หย่งฟางเองก็เพิ่งเคยเจอกับผีที่น่ากลัว และประหลาดถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก ยันต์และคาถาที่ใช้ในการปราบผีทั้งหลายกลับไร้ผลสิ้นเชิง ผีสาวตนนี้ไม่สะทกสะท้านต่ออุปกรณ์ขับไล่ปีศาจทุกชนิด หรือว่าวันนี้เธอแค่โชคไม่ดี? ไม่! มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นแค่โชคร้ายธรรมดา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอพาเฒ่ากัวมาฝึกภาคสนาม หากยังปล่อยให้สถานการณ์ล้มเหลวอีก ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของเธอคงพังทลาย เมื่อคิดได้ดังนั้น หย่งฟางจึงโยนดาบไม้ให้กับเฒ่ากัว “ตั้งรับให้ดี ถ้าถูกโจมตีพวกคุณก็ฟาดไปให้เต็มที่ ทำให้รู้ว่าพวกคุณไม่ใช่หมูที่ใครจะมาเคี้ยวได้ง่ายๆ”คำพูดที่ฟังดูไม่รับผิดชอบนี้ ทำเอาเฒ่ากัวและพรรคพวกแทบจะอยากถามกลับว่า ‘เราควรหนีดีไหม?’แต่ก่อนที่พวกเขาจะทันตั้งสติ หย่งฟางก็พับแขนเสื้อขึ้นและเตรียมลงมือทันที เธอคว้าจับข้อเท้าของผีสาวไว้แน่น จนผีตนนั้นกรีดร้องดังลั่น และก่อนที่จะทันรู้ตัว ร่างของวิญญาณสาวก็ถูกกระชากลงมาจากเพดาน แต่แล้วผีร้ายก็ปรับตัวได้ทันที แปรสภาพเป็นเงาดำและฉวยโอกาสหลุดจากมือเธอ จากนั้นพุ่งเข้าใส่ชายชราที่นอนอยู่บนเตียงทันทีหย่งฟางก้าวไปข้างหน้าสองก้าวอย่างว่องไว คว้าจับเงาดำนั้นไว้อีกครั้
“คนพวกนี้ตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุว่าทำอะไรผิดไป เพียงแค่หลับไปสามสี่วันแล้วกลับมาเหมือนเดิม การลงโทษของท่านมันเปลี่ยนอะไรได้จริงหรือ? หรือว่าท่านแค่อยากให้พวกเขาขอบคุณที่ทำให้ได้นอนสบาย?” หย่งฟางกล่าวน้ำเสียงเย้ยหยันเล็กน้อย เทพธิดาฟังแล้วถึงกับนิ่งไป เพราะคิดตามและเริ่มรู้สึกว่าอาจหุนหันไป รู้ว่าไม่สามารถทำร้ายมนุษย์ได้ แต่ก็ไม่ทันพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ “ถ้างั้น...ควรทำยังไงล่ะ?!” ถามอย่างกระวนกระวาย มองหย่งฟางด้วยสายตาเต็มไปด้วยความหวัง ทันใดนั้นเฒ่ากัวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็แนะนำขึ้น “บางทีถ้ามีคำเตือนจากเทพเจ้า อาจทำให้พวกเขาเกรงกลัวบ้าง” “ไม่ได้หรอก ข้าไม่สามารถปรากฏตัวให้คนธรรมดาเห็นได้ จะให้เตือนยังไง? หรือเจ้าจะส่งข่าวแทน?” เทพธิดาน้อยถามด้วยความสับสน หย่งฟางยิ้มมุมปากเล็กน้อย ราวกับมีแผนในใจแล้ว “ท่านแค่ทำตามที่ฉันบอกก็พอค่ะ” หลังฟังแผนแล้วหนิงหมี่จึงยอมทำตาม หย่งฟางจึงคลายเชือกแดงให้ และทันทีที่ได้รับอิสระเทพธิดาน้อยก็หายวับไป เฒ่ากัวและห่าวจาวไฉปลุกหัวหน้าหมู่บ้านทั้งสามให้ตื่นเมื่อพวกเขาลืมตาขึ้นมาก็ยังงุนงง หย่งฟางจึงบอกพวกเขาว่า “ฉันได้คุยกับเจ้าแม่หลี้นายฮูหยินแ
