จะเป็นอย่างไร... เมื่อความตายนั้นยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต?จะเป็นอย่างไร... เมื่อคนที่เสียชีวิตไปแล้วได้มาเกิดใหม่ยังโลกที่ไม่มีใครคุ้นเคย?จะเป็นอย่างไร... เมื่อโลกนี้มีพลังที่เหนือธรรมชาติและสามารถใช้มันได้ราวกับว่ามันคือเรื่องปกติ?และจะเป็นอย่างไร... เมื่อนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับชายคนนี้?...ในวันธรรมดาที่ผู้คนต่างใช้ชีวิตธรรมดา ๆ กันเป็นปกติ ชีวิตที่สงบเรียบง่ายท่ามกลางผู้คนมากหน้าหลายตา บรรยากาศที่ดีและลมที่พัดอยู่ตลอดเวลาในตอนนี้ที่ทางเท้าได้มีผู้คนพลุกพล่านอยู่พอสมควร การใช้ชีวิตที่ปกติในตอนเช้าก็คงจะเป็นการไปทำงานหาเงิน แต่ที่มากไปกว่านั้นก็คงจะเป็นการทำความดี เพื่อที่จะได้ไปบนสวรรค์เหมือนที่คนบางคนนั้นเชื่อและคิดแบบนั้นมาโดยตลอด เช่นเดียวกันกับเขาคนนี้...“เอ๊ะ? คุณยายกำลังจะข้ามถนนนี่” ชายคนหนึ่งพูดขึ้นมาก่อนที่จะวิ่งตรงไปหาคุณยายที่กำลังจะเดินข้ามถนน ชายคนนี้มีนามว่า "ยามะ โชจิ" อายุ 31 ปี เป็นคนที่เชื่อในเรื่องของบาปบุญคุณโทษมาก ๆ จนหาที่เปรียบไม่ได้ เขาเชื่อมาโดยตลอดว่าถ้าทำความดีอยู่เป็นประจำ เมื่อเสียชีวิตลงก็จะได้ไปบนสวรรค์และจะได้พ้นจากการมาเกิดใหม่เป็นมนุษ
“ที่นี่มัน ที่ไหนเนี่ย?!” เขาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตอนนี้ตัวเขานั้นอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จักและไม่คุ้นเคย เหมือนว่าอยู่ในห้องกระจกสีแดงที่เต็มไปด้วยความร้อนระอุ“หืม ทำไมตอนนี้ฉันถึงจำได้ว่าฉันตายไปแล้ว... โดนรถชนเพราะช่วยคุณยายข้ามถนน อืม... คิด ๆ ดูแล้วทำไมพระเจ้าถึงเล่นตลกกับฉันแบบนี้กันฟร้ะ!!!”“ดีจ้า การตายของนายจบสวยดีไหมเอ่ย?” ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าเขา ราวกับว่ามาจากอีกมิติหนึ่ง“เอ่อ น..นี่เธอเป็นใคร? หรือว่าจะพาฉันมานรก” เขาถามออกไปด้วยความงุนงง เพราะเขาคิดว่าตนเองจะได้ไปบนสวรรค์เสียอีก“ฮ่า ฮ่า ฮ่า นายนี่ตลกดีนะ! ฉันคงคิดถูกแล้วล่ะที่เลือกนายมา จะบอกให้ว่าฉันน่ะ.. คือผู้คัดเลือก และนายก็คือผู้ถูกเลือกไงเล่า”“ผู้คัดเลือก? ผู้ถูกเลือก? อะไรของเธอน่ะ” สำหรับเขาแล้วนั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งงุนงง เพราะเขายังไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าอะไรเป็นอะไร ทั้งที่เขาควรจะได้ไปบนสวรรค์แล้วแท้ ๆ แต่กลับได้มาเจอหญิงสาวในสถานที่แปลกประหลาด“เฮ้อ! "ยามะ โชจิ" อายุ 31 ปี ตายเมื่อสักครู่นี้.. ตายพร้อมคุณยายด้วย นายนี่ตัวอัปมงคลหรือไงเนี่ย ทำไมต้องพาคนอื่นมาตายด้วย” หญิงสาวคนนั้นพูดออกไป
“ตอนนี้ลูกก็ 6 ขวบแล้ว พ่อคิดว่าคงถึงเวลาที่ลูกนั้นจะได้รับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ที่มากกว่าแต้ม W และแต้ม B แล้วล่ะ” อิซามุพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจัง ในตอนนี้อาคุมุก็มีอายุครบหกปีพอดี ซึ่งอาคุมุนั้นมีสีผมเป็นสีแดงสดเช่นเดียวกันกับอิซามุ แต่ที่แปลกไปคือบางจุดของสีผมนั้นมีสีฟ้าปะปนมาด้วย ดวงตาของเขามีสีดำสนิทและดูดุดัน แต่ร่างกายนั้นดูผอมบาง ซึ่งร่างกายที่ต้องฝึกฝนเพิ่ม แต่มาพร้อมกับพลังอันมหาศาลที่ซ่อนอยู่ แน่นอนว่าเขาจะได้ใช้มันอย่างเต็มที่เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม“เกี่ยวกับโลกนี้เหรอครับพ่อ?” อาคุมุถามกลับไป ซึ่งมันเป็นคำถามที่เขาไม่ควรจะถามไปตรง ๆ แบบนั้นเลยสักนิด“ใช่แล้วล่ะ เกี่ยวกับโลกนี้และการใช้ชีวิต เพราะมันมีหลายอย่างเลยล่ะที่ลูกต้องรู้” อิซามุนั้นตอบกลับไปโดยที่ไม่มีท่าทีสงสัยหรือแปลกใจอะไรเลยแม้แต่น้อย‘ไม่สงสัยอะไรในตัวฉันงั้นเหรอเนี่ย? ถ้าเป็นแบบนี้ฉันก็หลอกถามอะไรได้ง่าย ๆ น่ะสินะ’“ผมพร้อมรับฟังครับ” อาคุมุนั้นพูดด้วยสีหน้าที่ตั้งมั่น แต่ในใจลึก ๆ แล้วเพียงแค่ต้องการคนช่วยสอนอะไรหลาย ๆ อย่างในโลกนี้ ทั้งการใช้พลังเวท การต่อสู้ การฝึกใช้อาวุธ หรือแม้กระทั่งการฆ่า“ก็นะ พ
“ผู้ใช้พลังปีศาจ? จอมมารด้วยเหรอครับ?” จอมมารคือผู้ที่อยู่เหนือทุกสิ่งในโลกนี้ ซึ่งยังไม่มีใครเคยเห็นเลยสักครั้ง ว่ากันว่าปรากฏตัวล่าสุดก็เกือบ ๆ 140 ปีที่แล้ว เป็นเรื่องที่บอกต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน และผู้ใช้พลังปีศาจทั้ง 13 ซึ่งปรากฏตัวล่าสุดก็เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว แต่มีแค่ 4 คนเท่านั้นที่ชาวบ้านได้เห็นและนักเวทได้ต่อกรด้วย แน่นอนว่าแพ้ราบคาบ“จอมมารคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ผู้ใช้พลังปีศาจทั้ง 13 คนก็เหมือนกับองครักษ์ของจอมมาร” อิซามุตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ราวกับว่าไม่ค่อยอยากจะพูดถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่“เป็นมนุษย์เหมือนกันสินะครับ”“ใช่แล้วล่ะ.. เป็นมนุษย์ที่ภายในจิตใจถูกความมืดครอบงำจนกลายเป็นอมนุษย์ไปทั้งอย่างนั้น มีพลังที่แข็งแกร่งและร่างกายที่แทบจะเป็นอมตะ”“พ่อไม่อยากนึกถึงมันเลย ในตอนนั้นผู้ใช้พลังปีศาจของจอมมารนั้นมีอยู่แค่ 12 คน จอมมารมันต้องการอีก 1 คน.. ใช่แล้ว มันฆ่าบรรพบุรุษของเราแล้วมันก็เปลี่ยนให้ 1 ในบรรพบุรุษของเราเป็นผู้ใช้พลังปีศาจ แต่พ่อก็ยังไม่สามารถรู้ได้ว่าคือใคร เพราะตระกูลของเราสืบทอดกันมา 7 รุ่นแล้วจนถึงปัจจุบันนี้”‘เท่ากับว่าบรรพบุรุษของตระกูลนี้สินะ
