“คุณเคยมาเที่ยวที่นี่ไหม” ชายหนุ่มเริ่มเปิดประเด็นถามหลังจากนั่งดื่มไปได้นิดหน่อย
“ไม่เลยค่ะนี่เป็นครั้งแรกของฉัน แล้วคุณล่ะ”
“ผมมาที่นี่หลายครั้งแล้ว”
“แสดงว่าคุณชอบเที่ยวแบบนี้ใช่ไหมถึงมาบ่อยๆ”
“ก็ไม่เชิงหรอกแต่มาแบบนี้มันได้สนุกอย่างเต็มที่ได้ปลดปล่อยตัวเองออกมา คนส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ก็ไม่สนใจหรอกว่าใครเป็นใคร ทุกคนต่างอยากมาหาความสุขแล้วคุณคิดเหมือนผมไหม”
“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ บางทีฉันทำงานเครียดๆ ก็อยากจะออกมาหาความสุข มาระบายความเครียดบ้าง”
“แล้วเป็นยังไงล่ะรู้สึกดีไหมที่ได้มาเที่ยวแบบนี้”
“รู้สึกดีมากๆ เลยค่ะ ฉันสนุก มากไม่คิดเลยว่าเสียงเพลงและเครื่องดื่มมันจะทำให้ฉันรู้สึกสนุกมากกว่าที่คิดไว้”
“ปกติคุณไม่ดื่มไม่เที่ยวเหรอ”
“มันก็มีบ้างค่ะแต่ไม่ค่อยบ่อยเท่าไหร่แล้วคุณล่ะ”
“มันก็ต้องมีบ้างตามประสาผู้ชาย เราคุยกันมาตั้งนานแล้วผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”
“เราคงไม่ต้องบอกชื่อจริงกันใช่ไหม”
“ใช่เรารู้จักกันแต่พอไปจากที่นี่ทุกคนก็จะทิ้งทุกอย่างไว้ ผมชื่อนนท์ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ฉันชื่อวิวค่ะ ยินดีรู้จักเช่นกันค่ะคุณนนท์”
“แปลกเหมือนกันนะ เป็นผู้หญิงแต่มาเที่ยวที่นี่คนเดียว”
“ฉันไม่ได้มาคนเดียวหรอกฉันมากับเพื่อนน่ะ แต่เพื่อนเขาพาแฟนมาด้วยฉันก็เลยไม่อยากจะไปเป็นก้างขวางคอ”
“แล้วคุณทำไมไม่พาแฟนคุณมาด้วยล่ะ”
“คุณกำลังจะถามใช่ไหมว่าฉันมีแฟนหรือเปล่า”
“แล้วมีหรือเปล่าล่ะ” คุณานนท์ย้อนถาม
“เคยมีค่ะ แต่เลิกแล้ว”
“ทำไมล่ะ”
“ก็ผู้ชายมันห่วยไง”
“อยากเล่าให้ผมฟังไหมล่ะว่ามันห่วยแบบไหน”
“ถ้าฉันเล่าให้ฟังคุณก็ต้องเข้าข้างผู้ชายด้วยกันอยู่ดี”
“ลองเล่ามาก่อนสิผมอาจจะไม่ได้เข้าข้างเขาก็ได้นะ” คุณานนท์รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้มีอะไรน่าสนใจทำให้เขาอยากจะคุยกับเธอ
วิรัลพัชรหันมามองหน้าชายหนุ่มก่อนจะยิ้มแล้วเธอก็เริ่มเล่าเรื่องราวของตนเองกับแฟนหนุ่มที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนกับคุณานนท์ฟังเพราะคิดว่ายังไงก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว
วิรัลพัชรมีแฟนอยู่หนึ่งคนเขาเรียนคอมพิวเตอร์ธุรกิจทั้งสองคนคบกันตอนเรียนอยู่ปีสี่และพอเรียนจบต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปทำงานเขาได้ทำงานในบริษัทใหญ่กับผู้หญิงคนใหม่ที่เป็นถึงหลานสาวของบริษัทและช่วยเขาให้เติบโตในหน้าที่การงานได้ชายหนุ่มก็เลยเลือกที่จะทิ้งเธอ ทั้งที่เคยสัญญากันไว้แล้วว่าถ้าเรียนจบจะเก็บเงินสักก้อนจากนั้นก็จะมาใช้ชีวิตด้วยกันแต่มันก็เป็นเพียงแค่คำสัญญาลวง พอเขาได้เข้าทำงานเพียงแค่สามเดือนเขาก็บอกเลิกกับเธอด้วยเหตุผลว่าเขาเจอคนที่เหมาะสมมากกว่าเธอ
“ผมดีใจด้วยนะ”
“ดีใจกับฉันเรื่องอะไรคะคุณนนท์”
“ก็ดีใจที่คุณเลิกกับผู้ชายห่วยๆ คนนั้นมายังไงล่ะ เขาเห็นแก่ตัวมาก เท่าที่ผมฟังดูเขาก็ไม่ได้รักผู้หญิงคนใหม่เท่าไหร่หรอก ที่คบก็น่าจะหวังในเรื่องของหน้าที่การงานนั่นแหละ”
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ เขาแปลกมากปกติฉันเจอแต่ผู้หญิงอยากจะจับผู้ชายรวยๆ แต่พอมาเจอแบบนี้ก็เลยรู้สึกค่อนข้างตกใจ”
“ผู้หญิงกับผู้ชายเดี๋ยวนี้มันก็ไม่ต่างกันหรอก ผู้หญิงก็อยากจะจับผู้ชายไม่รวยเพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องลำบากในการทำงาน ส่วนผู้ชายก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่เพราะบางครั้งผู้หญิงที่หน้าที่การงานหรือฐานะทางสังคมที่ดีก็จะช่วยส่งเสริมให้เขาสร้างตัวเองได้เร็วขึ้น”