หย่งฟางลุกขึ้นและเดินเข้ามาเปิดฝาถังน้ำขนาดใหญ่ ด้านในปรากฏให้เห็นลูกบอลสีเทาเข้มกลิ้งอยู่ ทั้งสี่คนก้มลงไปใกล้ๆ ถังน้ำ อยากมองดูให้ชัดเจนขึ้น ไม่ทันไรก็พบว่าลูกบอลกลิ้งไปรอบๆ แล้วจู่ๆ มันก็พ่นน้ำใส่คนทั้งสี่หย่งฟางดูชินกับสิ่งนี้แล้ว นี่อาจจะเป็นวิธีการทักทายของลูกบอลก็ได้ แต่สำหรับเฒ่ากัวและพวกอีกสามคนต่างตกใจ และรีบเช็ดหน้าตัวเองกันยกใหญ่ ลูกบอลกระโดดขึ้นจากผิวน้ำด้วยท่าทีหงุดหงิด "ยายเด็กน้อย! อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าเธอแอบขี้เกียจ! เธอคิดจะให้พวกเขาสวดให้ฉันใช่ไหม?! ฝันไปเถอะ! ถ้าเธอไม่สวด ฉันก็ไม่ไปเกิด!"หย่งฟางเหลือบมองลูกบอลที่กระโดดไปมา ไม่ได้พูดอะไร แล้วปิดฝาถังน้ำให้พวกเขาสวดต่อไป เมื่อรู้แน่ชัดว่ากำลังสวดให้วิญญาณดวงหนึ่ง เฒ่ากัว ห่าวจาวไฉ และกุ่นกุ่นที่ยังสวดไม่จบก็ฮึดสวดจนเสร็จ ในช่วงบ่ายหลังจากปิดวัด หย่งฟางก็เริ่มสอนพวกเขา โดยสอนการทำนายดวงชะตาไปพร้อมๆ กับการสวดมนต์"การดูธูปทำนายของเทพเจ้า ต้องเป็นลูกศิษย์ของวัดเท่านั้นถึงจะเรียนได้ ดังนั้นวิชานี้คงต้องรออีกสักพัก แต่การทำนายดวงแบบอื่นมันง่าย" หย่งฟางกล่าวก่อนจะยกกองหนังสือโบราณขึ้นจากห้องข้างๆ “เอาหนังสือพวกนี้ไปศึก
[เห้ย จริงเหรอ? วัดเสวียนเว่ยเป็นของหย่งฟาง?! คนที่หายไปจากวงการนั่นอ่ะนะ?!][โห ถึงว่าหายไปจากวงการ เพราะต้องกลับมารับช่วงดูแลวัดต่อจากที่บ้านนี่เอง][55555 ไม่ได้ตามข่าวซะนาน ที่แท้ BGM บทสวดที่ฮิตในโซเชียลนั่น หย่งฟางเป็นคนร้องเหรอเนี่ย][ที่วัดศักดิ์สิทธิ์ขนาดนั้นจริงดิ่? อยากไปถานจิงซะแล้วสิ][อ้าว? มีแค่ฉันคนเดียวเหรอที่สนใจ ว่าถึงวัดยังมีทั้งแอนตี้แฟนกับแฟนตัวจริงอยู่? แล้วยังทะเลาะกันอีก หย่งฟางนี่มัน...ทำอะไรก็เป็นจุดดึงความสนใจไปหมด สรุปใครพูดถูกกันแน่เนี่ย ฉันเห็นหลายคนบอกว่า วัดนี้เป็นวัดที่ถูกต้องนะ เลยอยากไปดูเหมือนกัน แต่ก็กลัวว่าไปแล้วจะโชคร้าย][ไม่น่าหรอก ฉันลองเข้าไปดูโปรไฟล์ของคนที่บอกว่าโชคร้ายมาแล้วนะ พวกนั้นดูมีทัศนคติแย่มาก พูดจาแรงๆ ดูเป็นคนไม่ค่อยดีเลย...ฉันเคยได้ยินมาเหมือนกัน ว่าคนที่มีกรรมหนักเวลาไปวัดจะโชคร้าย แบบนี้ไม่น่าจะโทษวัดเค้าได้หรอก][ฉันอยู่ฝั่งวัดนะ คนในแวดวงเศรษฐีที่ถานจิง มีตั้งหลายคนออกมาพูดสนับสนุนวัดเสวียนเว่ย คนพวกนั้นมีเงินขนาดนั้นแล้ว ไม่น่าจะโดนหย่งฟางจ้างมาโกหกหรอก วัดนี้ต้องมีอะไรดีแน่ๆ แล้วพวกที่บอกว่าโชคร้ายก็มีแค่ไม่กี่คนเองที่ออก
ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของวัดเสวียนเว่ย กำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ลูกค้าหน้าใหม่ที่เคยมีเจตนาไม่ดีเริ่มลดลงทีละน้อย ขณะเดียวกันผู้คนที่เคยมาเพราะเสน่ห์ของหย่งฟางก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง เพื่อแก้บนในสิ่งที่พวกเขาเคยขอพรไว้ สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือกระแสความสนใจ ของผู้คนเริ่มเปลี่ยนจากหย่งฟาง ไปยังเทพเซียนผู้ก่อตั้งวัดเสวียนเว่ยแทน บางคนเล่าว่า [ฉันทะเลาะกับครอบครัวเรื่องคณะเรียนมาตลอดทั้งปี แม่เลยไปไหว้ที่วัดเสวียนเว่ย เทพผู้ก่อตั้งบอกว่าฉันคือความโชคดีของบ้าน ฟังฉันสิ! พอกลับมาแม่ก็ยอมให้เรียนมหาวิทยาลัยการบินถานจิง ตอนนี้ฉันยังคงเป็นพวกยึดหลักเหตุผลต่อต้านความเชื่อ แต่ต้องยอมรับเลยว่าเทพองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์มากจริงๆ] บางคนถึงกับเล่าเรื่องครอบครัวที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เช่น [พ่อแม่ฉันทะเลาะกันมา 18 ปี เทพผู้ก่อตั้งบอกให้พ่อปฏิบัติดีกับแม่ แล้วความโชคดีจะมาหาเรา ผ่านไปครึ่งเดือนยังไม่เห็นทะเลาะกันเลย กลับหวานชื่นเหมือนคู่ใหม่อีกต่างหาก!] และมีเรื่องราวแปลกๆ ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน: [ป้าฉันที่หย่ากับสามีได้สมบัติ 800 ล้าน เธอไปไหว้ทุกสัปดาห์ เทพเจ้าทักประโยคแรกว่า ‘ยิ
หลังจากที่ได้เดินสำรวจรอบๆ รวมถึงไหว้ขอพรเทพเจ้าแล้ว หลี่ซูหรงไม่ได้รู้สึกว่ามันมีอะไรพิเศษนัก อาจเป็นเพราะเธอเชื่อในหลักวิทยาศาสตร์มากกว่า เลยไม่รู้สึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และกลับมองว่ามันดูออกจะเพ้อฝันหน่อยๆ เธอไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หลี่ซูหรงเดินลงจากเขา ผ่านศาลาเล็กๆ ข้างๆ มีน้ำตกเล็กๆ หลายคนกำลังถ่ายรูปกันอยู่ เธอล้างมือในน้ำตกที่ไหลลงสระเล็กๆ ก่อนจะนั่งพักที่ศาลา แล้วเปิดมือถือดูเทรนด์ในโซเชียล เห็นข่าวมหาวิทยาลัยหนึ่งที่มีนักศึกษากว่า 30 คนร้องเรียนอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ จนติดเทรนด์อันดับหนึ่งหลี่ซูหรงกดเข้าไปดู แล้วถึงได้รู้ว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ มีนักศึกษาปริญญาโทและเอกคนหนึ่ งที่ไม่สามารถจบการศึกษาได้เพราะถูกกีดกัน และยังถูกใช้งานอย่างไม่เป็นธรรมอีกด้วยเมื่อวันก่อน หลังจากเฝ้าดูผลการทดลองตลอดทั้งคืน เขาได้รับข้อความให้ไปซื้ออาหารเช้าให้อาจารย์ถึงบ้านพัก ขณะที่กำลังทำความสะอาดบ้านอาจารย์คนนั้น เขาก็เกิดหัวใจวายเฉียบพลัน หลังจากนั้นสองวันยังต้องรักษาอยู่ในห้องไอซียูความจริงถูกปิดบังไว้ จนกระทั่งเพื่อนนักศึกษาร่วมคณะ และศิษย์เก่าช่วยกันเปิดโปง และทำให้เรื่องนี้กลายเป็นที่สน
