“องค์ชายกล่าวผิดไปมากแล้ว และเรื่องเช่นนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้” สวีหรันเอ่ยจบ ก็มองหาทางหนีทีไล่ ทว่าร่างกายบุรุษเบื้องหน้าชวนให้หวั่นไหวเกินจะต้านทาน เซียวเหิงจิ้นแทบจะเปลือยกาย มีผ้าผืนหนึ่งพันตัวเบื้องล่างเข้าไว้เท่านั้น “กลับเข้าไปข้างในกันเสียเถิด ใกล้รุ่งแล้ว ข้าง่วงเต็มที” จู่ๆ อีกฝ่ายก็เชิญชวนด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มชวนฟังเหลือเกิน แต่สวีหรันเฟยยังติดตากับภาพเมื่อครู่ สตรีที่บำเรอกามให้องค์ชายสามมีเลือดไหล แถมถูกบีบคอ “ทะ ท่านทำร้ายนางผู้นั้น เขาถึงแก่ความตายหรือไม่” “ฮ่าๆ ๆ มันเป็นเพียงอาหารราคาถูก เด็กน้อยอย่าได้กล่าวถึงอีกเลย” “แต่นั่นคือ มนุษย์ ทะ ท่านทำเยี่ยงนั้นได้รึ” “ได้สิ ในเมื่อข้าซื้อมันมา และหน้าที่มันคือ อุ่นเตียงและให้ข้าดื่มเลือดและกลืนกินร่างกาย” คำที่เอ่ยนั้นชวนให้สยองขวัญยิ่ง “เหลวไหล กล่าวเช่นนั้นข้าคงมิอาจอยู่ร่วมกับท่านที่นี่” “เจ้าคิดว่ามีปีกหรืออย่างไร ถึงจะบินหนีข้าได้ กลับเข้ารังรักของเราเสีย แล้วข้าจะให้อภัยในสิ่งที่ล่วงเกินข้า” สวีหรันเฟยส่ายหน้าหวือ นางมิอาจอยู่ร่วมช
อย่าผิดต่อป้ายวิญญาณบิดา “ท่านแม่ข้าหนาว หิวมากๆ ด้วย” เสียงของจ้าวซุ่นอี้ เรียกสวีหรันเฟยกลับสู่เหตุการณ์ตรงหน้า ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด นางสัมผัสได้ว่า คนผู้นี้ไม่ใช่เด็ก หากเป็นหมาป่าเจ้าเล่ห์ที่นุ่งห่มหนังลูกแกะ “เช็ดเนื้อตัวด้วยน้ำอุ่นเสีย จากนั้นออกไปกินข้าวข้างนอก และจะได้กินยา” จ้าวซุ่นอี้มองสวีหรันเฟยและเขาหัวเราะเสียงแปลกๆ ก่อนจะกล่าวสิ่งที่ขัดหูอยู่มาก “หึๆ ๆ ดูเจ้ามีเนื้อมีหนังกว่าแต่ก่อน แก้มก็เป็นสีชมพู นมก็ใหญ่ พิศแล้วคงเต็มไม้เต็มมือดี และข้าได้กลิ่นนมด้วย” สวีหรันเฟยขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดอย่างหยาบคาย อีกอย่างทั้งภาษา การแสดงออกมันดูผิดปกติไปหมด “เจ้าเพ้อไข้ใช่ไหมเสี่ยวอี้” “หากคิดเช่นนั้นก็ไม่ผิด” “กล่าวเช่นนี้ คงไม่อยากให้ข้าเป็นมารดาแล้ว” “ฮ่าๆ ๆ น่าขัน เจ้าจะเป็นมารดาข้าได้อย่างไร ในเมื่อข้าแก่กว่าเจ้าตั้งเกือบสิบปี!” พออีกฝ่ายหลุดคำพูดนั้นสวีหรันเฟยก็ลมออกหู “เสี่ยวอี้” “มารดาเจ้าเถอะ ข้าไม่ใช่เสี่ยวอี้...” “อย่ามาล้อข้าเล่น” “หึๆ ๆ ข้าไ