“แล้วคุณเป็นผู้ชายแบบไหนกันล่ะ”
“ผมก็เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งแต่ไม่เคยคิดจะคบกับใครเพื่อนหวังผลประโยชน์หรอกนะ แล้วคุณล่ะเป็นผู้หญิงแบบที่เห็นเงินสำคัญกว่าความรักหรือเปล่า”
“ตอนแรกฉันก็โลกสวยค่ะ คิดว่าความรักสำคัญกว่าเงินแต่พอได้เรียนจบได้ใช้ชีวิตก็คิดว่าทั้งสองอย่างมันสำคัญพอๆ กัน”
“ถ้าสมมติว่าพี่ผู้ชายคนหนึ่งหน้าตาหล่อมากตรงสเปกของคุณทุกอย่างแต่ฐานะไม่ค่อยดีเท่าไหร่เขาเป็นแค่พนักงานธรรมดากับผู้ชายอีกคนหนึ่งหน้าตาธรรมดานิสัยก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่เขามีฐานะค่อนข้างรวยผู้ชายทั้งสองคนมาจีบคุณพร้อมกันคุณจะเลือกคนไหน”
“ฉันเลือกไม่ได้ในทันทีหรอกค่ะมันคงต้องลองคุยกันก่อนว่ามีทัศนคติตรงกันไหม ฉันเคยมีผู้ชายคนหนึ่งรวยมากๆ เขามาจีบ ตอนแรกฉันก็คิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่โชคดีถ้าได้คบกับเขาแต่ฉันกับเขาก็คบกันได้ไม่นาน”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะเขาใช้เงินซื้อทุกอย่างไงคะ เขาผิดนัดฉันแทนที่เขาจะขอโทษและอธิบายเหตุผลว่าทำไมถึงผิดนัดแต่เขากลับใช้วิธีซื้อกระเป๋าราคาแพงมาให้ฉันโดยไม่ได้พูดคำขอโทษเลย ฉันคิดเขาต้องนึกถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายมากกว่า แต่ดูเหมือนเขาจะเห็นว่าเงินของเขามันสำคัญมากๆ สำคัญกว่าความรู้สึกของฉัน คนแบบนี้คบไปก็มีแต่จะกดฉันให้ต่ำลง”
“แต่ผมคิดว่ามีผู้หญิงบางคนก็ยอมเพราะจะได้สบายไม่ต้องทำงาน”
“มันก็จริงแต่คนเราทุกคนก็ต้องมีคุณค่าในตัวเองค่ะ ถึงงานที่ฉันทำเงินเดือนจะไม่เยอะแต่มันก็พอเลี้ยงดูตัวเอง” วิรัลพัชรคิดว่าตนเองไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเงินของผู้ชาย
“คุณพูดแบบนี้เหมือนไม่อยากมีแฟนเป็นคนรวยเลยนะ”
“ใครจะไม่อยากมีแฟนรวยกันล่ะคะ แต่การคบกันเขาก็ควรจะให้เกียรติฉันด้วยไม่ใช่เอะอะก็เอาเงินฟาดหัวแบบนั้นมันไม่โอเคเท่าไหร่ คนเราถ้ารักกันด้วยใจบางครั้งเรื่องเงินมันก็ไม่สำคัญถึงแม้มันจะเป็นปัจจัยที่จำเป็นในการดำรงชีวิตแต่ฉันก็มีงานทำไม่จำเป็นต้องแบมือขอเงินของใคร”
“ผู้หญิงสมัยนี้ไม่ค่อยง้อผู้ชายแล้วใช่ไหม”
“ใช่ค่ะแล้วคุณล่ะมองยังไงกับเรื่องนี้ ถ้ามีผู้หญิงคนหนึ่งทั้งสวยทั้งรวยเหมาะสมกับคุณทุกอย่างแต่ในขณะนั้นคุณกำลังรักผู้หญิงอีกคนหนึ่งหน้าตาธรรมดา ทำงานเป็นแค่เป็นมนุษย์เงินเดือนไม่มีหน้ามีตาในสังคมและครอบครัวของคุณอยากจะให้คุณแต่งงานกับผู้หญิงที่เหมาะสมแต่คุณไม่ได้รักเธอคุณจะจัดการยังไงกับเรื่องนี้ล่ะ”
“ผมต้องเลือกผู้หญิงที่ผมรักสิ”
“คุณจะไม่คำนึงถึงความเหมาะสมเลยเหรอคะคุณนนท์”
“ไม่หรอกผมมันเป็นประเภทไม่ชอบให้ใครมาบังคับน่ะ ถ้าผมรักผู้หญิงคนไหนผมก็รักจริงๆ ไม่สนใจหรอกว่าเธอจะรวยหรือจนจะเหมาะสมหรือเปล่าขอแค่เรารักกันก็พอ”
“ตอนนี้คุณก็อาจจะพูดแบบนั้นได้แต่ถ้าถึงคราวที่จำเป็นต้องเลือกจริงๆ คนเราก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองไม่ใช่เหรอคะ”
คำถามของวิรัลพัชรทำให้คุณานนท์คิดตาม สำหรับเขาแล้วรู้สึกและอยากจะทำอย่างที่พูดจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าบิดามารดาจะเห็นด้วยกับความคิดเห็นของเขาหรือเปล่า เพราะท่านเป็นคนมีหน้ามีตาและมีฐานะในสังคม ท่านเคยเปรยอยู่หลายครั้งว่าอยากจะให้เขาแต่งงานกับผู้หญิงที่เหมาะสมผู้หญิงที่เข้ามาในครอบครัวแล้วช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันแต่ สำหรับเขากลับคิดว่าไม่จำเป็นเลยผู้หญิงที่จะเข้ามาใช้ชีวิตด้วยต้องเป็นผู้หญิงที่เขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจคอยอยู่ให้กำลังใจเวลาที่เขาเหนื่อย