ซูมี่ก็อยู่เป็นคู่ต่อสู้ให้ฮุ่ยหมิ่น เสี่ยวไป๋ก็พาฮุ่ยหมิ่นเข้าไปฝึกด้านในภูเขา ซูมี่นางจึงได้ออกจากในมิติไปที่ด้านนอกก็พบว่ามีคนมารอพบนางอยู่ที่หน้าประตูจวน"ผู้ใด" เมื่อออกจากมิติมา โม่ลี่ก็เดินเข้ามาแจ้งนางภายในเรือน"ฮูหยินชิงเจ้าค่ะ" โม่ลี่แสดงความกังวลออกมา"หึ" คงอยากจะมาดูว่านางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่กระมัง"ไปกันเถิด" ซูมี่เดินนำหน้าโม่ลี่ออกไปที่ประตูจวนเพื่อพบถิงถิง"มาพบข้ามีเรื่องอันใด" ซูมี่กอดอกมองถิงถิงที่ยามนี้ตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด"เจ้า เจ้า" ถิงถิงตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ที่นางมาเยือนที่เรือนตระกูลซูเพราะอยากรู้ว่าซูมี่นางมีสภาพเช่นใดบ้างหากซูมี่ถูกอันธพาลที่นางจ้างมาทำให้เสียโฉมหรือเสียบริสุทธิ์นางคงจะยินดีมากกว่าที่เห็นนางไม่มีแม้แต่รอยขีดขวนเช่นนี้"ถึงกับตกใจเลยหรือที่เห็นว่าข้าปลอดภัย" ซูมี่จ้องมองถิงถิงอย่างเยาะเย้ย"เจ้าพูดเรื่องอันใด" ถิงถิงร้อนตัวขึ้นมา"มิใช่เจ้าอยากจะมาดูว่าข้าเป็นเช่นใด อันธพาลที่เจ้าส่งมา อยากรู้หรือไม่ว่ามีจุดจบเช่นใด" ซูมี่เดินเข้าไปหาถิงถิงอย่างช้าช้า พร้อมทั้งจ้องมองนางอย่างดุดัน"เจ้าจะทำอันใด" ถิงถิงเดินถอยหลังอย่างหวาดกลัว แต่ซูมี่เข
ฮุ่ยหมิ่นอยู่ในมิติมาได้สองเดือนแล้ว ในช่วงหลังๆ จะมีซูมี่ที่มาร่วมฝึกไปกับเขาด้วย ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนฮุ่ยหมิ่นที่ต้องเดินทางกลับชายแดนเหนือแล้ว เขาอยากจะนำนางใส่เข้าไปในอกเสื้อเพื่อพาไปชายแดนกับเขาด้วย"ท่านจะออกเดินทางเมื่อใดเจ้าคะ" ซูมี่เอ่ยถามขึ้น เพราะฮุ่ยหมิ่นฝึกวิชาจนตอนนี้เขาสามารถเอาชนะเสี่ยวไป๋ เสี่ยวเฮยและฟาไฉที่บุกเข้ามาพร้อมกันได้แล้ว"ฟ้าสางข้าก็ต้องกลับแล้ว มี่มี่ รอข้าได้หรือไม่" เขาจับใบหน้าของนางให้หันมาสบตากับเขา"ท่านคงไม่ตายในสนามรบกระมัง" ซูมี่เลิกคิ้วถามอย่างยียวน"อื้ออ" ฮุ่ยหมิ่นก้มลงกัดปากของนาง"ท่านเป็นฟาไฉหรือไร" ซูมี่ทุบไปที่อกของฮุ่ยหมิ่น ก่อนที่นางจะเดินไปที่บึงน้ำเพื่อล้างริมฝีปาก หากออกไปแล้วบิดามารดาเห็นจะตอบเช่นไรซูมี่ให้ฮุ่ยหมิ่นพกน้ำในลำธารติดตัวไว้ตลอด หากก่อนเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เขาจะได้ใช้สิ่งนี้ได้ทันทั้งคู่ออกมาจากมิติก็พบว่าฟ้ายังไม่สาง ฮุ่ยหมิ่นพบว่าตัวเขาเข้าไปอยู่ในมิติด้านนอกเพิ่งจะผ่านมาเพียงแค่เจ็ดวันเท่านั้น ซูมี่ไล่ให้ฮุ่ยหมิ่นกลับไปที่เรือนรับรองที่อยู่ในสวน แต่ความหน้าหนาของเขา เขาแอบเข้าห้องของนาง