ศัตรูหัวใจ เมื่อจู่ๆ เผยอันกั๋วโผล่เข้ามาในรถม้า จึงเป็นเหตุทำให้สวีหรันเฟยต้องรอบคอบมากเดิม และสิ่งสำคัญเด็กชายจะได้รับอันตรายใดๆ ไม่ได้เด็ดขาด “แม่... เอ่อ...ข้า...” สวีหรันเฟยเผลอลืมตัว นางหลุดคำนั้นออกไป เป็นเพราะเผยอันกั๋วน่ารัก และเป็นเด็กที่หญิงสาวชอบมาก “แม่จ๋าๆ ๆ ข้าจะเรียกท่านเช่นนี้ย่อมเหมาะสม” สวีหรันเฟยพยักหน้าอนุญาตอีกฝ่าย“แต่สิ่งหนึ่งที่กั๋วเอ๋อร์ต้องรู้ไว้ ยามนี้แม่ตกอยู่ในอันตราย มีคนไม่หวังดี ซึ่งอาจทำให้เจ้าต้องเป็นภัย และเดือดร้อนไปด้วย” “อย่ากังวลขอรับ อันกั๋วมีผู้ติดตามหลายคน สาวใช้ก็อยู่ไม่ห่าง พวกนางเหาะเหินอยู่บนต้นไม้ได้ มีระเบิด อาวุธลับ ทั้งหมดล้วนเป็นวรยุทธฝีมือดี” “ถึงอย่างนั้น แม่ก็ห่วงเจ้า อีกอย่างรองแม่ทัพเผย ก็ไม่ควรปล่อยให้เด็กน้อยอยู่ลำพัง” “ไม่ได้ปล่อย ข้าอยากมาหาแม่จ๋า ท่านพ่อเลยตามใจ” “เช่นนั้นแม่ก็ปล่อยให้เจ้าอยู่ห่างตัวไม่ได้” เขาว่าจบ จึงมองไปยังซางจู “คุณหนูรองสวี ถึงนายของข้าตกอยู่ในมือพระชายาหลิว แต่นางคงไม่อาจทำสิ่งใดบุ่มบ่าม มากที่สุดคือหาเรื่องให้ร้ายท่าน แล
สวีหรันเฟยยกยิ้มตรงมุมปาก นางมองไปยังหลิวเสี้ยน และแวบแรกไม่มีความทรงจำกับอีกฝ่าย กระทั่งนางคิดหลายสิ่งในหัว จึงเป็นตอนนั้นที่สวีหรันเฟยหัวเราะเสียงหยัน “เจี่ยเสี้ยน ยังจำสัญญาของท่านกับพี่สาวข้าได้หรือไม่ ท่านบอกจะดูแลข้าในฐานะน้องสาว แล้วไฉนถึงได้ทำเรื่องผิดบาปต่อข้าอยู่เสมอ” หลิวเสี้ยนถอยหลังไปสองก้าวและสีหน้านางซีดเผือด “จะ เจ้าปรุงยารักษาความทรงจำของตนได้แล้วหรือ... มิหน้า วันนี้ถึงได้กล้าเปิดเผยฐานะที่แท้จริง” “ข้าอยากอยู่อย่างสงบ แต่พวกท่านร้อนรนเหลือเกิน ที่อยากพบข้า ฝ่ายข้าจะไม่มีวันตายซ้ำสองในน้ำมือของเจี่ยเสี้ยน และบุรุษจอมหลอกลวงผู้นั้น” สวีหรันเฟยหมายความถึงเซียวตันเหวิน “ฮิๆ ๆ เจ้าไม่มีวันได้พบรัชทายาทอีกแน่นอน เพราะเมืองเผิงจะเป็นที่กลบฝังร่างเจ้าไว้ตลอดกาล” “คิดจะทำเรื่องชั่วช้า โดยไม่สนกฎหมายบ้านเมืองหรือ” หลิวเสี้ยนได้ยินคำนั้น นางก็ตระหนักได้ว่า ตนบุ่มบ่ามเกินไป การหาเรื่องโยนความผิดให้แก่สวีหรันเฟยน่าจะเหมาะสมกว่า แล้วให้ทางการตัดสินคนผู้นี้ จากนั้นนางก็จะได้เห็นหัวของสวีหรันเฟยหลุดออกจากตัวที่
ถูกปรักปรำ เจ้าเมืองเผิงมองสวีหรันเฟยยามนี้ฐานะอีกฝ่ายไม่ใช่คนสกุลจ้าวแล้ว จึงสมควรเรียกให้ถูกต้อง “ขออภัยที่ข้าไม่ได้ใส่ใจความเป็นอยู่ท่านแต่แรก แม้จะเคยสงสัยว่า คนของสกุลจ้าวนั้นที่มาอาศัยที่เรือนทางทิศใต้ มีประวัติที่ไม่แน่ชัด แต่ข้ากลับเพิกเฉย ด้วยเห็นว่าท่านไม่ได้สร้างปัญหาใด อีกทั้งยังใช้ความรู้ความสามารถในการเลี้ยงชีพ” ได้ฟังเจ้าเมืองเผิงเอ่ยเช่นนี้ สวีหรันเฟยจึงเข้าใจว่า การที่ไม่ถูกสืบค้นประวัติ และไร้ทางการรบกวน เป็นเพราะเจ้าเมืองเผิงไม่ได้สั่งการลงไปนั่นเอง “เอาล่ะ เชิญคุณหนูรองสวี ไปกับข้าเถิด ส่วนเรื่องอื่นๆ อย่ากังวลใจ ด้วยเกียรติเจ้าเมืองเผิง ข้าจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องร้ายแรง และปรักปรำคนผิดอย่างไร้ความยุติธรรมแน่นอน” หลิวเสี้ยนที่กำลังจะถูกประคองกลับขึ้นรถม้าได้ยินคำพูดเจ้าเมืองเผิงใจนางก็เดือดพล่าน “จับตัวฆาตกรแซ่สวีไปลานประหาร โทษของนางสมควรถูกตัดหัว เรื่องร้ายแรงแต่หนหลังนั้น มีใครไม่ล่วงรู้บ้าง สวีหรันเฟยก่อเรื่องราวใหญ่โตจนตระกูลสวีถูกฆ่าตายไปนับร้อยชีวิต” “พระชายาหลิว การเสียเลือดมากๆ นั้น อาจทำให้ท่านหมดสติ
ซางจูที่ไปตามข่าวของเยว่ซูหั่ว กลับมาแจ้งว่า “นายหญิงเยว่ให้ข้านำจดหมายมามอบให้” สวีหรันเฟยรีบเปิดจดหมายอ่าน พบว่า อีกฝ่ายอาการดีขึ้นมาก และคนที่ช่วยเขียนจดหมายคือหมอเจี่ยง“ข้าอาจทำให้ทุกคนเดือดร้อน รัชทายาทกำลังวางแผนร้าย...” สิ่งอยู่ในเนื้อความจดหมายคล้ายเรื่องราวหนหลังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เซียวตันเหวิน(รัชทายาท) เป็นคนปลิ้นปล้อนหลอกใช้ผู้อื่นไปทั่ว แต่เดิมเขายืมมือน้องชายคนที่สาม จัดการผู้ที่ขวางทางเขา สุดท้ายก็ส่งเซียวเหิงจิ้นลงหลุมด้วยน้ำมือคนที่เขารัก แล้วโยนความผิดให้สามสกุลใหญ่ หนึ่งในนั้นคือสกุลสวี และยามนี้ รองแม่ทัพเผย ได้รับตราเคลื่อนพลและเขาย้ายข้างไม่สนับสนุนรัชทายาท นี่คือเรื่องที่ชวนให้หนักใจ ซึ่งหมายความได้ว่าเมืองเผิงเป็นเป้าหมายที่รัชทายาทจะใช้บีบเผยอี้ฮุ่ยให้เปลี่ยนใจกับมาเป็นสุนัขรับใช้ของตน “อาจู... เจ้ารับใช้เจี่ยเยว่มานาน และหวังว่าจะทำหน้าที่นี้ต่อไป ตัวข้ายังพอมีประโยชน์บ้าง หากยับยั้งภัยที่จะเกิดขึ้นกับชาวเมืองเผิงได้ย่อมดี” ที่สวีหรันเฟยกล่าวเช่นนั้นกับซางจู ด้วยอีกฝ่ายแม้เป็นบ่าวของเยว่ซูหั่ว แต่ได้รั
เตรียมรับมือ เผยอี้ฮุ่ยมีสีหน้าเครียดจัด และหนักใจอย่างที่สุดเมื่อได้รับข้อมูลจากทหารว่า สวีหรันเฟยกำลังมุ่งหน้ามาหาเขาที่ค่ายทหาร ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบขึ้นควบม้าออกไปพบอีกฝ่ายทันที ยามนี้เขาประจักษ์แจ้งว่า คนที่เผยใบหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่ายนั้น งดงามล่มเมืองเพียงใด อีกทั้งกลิ่นกายก็หอมหวานจนเผยอี้ฮุ่ยทำตัวไม่ถูก “แม่ของลูกกั๋ว เหตุใดทั้งมาหาข้ากลางดึกเช่นนี้ อันตรายนัก” “รองแม่ทัพเผย เรียกข้าว่า อาเฟิ่งเถิด...” “ได้น้องเฟิ่ง เท่าที่สืบรู้ เมืองเผิงกำลังมีภัย และข้าได้แบ่งทัพบางส่วนไปคุ้มกัน อีกไม่เกินห้าชั่วยามก็เดินทางไปถึง” “ท่านวางแผนได้ดี แต่ข้าได้อยากลดการปะทะ และเปลี่ยนเป้าหมาย เพื่อให้รัชทายาทไม่อาจทำร้ายผู้บริสุทธิ์” เผยอี้ฮุ่ยรู้สึกเลื่อมใสสวีหรันเฟยอีกฝ่ายแม้จะเคยเป็นโฉมงามล่มเมือง แต่ยามนี้เขากลับไม่เห็นภาพดังกล่าว หากเป็นภาพของคนที่สง่า แฝงด้วยความรอบรู้ ทั้งดูเปี่ยมเมตตา “บอกแผนของเจ้ามาเถิด” “คนผู้นั้นฟื้นคืนมาแล้ว และยังไม่มีใครพบตัวเขา หากข้าเดาไม่ผิด รัชทายาทให้พระชายาหลิวออกตามหาข้า เพื่อจะจับตัวไ
เผชิญหน้ากับอดีตคนรัก สวีหรันเฟยก้าวออกมายืนนอกกระโจม นางพบทหารหลายคนที่กำลังเตรียมเดินทางไปช่วยที่ด่านหน้า และซานซือก็อยู่บริเวณนั้นด้วย“นายหญิงน้อย ยามนี้อาเจี้ยนส่งข่าวมา เมืองเผิงปิดแล้ว ห้ามผู้ใดเข้าออก และรอบๆ มีดิบป้วนเปี้ยนไปมา” “เวลาไม่กี่คืน เหตุใด เชื้อร้ายถึงแพร่เร็วอย่างนี้” ซานซือสูดลมหายใจลึก และตอบกลับ “ความจริง พวกผีดิบมากับขบวนของพระชายาหลิว อีกอย่าง...อาเจี้ยนมาจากเมืองหลวง เคยเล่าว่ามีคนตายแล้วฟื้น ลุกขึ้นมากินของดิบๆ และกัดซากศพสัตว์ที่ตายแล้ว” สวีหรันเฟยหนักใจอย่างที่สุด นางคิดถึงโรคที่จากมาเชื้อร้ายที่ทำให้ซากศพฟื้นชีวิต และจุดจบของผีดิบเหล่านี้คือ ต้องตัดหัวและเผาร่าง ส่วนทุกคนหากอย่างมีชีวิตรอดก็ห้ามถูกกัด หรือถูกผีดิบทำร้ายจนเกิดแผล “คนตายแล้วฟื้น ยามนี้ยังมียารักษา เราแค่ป้องกันไม่ให้ได้บาดเจ็บ ห้ามได้แผลที่เกิดจากผีดิบเหล่านั้น นี่คือทางรอดที่ง่ายที่สุด และต้องกำจัดพื้นที่ของพวกมันเอาไว้” “รองแม่ทัพเผย และใต้เท้าเจิ้น ได้เตรียมการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน พวกเขาเตรียมล่อมันไปที่สุสานใต้ดิน และขังเอาไว้ในนั้น”
ดวงตาเรียวของหญิงสาวลืมขึ้นช้าๆ นางรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ซึ่งภาพสุดท้ายที่จำได้ นางกระอักเลือด และชายหนุ่มยิ้มสวยก้าวมาอยู่ด้านข้าง ก่อนฉวยมือนางไปข้างหนึ่ง แล้วจับชีพจรดู จากนั้นก็เกิดความชุลมุน “ข้าหลับไปนานเท่าใด” หลิวซีโม่ถามคนของตนเอง ทหารหญิงจึงตอบว่า “ราวๆ สองวันได้ท่านแม่ทัพ” หญิงสาวสูดลมหายใจลึก และถามสิ่งที่ติดค้างในใจ “คนผู้นั้น อยู่ที่ใด” “แม่ทัพหมายถึงคุณชายไร้นาม ใช่หรือไม่” “ไร้นาม” “เอ่อ เขาไม่ยอมบอกชื่อแซ่ เพียงแค่ผสมยาสมุนไพรให้ท่านดื่ม