ในกลุ่มแชท 6 คนชื่อ ‘ปลายักษ์วงการบันเทิง’ ทั้งที่ทุกคนทำงานในวงการ แต่ก็ยังสามารถหาเวลามาคุยกันจนข้อความเกิน 99+ ข้อความได้ทุกวัน หย่งฟางเลยตั้งค่าไม่ให้แจ้งเตือน แต่วันนี้หลังจากออกสมาธิ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พบว่ามีคนในกลุ่มแท็กหาเธอ[กุ้งไม่กระพริบตา]: คืนนี้ฉันอัดรายการเสร็จแล้วมีเวลาว่าง เจอกันไหม?[มนุษย์ไฟแรงจินฮั่ว]: ได้[ถั่วงอกคืออะไร]: วันนี้จะมากันครบไหม? ตั้งแต่หย่งฟางออกจากวงการไปสืบทอดวัดแล้ว เธอแทบจะไม่ลงจากเขาเลยนะตอนที่หย่งฟางออกจากวงการ เธอบอกพวกเขาว่าจะกลับไปสืบทอดมรดกของครอบครัว แต่หลังจากมีคลิปเธอทำพิธีออกมา พวกเขาถึงได้รู้ว่าหย่งฟางสืบทอดวัด แล้วก็มีคนบอกว่าแม่นมาก!ทั้งที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่หย่งฟางกลับไม่บอกพวกเขาแม้แต่คำเดียว แถมไม่เคยชวนพวกเขาไปเที่ยวที่วัดด้วยซ้ำ นี่คิดว่าเพื่อนเป็นคนนอกหรือยังไง! แต่พอพวกเขาลองคิดย้อนกลับไป กลับพบว่ามันมีสัญญาณบางอย่างมาตั้งนานแล้ว อย่างเช่น หย่งฟางทำนายได้แม่นยำมาก[กุ้งไม่กระพริบตา] เซี่ยหลิงดาราหญิงคนดัง ไม่เคยขาดแคลนหนุ่มๆ ที่มาจีบ ทั้งในและนอกวงการ แต่หย่งฟาง บอกเธอว่าอย่ามีความรักเซี่ยหลิง: เพราะเรื่องการง
จงเค่อหรงทำตามที่บอก หย่งฟางเห็นว่าบุหรี่ติดไฟแล้ว จึงรับมาถือไว้ระหว่างนิ้ว "ตอนนี้ ให้ถือเอาไว้แล้วท่องคำถามในใจ ก่อนโยนสามครั้ง"จงเค่อหรงจดจำและทำตามขั้นตอนโยนสามครั้ง หย่งฟางมองแต่ละครั้ง เห็นผลออกมาสองครั้งเป็นคว่ำครั้งหนึ่งเป็นหงายครั้งหนึ่ง ทุกคนไม่เข้าใจความหมาย ต่างพากันมองไปที่หย่งฟาง พบว่าสายตาของเธอจ้องที่บุหรี่ในมือ ควันสีขาวฟุ้งขึ้นลอยเบาๆ เส้นผมที่เหมือนสาหร่ายของหญิงสาวรวบขึ้นหลวมๆ ปล่อยลงอย่างไม่ตั้งใจ ดวงตาและคิ้วที่งดงามปิดบังความยั่วยวน ในตอนนี้สิ่งที่น่ามองที่สุด คือจมูกและริมฝีปากที่อิ่มเต็มและละเอียดอ่อน ท่าทางที่เธอถือบุหรี่ดูสบายๆ มืออีกข้างวางปลายนิ้วเบาๆ บนโต๊ะ หย่งฟางมองควันโดยไม่เคลื่อนไหว ไม่มีใครสูบบุหรี่แต่มันไหม้ไปจนหมด แต่เถ้ายังคงไม่หล่น ยาวและยังคงอยู่บนหลังนิ้วของเธอ เซี่ยหลิงและอีกสองคนไม่กล้าส่งเสียง กลัวว่าถ้าออกเสียงจะทำให้เถ้าบุหรี่ตกลงมา จึงทำได้เพียงเงียบรอให้หย่งฟางพูดสุดท้ายหย่งฟางก็ขยับตัวเล็กน้อย หยิบที่เขี่ยบุหรี่สเตนเลสจากมุมโต๊ะมาวางเถ้าบุหรี่ลงในนั้นแล้วพูด "เดือนมีนาคมปีหน้ามีโอกาสที่จะยกเลิกสัญญา ตอนนี้ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
หอพักหญิง อาคาร 3A หน้าห้อง 702หลังจากหญิงสาวในห้อง 701 บอกว่า “ห้อง 702 ไม่มีคนอยู่” คำพูดนั้นทำเอาสาวๆ จากห้อง 602 กรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีด ถ้าห้อง 702 ไม่มีใครอยู่ แล้วเสียงฝีเท้าเหล่านั้นมาจากไหน?เสียงกรีดร้องทำลายความเงียบของค่ำคืน ไฟทางเดินที่ควบคุมด้วยเซ็นเซอร์เสียงสว่างวาบขึ้นทีละชั้น เสียงโลหะขูดพื้นดังมาจากชั้นล่าง คุณป้าผู้ดูแลหอพักเปิดประตูห้องพัก รีบมองจอมอนิเตอร์กล้องวงจรปิด แล้วกดลิฟต์ขึ้นมายังชั้น 7“เอะอะอะไรกัน! เสียงดังจนคนทั้งตึกได้ยิน!” เมื่อมาถึง คุณป้าผู้ดูแลตำหนิ ก่อนหันไปมองเด็กๆ “พวกเธอห้อง 602 ใช่ไหม? มาเดินเพ่นพ่านอะไรตอนนี้? ไม่รู้เหรอว่าห้ามออกจากห้องหลังไฟดับ?”