ผู้นำหมู่บ้านฉินก็เห็นด้วยกับคำแนะนำของต้าหลางที่มาบอกตนจึงเรียกชาวบ้านทั้งหมู่บ้านมาร่วมหารือ อีกข่าวที่ซูมี่นางเพิ่งรู้ก็คือชิงฉางสอบผ่านจวี่เหริน แต่ได้ลำดับที่ไม่ค่อยดีนัก เขาจะต้องออกเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อเตรียมตัวเข้าสำนักศึกษาเพื่อรอเวลาที่จะเข้าร่วมสอบจิ้นซื่อนายท่านเฉียวถึงกับเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกับเขาถึงหมู่บ้าน แต่ชิงฉางก็ทำเพียงต้อนรับอย่างที่บุตรเขยสมควรต้อนรับเท่านั้น มิได้พิเศษไปกว่าผู้อื่นนางจางกุ้ยกับต้าหลางเมื่อรู้เรื่องก็อดที่จะยินดีกับเขามิได้ ถึงอย่างไรก็บุตรของสหายและตนก็เคยได้เลี้ยงดูมา"ท่านพ่อท่านแม่ หากพวกท่านจะไปร่วมยินดีกับชิงฉางก็ไปเถิดเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรพวกท่านก็เห็นเขาเป็นบุตรชายคนหนึ่งของพวกท่าน" ซูมี่ไม่เอ่ยห้ามบิดามารดาต้าหลางและจางกุ้ยจึงได้ไปร่วมแสดงความยินดีกับชิงฉางด้วย เพียงแต่ทั้งคู่นำเงินไปมอบให้เพื่อให้เขาใช้เดินทางไปเมืองหลวง ระหว่างที่ใช้ชีวิตที่เมืองหลวงจะได้มิลำบากมากนัก"ท่านลุง ท่านป้า ข้าละอายใจต่อพวกท่านนักขอรับ" ชิงฉางที่ออกมารับทั้งคู่ที่หน้าเรือนก็เอ่ยขึ้นเขากำลังจะคุกเข่าลงเพื่อขอโทษทั้งคู่กับเรื่องที่เขาได้ทำลงไป แต่ก
ชัยชนะของแคว้นฉีถูกส่งไปที่เมืองหลวงท่ามกลางเสียงชื่นชมตระกูลไป๋ที่มีแม่ทัพเก่งกาจเช่นฮุ่ยหมิ่น เจ้าตัวที่อยู่ชายแดนมิได้รับรู้เรื่องด้วยตัวเขาในยามนี้ยังวางแผนเรื่องการรบโดยไม่หยุดพักแต่ทหารในค่ายก็ยังได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่ เพราะชื่อเสียงของฮุ่ยหมิ่นในครั้งนี้ แคว้นเซี่ยคงยังไม่กล้าบุกเข้ามาก่อความวุ่นวายในเวลานี้เป็นแน่ฮุ่ยหมิ่นจึงมีเวลาเขียนจดหมายกลับไปที่จวนแม่ทัพในเมืองหลวงเพื่อบอกกล่าวบิดามารดา เมื่อสิ้นสุดสงครามตนจะส่งแม่สื่อไปที่จวนตระกูลซู เรื่องคู่ครองของฮุ่ยหมิ่นบิดามารดาให้เขาเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตนเอง เพราะก่อนหน้านี้ฮูหยินไป๋เคยจัดการทาบทามให้บุตรชายแล้ว แต่ก็ถูกฮุ่ยหมิ่นสร้างเรื่องจนต้องยกเลิกงานนัดดูตัวไปเสียก่อนหากจะจับคู่ให้บุตรชายเลยก็เกรงว่าบุตรชายจะไม่กลับมาเมืองหลวงอีกจึงมิได้กระทำทุกอย่างตามใจตน แม้เรื่องแต่งงานจะเป็นเรื่องที่บิดามารดาสมควรจัดการให้ก็เถิดฮุ่ยหมิ่นเขียนเรื่องของซูมี่บอกเล่าไปให้บิดามารดาได้รู้ด้วย เพราะชื่อเสียงของเหลาอาหารเฉิงไฉในเมืองหลวงชาวเมืองทุกคนย่อมต้องรู้จักดี เพราะอาหารและผักที่ต้องสั่งจองถึงจะได้กินยากเสียกว่าหาซื้อโสมสักหัวอีกใน
นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋ตกตะลึงกับความรีบร้อนของฮุ่ยหมิ่น แต่เมื่อรู้เหตุผลที่เขาบอกเรื่องความสามารถของนางอาจจะเข้าตาองค์ชายหรืออ๋ององค์ใดเข้า ก็นับว่าพอจะฟังขึ้นหน่อย"เจ้าคิดดีแล้วหรือหมิ่นเออร์" นายท่านไป๋ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ"ข้าคิดดีแล้วขอรับ หากไม่ได้แต่งนาง ชั่วชีวิตของข้าก็ไม่แต่งกับผู้ใด" ฮุ่ยหมิ่นเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง"ไม่ได้ เช่นนั้นแม่จะรีบจัดการให้เจ้า" ฮูหยินไป๋เรียกสาวใช้ข้างกายให้ไปตามแม่สื่อฝีมือดีของเมืองหลวงมาพบนางโดยด่วน"มีเรื่องอันใดทำให้พี่หญิงรีบร้อนเพียงนั้นเจ้าคะ" ฮูหยินรองที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องโถงก็เอ่ยถามเสียงหวานขึ้น"หึ เจ้ามีเรื่องอันใด" ฮูหยินไป๋เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์"โถ่พี่หญิง ข้าได้ยินท่านเรียกหาแม่สื่อก็อยากจะมาช่วยท่านเจ้าค่ะ" "ข้าเพิ่งจะเรียกหา เจ้าก็รู้เรื่องเสียแล้ว ช่างหูตาไวเสียจริง""ท่านพี่" ฮูหยินรองหันไปขอความเห็นใจจากนายท่านไป๋แต่มีหรือนายท่านไป๋จะกล้าช่วยนางต่อหน้าฮูหยินเอกของตน ฮูหยินไป๋บ้านเดิมของนางเป็นถึงจวนแม่ทัพใหญ่ ฮุ่ยหมิ่นจึงได้เลือกเป็นขุนนางบู๊เช่นเดียวกับท่านตาของเขามากกว่าจะเลือกเป็นขุนนางบุ๋นเช่นบิดาบุตรชายของฮูหยินรอง
แต่จวนที่ได้ซื้อมาก็เพียงพอให้ทุกคนได้พักอย่างสบาย แถมยังเหลือพื้นที่ให้นางได้จัดสวนหรือเพาะปลูกผลไม้เล็กๆ น้อยๆ ได้อีกด้วย"คุณหนูซู ท่านมาเมืองหลวงเมื่อใดขอรับ" เสี่ยวจงที่กำลังเดินทางกลับจวนตระกูลไป๋ก็บังเอิญเจอซูมี่ที่กำลังออกจากจวนที่นางซื้อมา"เพิ่งมาถึงเจ้าค่ะ ข้ามาดูซื้อจวน เพราะไม่รู้ว่าต้องอยู่เมืองหลวงนานเพียงใด""เช่นนั้นท่านได้พบคนที่ท่านแม่ทัพส่งไปเมืองเจียงซวนหรือไม่ขอรับ" เสี่ยวจงก็รู้เรื่องที่ฮุ่ยหมิ่นส่งแม่สื่อไปทาบทามนาง"ไม่เจ้าค่ะ" ซูมี่ขมวดคิ้วนึกว่ามีใครนอกจากจ้าวกงกงที่มาจากวังหลวงอีกหรือไม่"เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อนขอรับ" เสี่ยวจงรีบร้อนกลับจวนตระกูลไป๋เพื่อไปแจ้งเรื่องให้นายของตนได้รู้ซูมี่กลับมาที่โรงเตี๊ยมเพื่อแจ้งบิดามารดาเรื่องที่นางซื้อจวนแล้ว และสั่งให้คนที่นางพามาไปจัดการเก็บกวาดเรือน พรุ่งนี้จะได้เข้าไปอยู่กันเสี่ยวจงที่รีบร้อนกลับตระกูลไป๋ก็เข้าไปพบฮุ่ยหมิ่นทันที"ท่านแม่ทัพ ข้าพบคุณหนูซูที่เมืองหลวงขอรับ" ฮุ่ยหมิ่นที่ดูรายงานในมือก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองเสี่ยวจงอย่างแปลกใจ"เจ้าว่าพบใคร" ฮุ่ยหมิ่นที่ได้ยินไม่ชัดก็ถามขึ้นอีกครั้ง"คุณหนูซูมี่ขอรับ""นา
ฮ่องเต้พระราชทานของรางวัลให้กับคนตระกูลซูมากมายและยังให้ต้าหลางส่งผักผลไม้ที่เขาบอกมาที่วังหลวงอีกด้วย และยกเลิกการเก็บภาษีของเมืองเจียงซวนเป็นระยะเวลาห้าปีเมื่อทั้งสองออกจากท้องพระโรงก็มีขุนนางหลายคนเข้ามาพูดคุย ไม่ว่าจวนใดก็อยากได้ผักผลไม้ตระกูลซูเช่นกันแต่ต้าหลางก็บอกเพียงให้ติดต่อที่เหลาอาหารเฉิงไฉ เพราะเขามอบสิทธิ์ขาดให้นายท่านฉุยไปแล้ว