“การปล่อยพลังเวท เราจะใช้การร่ายออกมาพร้อมกับฝ่ามือที่หันออกจากตัว หรือให้พูดง่าย ๆ ก็คือแบมือไปข้างหน้านั่นแหละนะ พ่อจะทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้วกัน” อิซามุนั้นอธิบายเกี่ยวกับวิธีการร่ายเวท โดยการใช้ฝ่ามือพร้อมกับการพูด “ลูกบอลเพลิง!” บริเวณรอบข้อมือของอิซามุนั้นมีวงแหวนเวทสีแดงปรากฏขึ้น แล้วมันก็หายไป ในขณะเดียวกันที่กลางฝ่ามือของอิซามุก็มีลูกไฟเล็ก ๆ ออกมาและลอยอยู่อย่างนั้น “สุดยอด แต่ไหนพ่อบอกว่าตระกูลเรามีพลังมังกรไงครับ ทำไมพ่อถึงมีพลังไฟ.. หรือคือมังกรไฟ? แล้วทำไมมันถึงอยู่นิ่งแบบนั้นล่ะครับพ่อ พ่อทำให้มันไม่ยิงออกไปเหรอครับ?” “เจ้าลูกบ้านี่ ใช่แล้วล่ะ พลังมังกรที่พ่อบอกไว้ก็คือมังกรไฟ..” “แล้วก็เราสามารถควบคุมพลังเวทได้อย่างอิสระตราบใดที่มันยังอยู่ตรงฝ่ามือเรา ถ้าจะยิงมันออกไปก็ต้องพูดต่อว่า 'ยิงลูกบอลเพลิง' และการร่ายแบบนี้นั้นส่วนมากจะใช้ในการรวบรวมพลังเพื่อนำไปสู่การใช้พลังเวทหรือใช้การโจมตีขนาดใหญ่ แต่มันก็มีการร่ายแบบลัดเพื่อใช้ในการต่อสู้จริงอยู่แล้ว วิธีก็คือพูด 'ยิงลูกบอลเพลิง' โดยที่ไม่ต้องพูดว่า 'ลูกบอลเพลิง จงออกมา' เหมือนตอนแรก.. มันก็มีอยู่แค่นั้นแหละนะ” การร่า
หลังจากนั้นเป้าหมายของอาคุมุที่คิดไว้ล่วงหน้าก็ไม่ได้มีเพียงแค่การฆ่าเพราะความแค้นในอดีต แต่เป็นการที่ได้ขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดของโลกใบใหม่นี้ ในดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งนี้ และเป็นจอมเวทที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกนี้!“ออกไปสูดอากาศข้างนอกก่อนแล้วกัน” ว่าแล้วอาคุมุก็ลุกออกจากเตียงและเปิดผ้าม่าน พร้อมกับเดินไปยังประตูห้องที่ปิดอยู่เขาเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูแต่ทันใดนั้นก็ได้มีสิ่งที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น“นี่มันอะไร?!” เขารู้สึกได้ถึงพลังที่มีความแข็งแกร่งยากเกินจะเปรียบเทียบ และแรงกดดันที่มหาศาลราวกับว่ามันกำลังจะกดทับร่างกายของเขาให้จมลงไปภายใต้แรงกดดันนี้“ความแข็งแกร่งของพลังนี้มันเป็นของใครกันแน่?”ทันใดนั้นเอง อิซามุก็เปิดประตูเข้ามาซึ่งมันเป็นเวลาเดียวกันกับที่แรงกดดันอันมหาศาลนั้นหายไป ราวกับว่าถูกเขาหยุดเอาไว้“เอ๊ะ.. พ่อ?”“อาคุมุ ร่างกายและพลังของลูกฟื้นตัวดีแล้วใช่ไหม? มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?” อิซามุเอ่ยถาม“เอ่อ.. ร่างกายและพลังของผมกลับมาเป็นปกติแล้วครับ ไม่มีอะไรผิดปกติ” อาคุมุตอบกลับไปด้วยความงุนงง เพราะเมื่อครู่นี้เขายังรู้สึกถึงแรงกดดันนั้นอยู่เลย แต่ทำไมมันถ
“ฉันจะแสดงให้เห็นเองนี่แหละ ว่าฉันสมควรจะได้รับมัน!! ไม่ใช่แกคนเดียวสักหน่อยที่มีความสามารถนั้น!” ชายคนนั้นเริ่มมีเปลวไฟปะทุออกมารอบตัว และออร่ารอบ ๆ ตัวของเขาก็เริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้นเช่นกัน‘สีม่วง?!’ อาคุมุถึงกับตกใจในทันทีเมื่อได้เห็นออร่านั้น ซึ่งมันปรากฏให้เห็นถึงความน่าเกรงขามและแรงกดดันโดยรอบ“อิชิโร่! ใจเย็น ๆ ก่อนไม่เป็นหรือไง?!” อากิระเอ่ยปากบอกกับชายคนนั้น ซึ่งเขามีนามว่า "ฟุโด อิชิโร่" เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของอากิระ แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยเอาใจใส่ในหน้าที่การงาน ไม่มีความรับผิดชอบ และด้วยความสามารถรอบด้านที่ด้อยกว่าน้องชาย ทำให้ไม่ได้รับสืบทอดเป็นหัวหน้าตระกูลต่อไป“ห๊าา? นี่แกเรียกชื่อฉันตรง ๆ เลยเหรอ แกไม่นับพี่นับน้องกันแล้วใช่ไหม? อยากจะเป็นศัตรูกันใช่ไหม?!” ด้วยความเอาแต่ใจของอิชิโร่ ทำให้เขาดูเหมือนยังไม่น่านับถือเท่าที่ควร คนส่วนใหญ่ในตระกูลจึงไม่เคารพและเชื่อฟังเขา ทำให้เขาน่าเกรงขามเพียงเพราะว่าเป็นพี่ชายของอากิระก็เท่านั้น“เฮ้อ!.. นี่พี่ยังคิดจะทำตัวเหมือนเด็กไม่เปลี่ยนเลยหรือไง อยู่ต่อหน้าเด็กก็ยังจะทำตัวเป็นเด็กเหมือนเดิม แบบนี้มันจะไปมีคุณสมบัติอะไรที่สามารถเข้ามารั
การพัฒนาของวงแหวนเวทนั้นทำให้เห็นถึงความต่างในทันที เพราะขนาดของวงแหวนเวทเริ่มต้นนั้นมีความยาวเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่เพียงแค่ 1 เมตร แต่ในตอนนี้...“นี่มันอะไรกันเนี่ย?!!”ความแตกต่างนั้นปรากฏให้เห็นโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น ตามที่อาคุมุเห็นก็คงจะมีขนาดความยาวเส้นผ่านศูนย์กลางสักประมาณ 100 เมตรได้“ฉันยืนอยู่ตรงกลาง... จากด้านนั้นถึงอีกด้านหนึ่งมันไกลพอสมควรเลยนะเนี่ย มิน่าล่ะในตอนนั้นองค์ชายถึงโผล่มาตรงนี้ได้ คงจะเพิ่งพัฒนาสำเร็จแล้วก็อยู่ไม่ไกลจากจุดที่ฉันอยู่สินะ”เขายืนพูดกับตัวเองและคิดไตร่ตรองสิ่งที่ผ่านมาอยู่อย่างนั้น ความน่าจะเป็นที่มีโอกาสมากที่สุดก็คงไม่พ้นแนวคิดของเขาในตอนนี้แต่ในขณะที่สิ่งนั้นยังไม่กระจ่าง ก็ได้มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นอีกครั้ง“หืม?!! นั่นใครน่ะ?!” ในตอนนี้เขาเปิดใช้วงแหวนเวทอยู่ และด้วยการพัฒนาของวงแหวนเวทจึงทำให้ประสาทสัมผัสการรับรู้ของเขาพัฒนาขึ้นตามไปด้วย“แบบนี้เองสินะ” ใครก็ตามที่อยู่ในรัศมีของวงแหวนเวท เขาจะรับรู้ได้อย่างทันท่วงที แต่ไม่สามารถรับรู้ตำแหน่งแบบเฉพาะเจาะจงได้ ไม่สามารถระบุตำแหน่งนั้นออกมาได้ไม่นานนัก เขาก็ไม่สามารถรับรู้ถึงบุคคลปริศนานั้
นักเวทที่เหลือนั้นหายไปพร้อมกันด้วยความเร็วอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งแน่นอนว่านั่นคงเป็นเวทที่ใช้ในการเคลื่อนที่“หายไปหมดเลย เวทเคลื่อนที่สินะครับ” พูดจบอาคุมุก็หันไปทางองค์ชายชูยะ ซึ่งองค์ชายนั้นเดินออกมาหลังจากทำการรักษาให้กับอากิระแล้ว“อืม การต่อสู้ทุกครั้งต้องมีนักเวทที่เชี่ยวชาญในการใช้เวทเคลื่อนที่อย่างน้อยสักหนึ่งคน ถึงจะเป็นนักเวทชุดขาวก็เถอะนะ แต่ถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้แล้วไม่มีเวทเคลื่อนที่ก็คงตายยกกลุ่ม”“แล้วก็สีหน้าท่าทางของพวกเขามัน...” อาคุมุยังไม่ทันได้พูดจนจบแต่อย่างใด