คุณานนท์คิดว่าตนเองมีความสามารถในการทำงานมากพอเขาไม่จำเป็นที่จะให้ผู้หญิงมาคอยช่วยเรื่องงานนั้นก็เป็นเพราะชายหนุ่มอยู่กับย่ามาตั้งแต่เด็กทำให้ความคิดค่อนข้างจะหัวโบราณไปสักนิดว่าผู้หญิงต้องมีหน้าที่ดูแลบ้านดูแลครอบครัวเธอไม่จำเป็นต้องออกมาทำงานนอกบ้านหรือทำงานเก่ง“ทำไมเงียบไปล่ะคะ”“ผมกำลังสับสน เพราะจริงๆ แล้วผมรู้สึกและอยากจะทำอย่างที่พูดนะ แต่ไม่รู้ว่าครอบครัวของผมจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมทำหรือเปล่า”“ขอโทษนะคุณอายุเท่าไหร่แล้วคะคุณนนท์”“ก็เยอะพอประมาณแล้วล่ะ น่าจะพอมีครอบครัวได้แล้ว ว่าแต่คุณถามทำไมเหรอวิว”“ก็ถ้าคุณอายุมากพอจะมีครอบครัวได้แล
สองเดือนหลังจากไปเที่ยวเกาะพงันเสียงอาเจียนของชายหนุ่มคนเดียวในบ้านดังมาตั้งแต่เช้าทำให้คุณชมนาดรู้สึกเป็นห่วง เธอคิดว่าหลานชายดื่มเหล้าจนเมาค้างถึงเช้า แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนคุณานนท์ไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหนเลยเธอเคาะประตูห้องหลานชายพอได้ยินเสียงอนุญาตก็เปิดเข้าไปแล้วก็เห็นว่าเจ้าของห้องแต่งตัวพร้อมไปทำงานเขากำลังเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าซีดเซียว“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณย่า”“ย่าจะเข้ามาดูว่านนท์เป็นอะไร ย่าได้ยินเสียงเราอาเจียนหลายรอบแล้วเป็นอะไรหรือเปล่า”“ผมเวียนหัวนิดหน่อยครับคุณย่าสงสัยช่วงนี้จะพักผ่อนน้อย”“ไปให้คุณหมอตรวจหน่อยได้ไหม”“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมว่าเดี๋ยวก็น่าจะดีขึ้น”“ถ้าไม่ดีขึ้นก็โทรไปถามพ่อเขาก็แล้วกันว่าอาการที่เป็นอยู่และเกิดจากอะไรกันแน่”“ผมไม่อยากรบกวนเขาหรอกครับคุณย่า” คุณานนท์กับบิดาไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เขาจึงไม่อยากเอาไปกวนใจท่าน“ถ้าไม่อยากรบกวนพ่อก็ลองโทรไปถามพี่สาวเราก็แล้วกัน ว่าเป็นอะไร มีคนในครอบครัวเป็นหมอก็ใช้ให้เป็นประโยชน์”“ได้ครับคุณย่า”“แล้วเช้านี้ยังไงล่ะ จะไปทำงานไหมย่าว่านนท์นอนพักอีกหน่อยดีไหม”“ไม่ได้หรอกครับ
“ย่ายังไม่ได้พูดแบบนั้นเลย แต่ย่าหมายความว่าคนที่จะอยู่กับแม่ของเด็กก็คือนนท์เพราะฉะนั้นมันก็อยู่ที่นนท์นั่นแหละว่าจะรับผู้หญิงคนนั้นเข้ามาเป็นภรรยาอย่างถูกต้องมีพิธีแต่งงานหรือจะรับแค่เด็ก ที่นนท์ถามย่าแบบนี้เพราะนึกออกแล้วใช่ไหมว่าไปทำผู้หญิงที่ไหนท้อง”“ไม่หรอกครับคุณย่ามันก็แค่เรื่องที่ผมสมมติขึ้น”“จะเป็นเรื่องสมมติหรือเรื่องจริงย่าไม่สนใจหรอกเพราะยังไงเด็กที่อยู่ในท้องของเธอก็เป็นลูกของนนท์”“แต่ทำไมสีหน้าของย่าดูกังวลจังล่ะครับมีอะไรหรือเปล่า” คุณานนท์รู้สึกผิดที่สมมติเรื่องแบบนี้ขึ้นมาทำให้คุณย่าเครียด“ถ้าเรื่องที่เรากำลังพูดกันอยู่เป็นเรื่องจริง สำหรับย่าแล้วมันไม่มีปัญหาอะไรเลยแต่ปัญหามันอยู่ที่พ่อแม่ของนนท์มากกว่านะ ย่าได้ยินมาว่าเขากำลังพยายามหาลูกสะใภ้อยู่น่ะ”แม้ว่าจะไม่ค่อยได้ออกไปเจอใครที่ไหนแต่ก็ใช่ว่าคุณชมนาดจะไม่รู้ว่าตอนนี้ลูกชายกับลูกสะใภ้ของเธอกำลังวางแผนจะทำอะไรกันอยู่“ถ้าเกิดพ่อกับแม่หาผู้หญิงให้ผมจริงๆ แล้วผู้หญิงคนนั้นผมไม่รัก ไม่ชอบย่าจะช่วยผมได้ไหม”“ถ้านนท์อยากให้ย่าช่วยย่าก็จะช่วยเพราะย่าเป็นคนเลี้ยงนนท์มา ถึงเขาจะเป็นพ่อเป็นแม่แต่ก็ไม่มีสิทธิ์มาบังคับล