ต้าหลางยังรับปากว่าจะหาที่ปลูกผักที่เมืองหลวงเพื่อให้ทุกจวนได้กินผักผลไม้ของเขาทุกจวน"ซูมี่ใช่หรือไม่" เมื่อคนเริ่มกลับไป นายท่านไป๋ก็เดินเข้ามาหาสองคนพ่อลูก"คารวะท่านใต้เท้าขอรับ/เจ้าค่ะ" สองพ่อลูกตระกูลซูที่มิรู้ว่าผู้ใดก็ทำความเคารพ"ข้าไป๋เหลี่ยง บิดาไป๋ฮุ่ยหมิ่น"เมื่อทั้งสามรู้แล้วว่าใครเป็นใครก็พูดคุยกันไม่มาก นายท่านไป๋ยังบอกให้คนตระกูลซูไปกินข้าวที่จวนของเขาอีกด้วย สองพ่อลูกก็รับปากอย่างดีต้าหลางกับซูมี่ไปรับจางกุ้ยที่ห้องรับรองเพื่อพากันไปที่จวนหลังใหม่ ก็พบว่าภายในห้องพักของจางกุ้ยมีสตรีที่งดงามนั่งอยู่ด้านในกับนางด้วย"กระหม่อมซูต้าหลางถวายบังคมฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ" "หม่อมฉันซูมี่ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ" จ้าวกงกงที่บอกทั้งคู่ว่าพระนางคือผ
เรือนสิบกว่าหลังก็ปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ซูมี่นางยังให้เป่าเปาทำบ่อน้ำ เพื่อจะได้นำน้ำในบึงมาใส่ไว้ เมื่อคนทั้งหมดมาถึงสิ่งที่ซูมี่และเป่าเปาได้ทำก็เสร็จเรียบร้อยด้านหน้ายังมีแปลงผักที่ถูกทำขึ้นไว้แล้ว เพื่อใช้เป็นตัวอย่างให้ทุกคนได้ทำตาม"โอ่งน้ำด้านนั้นข้าใส่น้ำดื่มไว้ให้พวกท่านเจ้าค่ะ" ซูมี่ชี้ไปที่โอ่งน้ำที่อยู่หน้าเรือนหลังใหญ่ที่สุดนางได้แบ่งหน้าที่ให้ทุกคนและแต่งตั้งให้หนึ่งในนั้นเป็นพ่อบ้านอีกคนเพื่อจัดการงานต่างๆ เป่าเปาก็เป็นคนเลือกอีกเช่นเคยกว่าจะจัดการทุกเรื่องจบก็เกือบจะกลับเข้าเมืองไม่ทันเพราะเลยเวลาปิดประตูเมือง ซูมี่กับต้าหลางมาถึงจวนก็รีบทานอาหารแล้วแยกย้ายกันไปนอน เมื่อเข้ามาถึงห้องก็พบฮุ่ยหมิ่นนั่งรอนางอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างเสียแล้ว"คารวะนายท่านเจ้าค่ะ" เป่าเปาเดินไปย่อตัวหน้าฮุ่ยหมิ่นอย่างอ่อนหวาน"เป่าเปารึ" ฮุ่ยหมิ่นที่ยังไม่เคยเห็นเป่าเปาในรูปลักษณ์นี้ก็อดจะเอ็นดูนางมิได้ เขาอุ้มเป่าเปาน้อยขึ้นนั่งบนตัก ซูมี่ก็ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เล่นด้วยกันไปก่อน นางก็เดินไปอาบน้ำที่โม่ลี่เตรียมไว้ให้นางที่ห้องอาบน้ำด้านนอก เพราะจวนหลังนี้ไม่มีห้องน้ำเหมือนที่จวนเก่า ยังคง
ซูมี่นางส่งฮ่องเต้และฮองเฮาลงแช่น้ำโดยให้ มามาและหยางกงกงคอยดูแลแล้วก็พาองค์รัชทายาทไปที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋"เพราะพระองค์เห็นหม่อมฉันเป็นน้องสาว และหม่อมฉันก็เห็นพระองค์เป็นพี่ชาย จึงได้พามาที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋" ซูมี่นางอธิบายเรื่องการเปลี่ยนไขกระดูกและการฝึกวรยุทธให้องค์รัชทายาทได้เข้าใจอย่างน้อยองค์รัชทายาทก็ต้องมีวรยุทธไว้ปกป้องพระองค์เอง เพื่อเกิดเหตุการณ์เช่นกบฏองค์ชายรองอีกครั้ง"มี่เออร์ เปิ่นหวางไม่เสียทีที่รักเจ้าเหมือนดั่งน้องสาว" องค์รัชทายาทเอ่ยออกมาจากใจ เพราะเขารักนางเหมือนน้องสาวตั้งแต่ครั้งแรกที่นางช่วยเสด็จพ่อของตนไว้ ไม่คิดว่านางจะไว้ใจตนจนมอบเรื่องวิเศษเช่นนี้ให้"พระองค์อดทนให้ได้นะเพคะ" ซูมี่บอกองค์รัชทายาทเมื่อมาถึงด้านในถ้ำของเสี่ยวไป๋"เปิ่นหวางจะอดทน" ซูมี่พยักหน้าให้ฮุ่ยหมิ่นคอยดูแลองค์รัชทายาท ส่วนนางจะกลับไปดูทางฮ่องเต้ ฮองเฮาก่อนเสียงกรีดร้องขององค์รัชทายาทดังออกมาจากนอกถ้ำ เสี่ยวไป๋ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างดูแคลน"ร้องดังกว่าเจ้าในยามนั้นเสียอีก" ซูมี่อดจะหัวเราะเสียงดังออกมามิได้เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวไป๋เมื่อกลับมาถึงถ้ำของเสี่ยวเฮย ฮ่องเต้ก็ขึ้นจากน้ำมาเรี
นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตรงหน้าของตนได้เปลี่ยนไป แปลงสมุนไพรที่มีสมุนไพรหายากมากมาย ผัก ผลไม้ที่ขึ้นเต็มไปหมดเสี่ยวไป๋ในยามนี้ตัวใหญ่จนน่าตกตะลึง แล้วไหนจะหมาป่าสี่ตัวกับหมีควายที่กำลังวิ่งมาทางนี้อีก ฮูหยินไป๋เกือบจะเป็นลมแต่ถูกฮุ่ยหมิ่นประคองไว้เสียก่อนเป่าเปาที่ปรากฏกายด้วยรูปร่างที่แท้จริงบินไปตรงหน้าของนายท่านไป๋ เขาจ้องมองทุกสิ่งอย่างไม่อยากเชื่อสายตา แม้จะผ่านเรื่องน่าเหลือเชื่อมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้นับว่าเกินเขาจะรับไว้"มี่เออร์นี่เรื่องอันใด" เขาเอ่ยเสียงที่แทบหาไม่เจอออกมาอย่างอยากเย็นซูมี่เล่าเรื่องภายในมิติของนางให้นายท่านไป๋และฮูหยินไป๋ได้ฟัง นางพาทั้งคู่ไปที่ถ้ำของเสี่ยวเฮย เพื่อให้พวกเขาลงไปแช่ในน้ำ เพราะทั้งคู่ไม่ต้องเปลี่ยนไขกระดูกเช่นนางกับฮุ่ยหมิ่นจึงไม่ต้องไปที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋เมื่อทั้งสองลงไปแช่ในน้ำ เพียงหนึ่งชั่วยามเมื่อขึ้นมาจากน้ำต่างก็พบความเปลี่ยนแปลงของตน นายท่านไป๋ที่มีโรคปวดตามข้อตามอายุของตนก็หายเป็นปลิดทิ้ง แม้ก่อนหน้านี้จะกินผักผลไม้ของตระกูลซูแต่ก็ต้องกินเป็นระยะเวลานานถึงจะเห็นผลรูปลักษณ์ของทั้งคู่ก็ดูจะอ่อนเยาว์ขึ้นอ
เสี่ยวซานก็จัดการหาฤกษ์มงคล พร้อมทั้งหาแม่สื่อไปพูดคุยกับซูถัง ป้าอวี้ บิดามารดาของโม่ลี่เพื่อสุ่ขอนางตามธรรมเนียม เรื่องสินสอดและสินเดิมซูมี่นางก็จัดการให้อย่างใจกว้างจนบ่าวในเรือนที่ชอบพอกันมาบอกกล่าวนางว่าตนอยากจะแต่งกับคนนั้น คนนี้ ซูมี่ก็ไม่ขัดข้องพร้อมทั้งจัดการให้ทุกคน เพราะทุกคนที่กล้ามาพูดกับนางล้วนอยู่กับนางมาตั้งแต่ที่เมืองเจียงซวนงานมงคลของบ่าวในจวนแม่ทัพจัดขึ้นภายในเรือน แม้แต่จวนอื่นก็ไม่อยากจะเชื่อว่า แม่ทัพไป๋กับฮูหยินจะใจกว้างถึงกับจัดงานในบ่าวของตนด้วยเพียงวันเดียวก็มีคู่แต่งงานในจวนถึงห้าคู่ ซูมี่แบกท้องที่ใหญ่โตของนางไปร่วมงานด้วย