หญิงสาวจากห้อง 701 รีบช่วยอธิบาย “พวกเธอบอกว่าได้ยินเสียงคนเดินในห้อง 702 เลยขึ้นมาดู...คุณป้า ห้อง 702 มีใครอยู่หรือเปล่าคะ?”คุณป้ามองพวกเธอด้วยสายตานิ่งเรียบ “ห้อง 702 ไม่มีคนอยู่มานานแล้ว”คำตอบนั้นทำให้สาวๆ จากห้อง 602 ใจหายวาบ หญิงสาวจากห้อง 701 เริ่มลังเลก่อนถามด้วยเสียงสั่น “ป้า... รุ่นพี่บอกว่าหอพักหญิงที่นี่มีผี เรื่องนั้นจริงหรือเปล่าคะ?”“พวกเธออย่าไปเชื่อเรื่องไร้สาระแบบนั้น” คุณป้
"รับคำทำนายก่อนเถอะ แล้วค่อยคุยกัน" หย่งฟางเอ่ยขึ้นพลางมองแถวคนที่ยืนรออยู่ด้านหลังมีผู้หญิงสี่คนเข้ามาถามคำทำนายทีละคน สองคนถามเรื่องการเรียน อีกสองคนถามเรื่องความรัก กุ่นกุ่นช่วยตอบคำทำนาย หย่งฟางไม่ได้พูดเสริมอะไร มีเพียงกระซิบเบาๆ "ทำนายได้ดีมาก จากนี้ลูกค้าอื่นๆ ให้คุณดูแลคนเดียวเลย ทำให้มั่นใจหน่อย อย่าพูดติดขัด ถ้าคิดว่าจะติดก็พูดคำสำคัญสั้นๆ ก็พอ"กุ่นกุ่นพยักหน้า เรื่องนี้เฒ่ากัวเคยสอนเขามาก่อนแล้ว แนะนำให้พูดแบบเว้นจังหวะบ้างเพื่อให้ดูเป็นปริศนาและน่าเกรงขาม จากนั้นหย่งฟางพาผู้หญิงสี่คนไปยังห้องน้ำชา ขอให้พวกเธอดื่มชากันคนละแก้ว"ฉันก็ไม่คิดว่าเราจะได้เป็นเพื่อนร่วมสถาบันกัน ฉันเพิ่งรู้ว่าพี่เรียนที่วิทยาลัยศิลปะถานจิง ตอนฉันเห็นภาพวาดกับชื่อพี่ในห้องแสดงผลงาน" ฉู่เสี่ยวเฉียวพูดขึ้นรูมเมตของเธอพยักหน้า "ใช่เลย หย่ง...อาจารย์" ผู้หญิงคนนั้นลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะเรียกหย่งฟางว่าอะไรดี"ทำไมเธอถึงไม่มีรูปอยู่ในชั้นวางศิษย์เก่าที่โดดเด่นล่ะ?"หย่งฟางยิ้มก่อนตอบ "เคยเห็นใครทำงานด้านศาสตร์ลึกลับ แล้วไปเป็นศิษย์เก่าที่โดดเด่นบ้างไหม?"คำพูดนั้นทำให้ผู้หญิงทั้งหมดหัวเราะออกมา ข
[สุดยอดไปเลย หย่งฟางไปหาลูกศิษย์มาจากที่ไหนนะ ทั้งหนิงหมี่และหลงหยวนหยวนเ หมาะจะไปเป็นไอดอลทั้งกลุ่มหญิงและชายได้เลย][หย่งฟางเปิดบริษัทจัดการบันเทิงไปเลยเถอะ]ในที่สุด #เสวียนเว่ยเอ็นเตอร์เทนเมนท์ (#บริษัทบันเทิงเสวียนเว่ย) ก็กลายเป็นคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับ #วัดเสวียนเว่ย (#ศาสตร์ลึกลับของหย่งฟาง)เหล่าชาวเน็ตช่วยกันแบ่งตำแหน่งให้เสร็จสรรพแล้ว[#บริษัทบันเทิงเสวียนเว่ยCEO: หย่งฟาง อันดับหนึ่งฝ่ายหญิง: หนิงหมี่ อันดับหนึ่งฝ่ายชาย: หลงหยวนหยวน][ส่วนอาจารย์อ้วน กับอีกสามคนก็เป็นผู้จัดการไปละกัน]เหล่าลูกศิษย์มนุษย์ที่คอยติดตามข่าวในโซเชียลเกี่ยวกับวัด: หือ?หยิบโทรศัพท์เก็บกลับไป มองดู ‘อันดับหนึ่งฝ่ายชาย’ และ ‘อันดับหนึ่งฝ่ายหญิง’ตอนนี้เป็นช่วงหกโมงเย็น หลังจากทานอาหารเสร็จ สองคนนี้ก็สู้กันตั้งแต่ฝั่งตะวันออกไปจนถึงฝั่งตะวันตก เพื่อแย่งควันธูปกัน นี่กลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ของอันดับหนึ่งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายที่ต้องทำทุกวันไปแล้วเพราะหย่งฟางแจกควันธูปอย่างเท่าเทียม ตอนแรกให้ทั้งคู่คนละสองแท่ง แต่หนิงหมี่ไม่พอใจ “ข้าทำงานตั้งขนาดนี้ ส่วนเขาไม่ได้ทำอะไรเลย ทำไมถึงได้เท่ากับข้า! ข้าไม่สน จ