“วิวมีผ้าอนามัยให้ยืมไหม” นัยนากระซิบถามวิรัลพัชรที่กำลังนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ“มีสิ” หญิงสาวรีบเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานของตัวเองแล้วส่งผ้าอนามัยให้เพื่อน“ขอบใจนะเดี๋ยวจะซื้อมาคืนให้”“ไม่เป็นไรหรอกปอนด์”เมื่อนัยนาเดินออกจากโต๊ะทำงานเธอไปแล้ววิรัลพัชรก็เปิดลิ้นชักดูอีกครั้งปกติแล้วเธอจะเตรียมผ้าอนามัยไว้ในลิ้นชักแบบนี้อยู่เสมอแต่จำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ตัวเองหยิบมาใช้มันตอนไหนกันแน่เพราะจำนวนผ้าอนามัยยังคงเยอะอยู่ทั้งที่เดือนนี้เธอไม่ได้ซื้อมาเพิ่มเลย หญิงสาวหญิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูปฏิทินที่บันทึกวันที่เป็นประจำเดือนของตนเองไว้ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าเดือนนี้เธอยังไม่เป็นประจำเดือนแต่เดือนที่แล้วเธอก็มีประจำเดือนตามปกติเพียงแต่ไม่ได้มากเหมือนกับทุกครั้งวิรัลพัชรหน้าเครียดเมื่อดูจากปฏิทินแล้วเดือนนี้ประจำเดือนของเธอมาช้ากว่ากำหนดถึงสิบวัน ซึ่งปกติแล้วหญิงสาวเป็นคนที่มีประจำเดือนไม่ค่อยตรงตามเวลาเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เคยมาช้าแบบนี้หญิงสาวเริ่มเป็นกังวลว่าตนเองจะตั้งครรภ์หรือเปล่าแต่ความเป็นไปได้มันก็น้อยมากเลยเพราะเมื่อเดือนที่แล้วเธอยังมีรอบเดือนถึงแม้มันจะเป็นรอบเดือนเพี
เช้าวันเสาร์หลังจากทำตามขั้นตอนที่ติดอยู่ข้างกล่องแล้ววิรัลพัชรก็นั่งลุ้นผลการตรวจ เมื่อปรากฏขีดสีแดงสองขีดบนแท่งพลาสติกที่ใช้ตรวจการตั้งครรภ์หญิงสาวก็เข่าแทบทรุด เธอหยิบที่ตรวจครรภ์อีกอันหนึ่งขึ้นมาตรวจแล้วผลมันก็เหมือนกับที่ตรวจครรภ์อันแรกวิรัลพัชรเดินกลับเข้ามาบนเตียงนั่งกอดเข่าร้องไห้เธอไม่รู้ว่าจะมีชีวิตของตนเองจะเป็นยังไงต่อไป ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นทำยังไงกับตัวเองดี หญิงสาวไม่รู้เลยว่าความผิดพลาดและความเมาในคืนนั้นจะนำมาซึ่งความทุกข์มากขนาดนี้หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วลังเลว่าจะโทรศัพท์หาใครสักคนเพื่อจะปรึกษาเรื่องที่เกิดขึ้น เธออยากปรึกษาพิมพ์วดีเพราะการไปเที่ยวครั้งนั้นเธอไปกับพิมพ์วดีแต่ถ้าเกิดพิมพ์วดีรู้ก็กลัวว่าเพื่อนจะเครียดเพราะเป็นคนชวนไปเที่ยวแต่พอจะโทรหานลินภัสก็กลัวเพื่อนจะคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองเพราะถ้าหากนลินภัสไปเที่ยวด้วยในคืนนั้นเหตุการณ์แบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น สุดท้ายแล้ววิรัลพัชรก็เลยตัดสินใจไม่โทรหาใครทั้งนั้นเธอคิดจะแก้ปัญหาเรื่องนี้คนเดียวหญิงสาวรีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะไปปรึกษาคุณหมอว่าจากนี้เธอจะต้องปฏิบัติตัวยังไงเพราะวิรัลพัชรตัดสินใจแล้วว่าจะตั้งคร
เช้าวันอาทิตย์คุณานนท์ไม่ต้องไปทำงานแต่ชายหนุ่มก็ตื่นนอนแต่เช้าเพราะรู้สึกอยากจะอาเจียน อาการของเขาเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้วแม้จะทานยาที่คุณหมอให้มาแต่มันก็ไม่ดีขึ้นเลย เขาเริ่มเป็นกังวลว่าตัวเองจะป่วยเป็นอะไรมากหรือเปล่าและคิดวันนี้จะเข้าไปปรึกษากับคุณหมอที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ชายหนุ่มไม่ชอบอาการที่เป็นอยู่นี้เลยเพราะมันทำให้เขาทำงานไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วคุณานนท์ก็เดินลงมาทานอาหารเช้ากับคุณย่าตามปกติ“หน้าซีดลงมาอีกแล้ว ย่าว่าอาการเราไม่น่าจะไหวแล้วนะนนท์” คุณชมนาดมองหลานชายแล้วก็รู้สึกเป็นห่วงไม่ได้แต่ในใจเธอก็ยังคิดอยู่ว่าอาการของคุณานนท์นั้นเหมือนกับอาการแพ้ท้องแทนภรรยาแต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองไปแอบมีภรรยาซ่อนไว้ที่ไหน“เช้านี้ป้าอาหารฝรั่งให้คุณนนท์นะนะ มีไส้กรอก ไข่ดาว ขนมปังปิ้งแล้วก็น้ำส้มคั้นสดๆ ค่ะ คุณนนท์จะได้ไม่คลื่นไส้”“ขอบคุณครับป้าสำรวยแล้วคุณย่าไม่กินเหมือนผมเหรอครับ”“ย่าไม่ถนัดกินของพวกนั้นหรอก ย่าขอเป็นข้าวต้มดีกว่าแต่ย่าไม่ได้ใส่กระเทียมเจียวนะ ย่ารู้ว่านนท์ไม่ชอบกลิ่นของมัน”“คุณย่าครับ ผมขอโทษนะครับที่ทำให้คุณย่าต้องอดกินของอร่อย”“