ทั้งยังอยู่ร่วมรับประทานอาหารกับทุกคน ต้าหลาง จางกุ้ยก็พาบ่าวในจวนของเขามาร่วมงานด้วยเช่นกัน"ท่านพี่ ข้าคิดว่าข้าจะคลอดแล้วเจ้าค่ะ"ซูมี่ดึงแขนเสื้อของฮุ่ยหมิ่นที่ร่วมดื่มเหล้ามงคล"ตามหมอตำแยประเดี๋ยวนี้" ฮุ่ยหมิ่นตกตะลึง เมื่อดึงสติมาได้ เขาก็ตะโกนเสียงดังภายในจวนจึงได้วุ่นวายไปหมด โม่ลี่ที่อยู่ในห้องหอก็อยากจะออกมาดูนายหญิงของตนใจแทบขาด แต่ก็โดนสั่งห้ามไว้ เพราะมีคนอยู่ในจวนมากมายให้นางวางใจได้ แต่นางก็มิยอมฟังยังออกจากห้องหอมาที่เ
คุณหนูหานร้องอย่างตกใจ พร้อมทั้งกระโดดไปที่ฮุ่ยหมิ่น แต่มีหรือที่คนอย่างฮุ่ยหมิ่นจะยอมให้สตรีนางอื่นมาโดนตัว เขาพุ่งหลบไปอีกทางอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะดึงซูมี่ออกห่างมาด้วยคุณหนูหานจึงล้มลงไปกองที่พื้นเสียงดัง สาวใช้ของนางต้องรีบเข้ามาประคองนายของตนอย่างเสียขวัญไหนจะมีเสือขาวที่นอนหมอบจ้องมาทางพวกนางเหมือนจ้องตะครุบเหยื่อ แต่ก็ไม่กล้าที่จะทิ้งนายตนเองมิเช่นนั้นเมื่อกลับจวนไม่รู้ว่าจะโดนลงโทษเช่นใด"ไล่มันออกไปสิเจ้าค่ะ" นางร้องสั่งฮุ่ยหมิ่นให้ไล่เสือขาว"เป็นเจ้าที่ต้องออกไป เสี่ยวไป๋เป็นสัตว์เลี้ยงของมี่มี่" ฮุ่ยหมิ่นเอ่ยเสียงเย็นอย่างไม่ไว้หน้าคุณหนูหานไม่คิดว่าฮุ่ยหมิ่นไม่รับตัวนางไว้ แล้วยังออกปากไล่นางออกจากจวนอีก นางจึงร้องไห้รีบร้อนออกจากจวนท่านแม่ทัพไปอย่างอับอาย"นางเข้ามาได้อย่างไร" ฮุ่ยหมิ่นเอ่ยถามบ่าวเสียงเข้ม"ข้าให้นางเข้ามาเองเจ้าค่ะ อยากรู้ว่านางมาด้วยเรื่องอันใด" ซูมี่ถูกฮุ่ยหมิ่นประคองมายังที่นั่ง"แล้วรู้หรือยังว่านางเข้ามาด้วยเรื่องอันใด" เขาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เพราะเขากับตระกูลหานไม่ได้สนิทถึงขั้นต้องไปมาหาสู่กัน อีกอย่างฮูหยินรองก็ไม่ถูกกับมารดาของตนอีกด้
ฮุ่ยหมิ่นก็ตั้งใจทำเช่นที่เขาพูดจริง นับตั้งแต่วันนั้นมา ฮุ่ยหมิ่นก็เหมือนจะเร่งมือเรื่องทำบุตรทุกค่ำคืน เพราะซูมี่นางกลับไปที่จวนโหวทุกวันเพื่อดูน้องชายบ้างวันฮุ่ยหมิ่นกลับมาจากค่ายทหารยังหาภรรยารักไม่พบ จนต้องตามไปที่จวนท่านพ่อตาเพื่อรับนางกลับจวน"เกิดอันใดขึ้น" ฮุ่ยหมิ่นที่เพิ่งกลับมาถึงเรือน ก็เห็นบ่าววิ่งกันให้วุ่น"ท่านแม่ทัพ ฮูหยินนางกินอันใดมิได้ขอรับ บ่าวในเรือนจึงต้องไปทำใหม่เสียหลายรอบ" พ่อบ้านซานรีบบอกฮุ่ยหมิ่น"ตามหมอหรือยัง" ฮุ่ยหมิ่นเหมือนจะลืมไปว่าซูมี่นางรู้วิชาแพทย์"ฮูหยินมิได้ตามขอรับ" พ่อบ้านซานหลบสายตาของฮุ่ยหมิ่น"ประเสริฐ" เขารีบร้อนเดินไปที่เรือนของตนเพื่อดูอาการของซูมี่ และอยากจะตำหนินางที่ไม่ยอมตามหมอ"มี่มี่ เหตุใด เจ้าถึงไม่ตามหมอ" ฮุ่ยหมิ่นเข้ามาถึงก็เอ่ยถามทันทีแต่เมื่อเห็นโม่ลี่ประคองกระโถนในมือเพื่อให้ซูมี่นางอาเจียนก็รีบร้อนเข้ามานั่งข้างนางทันที"ท่านยังมิรู้อีกหรือว่าข้าเป็นอันใด" ซูมี่เอ่ยถามอย่างอ่อนแรง เสี่ยวไป๋ก็เข้ามาซุกอยู่ที่ท้องของนางอย่างห่วงใย"ดื่มก่อนเจ้าค่ะนายหญิง" เป่าเปาส่งถ้วยน้ำในมือของนางให้ซูมี่ เมื่อนางดื่มเข้าไปอาการอยากอาเจี