องค์ชายชูยะก็ตอบกลับในทันที“ก็เพื่อทำให้ไม่ผิดสังเกตนั่นแหละ และมันเป็นกลอุบายอย่างหนึ่งที่มีโอกาสทำให้ศัตรูใจอ่อน หรือดึงเวลาเอาไว้เพราะหนึ่งในนั้นต้องมีสักคนกำลังร่ายเวทขนาดใหญ่อยู่ และอาจเป็นคนที่อยู่แนวหลังซึ่งนายยังเดินไปไม่ถึง อีกทั้งยังไม่ได้อยู่ในระยะสายตาของนาย จึงทำให้ร่ายเวทได้ไม่ยากนัก” องค์ชายชูยะอธิบาย“แต่ว่าปล่อยไว้แบบนี้จะเป็นอะไรไหมครับ? เหมือนว่าพวกเขาจะได้ข้อมูลกลับไปรายงานองค์จักรพรรดิแล้ว”“ก็ค่อนข้างเสียเปรียบอยู่พอสมควร การฝึกก็จะลำบากยิ่งขึ้นเพราะสถานที่แห่งนี้เป็นที่เดียวที่ฉันใช้ เ
นักเวททุกคนถูกพันธนาการไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งทักษะนี้นั้นราวกับว่ามันคือทักษะขั้นสูง เพราะในการควบคุมให้ตรงกับตำแหน่งที่ต้องการนั้นคงมีความยากเป็นแน่ อีกทั้งองค์ชายชูยะก็ใช้มันได้ด้วยความชำนาญ อาคุมุจึงมั่นใจได้อีกอย่างหนึ่งว่าองค์ชายชูยะอาจจะเป็นชายปริศนาคนนั้นที่เคยได้ช่วยเขาไว้แท่งน้ำแข็งจำนวนมากออกมาจากวงแหวนเวทสีส้มด้วยความรวดเร็ว ทั้งหมดนั่นล้อมรอบตัวของนักเวทเอาไว้และเป็นคุกน้ำแข็งในที่สุด‘ทักษะพันธนาการนี้แข็งแกร่งมากเลยนะเนี่ย’ นี่เป็นอีกครั้งที่อาคุมุได้เห็นการใช้ทักษะพันธนาการแบบหมู่ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่อาคุมุจะต้องกลับไปฝึกฝนและนำออกมาใช้ให้ได้ โดยเริ่มจากทักษะพันธนาการทั่วไปที่เขาจะต้องทำให้ชำนาญและคล่องแคล่วที่สุด“ลุงอากิระน่ะยังไม่ตายหรอก แต่คนที่จะตายก็คงหนีไม่พ้นลุงอิชิโร่... ใช่ไหม?” องค์ชายชูยะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ แต่แววตาทั้งสองกลับไม่ใช่แบบนั้นอาคุมุที่ได้ยินอย่างนั้นก็พยายามจะลุกขึ้นไปดูอาการของอากิระ แต่เขาก็ต้องแปลกใจที่ทักษะพันธนาการด้วยด้ายของนักเวทคนนั้นยังคงอยู่ ถึงแม้จะถูกพันธนาการด้วยคุกน้ำแข็งขององค์ชายชูยะ“เลิกเรียกฉันว่าลุงสักทีสิองค์ชาย!
“ชิ! เพราะไอ้โง่คนเดียวเลยทำให้นักเวทชุดขาวอย่างเราถูกเด็กตัวแค่นี้หยามได้ ผู้ใหญ่หัวอ่อนน่ะมันมีแค่ไม่กี่คนหรอกนะเฟ้ย!!” หนึ่งในนักเวทพูดจบก็กระโดดขึ้นไปลอยค้างอยู่ในอากาศ“ปีกแห่งลม!” เขาใช้ทักษะพลังเวท ได้มีปีกซึ่งเป็นปีกแห่งลมปรากฏขึ้นมาที่ร่างกายของเขา จึงทำให้นักเวทคนนั้นสามารถบินได้“ไม่ธรรมดาเลยนะครับ”“ทักษะแบบนี้น่ะ มีน้อยคนที่จะสามารถใช้ได้ เพราะฉะนั้นแล้วก็เตรียมรับการโจมตีแบบที่นายไม่เคยเจอมาก่อนได้เลย!” ว่าแล้วนักเวทคนนั้นก็บินพุ่งตรงเข้ามาหาอาคุมุด้วยความเร็ว“กรงเล็บแห่งลม!!” ที่มือทั้งสองของนักเวทนั้นได้มีพลังเวทมาห่อหุ้ม จนก่อตัวเป็นกรงเล็บที่พร้อมสำหรับการโจมตี“บาทาไร้เงา... ผมไม่ยืนอยู่นิ่ง ๆ เพื่อให้โดนการโจมตีหรอกนะครับ” อาคุมุพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบและแผ่วเบาขณะที่หลบการโจมตี ทั้งยังพูดในตอนที่เห็นการเคลื่อนที่ของนักเวทนั้นช้าลง จนกระทั่งเขาไปยืนอยู่ข้างหลังนักเวทคนนั้น“แสงอัสนีบาต!!” เมื่อสิ้นเสียงของอาคุมุ วงแหวนเวทสีฟ้าปรากฏขึ้นรอบข้อมือของเขา ตามด้วยการโจมตีจากแสงอัสนีบาตที่ออกมาจากวงแหวนเวทสีฟ้าเข้ม ซึ่งปรากฏให้เห็นอยู่หน้าฝ่ามือของอาคุมุ“อ่อก! ธ.. โธ่เว