กรี๊ดดด!!!!!!เสียงกรีดร้องด้วยความดีใจของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นในเวลา 16.00 น. ของวันที่ 16 ทำให้พนักงานในแผนกที่มีกันอยู่เพียงแค่สี่คนหันไปมองด้วยความแปลกใจ“เบาๆ หน่อยวิวเดี๋ยวคนก็ตกใจกันทั้งบริษัทหรอก แล้วเป็นอะไรทำไมถึงกรี๊ดแบบนี้ล่ะ” พนิดาหรือพี่นิดหัวหน้าแผนกหันไปดุลูกน้องอย่างไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่ก่อนจะเดินมาใกล้ๆ เพราะเห็นท่าทางของลูกน้องสาวดูไม่ปกติเท่าไหร่“นั่นสิวิวเป็นอะไรกรี๊ดเสียงดังเชียว” นัยนาหรือปอนด์ถามเพื่อนร่วมงาน“จะไม่ให้กรี๊ดได้ยังไงล่ะ ก็วิวถูกหวย” หญิงสาวพูดแล้วโบกลอตเตอรี่ในมือไปมา“อะไรนะถูกหวยเหรอ กรี๊ดดังแบบนี้ถูกรางวัลที่หนึ่งใช่ไหมได้เท่าไหร่หกล้านหรือสามสิบล้านล่ะวิว แล้วแบบนี้ยังจะมาทำงานอยู่อีกไหมนะ พี่ต้องเรียกว่าคุณหนูวิวแล้วใช่ไหม” หัวหน้าแผนกพูดด้วยความตื่นเต้น“ไม่ใช่รางวัลที่หนึ่งหรอกค่ะพี่นิด”“อ้าวแล้วถูกเท่าไหร่ อย่าบอกนะว่ากรี๊ดดังลั่นแบบนี้ถูกแค่สองตัวท้ายนะวิว” บุษกรรุ่นพี่อีกคนในแผนกพูดขึ้นมาบ้าง“ไม่ใช่หรอกค่ะพี่บุษแต่วิวถูกรางวัลที่สองค่ะ”“โอ้โห รางวัลที่สองใบหนึ่งก็ตั้งสองแสนเลยนะ แล้ววิวซื้อมากี่ใบซื้อเป็นชุดแบบห้าใบ สิบใบหรือเปล่า”
เสียงเคาะประตูที่หน้าห้องดังสามครั้งก่อนที่ประตูห้องทำงานของซีคุณานนท์ซีอีโอหนุ่มเขาของบริษัทนำเข้าเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์เปิดออกผู้ที่เข้ามาคือชายหนุ่มรูปร่างสูงหน้าตาดีเขานั่งลงตรงข้ามกับเขาของห้องโดยไม่ต้องขออนุญาตหรือรอให้มีใครเชิญ“ว่าไงวะมาหากูถึงที่นี่มีธุระด่วนเหรอ” คุณานนท์ถามแขกที่เดินเข้ามา“ไม่ด่วนหรอกแต่ช่วงนี้กูกำลังเบื่อเซ็งอยากชวนมึงไปเที่ยว”“เที่ยวไหนวะ มึงเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเองไม่ใช่เหรอ”“เออก็เพราะกูเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศนี่แหละก็เลยเซ็งมาก” รัชกฤชหรือเบสพูดแล้วส่ายศีรษะบ่งบอกว่าเซ็งอย่างเต็มที่“อะไรวะไปเที่ยวมาแล้วเซ็งมีอะไรหรือเปล่า”“ก็ก้อยแฟนกูน่ะสิเธอจะให้กูซื้อกระเป๋าให้ แต่กูก็พูดขึ้นว่าเหมือนเคยเห็นเธอมีใบนี้อยู่แล้วแค่นั้นแหละก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้วบอกเลิกกูไปเลย”“อ้าวทำไมเขาบอกเลิกมึงง่ายๆ แบบนั้นเหรอวะ กระเป๋าราคาเท่าไหร่กันเชียวทำไมมึงถึงไม่ซื้อให้เขา” คุณานนท์ถามด้วยความแปลกใจเพราะเพื่อนของตนก็มีฐานะ“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ราคาว่ะ”“แล้วประเด็นมันอยู่ตรงไหน”“ประเด็นคือกูลืมว่ากูไม่เคยซื้อใบนี้ให้เขา แต่กูซื้อให้ผู้หญิงอีกคน”“นั่นไงกู
เช้าวันอาทิตย์คุณานนท์ไม่ต้องไปทำงานแต่ชายหนุ่มก็ตื่นนอนแต่เช้าเพราะรู้สึกอยากจะอาเจียน อาการของเขาเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้วแม้จะทานยาที่คุณหมอให้มาแต่มันก็ไม่ดีขึ้นเลย เขาเริ่มเป็นกังวลว่าตัวเองจะป่วยเป็นอะไรมากหรือเปล่าและคิดวันนี้จะเข้าไปปรึกษากับคุณหมอที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ชายหนุ่มไม่ชอบอาการที่เป็นอยู่นี้เลยเพราะมันทำให้เขาทำงานไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วคุณานนท์ก็เดินลงมาทานอาหารเช้ากับคุณย่าตามปกติ“หน้าซีดลงมาอีกแล้ว ย่าว่าอาการเราไม่น่าจะไหวแล้วนะนนท์” คุณชมนาดมองหลานชายแล้วก็รู้สึกเป็นห่วงไม่ได้แต่ในใจเธอก็ยังคิดอยู่ว่าอาการของคุณานนท์นั้นเหมือนกับอาการแพ้ท้องแทนภรรยาแต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองไปแอบมีภรรยาซ่อนไว้ที่ไหน“เช้านี้ป้าอาหารฝรั่งให้คุณนนท์นะนะ มีไส้กรอก ไข่ดาว ขนมปังปิ้งแล้วก็น้ำส้มคั้นสดๆ ค่ะ คุณนนท์จะได้ไม่คลื่นไส้”“ขอบคุณครับป้าสำรวยแล้วคุณย่าไม่กินเหมือนผมเหรอครับ”“ย่าไม่ถนัดกินของพวกนั้นหรอก ย่าขอเป็นข้าวต้มดีกว่าแต่ย่าไม่ได้ใส่กระเทียมเจียวนะ ย่ารู้ว่านนท์ไม่ชอบกลิ่นของมัน”“คุณย่าครับ ผมขอโทษนะครับที่ทำให้คุณย่าต้องอดกินของอร่อย”“