สั่งให้ข้ากับหมอหญิงเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ และยังมอบผงยาเพื่อใส่แผล ที่หัวไหล่ให้ด้วย” หลิวซีโม่พยักหน้าเข้าใจ ภาพในหัวนางค่อยๆ ปรากฏ แม่ไม่มีเรี่ยวแรงจนสลบไป หากหูนางก็พอได้ยินเสียของเผยอันกั๋ว ที่แสดงความห่วงใย ด้วยนางถูกยิงธนูใส่ที่หัวไหล่ แม้ผ่าเอาออกแล้ว หากมันมีพิษตกค้าง “ไปสืบให้ได้ความว่า เขาคือผู้ใด” นางบอกคนของตน และไม่นานร่างเล็กๆ ก็โผล่เข้ามาในหาหลิวซีโม่ อีกฝ่ายคือหลานชายของนาง ที่ก่อนหน้านั้นป่วยหนักด้วยพิษไข้ “
ครึ่งเดือนต่อมา รถม้าของเผยอันกั๋วออกจากสถานศึกษา มุ่งตรงเข้าเมืองหลวง ครั้งนี้เขาตั้งใจไปเยี่ยมแม่เล็ก (สวีหรันเฟย) ทว่าเดินทางได้ไม่ทันไร ก็มีกลุ่มมือสังหารไม่ทราบฝ่ายปิดล้อมรถม้าของเขา “ผู้ใดอยู่ในนั้น จงลงมาด้านล่างเดี๋ยวนี้” เผยอันกั๋วแม้ไม่ได้มีทหารของบิดาติดตามเหมือนเมื่อครั้งเยาว์วัย แต่เขาไม่ได้กลัวตาย ยิ่งกว่านั้นก็พอจะรู้วิธีเอาตัวรอดได้ ชายหนุ่มเปิดหน้าต่างรถม้า กวาดตามองคนที่ออกคำสั่ง “พวกเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่ และรู้หรือไม่ กฎหมายต้าโจวรุนแรงหากคิดทำร้ายผู้อื่นจนเสียชีวิต อีกอย่างแต่งกายเช่นนั้น ดูอย่างไรก็ไม่ใช่พวกมือขาวสะอาด” “ฮ่าๆ ๆ มือพวกข้ากำลังจะเปื้อนเลือดเจ้าอยู่นี่ไง” “ช้าก่อน ข้าไม่รู้จักพวกเข้า อีกอย่างเราไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกัน” “ถูกต้อง เพียงแค่ตอนนี้ มีคนสั่งให้พวกข้ากวาดล้าง พวกมีความรู้ โดยเฉพาะบุรุษที่ท่าทางเหมือนแพทย์ หรือ อาจารย์เช่นเจ้า”คนที่กล่าวช่างไร้เหตุผลยิ่ง และนั่นก็ทำให้เผยอันกั๋วเตรียมของบางสิ่งที่พักติดตัว เพื่อใช้ถ่วงเวลาในการหลบหนี ชายหนุ่มส่งสัญญาณให้คนขับรถม้า เพื
ตัวละคร เซียวเจ๋อ บุตรชายคนโต(แฝดพี่) ของสวีหรันเฟย เซียวจ้าน บุตรชายคนเล็ก(แฝดน้อง) ของสวีหรันเฟย เผยอันกั๋ว ลูกชายแม่ทัพใหญ่ หลินซีโม่ แม่ทัพหญิงตอนพิเศษ โฉมงามของท่านแม่ทัพ ชายหนุ่มกำลังต้องใช้ความคิดอย่างหนัก นี่เขาต้องแต่งงานกับสตรีใจร้ายและรูปร่างราวกับบุรุษ เนื้อหนังก็แข็งไปทุกส่วน หาความนุ่มนิ่มไม่พบ แล้วยังชอบใช้ชีวิตกลางดินกลางทราย มีทหารอยู่ในมือหลายหมื่นชีวิตเช่นนั้นจริงๆ หรือ ชีวิตนี้นับแต่ได้พบแม่เลี้ยง เผยอันกั๋วก็ตั้งใจจะศึกษาเรื่องอาหาร สมุนไพร จวบจนได้ตั้งสำนักศึกษาอย่างสันโดนบนภูเขา หากสุดท้ายบิดามีคำสั่งให้เข้าเมือง เพื่อไปสมรสพระราชทานกับสตรีคนนั้น ที่เขารู้เพียงว่า