ภายในห้องโถงเรือนหลักของจวนแม่ทัพ ในยามนี้มีเพียงบิดามารดาของฮุ่ยหมิ่นเท่านั้น เพราะเขาแยกจวนมาอยู่ที่จวนท่านแม่ทัพแล้ว วันนี้นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋เพียงมาพักช่วงรับตัวเจ้าสาวเข้าจวน"คารวะท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ" ซูมี่ยกน้ำชาขึ้นเหนือคิ้วของนาง ส่งให้นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋"นับจากนี้เจ้าเป็นบุตรสาวของข้าอีกคนแล้ว" ฮูหยินไป๋จินชาเล็กน้อย ก่อนจะวางโฉนดที่ดินนอกเมืองให้ซูมี่ห้าร้อยหมู่เพื่อรับขวัญลูกสะใภ้"หากมีเรื่องอันใดที่จัดการไม่ได้ ก็บอกแม่สามีของเจ้าแล้วกัน" นายท่านไป๋ก็ชาขึ้นดื่มเล็กน้อยพร้อมทั้งโบ้ยให้ทางฮูหยินไป๋รับเรื่องไว้ฮุ่ยหมิ่นส่ายหัว เมื่อเห็นมารดาทำหน้าเหมือนอยากจะทุบบิดาของตน ซูมี่นำของที่นางเตรียมไว้มอบให้นายท่านไป๋และฮูหยินไป๋ เมื่อทั้งคู่เปิดดูก็ต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เพราะนางให้โสมที่นางปลูกไว้ให้ทั้งสองถึงห้าหัวแต่ถ้าทั้งคู่รู้ว่าโสมของนางมีเป็นพันหัวไม่รู้จะแสดงสีหน้าเช่นไร แม้โสมทั้งห้าหัวจะไม่ได้มีขนาดใหญ่เช่นที่เสี่ยวเฮยนำมาให้ซูมี่ แต่ถ้าเทียบกับที่จวนอื่นมี ในมือของทั้งคู่ตอนนี้ก็ถือว่าใหญ่ที่สุด ฮูหยินไป๋กอดกล่องไม้ไม่ยอมส่งให้สาวใช้ถือ เมื่อทานอาหารเช
ขบวนรับเจ้าสาวออกจากจวนโหวไปจวนแม่ทัพอย่างยิ่งใหญ่ ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คงจะเป็นสินเดิมของเจ้าสาวที่มีมากมาย ภายในหีบนอกจากเงินทองแล้ว ของทุกอย่างมีค่าควรเมือง แม้แต่ในราชวังของบางอย่างที่ซูมี่นางมีคงไม่เคยได้พบเห็นตามธรรมเนียมต้องเปิดหีบทุกใบออกเพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าได้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านในมิใช่หีบเปล่า หรือใส่ก้อนหินไว้แทน กล่องที่ดูจะเด่นที่สุดเห็นจะเป็นโสมหัวใหญ่ของเสี่ยวเฮย เพียงมองด้วยตาเปล่าก็คำนวณอายุออกมาน่าจะไม่น้อยกว่าพันปีเป็นแน่ไม่รู้ว่าจวนโหวไปหาของเหล่านี้มาจากที่ใด เพราะข่าวลือที่รู้มา ซูมี่นางเป็นเพียงหญิงชาวบ้านเท่านั้น ต่างคนต่างความคิด ซูมี่อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะนางล่วงรู้ความคิดของคนทั้งหมดบางคนคิดว่าจวนท่านแม่ทัพให้นางมา บางคนกล่าวว่าเป็นสินสงครามที่ฮุ่ยหมิ่นยึดมาได้แต่ไม่ส่งเข้าคลังหลวง เรื่องทั้งหมดไม่ว่าชาวเมืองจะคิดเช่นไร แต่คนของราชวงศ์อย่างฮ่องเต้และฮองเฮาล้วนรู้ดีถึงความพิเศษของนาง แต่เขามิได้พูดเรื่องของซูมี่ออกมาเพราะได้รับปากนางไว้แล้ว โสมในวังไม่ใช่จะไม่มีที่อายุนับพันปี แต่เมื่อเทียบกับของที่ซูมี่นำมามอบไว้ให้ย่อมเทียบกันไม่ติดเมื่อมาถึงจวนแม่