เช้าวันเสาร์หลังจากทำตามขั้นตอนที่ติดอยู่ข้างกล่องแล้ววิรัลพัชรก็นั่งลุ้นผลการตรวจ เมื่อปรากฏขีดสีแดงสองขีดบนแท่งพลาสติกที่ใช้ตรวจการตั้งครรภ์หญิงสาวก็เข่าแทบทรุด เธอหยิบที่ตรวจครรภ์อีกอันหนึ่งขึ้นมาตรวจแล้วผลมันก็เหมือนกับที่ตรวจครรภ์อันแรกวิรัลพัชรเดินกลับเข้ามาบนเตียงนั่งกอดเข่าร้องไห้เธอไม่รู้ว่าจะมีชีวิตของตนเองจะเป็นยังไงต่อไป ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นทำยังไงกับตัวเองดี หญิงสาวไม่รู้เลยว่าความผิดพลาดและความเมาในคืนนั้นจะนำมาซึ่งความทุกข์มากขนาดนี้หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วลังเลว่าจะโทรศัพท์หาใครสักคนเพื่อจะปรึกษาเรื่องที่เกิดขึ้น เธออยากปรึกษาพิมพ์วดีเพราะการไปเที่ยวครั้งนั้นเธอไปกับพิมพ์วดีแต่ถ้าเกิดพิมพ์วดีรู้ก็กลัวว่าเพื่อนจะเครียดเพราะเป็นคนชวนไปเที่ยวแต่พอจะโทรหานลินภัสก็กลัวเพื่อนจะคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองเพราะถ้าหากนลินภัสไปเที่ยวด้วยในคืนนั้นเหตุการณ์แบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น สุดท้ายแล้ววิรัลพัชรก็เลยตัดสินใจไม่โทรหาใครทั้งนั้นเธอคิดจะแก้ปัญหาเรื่องนี้คนเดียวหญิงสาวรีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะไปปรึกษาคุณหมอว่าจากนี้เธอจะต้องปฏิบัติตัวยังไงเพราะวิรัลพัชรตัดสินใจแล้วว่าจะตั้งคร
“วิวมีผ้าอนามัยให้ยืมไหม” นัยนากระซิบถามวิรัลพัชรที่กำลังนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ“มีสิ” หญิงสาวรีบเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานของตัวเองแล้วส่งผ้าอนามัยให้เพื่อน“ขอบใจนะเดี๋ยวจะซื้อมาคืนให้”“ไม่เป็นไรหรอกปอนด์”เมื่อนัยนาเดินออกจากโต๊ะทำงานเธอไปแล้ววิรัลพัชรก็เปิดลิ้นชักดูอีกครั้งปกติแล้วเธอจะเตรียมผ้าอนามัยไว้ในลิ้นชักแบบนี้อยู่เสมอแต่จำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ตัวเองหยิบมาใช้มันตอนไหนกันแน่เพราะจำนวนผ้าอนามัยยังคงเยอะอยู่ทั้งที่เดือนนี้เธอไม่ได้ซื้อมาเพิ่มเลย หญิงสาวหญิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูปฏิทินที่บันทึกวันที่เป็นประจำเดือนของตนเองไว้ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าเดือนนี้เธอยังไม่เป็นประจำเดือนแต่เดือนที่แล้วเธอก็มีประจำเดือนตามปกติเพียงแต่ไม่ได้มากเหมือนกับทุกครั้งวิรัลพัชรหน้าเครียดเมื่อดูจากปฏิทินแล้วเดือนนี้ประจำเดือนของเธอมาช้ากว่ากำหนดถึงสิบวัน ซึ่งปกติแล้วหญิงสาวเป็นคนที่มีประจำเดือนไม่ค่อยตรงตามเวลาเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เคยมาช้าแบบนี้หญิงสาวเริ่มเป็นกังวลว่าตนเองจะตั้งครรภ์หรือเปล่าแต่ความเป็นไปได้มันก็น้อยมากเลยเพราะเมื่อเดือนที่แล้วเธอยังมีรอบเดือนถึงแม้มันจะเป็นรอบเดือนเพี