นางคือแม่ทัพหญิง เมืองนอกด้าน ก่อนหน้านั้น เผยอันกั๋วได้ สวีหรันเฟย ดูแลเขา และนั่นทำให้เขาอยากใช้ชีวิตเช่นนาง คอยช่วยเหลือผู้คน พร้อมมีความสุขกับเรื่องเรียบง่าย ส่วนบิดาบุญธรรม ก็ไม่ต่างจากบิดาแท้ๆ ของเขา ทั้งคู่ต่างอยากให้เผยอันกั๋ว มีความรู้ความสามารถทางด้านทหาร ด้วยจะเป็นกำลังหลักในการปกป้องบ้านเมือง ทว่าเมื่อเขาเลือกใช้ชีวิตอย
บทส่งท้าย สามเดือนผ่านไป เซียวเหิงจิ้นเข้ามาดูคนงามของเขาสองหนแล้ว และสั่งให้ซานซือเป็นธุระเรื่องทำความสะอาดรอบๆ เรือนรับรองแห่งนี้ ซึ่งอยู่ในสถานที่คนนอกไม่อาจเข้ามาถึงได้ง่ายๆ โดยที่เซียวเหิงจิ้นได้เตรียมการไว้ตั้งแต่เขาฟื้นออกมาจากหลุมศพ มันแปลกประหลาดไปทั้งหมดนั่นแหละ แต่จะว่าไปแล้ว บุรุษผู้นี้ ไม่ว่าช่วงเวลาที่หายใจ หรืออยู่ในหลุมศพ ฝ่ายเขาก็เอาแต่คิดเรื่องสวีหรันเฟย แม้ปากจะร้าย แกล้งใช้คำขู่สารพัด หากเนื้อแท้ในใจเซียวเหิงจิ้นไม่เคยที่จะโกรธแค้นต่อนาง นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่า ชีวิตของสวีหรันเฟยตั้งแต่เกิด จนต้องมารับใช้บิดาทำงานสกปรก เพื่อเป็นที่สนใจของรัชทายาทนั้น ก็เพื่อช่วยมารดา และน้องชายให้อยู่รอดปลอดภัย “ทั้งรองแม่ทัพเผย และขุนนางเจิ้น ทั้งคู่นั้นให้รออยู่ด้านนอก ข้าไม่อนุญาต ห้ามเดินเผ่นผ่านเด็ดขาด” “เอ่อ แล้วคุณชายน้อยอันกั๋วละขอรับ เรียกร้องจะมาหาชินอ๋อง และแม่นางสวีตลอดเลย” “เฮ้อ... เด็กอ้วนคนนี้ คงถูกตามใจจนเคยตัว เอาล่ะให้เขาเข้ามาได้ แต่ข้าจะจับตาดูตลอด และบอกว่า เขามีเวลาเพียงชั่วหนึ่งก้านธูปดับที่จะพบภรรยาข้า” เซี
ตัวร้ายที่สุดย่อมเป็นท่าน สิบห้าวันต่อมา ณ ป้อมไม้ดำ สวีหรันเฟยรู้ว่าอาการของเซียวตันเหวินหนักหนาพอสมควร ด้วยข้อมือเขาขาดซึ่งเกิดจากการถูกผู้ติดเชื้อกัด จากนั้นเพื่อปกป้องไม่ให้ตนต้องกลายเป็นผีดิบ เขาเลยตัดมือตนทิ้งทันที ทว่าตอนแรกมีการรักษาที่ไม่ถูกต้องทำให้เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด กระทั่งได้สวีหรันเฟยช่วยเหลือ และสิ่งที่น่าประหลาดใจ สวีหรันเฟยไม่ใช่แค่เชี่ยวชาญสมุนไพร แต่การรักษาแผล และเย็บแผลเขาก็ทำได้ดี ทั้งหมดคือความชำนาญจากการเป็นแพทย์โลกเดิม “เสี่ยวเฟย ข้านึกไม่ถึงว่า สุดท้ายก็เป็นเจ้าที่ดึงข้าพ้นจากมือพญายม” “กล่าวเกินไปแล้ว ข้าอยากเป็นหมอ มากกว่ามีฉายาว่าโอสถพิษ เรื่องนี้รัชทายาทสมควรรู้” และในยามนี้ ซานซือเข้ามาในป้อม ทำหน้าที่ช่วยสวีหรันเฟยเนื่องจากข้างใน แพทย์ไม่เพียงพอ อีกทั้งพวกเขาไม่รอบรู้เท่าซานซือที่ติดตามสวีหรันเฟยมานาน ในการรักษารัชทายาท รวมถึงคนอื่นๆ ซึ่งมีอาการบาดเจ็บ ซึ่งสวีหรันเฟยมีสมุนไพรดี อีกทั้งนางให้คำแนะนำในการทำความสะอาดแผล ฆ่าเชื้อด้วยสุรา อีกทั้งการเย็บแผลด้วยไหมรวมถึงการใช้ไฟสำหรับปิดปากแผลเพื่