ณ จุดนี้ในวัดเสวียนเว่ยมีสมาชิกทั้งหมดแปดคนเจ้าของอาราม: หย่งฟางศิษย์: หนิงหมี่, เฒ่ากัว, ห่าวจาวไฉ, จินเหยาไต้ ,ไฉหยวนกุ่นกุ่นผู้พักชั่วคราว: วิญญาณลูกกลมสีเทาผู้ไม่ได้รับเชิญ: หลงหยวนหยวนทั้งแปดคนนี้ประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตจากสี่ประเภท ได้แก่ คน เทพ วิญญาณ และปีศาจ"อาจารย์หย่ง คุณคิดจะเก็บสิ่งมีชีวิตทั้งหกไว้ที่นี่หรือ?" ห่าวจาวไฉโบกพัดกระดาษพร้อมถามหย่งฟางเผยยิ้มขมเล็กน้อย จะพูดอย่างไรดี? ตัวตนของหนิงหมี่กับหลงหยวนหยวนนั้น ไม่ใช่ว่าเธอเต็มใจรับเข้ามา คืนนี้พระจันทร์สีเงินส่องสว่างกลางท้องฟ้า หลังจากที่หย่งฟางไหว้เทพเจ้าวัดเสร็จ เธอก็เดินออกจากวิหารหลัก หนิงหมี่กับวิญญาณลูกบอลกลมสีเทา ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะเรียนในลาน กำลังตั้งใจเรียนวิชาภาษาชั้นประถมปีที่ 1 ที่ถ่ายทอดสด คราวนี้หย่งฟางเรียนรู้แล้ว เธอจึงหยิบโทรศัพท์เครื่องเก่าที่ตั้งค่าใหม่ให้พวกเขาใช้ขณะเดียวกัน หลงหยวนหยวนที่โดนสองสาวรังเกียจ นั่งอยู่ที่เก้าอี้ในสวนอีกฝั่ง เจ้าหนุ่มชุดดำไม่สนใจเลยที่ตนเองไม่ได้รับความชื่นชอบจากใคร แค่เอนตัวรับลมเย็นอย่างสบายใจ ด้านเฒ่ากัวกับคนอื่นๆ เตรียมไฟฉายและพร้อมจะลงจากภูเขากลับบ้าน"เดี
"อย่างพี่สาวเหอ ฉันรู้สึกว่าเธอเป็นคนดีมากๆ ไม่เคยทำเรื่องไม่ดีเลย แถมครอบครัวก็ใจดี แม้ว่าเราจะพูดกันไม่นาน แต่ก็เริ่มรู้สึกอึดอัดอยู่เหมือนกัน แต่อย่างที่บอก พราะเธอเป็นคนดี ฉันก็ไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกอึดอัดหรือไม่""ส่วนเรื่องจางยู่เฟ่ย ตั้งแต่ฉันมาที่โลกมนุษย์ ฉันก็เริ่มรู้แล้วว่ามีคนที่ไม่อยากทำอะไรด้วยตัวเอง หลายคนชอบหาทางลัด ถ้ามันเป็นทางที่ถูกต้องก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ค่อยเจอคนที่พยายามหาทางพึ่งพาคนอื่นแบบเธอ ทั้งที่เธอก็มีแขนขาครบ มีโอกาสมากมาย แต่กลับเหมือนมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง คิดแค่ว่าจะฝากชีวิตไว้กับผู้ชาย" หนิงหมี่พูดไปพร้อมกับทำท่าห่อไหล่เหมือนแมวน้อยที่กำลังครุ่นคิด"แต่พอคิดถึงเป่าฟู่กุ้ยและภรรยาของเขา ฉันก็รู้สึกว่าในโลกมนุษย์ก็ยังมีสิ่งดีๆ บ้างเหมือนกัน" หนิงหมี่พูดสรุปว่า "มนุษย์นี่ซับซ้อนจริงๆ ฉันไม่เข้าใจเลย"หลังจากที่ออกไปทำงานนอกสถานที่มาแค่สองวัน เทพธิดาน้อยก็ได้สัมผัสกับความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ พนักงานบนเครื่องบินเชิญพวกเธอไปยังห้องอาหาร หลังจากทานอาหารจนอิ่มหนำแล้ว หนิงหมี่ก็รู้สึกดีขึ้น"เป่าฟู่กุ้ยสุดยอดจริงๆ!" หนิงหมี่คิด "อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องนอนขดตัวอ