“ย่ายังไม่ได้พูดแบบนั้นเลย แต่ย่าหมายความว่าคนที่จะอยู่กับแม่ของเด็กก็คือนนท์เพราะฉะนั้นมันก็อยู่ที่นนท์นั่นแหละว่าจะรับผู้หญิงคนนั้นเข้ามาเป็นภรรยาอย่างถูกต้องมีพิธีแต่งงานหรือจะรับแค่เด็ก ที่นนท์ถามย่าแบบนี้เพราะนึกออกแล้วใช่ไหมว่าไปทำผู้หญิงที่ไหนท้อง”“ไม่หรอกครับคุณย่ามันก็แค่เรื่องที่ผมสมมติขึ้น”“จะเป็นเรื่องสมมติหรือเรื่องจริงย่าไม่สนใจหรอกเพราะยังไงเด็กที่อยู่ในท้องของเธอก็เป็นลูกของนนท์”“แต่ทำไมสีหน้าของย่าดูกังวลจังล่ะครับมีอะไรหรือเปล่า” คุณานนท์รู้สึกผิดที่สมมติเรื่องแบบนี้ขึ้นมาทำให้คุณย่าเครียด“ถ้าเรื่องที่เรากำลังพูดกันอยู่เป็นเรื่องจริง สำหรับย่าแล้วมันไม่มีปัญหาอะไรเลยแต่ปัญหามันอยู่ที่พ่อแม่ของนนท์มากกว่านะ ย่าได้ยินมาว่าเขากำลังพยายามหาลูกสะใภ้อยู่น่ะ”แม้ว่าจะไม่ค่อยได้ออกไปเจอใครที่ไหนแต่ก็ใช่ว่าคุณชมนาดจะไม่รู้ว่าตอนนี้ลูกชายกับลูกสะใภ้ของเธอกำลังวางแผนจะทำอะไรกันอยู่“ถ้าเกิดพ่อกับแม่หาผู้หญิงให้ผมจริงๆ แล้วผู้หญิงคนนั้นผมไม่รัก ไม่ชอบย่าจะช่วยผมได้ไหม”“ถ้านนท์อยากให้ย่าช่วยย่าก็จะช่วยเพราะย่าเป็นคนเลี้ยงนนท์มา ถึงเขาจะเป็นพ่อเป็นแม่แต่ก็ไม่มีสิทธิ์มาบังคับล
สองเดือนหลังจากไปเที่ยวเกาะพงันเสียงอาเจียนของชายหนุ่มคนเดียวในบ้านดังมาตั้งแต่เช้าทำให้คุณชมนาดรู้สึกเป็นห่วง เธอคิดว่าหลานชายดื่มเหล้าจนเมาค้างถึงเช้า แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนคุณานนท์ไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหนเลยเธอเคาะประตูห้องหลานชายพอได้ยินเสียงอนุญาตก็เปิดเข้าไปแล้วก็เห็นว่าเจ้าของห้องแต่งตัวพร้อมไปทำงานเขากำลังเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าซีดเซียว“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณย่า”“ย่าจะเข้ามาดูว่านนท์เป็นอะไร ย่าได้ยินเสียงเราอาเจียนหลายรอบแล้วเป็นอะไรหรือเปล่า”“ผมเวียนหัวนิดหน่อยครับคุณย่าสงสัยช่วงนี้จะพักผ่อนน้อย”“ไปให้คุณหมอตรวจหน่อยได้ไหม”“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมว่าเดี๋ยวก็น่าจะดีขึ้น”“ถ้าไม่ดีขึ้นก็โทรไปถามพ่อเขาก็แล้วกันว่าอาการที่เป็นอยู่และเกิดจากอะไรกันแน่”“ผมไม่อยากรบกวนเขาหรอกครับคุณย่า” คุณานนท์กับบิดาไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เขาจึงไม่อยากเอาไปกวนใจท่าน“ถ้าไม่อยากรบกวนพ่อก็ลองโทรไปถามพี่สาวเราก็แล้วกัน ว่าเป็นอะไร มีคนในครอบครัวเป็นหมอก็ใช้ให้เป็นประโยชน์”“ได้ครับคุณย่า”“แล้วเช้านี้ยังไงล่ะ จะไปทำงานไหมย่าว่านนท์นอนพักอีกหน่อยดีไหม”“ไม่ได้หรอกครับ
คำถามของวิรัลพัชรทำให้คุณานนท์คิดตาม สำหรับเขาแล้วรู้สึกและอยากจะทำอย่างที่พูดจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าบิดามารดาจะเห็นด้วยกับความคิดเห็นของเขาหรือเปล่า เพราะท่านเป็นคนมีหน้ามีตาและมีฐานะในสังคม ท่านเคยเปรยอยู่หลายครั้งว่าอยากจะให้เขาแต่งงานกับผู้หญิงที่เหมาะสมผู้หญิงที่เข้ามาในครอบครัวแล้วช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันแต่ สำหรับเขากลับคิดว่าไม่จำเป็นเลยผู้หญิงที่จะเข้ามาใช้ชีวิตด้วยต้องเป็นผู้หญิงที่เขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจคอยอยู่ให้กำลังใจเวลาที่เขาเหนื่อย คุณานนท์คิดว่าตนเองมีความสามารถในการทำงานมากพอเขาไม่จำเป็นที่จะให้ผู้หญิงมาคอยช่วยเรื่องงานนั้นก็เป็นเพราะชายหนุ่มอยู่กับย่ามาตั้งแต่เด็กทำให้ความคิดค่อนข้างจะหัวโบราณไปสักนิดว่าผู้หญิงต้องมีหน้าที่ดูแลบ้านดูแลครอบครัวเธอไม่จำเป็นต้องออกมาทำงานนอกบ้านหรือทำงานเก่ง“ทำไมเงียบไปล่ะคะ”“ผมกำลังสับสน เพราะจริงๆ แล้วผมรู้สึกและอยากจะทำอย่างที่พูดนะ แต่ไม่รู้ว่าครอบครัวของผมจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมทำหรือเปล่า”“ขอโทษนะคุณอายุเท่าไหร่แล้วคะคุณนนท์”“ก็เยอะพอประมาณแล้วล่ะ น่าจะพอมีครอบครัวได้แล้ว ว่าแต่คุณถามทำไมเหรอวิว”“ก็ถ้าคุณอายุมากพอจะมีครอบครัวได้แล