กองทัพผีดิบ ยามนั้นมีสายตาของผู้ติดตาม และองครักษ์คนสนิทเตรียมจะทักทวง แต่สวีหรันเฟยก็มือเร็วรีบยื่นมือไปรับป้ายคำสั่ง พร้อมใช้เข็มเงินฝังที่ลำคอของเซียวตันเหวิน “แค่ป้ายยังไม่พอ อ๋องเหวินต้องบอกพวกเขาให้เคารพข้าด้วย” “นับแต่นี้ คุณชายรองฮั่ว จะเป็นหมอประจำตัวข้า สิ่งที่ใดที่เขาทำย่อมเป็นข้าสนับสนุน” กล่าวจบ จู่ๆ เซียวตันเหวินก็ค่อยๆ อ่อนแรงลง เผยอันกั๋วเป็นเด็กอยากรู้อยากเห็น แต่ไม่ใช่คนดื้อรั้น หรือชอบสร้างปัญหา ทว่าหนนี้ เขาได้ยินเสียงร้องโหยหวน และรู้ว่ามีการบุกรุกของบางสิ่งที่ทำให้เขานอนไม่รับ และเผยอันกั๋วมีซางจูคอยดูแลอยู่ด้วย รวมถึงหน่วยคุ้มกันที่บิดาเตรียมไว้ให้ “พี่จูจู ข้าอยากไปดูตรงนั้นสักหน่อย” “คุณชายน้อย อันตรายอยู่นะขอรับ ตอนนี้จวนจะได้เวลาออกนอกเมือง ไปซ่อนตัวแล้ว” “แต่ข้าเห็นว่ามีหนูวิ่งไปตรงนั้น และก็ได้ยินเสียงคนร้องด้วย” ซางจูไม่อยากตามใจ แต่เขาก็ได้ยินอย่างที่เด็กชายบอก “ให้พี่ไปสำรวจก่อน คุณชายน้อยรออยู่สักประเดี๋ยว”กลาวจบซางจูก็พุ่งตัวไปอย่างเร็ว คนผู้นี้ติดตามเยว่ซูหั่วมาหลายปี และเขาก็พอ
“เสี่ยวเฟย ไม่ช้าก็เร็วทุกคนต้องอยู่ใต้แทบเท้าข้า ส่วนเจ้า หากทำตัวดี ข้าจะโอกาสรับใช้อย่างใกล้ชิด” คิ้วโก่งเรียวสวยเลิกขึ้น ก่อนที่สวีหรันเฟยจะถามอีกฝ่าย “อ๋องเหวิน มั่นใจหรือว่าตำแหน่งรัชทายาทของท่านยังจะอยู่ในมือต่อไป หากข้าคาดการณ์ไม่ผิด ที่ท่านออกจากเมืองหลวง และใช้วิธีแสนสกปรกก่อตั้งทัพผีดิบขึ้นมาอีกครั้ง ก็เพราะจะใช้เป็นเครื่องมือ ในการบีบให้มีการเปลี่ยนฮ่องเต้องค์ใหม่ และเมื่อท่านแจ้งใจว่า เผยอี้ฮุ่ย ได้รับคำสั่งให้ปกป้องบ้านเมือง และกลับไปขึ้นตรงต่อฮ่องเต้ ตัวท่านก็ร้อนใจหนัก จนทำเรื่องเสียหายมากมาย อีกทั้งตอนนี้ยัง...พลาดพลั้งจนพาตัวเองไปถูกกัด สุดท้ายถึงขั้นต้องตัดมือข้างหนึ่งทิ้ง” เรื่องที่เขาถูกกัด และตัดมือ สาเหตุที่แท้จริงถูกเก็บไว้เป็นความลับ แล้วเหตุใดสวีหรันเฟยถึงล่วงรู้ได้ “เสี่ยวเฟย ใครบอกเรื่องนี้กับเจ้า... เป็นสตรีโง่เขลาหลิวเสี้ยนใช่หรือไม่” “สตรีของท่านไม่ได้มีความสามารถมากนัก นางได้แต่ใช้คนทำเรื่องบัดซบ จับตัวผู้อื่น ไปทรมาน และยัง...คิดจะกำจัดทายาทของท่านด้วย เรื่องนี้มีผู้ใดรายงานแล้วหรือไม่” เซียวตันเหวินเครีย