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเจอนักพรตสาวตัวน้อย กลุ่มเฮ่ยไป่อู่ฉางก็รีบตื่นเต้นและวิ่งเข้าหาเธอ “หย่งน้อย เธอดูอ้วนขึ้นนะ!”“จะทักทายกันแบบสุภาพกว่านี้ไม่ได้หรือไงคะ?” หย่งฟางพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงอารมณ์ยมทูตขาวผู้เป็นพี่สาว ยื่นมือไปหยิกแก้มเธอทันที “ฉันหมายถึงหน้าเธอดูมีเนื้อขึ้นนะ! เมื่อก่อนเธอผอมกว่านี้”หย่งฟางสะบัดมือของเธอออกเหมือนปัดแมลงวันยมทูตดำก็ทักขึ้นบ้าง “ถ้าจะให้สุภาพ ฉันก็ทำได้” จากนั้นเขาก็พูดต่อ “หย่งน้อย เราเสมือนญาติผู้ใหญ่เห็นเธอเติบโตมาตลอด เธอก็ไม่ได้มาเยี่ยมเราเลย เราคิดถึงเธอ…”ยมทูตขาวพูดเสริมทันที “…พวกเราอยากได้ธูปหอมบ้างน่ะ”นี่แหละคือวิธีทักทายของพวกเขา หย่งฟางไม่ได้พูดอะไร เธอแค่ย่อตัวลงเปิดกระเป๋าเดินทาง แล้วหยิบธูปสองดอกออกมาหนิงหมี่เบิกตากว้าง “นั่นมันของฉันนะ!!” พูดจบก็พยายามจะแย่ง แต่หย่งฟางก็หลบมือไปจุดไฟ แล้วส่งให้ยมทูตขาวดำทันที“แค่นิดเดียว อย่าไปหวงนักเลย เด็กเล็กก็แบบนี้แหละ ชอบหวงของ”ยมทูตขาวดำกินควันธูปอย่างพอใจจนตาหรี่ลงเป่าฟู่กุ้ยมองยมทูตทั้งสองที่กำลังเคลิบเคลิ้ม…พวกเขาไม่ได้มารับเมียเขาไปโลกหลังความตายเหรอ? แล้วทำไมมานั่งกินของฝากที่บ้า
เปาฟู่กุ้ยมองนักพรตสาวด้วยความงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงลังเล "ผม...ผมจะได้เจอเธอจริงๆ เหรอ? ภรรยาของผมไม่ได้...ไปอยู่ที่ยมโลกแล้วหรอกเหรอ?""ภรรยาของคุณน่าจะอยู่ข้างคุณตลอดเวลา เพียงแต่ช่วงนี้เธอคอยเฝ้าดูจางยู่เฟ่ยอยู่ เพราะสงสัยว่าคนคนนั้นจะทำอะไรแปลกๆ เราเลยไม่เห็นวิญญาณเธออยู่ในบ้านคุณตั้งแต่แรก" หนิงหมี่อธิบาย"ผม...ผมอยากเจอเธอ!" เปาฟู่กุ้ยพูดด้วยความรู้สึกสดใสขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับได้รับพลังชีวิต ใบหน้าของเขาดูเปล่งปลั่งทันที ทันใดนั้นก็นึกถึงสภาพตัวเอง จึงรีบลูบหนวดเคราที่เพิ่งงอกยาวและกล่าวออกไป "เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวผมต้องจัดการตัวเองก่อน ภรรยาผมไม่ชอบที่ผมดูสกปรกแบบนี้"หลังจากพูดจบ เปาฟู่กุ้ยลากตัวที่ดูอ้วนกลมขึ้นไปชั้นบน เพราะอาการบวมจากยาต้านซึมเศร้า เมื่อเขากลับลงมาอีกครั้ง หย่งฟางและหนิงหมี่ ก็ได้เห็นเปาฟู่กุ้ยในลุคใหม่ที่สะอาดสะอ้าน เขาโกนหนวดโกนเคราจนเกลี้ยงเกลา สระผมจนหอมสะอาด ใบหน้ากลมอวบอิ่มดูสดใสขึ้นทันที เขาใส่สูทสากลและเนคไทเรียบร้อย สวมรองเท้าหนังแม้หน้าตาของเขาจะไม่หล่อเหลามากนัก โดยเฉพาะส่วนแก้มที่อ้วนดูเหมือนผู้ชายธรรมดา แต่ในลุคนี้เขากลับดูอ
