบที่พอใจนางก็ไม่ถามอะไรเขาอีกก่อนจะหมดวันพวกเขาไปยังที่ตั้งโกดัง มันเป็นโรงเก็บไม้เก่าที่เลิกกิจการไปแล้ว อายุการใช้งานก็ยังไม่มาก ไม่ถึงกับต้องซ่อมแซมแค่ปัดฝุ่นนิดหน่อยก็ใช้ได้ฉินหลิวซีจะเริ่มทยอยขนของย้ายไปที่คฤหาสน์วันพรุ่งนี้
"ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านน้า เราคงจะเจอแบบนี้อีกบ่อยเลยล่ะ ถึงจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่คนที่หน้าคบหาและเป็นมิตรยังมีอีกมาก"หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีก็ให้พวกสาวใช้ไปเดินสำรวจในเมืองโดยให้ไปกันเป็นกลุ่ม ห้ามแยกไปคนเดียวเพราะต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ที่สำคัญคือห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาดหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไปแล้ว นางที่กำลังจะขึ้นไปพักบนห้องก็ถูกเรียกเอาไว้"หลิวซี!""เจิ้นหัว?" นางหันหลังมาเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นใคร อีกฝ่ายวิ่งมาหาจากแยกด้านหน้าของถนน ทำหญิงสาวเอ่ยชื่อของเขาด้วยความประหลาดใจวิ่งมาแบบนั้นจะหายใจทันไหมนี่"ดูจากสีหน้าคงไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอะไรหรอก ก็แค่ตื่นเต้น…" หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเองนางอมยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆเพราะข้าล่ะมั้งหลี่เจิ้นหัววิ่งเข้ามาหาฉินหลิวซีโดยไม่สนสายตาใคร โรงเตี๊ยมนี้อยู่ตรงข้ามเหลาอาหารพวกเขาจึงตกเป็นเป้าสายตา ทำเอานางรู้สึกขัดเขิน"จะ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะมาถึงพรุ่งนี้หรอกหรือ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ออกไปรับเลย""ไม่เป็นไร เจ้าหายใจช้า ๆ หน่อย วิ่งมาตั้งแต่ที่จวนหรือไงเนี่ย
แม้ตอนจะจากก็ยังมีอารมณ์ขัน เชื่อแทบไม่ลงเลยว่าเป็นองค์ชายต่างแคว้นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีกล้ามีใครมาโจมตีนอกจากพวกไม่มีหัวคิดก็เพราะสถานะของเจียงหรูอี้ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าตอนนี้เป็นแค่จอมยุทธ์พเนจรไม่มีสถานะอื่น แต่หากติดตามข่าวสารต่างแดนบ้างต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของเขาบ้างองค์ชายยังประหลาดใจที่ฉินหลิวซีรู้ว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครสนใจสถานะของเขา ซึ่งนั่นทำให้หรูอี้สบายใจและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ พอรู้ว่านางผิดสังเกตก็ประหม่า ฉินหลิวซีต้องอธิบายนานกว่าเขาจะเข้าใจว่านางไม่ได้เจตนาจับผิดหรือเป็นสายลับที่ไหน ก็แค่มีหน่วยข่าวกรองดี ๆ ให้ถามโดยไม่คิดค่าจ้างแค่นั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทางก็ได้เวลาแปลงโฉม ฉินหลิวซีสั่งตั้งกระโจมด้านนอกหนึ่งวันเพื่อเตรียมตัว"น้าหญิง น้าเขย เชิญทางนี้หน่อยเจ้าค่ะ""นะ น้าเขยหรือ!?" เฉาฟางทั้งเขินอายทั้งประหม่าในคราวเดียว"อย่างไรผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ น้าหญิงงามออกปานนี้ ถ้าไม่ทำให้ชัดเจนละก็อาจจะมีคนมาตามตื้อได้""หยา แบบนั้นไม่ได้สิ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ" โวยวายเสร็จ