หากเป็นผู้อื่นคงกลัวเหล่าผีดิบจะออกมาจากที่ซ่อน แต่คนที่มาจากโลกคู่ขนาน ย่อมประเมินสถานการณ์ได้ และยามนี้เหล่าผีดิบ ไร้จิตวิญญาณและสิ่งที่นางได้ยินคือความคิดในห้วงสุดท้าย ผสมปนเปกับสิ่งที่พวกมันสำนึกได้คือความหิว อยากจะกินอยู่ตลอดเวลา นั่นจึงทำให้กัดทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า สวีหรันเฟยขี่ม้าตัวโต และหยุดอยู่หน้าประตูที่ป้องกันแน่นหนา อีกทั้งมีหลายชั้น ป้อมไม้ดำเซียวตันเหวินออกแบบไว้นานแล้ว และสร้างขึ้นตั้งแต่เขายังเยาว์วัย “ข้าต้องการเจรจากับรัชทายาท” สวีหรันเฟยแจ้งความประสงค์ เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่ประตูบานเล็กจะเปิดต้อนรับสวีหรันเฟย “มีคำสั่งจากรัชทายาท ข้างในนี้ต้อนรับเพียงแค่คุณหนูร้องสวีเท่านั้น!” ซานซือที่ขี่ม้าตามหลังมา เดือดขึ้น เขาดูแลสตรีผู้นี้มาตั้งแต่เยาว์วัย และรักสวีหรันเฟยมากกว่าชีวิตของตน “นายหญิงน้อยรัชทายาทปลิ้นปล้อน และไว้ใจไม่ได้ เมื่อก่อนข้าเตือนท่านหลายครั้งหลายหน แต่นี่จะเป็นอีกครั้งที่ข้าขอย้ำให้แน่ชัด คนผู้นี้ไร้สัจจะ และยังสร้างเรื่องโป้ปดท่านเสมอ” สวีหรันเฟยมองซานซือ บ่าวผู้นี้จงรักภักดีต่อนาง
เผชิญหน้ากับอดีตคนรัก สวีหรันเฟยก้าวออกมายืนนอกกระโจม นางพบทหารหลายคนที่กำลังเตรียมเดินทางไปช่วยที่ด่านหน้า และซานซือก็อยู่บริเวณนั้นด้วย“นายหญิงน้อย ยามนี้อาเจี้ยนส่งข่าวมา เมืองเผิงปิดแล้ว ห้ามผู้ใดเข้าออก และรอบๆ มีดิบป้วนเปี้ยนไปมา” “เวลาไม่กี่คืน เหตุใด เชื้อร้ายถึงแพร่เร็วอย่างนี้” ซานซือสูดลมหายใจลึก และตอบกลับ “ความจริง พวกผีดิบมากับขบวนของพระชายาหลิว อีกอย่าง...อาเจี้ยนมาจากเมืองหลวง เคยเล่าว่ามีคนตายแล้วฟื้น ลุกขึ้นมากินของดิบๆ และกัดซากศพสัตว์ที่ตายแล้ว” สวีหรันเฟยหนักใจอย่างที่สุด นางคิดถึงโรคที่จากมาเชื้อร้ายที่ทำให้ซากศพฟื้นชีวิต และจุดจบของผีดิบเหล่านี้คือ ต้องตัดหัวและเผาร่าง ส่วนทุกคนหากอย่างมีชีวิตรอดก็ห้ามถูกกัด หรือถูกผีดิบทำร้ายจนเกิดแผล “คนตายแล้วฟื้น ยามนี้ยังมียารักษา เราแค่ป้องกันไม่ให้ได้บาดเจ็บ ห้ามได้แผลที่เกิดจากผีดิบเหล่านั้น นี่คือทางรอดที่ง่ายที่สุด และต้องกำจัดพื้นที่ของพวกมันเอาไว้” “รองแม่ทัพเผย และใต้เท้าเจิ้น ได้เตรียมการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน พวกเขาเตรียมล่อมันไปที่สุสานใต้ดิน และขังเอาไว้ในนั้น”