ฮุ่ยหมิ่นเดินเข้ามาซูมี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ซูมี่เห็นท่าไม่ดีนางจึงหายเข้าไปในมิติ ฮุ่ยหมิ่นยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างตกตะลึง ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ เขานั่งรอซูมี่อยู่บนเตียง แต่ไม่เห็นนางออกมาเสียทีจึงได้เขียนจดหมายทิ้งไว้ให้นาง แล้วกลับจวนของตนเองไป เพราะพรุ่งนี้เช้าเขาก็ต้องมารับตัวนางไปอยู่ด้วยที่จวนแล้วซูมี่ที่แอบหลบอยู่ในมิติ นางยังเห็นด้านนอกว่าฮุ่ยหมิ่นทำสิ่งใด เมื่อเขากลับออกไปจากห้องของนางแล้ว ซูมี่ที่กำลังจะออกจากมิติ เสี่ยวไป๋ก็เดินเข้ามาหานาง"ข้าให้ท่านนายหญิง" "นี่คืออันใด" ซูมี่หยิบสิ่งที่เสี่ยวไป๋ให้ขึ้นมา มันเหมือนลูกแก้วกลมใส ขนาดเท่าหัวนิ้วมือ"ท่านกลืนลงไปก็จะรู้" เสี่ยวไป๋มองสบตากับซูมี่ซูมี่นางกลืนลงไปทันที เพราะเชื่อใจเสี่ยวไป๋ เพียงไม่นานภาพเหตุการณ์ต่างๆก็ปรากฏขึ้น ภาพด้านนอกมิติ และภาพชีวิตของสัตว์ป่าทุกตัวที่อยู่ในมิติปรากฏชัดเหมือนนางอยู่ตรงนั้นด้วยตนเองด้านในมิตินางมิได้แปลกใจสักเท่าใด แต่ภาพในเรือนของนางไม่ว่าใครจะทำสิ่งใด เมื่อนางนึกถึงก็จะเห็นผู้นั้นทำสิ่งต่างๆ ทันที แล้วยังล่วงรู้ความคิดของทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องพูดออกมาอีกด้วย"นี่มัน"
ฮุ่ยหมิ่นนับว่าได้ความดีความชอบที่กลับมาช่วยจัดการกลุ่มกบฏขององค์ชายรองไว้ได้ทัน ฮ่องเต้จะให้ฮุ่ยหมิ่นกลับมาดูแลเมืองหลวง พร้อมทั้งพระราชทานจวนท่านแม่ทัพให้แก่เขาส่วนทางชายแดนเหนือยกให้รองแม่ทัพขึ้นเป็นแม่ทัพแทน ฮุ่ยหมิ่นจึงต้องส่งทหารทางชายแดนเหนือที่ตนพามาด้วยกลับชายแดนไปหลังจากจบเรื่องกบฏองค์ชายรอง ฮุ่ยหมิ่นก็ต้องจัดระเบียบทหารในค่ายของเมืองหลวงเสียใหม่ และต้องใช้เวลาฝึกทหารที่ไม่ได้เรื่องอีกมากนักที่ดินที่ใช้ปลูกเสบียงสำหรับกองทัพ ฮุ่ยหมิ่นก็ใช้น้ำวิเศษของซูมี่ในแปลงผัก และนาข้าว ฮุ่ยหมิ่นจัดการฝึกวรยุทธให้ทหารในค่ายด้วยตนเอง จนใกล้ถึงวันงานเขาจึงได้กลับไปที่เรือนตระกูลไป๋"หมิ่นเออร์ จวนหลังใหม่ของเจ้าจะเข้าไปอยู่เลยหรือไม่" ฮูหยินไป๋เอ่ยถามบุตรชายเมื่อเขาเข้ามาพบนางที่ห้องโถง"ข้าจะเข้าไปอยู่เลยขอรับ เรื่องบ่าวหรือข่าวของในจวนข้าจะจัดการเองขอรับ" เพราะเขาจะให้ซูมี่นางจัดการให้"เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า" ฮูหยินไป๋มิได้เข้าไปจัดการ เพราะเห็นว่าบุตรชายและซูมี่นางน่าจะจัดการได้ดีตกดึกฮุ่ยหมิ่นก็ไปหาซูมี่ที่เรือนของนาง เพราะเขามิได้พบหน้านางมาหลายวัน นับตั้งแต่ต้องไปจัดการเรื่องภายใ