“ฆ่ามันซะ!!!” อิชิโร่ตะโกนสั่งการนักเวทที่อยู่ข้างหลังเขา ซึ่งจำนวนที่มีนั้นไม่ได้น้อยเลย ทั้งยังมีมาสมทบเพิ่มอีกหลายคน โดยนักเวททุกคนนั้นใส่ชุดคลุมที่มีหมวกสีขาว ปิดหน้าด้วยผ้าสีดำ ไม่สามารถคาดเดาพลังเวทของคนพวกนี้ได้เลยแม้แต่น้อย“คิดจะลงมือแล้วก็เตรียมตัวรับแรงกระแทกไว้เลย!” อากิระตะโกนโต้ตอบพร้อมกับเตรียมที่จะต่อสู้ ซึ่งขณะนี้อาคุมุนั้นกำลังหลับตาและทำการบางอย่างอยู่ ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นแล้วหันไปถามอากิระ“ลงมือได้ไหมครับ?”“แน่นอน! นี่น่ะมันคือการเปิดศึกแล้วไงล่ะ”เมื่อได้ยินอย่างนั้น อาคุมุก็ชี้นิ้วขึ้นไปข้างบนในทันที“มองดูข้างบนสิครับลุง”“ทำอะไรของแกน่ะเจ้าหนู? จะให้ฉันมองวิวที่มันเหมือนกับท้องฟ้า...” อิชิโร่พูดยังไม่ทันจบประโยค เขาก็ต้องตกตะลึงในทันที เพราะเหนือศีรษะของทุกคนขึ้นไปนั้น มีวงแหวนเวทขนาดเล็กอยู่เต็มไปหมด“แสงอัสนีบาต!!” เมื่อสิ้นเสียงของอาคุมุ วงแหวนเวทสีฟ้าได้ปรากฏขึ้นรอบข้อมือของเขา พร้อมกับการโจมตีด้วยสายฟ้าที่ลงมาจากข้างบนตู้มมม!!!“อ่อก! โธ่เว้ย” นักเวทจำนวนหนึ่งที่กำลังพุ่งเข้ามาหาอากิระนั้นโดนการโจมตีที่รุนแรงของอาคุมุเป็นพิเศษ เนื่องจากว่าจำนวนวงแหวน
หลังจากที่อาคุมุได้พูดคุยกับองค์ชายชูยะเล็กน้อย องค์ชายชูยะก็บอกให้อากิระนั้นนำทางและพาอาคุมุไปยังที่พัก ซึ่งสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือองค์ชายนั้นจัดการเตรียมที่พักให้เป็นอย่างดี ซึ่งที่พักนั้นอยู่ในตึกใหญ่ที่อยู่นอกพระราชวัง แต่แค่นี้ก็ดีเกินกว่าที่อาคุมุนั้นต้องการแล้ว ทั้งยังมีสถานที่สำหรับใช้ในการฝึกที่อากิระจะแนะนำหลังต่อจากนี้ เริ่มจากการที่อากิระนั้นผลักประตูบานยักษ์ หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปตามโถงทางเดิน จนกระทั่งมาถึงห้องพักห้องหนึ่ง “นี่แหละห้องของนาย ลองเข้าไปดูสิ” อากิระกล่าวหลังจากที่เดินมาแล้วหยุดอยู่หน้าห้อง 06 นั่นคือหมายเลขห้องของเขา เมื่อได้ยินอย่างนั้นอาคุมุจึงเดินเข้าไป ในที่สุดก็มาถึงห้องของอาคุมุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งห้องนอนนั้นเป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่มีกำแพงเป็นสีขาวล้วนรอบด้าน มีเตียงนอนและของใช้ต่าง ๆ ครบครัน ทั้งโต๊ะทำงาน ตู้หนังสือ โคมไฟ หรือแม้กระทั่งดาบเล่มหนึ่งที่วางอยู่ แน่นอนว่าห้องนี้นั้นมีขนาดความกว้างมากกว่าห้องของเขาที่บ้าน ทั้งยังมีความสะดวกสบายมากเป็นพิเศษ ซึ่งเขาไม่แปลกใจเท่าไรเพราะนี่เป็นที่ที่องค์ชายชูยะเตรียมไว้ให้ “ห้องกว้างมากเลยล่ะครั