หลังจากที่จางยู่เฟ่ยพ่นเลือดออกมา หมอกสีเทาที่วนเวียนอยู่ระหว่างคิ้วของเปาฟู่กุ้ย ก็พลันสลายหายไปทันที แม้ว่าจางยู่เฟ่ยจะมองไม่เห็นพลังงานลี้ลับเหล่านี้ แต่เธอกลับรู้สึกถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อท่านประธานทำตามคำแนะนำของสาวน้อยข้างกายเถ้าแก่เปาเปิดตาขึ้น ยกมือออกหู และมองเลขาอีกครั้งด้วยสายตาที่กลับมาสดใส ปราศจากอาการลุ่มหลงผิดปกติใดๆ จางยู่เฟ่ยตกใจ รีบควานหาบางสิ่งในกระเป๋าของตัวเอง แต่กลับพบว่ามันหายไป“หาอันนี้อยู่หรือเปล่า?” น้ำเสียงเย็นชาแฝงความเหนือชั้นดังมาจากหย่งฟางเมื่อจางยู่เฟ่ยหันไปมอง ก็พบว่ากระดาษยันต์สามเหลี่ยมในมือของหย่งฟาง ถูกฉีกเป็นสองส่วนอย่างเรียบร้อยหนิงมี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มขำ ส่วนหญิงสาวในชุดขาวร่างโปร่งแสงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กับจางยู่เฟ่ย เธอยกนิ้วโป้งให้หนิงมี่ด้วยความชื่นชมใบหน้าของวิญญาณสาวผู้นี้ คือใบหน้าเดียวกันกับหญิงสาว ในภาพถ่ายที่พบในห้องใต้หลังคา ใช่แล้ว... ภรรยาของเปาฟู่กุ้ยยังไม่ได้ไปสู่สุคติ ช่วงนี้เธอสังเกตเห็นความผิดปกติของสามี และหลังจากจับตามองเลขาส่วนตัว ก็พบว่าคู่กรณีใช้คาถามาควบคุมใจสามีของเธอเธอก็พบว่านักพรตสาวจากสำนั
เมื่อวางสายไปใบหน้าของเถ้าแก่เปาแสดงอาการหลงใหล ราวกับถูกบางสิ่งควบคุม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรักและความคิดถึงอย่างท่วมท้น หย่งฟางรีบสวดคาถาเคลียร์จิตใจ ก่อนจะใช้นิ้วแตะเบาๆ ที่หน้าผากของเขา ความอ่อนโยนที่เคยแสดงบนใบหน้าของเปาฟู่กุ้ย หยุดชะงักราวกับถูกหยุดเวลา หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลับมาเป็นปกติ แต่ยังคงมีท่าทางงุนงงหย่งฟางเปิดปากถาม "คนที่โทรหาคุณเมื่อกี้คือใคร?""คะ...คือ...เลขาของผม จางยู่เฟ่ย..." เปาฟู่กุ้ยมองหน้าหย่งฟางและหนิงหมี่ด้วยความสงสัย "มีอะไรเหรอครับ?" ดูเหมือนเขาจะไม่สามารถจำความรู้สึกอ่อนโยน และความรักใคร่ที่เคยมีเมื่อครู่ได้เลยหนิงหมี่หันไปมองอาจารย์และกระซิบเบาๆ "คาถาชิงรัก"หย่งฟางพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเปาฟู่กุ้ย "ตอนที่คุณโชคร้ายก่อนหน้านี้ มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่คุณคุยกับเลขาของคุณเสร็จใช่ไหม?"เปาฟู่กุ้ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มจำได้ "เหมือนจะใช่ แต่ว่าช่วงนี้ผมก็ไม่ค่อยเจอโชคร้ายแล้วนะ"หย่งฟางอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบ "เพราะช่วงนี้คุณไม่ได้ปฏิเสธคำขอของเธอเลย คาถาชิงรักคือการที่คุณถูกทำให้ตกหลุมรักคนที่ร่ายคาถานี้ ในตอนแรกคุณยังมีสติ คุณสาม