“คุณเคยมาเที่ยวที่นี่ไหม” ชายหนุ่มเริ่มเปิดประเด็นถามหลังจากนั่งดื่มไปได้นิดหน่อย“ไม่เลยค่ะนี่เป็นครั้งแรกของฉัน แล้วคุณล่ะ”“ผมมาที่นี่หลายครั้งแล้ว”“แสดงว่าคุณชอบเที่ยวแบบนี้ใช่ไหมถึงมาบ่อยๆ”“ก็ไม่เชิงหรอกแต่มาแบบนี้มันได้สนุกอย่างเต็มที่ได้ปลดปล่อยตัวเองออกมา คนส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ก็ไม่สนใจหรอกว่าใครเป็นใคร ทุกคนต่างอยากมาหาความสุขแล้วคุณคิดเหมือนผมไหม”“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ บางทีฉันทำงานเครียดๆ ก็อยากจะออกมาหาความสุข มาระบายความเครียดบ้าง”“แล้วเป็นยังไงล่ะรู้สึกดีไหมที่ได้มาเที่ยวแบบนี้”“รู้สึกดีมากๆ เลยค่ะ ฉันสนุก มากไม่คิดเลยว่าเสียงเพลงและเครื่องดื่มมันจะทำให้ฉันรู้สึกสนุกมากกว่าที่คิดไว้”“ปกติคุณไม่ดื่มไม่เที่ยวเหรอ”“มันก็มีบ้างค่ะแต่ไม่ค่อยบ่อยเท่าไหร่แล้วคุณล่ะ”“มันก็ต้องมีบ้างตามประสาผู้ชาย เราคุยกันมาตั้งนานแล้วผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”“เราคงไม่ต้องบอกชื่อจริงกันใช่ไหม”“ใช่เรารู้จักกันแต่พอไปจากที่นี่ทุกคนก็จะทิ้งทุกอย่างไว้ ผมชื่อนนท์ยินดีที่ได้รู้จัก”“ฉันชื่อวิวค่ะ ยินดีรู้จักเช่นกันค่ะคุณนนท์”“แปลกเหมือนกันนะ เป็นผู้หญิงแต่มาเที่ยวที่นี่คนเดียว”“ฉัน
“น่าเสียดายจังนะปูเป้ที่หลินไม่ได้มากับเรา” วิรัลพัชรพูดอย่างเสียดายเมื่อวันนี้หลินหรือนลินภัสไม่ได้เดินทางมาเที่ยวกับเธอตามที่ได้ชวนกันไว้ ทำให้หญิงสาวต้องเดินทางมาเที่ยวเกาะพงันกับพิมพ์วดีและอลันแฟนหนุ่ม“นั่นสิแบบนี้วิวก็น่าจะเหงาแย่เลยคืนนี้ให้เราไปนอนห้องเดียวกับวิวดีไหม”“อย่าเลยนานๆ อลันเขาถึงจะกลับมาหาปูเป้สักทีไปนอนกับแฟนเถอะวิวอยู่คนเดียวได้เผลอๆ คืนนี้อาจจะได้หนุ่มกลับมานอนด้วยสักคน”“พูดเป็นเล่นน่า อย่างวิวน่ะเหรอจะพาใครไปนอนด้วยขนาดแฟนที่คบกันมาเกือบปีวิวยังไม่เคยพาไปค้างที่ห้องเลย” พิมพ์วดีพูดอย่างรู้ทันเพราะเพื่อนของเธอคนนี้ค่อนข้างจะหัวโบราณมากต่างจากเธออย่างลิบลับ“แหมก็ตอนนั้นวิวยังเรียนไม่จบนี่ปูเป้ แต่ตอนนี้วิวเรียนจบแล้วมีงานทำอายุก็ยี่สิบสี่แล้วนะมีซัมติงกับใครสักคนก็ไม่น่าจะแปลก”“ขอให้มันจริงเถอะ เดี๋ยวพวกเราเอาของเข้าไปเก็บนะ บ้านพักของวิวอยู่หลังริมสุดนะ ส่วนหลังตรงกลางไม่แน่ใจว่าเป็นของใครของเราอยู่ถัดไปอีกสองหลังถ้ามีอะไรก็ไปเคาะเรียกได้นะ สักทุ่มหนึ่งเราค่อยออกไปกินข้าวกันนะ แล้วปูเป้จะโทรหา”“ได้จ้ะ” วิรัลพัชรเดินแยกจากเพื่อนเข้ามายังบ้านพักของตนเองหลังริ
เสียงเคาะประตูที่หน้าห้องดังสามครั้งก่อนที่ประตูห้องทำงานของซีคุณานนท์ซีอีโอหนุ่มเขาของบริษัทนำเข้าเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์เปิดออกผู้ที่เข้ามาคือชายหนุ่มรูปร่างสูงหน้าตาดีเขานั่งลงตรงข้ามกับเขาของห้องโดยไม่ต้องขออนุญาตหรือรอให้มีใครเชิญ“ว่าไงวะมาหากูถึงที่นี่มีธุระด่วนเหรอ” คุณานนท์ถามแขกที่เดินเข้ามา“ไม่ด่วนหรอกแต่ช่วงนี้กูกำลังเบื่อเซ็งอยากชวนมึงไปเที่ยว”“เที่ยวไหนวะ มึงเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเองไม่ใช่เหรอ”“เออก็เพราะกูเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศนี่แหละก็เลยเซ็งมาก” รัชกฤชหรือเบสพูดแล้วส่ายศีรษะบ่งบอกว่าเซ็งอย่างเต็มที่“อะไรวะไปเที่ยวมาแล้วเซ็งมีอะไรหรือเปล่า”“ก็ก้อยแฟนกูน่ะสิเธอจะให้กูซื้อกระเป๋าให้ แต่กูก็พูดขึ้นว่าเหมือนเคยเห็นเธอมีใบนี้อยู่แล้วแค่นั้นแหละก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้วบอกเลิกกูไปเลย”“อ้าวทำไมเขาบอกเลิกมึงง่ายๆ แบบนั้นเหรอวะ กระเป๋าราคาเท่าไหร่กันเชียวทำไมมึงถึงไม่ซื้อให้เขา” คุณานนท์ถามด้วยความแปลกใจเพราะเพื่อนของตนก็มีฐานะ“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ราคาว่ะ”“แล้วประเด็นมันอยู่ตรงไหน”“ประเด็นคือกูลืมว่ากูไม่เคยซื้อใบนี้ให้เขา แต่กูซื้อให้ผู้หญิงอีกคน”“นั่นไงกู