ความประมาทของอาคุมุทำให้ตัวเขาเองได้รับบาดเจ็บมากที่สุดเท่าที่เคยเจอมา เสื้อขาดตามแนวของการโจมตีจนเผยให้เห็นรอยแผลเป็นปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน นี่คือบาดแผลขนาดใหญ่แผลแรกของเขา “จะเป็นยังไงล่ะครับ... ถ้าผมเก็บกวาดตรงนี้ซะหมด? แต้ม B ของผมคงจะมีเยอะมากและแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดเลยล่ะ มันคงจะดีต่อตัวผมมากเลยนะครับ” อาคุมุพูดพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก สายตาของเขานั้นดูน่ากลัวราวกับปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย “ม.. ไม่เอาน่า มันคงไม่ดีต่อตัวนายนักหรอก” คาซูโอะพูดด้วยน้ำเสียงและร่างกายที่มีอาการสั่นกลัวเล็กน้อย “ที่ไม่ดี.. เพราะกลัวตายหรือเปล่าครับ? ถ้าอย่างนั้น...” อาคุมุพูดยังไม่ทันจบก็ได้มีชายคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา “นายควรพอได้แล้วนะน้องชาย คนพวกนี้ทำอะไรนายไม่ได้หรอก” “เอ๋? องค์ชาย?” ซึ่งชายคนนั้นก็คือองค์ชายชูยะนั่นเอง เขาปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับอากิระที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ในขณะที่อาคุมุไม่ทันได้สังเกตเห็น “องค์ชาย... ทั้งหมดเป็นฝีมือของเขาครับ!” คาซูโอะพูดขึ้นมาพร้อมกับชี้นิ้วไปยังอาคุมุ “คาซูโอะ... นายพามาแทบทั้งหน่วยเพื่อจัดการกับเด็กคนเดียวเนี่ยนะ? แต่ฉันจะบอกอะไรให้อย่าง.. เด็กคนนี้คือเพื่อน
การโจมตีในครั้งนี้อาคุมุไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์อะไรมากนัก แค่ได้นำสิ่งที่ฝึกฝนมาประยุกต์แล้วทดลองใช้ก็ถือว่าเป็นกำไรสำหรับเขาแล้ว อีกอย่างคือเขาสามารถหนีไปได้อย่างแน่นอนด้วยการใช้บาทาไร้เงา สังเกตได้จากการที่เขาออกมาจากการปิดล้อมนั้นได้โดยง่าย เพียงแต่ว่า.. เขายังไม่ได้ฝึกทักษะที่ใช้ป้องกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ‘ไม่เป็นไร ยังไงเราก็พอหนีได้ล่ะนะ’ เมื่อควันเริ่มเบาบางลง เผยให้เห็นคนนับสิบนอนล้มอยู่ที่พื้นดิน โดยพื้นที่บริเวณรอบนั้นเป็นหลุมเป็นบ่อใหญ่พอสมควร “เอ๋? ทำไมถึงไม่ใช้เวทป้องกันล่ะเนี่ย?” อาคุมุเกิดความตกใจพอสมควรที่ไม่มีใครใช้เวทป้องกันเลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งแท้จริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น “อึ่ก!... ไม่ใช่หรอก ใช้แล้วแต่ไม่ไหวต่างหาก” ชายหนุ่มผู้ที่เป็นหัวหน้าค่อย ๆ ยืนขึ้นและใช้ดาบที่อยู่ในมือประคองไว้ ซึ่งดาบของเขาติดตัวไว้ตำแหน่งไหนอาคุมุก็ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ที่น่าตกใจไปมากกว่านั้นคือการป้องกันกลับต้านพลังโจมตีของอาคุมุไม่ได้ ‘เดี๋ยวนะ เขาระดับสูงกว่าฉันมากเลยนี่ ทำไมถึงไม่ไหวได้ล่ะเนี่ย?’ “ฉันล่ะยอมใจนายจริง ๆ มิน่าล่ะองค์จักรพรรดิถึงต้องการตัว เอาล่ะฉันชื่อ "มิกาซูกิ คาซูโอ
ในตอนนี้อาคุมุได้ผ่านการฝึกกับโทชิทั้งทักษะบาทาไร้เงาและการสร้างวงแหวนเวทเพื่อใช้โจมตีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เท่านี้ก็นับว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นมามากพอสมควรถ้าฟังจากที่โทชิได้บอกไว้ และหลังจากนี้ก็จะขึ้นอยู่กับการฝึกฝนของตัวเขาเอง ความชำนาญในการใช้ทักษะต่าง ๆ จะทำให้เขาได้เปรียบในการต่อสู้.. แม้กระทั่งการวิ่งหนีอาคุมุนั่งลงและฝึกการสร้างวงแหวนเวทอีกครั้ง โดยเขาจะสร้างมันขึ้นมาสองอัน ตามเทคนิคที่เขาเข้าใจคาดว่าคงจะไม่ยากนัก“เอาล่ะ สร้างวงแหวนเวท!” เขาพูดขึ้นมาพร้อมกับยกแขนขวาขึ้นในระดับเอว หันฝ่ามือขึ้นและแยกนิ้วทั้งห้าออกจากกัน ซึ่งอาคุมุยังไม่ทันได้บีบอัดออร่าและพลังเวทไว้ตรงจุดเดียวแต่อย่างใด วงแหวนเวทสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นเหนือฝ่ามือของเขาในทันที“เอ๋? ทำแบบนี้ได้แล้วหรอกเหรอ? ถ้างั้น..” ว่าแล้วอาคุมุก็ยกแขนซ้ายขึ้นมาในระดับเดียวกันและทำแบบเดียวกัน โดยเขาแค่เกร็งแขนและยังไม่ทันได้พูดว่าสร้างวงแหวนเวทเลยด้วยซ้ำ มันก็ปรากฏขึ้นมาเหนือฝ่ามือเขาเสียแล้ว“เยี่ยมเลย! ทำได้เร็วกว่าที่คิดแฮะ” การที่เขาฝึกฝนต่อหลังจากเรียนรู้เทคนิควิธีใช้ ทำให้เขามีความเข้าใจและสามารถควบคุมพลังได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังทำ
หลังจากที่อาคุมุสามารถใช้ทักษะบาทาไร้เงาได้แล้วนั้น ทักษะอีกอย่างที่ควรมีก็คือการสร้างวงแหวนเวท ซึ่งเป็นการสร้างวงแหวนเวทไว้ใช้ในการโจมตีโดยตรง ต่างจากการสร้างวงแหวนเวทธรรมดาเพื่อใช้ในการเคลื่อนที่ เพราะมันทั้งควบคุมยากกว่าและสารพัดประโยชน์ยิ่งกว่า“ตอนนี้เราวิ่งเข้ามาลึกกว่าเดิม ถ้าพวกนั้นจะออกตามหาก็คงต้องใช้เวลาหน่อย แต่ว่าถ้าเป็นตำแหน่งนี้สิ่งที่ควรระวังมากที่สุดมันไม่ใช่พวกนักเวทน่ะสิ” โทชิพูดขึ้นมา“หรือว่าจะหมายถึง.. ปีศาจเวทมนตร์เหรอครับ?”“ใช่แล้วล่ะ เราอยู่ในจุดที่ใกล้กลางป่ามากเท่าไร โอกาสที่จะเจอกับปีศาจเวทมนตร์ก็มากขึ้นเท่านั้น ที่เราต้องระวังรองลงมาก็คือนักเวท.. แต่ก็นะ ในจักรวรรดินี้ถึงจะมีก็มีได้ไม่เยอะหรอก เพราะอะไรฉันก็ไม่รู้เหมือนกันแต่จักรวรรดิไดจิเป็นจักรวรรดิที่มีปีศาจเวทมนตร์น้อยที่สุดในโลกนี้น่ะ”“ต้องมีเบื้องหลังสินะครับ”“ถึงเวลาเดี๋ยวนายก็จะรู้เอง”ป่าใหญ่แห่งนี้นั้นเป็นป่าที่อยู่ในเมืองไดอิกิ เรียกได้ว่ามันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวง ซึ่งเดิมทีป่าก็เป็นตำแหน่งออกล่าของปีศาจเวทมนตร์อยู่แล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ทำให้จักรวรรดิแห่งนี้มีปีศาจเวทมนตร์ออกเพ